Tuesday, 18 February 2025
WORLD

ทหารพม่าบุกเผาชุมชนสิงขร อ้างกะเหรี่ยงหลบซ่อน ชาวบ้านร่ำไห้ลี้ภัยหลบเข้ามาพึ่งญาติฝั่งไทย

(18 ก.พ. 68) ทหารเมียนมาบุกเผาทำลายบ้านเรือนหลายหลังในหมู่บ้านสิงขร เขตตะนาวศรี ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยพลัดถิ่นต้องอพยพหนีตาย บางส่วนลี้ภัยเข้ามาฝั่งไทยอย่างหวาดกลัว ขณะที่รัฐบาลไทยยังไม่มีมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม

เหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทหารเมียนมาเชื่อว่าหมู่บ้านสิงขรเป็นที่หลบซ่อนของกองกำลังกะเหรี่ยง KNU และกองกำลังประชาชน PDF ก่อนหน้านี้เพียงสามวัน ทหารเมียนมาได้บุกโจมตีและเผาทำลายบ้านเรือนไปแล้ว 4-5 หลัง พร้อมใช้โดรนและเครื่องบินโจมตี ส่งผลให้วัดสิงขรวราราม ซึ่งเป็นวัดไทยโบราณในพื้นที่ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า “ทหารเมียนมาบุกเข้ามาตั้งแต่ช่วงเช้า เผาบ้านหลายหลังจนชาวบ้านต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด โชคดีที่พระและชาวบ้านบางส่วนหลบหนีออกมาได้ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ทุกคนต่างไร้ที่อยู่อาศัย”

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวไทยพลัดถิ่นกว่า 100 ครอบครัวจำเป็นต้องละทิ้งบ้านเรือนของตน หลายคนพยายามลี้ภัยเข้ามายังฝั่งไทยผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อน เนื่องจากไม่มีเอกสารที่สามารถยืนยันสถานะทางกฎหมายในประเทศไทยได้ หากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจพบก็อาจถูกจับกุมและส่งกลับไปยังเมียนมา ซึ่งสถานการณ์ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้ง

“พวกเขาไม่มีบ้าน ไม่มีอาหาร และเด็กๆ ก็นอนไม่ได้เรียนหนังสือ ทุกคนกอดคอกันร้องไห้เมื่อเห็นภาพบ้านของตัวเองกลายเป็นเถ้าถ่าน” แหล่งข่าวกล่าวเสริม

หมู่บ้านสิงขรเคยเป็นส่วนหนึ่งของสยามมาก่อน แต่ต้องสูญเสียให้แก่อังกฤษในยุคล่าอาณานิคม ปัจจุบันแม้ดินแดนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมียนมา แต่คนไทยในหมู่บ้านยังคงรักษาวัฒนธรรม ประเพณี และภาษาไทยไว้อย่างเหนียวแน่น วัดสิงขรวรารามเป็นศูนย์กลางของชุมชนและเป็นหลักฐานของรากเหง้าไทยในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มต่อต้านทำให้ชาวบ้านต้องตกอยู่ในความเสี่ยง แม้พวกเขาจะพยายามใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกลูกหลงจากสงครามได้

ขณะที่สถานการณ์ยังคงเลวร้าย ไม่มีรายงานว่ารัฐบาลไทยได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือชาวไทยพลัดถิ่นในพื้นที่ดังกล่าว มีเพียงกองกำลังทหารของไทยที่รับทราบสถานการณ์เท่านั้น

“คนไทยที่นี่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนต่างแดน พวกเขายังมีญาติพี่น้องในไทย มีสายเลือดและวัฒนธรรมร่วมกัน ถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาลไทยจะเข้ามาช่วยเหลือและให้ความคุ้มครองคนไทยที่ถูกลืมเหล่านี้” แหล่งข่าวตั้งคำถาม

สถานการณ์ในหมู่บ้านสิงขรสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของชาวไทยพลัดถิ่นที่ยังคงยึดมั่นในอัตลักษณ์ของตนเอง แต่กลับต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไร้ที่พึ่ง การช่วยเหลือจากภาครัฐจะเป็นความหวังเดียวที่พวกเขามี เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง

เปิดประวัติ หลิวจงอี้ ตำรวจระดับพระกาฬ มือปราบแห่งชาติจีน กับภารกิจล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์

(18 ก.พ.68) หลิว จงอี้ ชื่อนี้กลายเป็นที่คุ้นหูของสื่อไทยและชาวไทยไปโดยปริยาย จากบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์และปราบปรามการฉ้อโกงออนไลน์ รวมถึงการมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ ซิงซิง เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกหลอกล่อไปยังเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสามารถนำตัวเธอกลับมาได้สำเร็จ

ภารกิจของหลิวไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขาเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคง อาทิ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างจีนและไทย ในการปราบปรามขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปักหลักในพื้นที่เมืองเมียวดี จนนำไปสู่การพบปะกับนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งท้ายที่สุดได้มีมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าไปยังเมืองที่เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายมิจฉาชีพบริเวณชายแดน

ล่าสุด หลิวเดินทางไปยังเมืองเมียวดี เพื่อติดตามปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ตามบัญชีดำของจีน รวมถึงเข้าเยี่ยมชาวต่างชาติที่ได้รับการช่วยเหลือจากกองกำลัง BGF (Border Guard Force) ออกจากเขตสแกมเมอร์ในชเวโก๊กโก่ ซึ่งกลุ่มผู้รอดพ้นจากขบวนการฉ้อโกงเหล่านี้กำลังได้รับการดูแลที่ศูนย์พักคอยของ BGF นอกจากนี้ เขายังได้พบปะและเจรจากับผู้นำกลุ่มต่างๆ ในเมียนมา เพื่อเสริมสร้างแนวทางความร่วมมือด้านความมั่นคง

เส้นทางอาชีพของหลิว จงอี้ ไม่ธรรมดา เขาเป็นหนึ่งในตำรวจที่มีชื่อเสียงด้านการคลี่คลายคดีซับซ้อนที่หลายคนไม่สามารถแก้ไขได้ ด้วยผลงานที่โดดเด่น เขาได้รับรางวัล 'ตัวอย่างด้านความมั่นคงสาธารณะ' ระดับประเทศในปี 2560 ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนคดีอาญา กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ

ตามข้อมูลจาก Baidu ระบุว่า หลิวเกิดเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2508 และสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยตำรวจมณฑลเฮยหลงเจียงในระดับปริญญาตรี ปัจจุบัน นอกจากจะเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี เขายังดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคและผู้อำนวยการกองบัญชาการที่ 5 ของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ

ชื่อของหลิวจงอี้ ปรากฏอยู่ในสื่อจีนว่าเป็นนักสืบระดับชาติที่รับมือกับคดีสำคัญที่ 'ร้ายแรง' และ 'ซับซ้อน' มาแล้วนับพันคดี เขาลงพื้นที่สืบสวนอาชญากรรมมากกว่า 200 วันต่อปี และมีบทบาทสำคัญในการคลี่คลายคดีใหญ่ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมจีน

หนึ่งในภารกิจที่สำคัญของเขาคือการรื้อฟื้นคดีฆาตกรรมที่ยังไม่สามารถปิดคดีได้ถึง 9 คดี ซึ่งเกิดขึ้นตลอดช่วงหลายทศวรรษหลังการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีน โดยหนึ่งในคดีที่สะเทือนขวัญที่สุดคือคดีข่มขืนและฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองไป๋หยิน มณฑลกานซู่ ซึ่งกินเวลานานเกือบ 30 ปี ก่อนจะสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ในที่สุด

อีกตัวอย่างของฝีมือการสืบสวนของหลิว คือคดีฆาตกรรมเด็กชายสองคนในเมืองเหอหยวน มณฑลกวางตุ้ง เมื่อปี 2558 หลังจากเกิดเหตุ หลิวเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุด้วยตนเองและพบว่าไม่มีหลักฐานสำคัญให้ติดตาม เขาจึงจัดตั้งทีมพิเศษเพื่อวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดและสืบสวนจนสามารถจับกุมคนร้ายได้ภายในเวลาเพียง 5 วัน

หลิวจงอี้ เคยกล่าวว่า เขายึดมั่นในหลักการทำงานที่ว่าการสืบสวนอาชญากรรมต้องมีความรับผิดชอบ เนื่องจากอาชญากรรมหนึ่งครั้งอาจส่งผลกระทบต่อหลายครอบครัวและความมั่นคงของสังคมโดยรวม "ไม่ว่าคดีนั้นจะยากและซับซ้อนแค่ไหน ผมก็พร้อมจะรับผิดชอบเสมอ และไม่เคยหลีกเลี่ยงการพูดความจริง" 

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีในการทำงาน เขาไต่เต้าจากตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจในมณฑลเฮยหลงเจียง สู่ตำแหน่งกัปตันหน่วยสืบสวน และในที่สุดก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในนักสืบที่มีบทบาทสำคัญระดับประเทศ ไม่ว่าในช่วงที่เขาทำงานภาคสนามเป็นเวลา 26 ปี หรือช่วง 6 ปีในกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ เขายังคงรักษามาตรฐานการทำงานที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2562 หลิวนำทีมแถลงข่าวเกี่ยวกับปฏิบัติการช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวไปค้าประเวณีและแต่งงานปลอมกว่า 1,000 ราย โดยเป็นความร่วมมือระหว่างจีน เมียนมา กัมพูชา ลาว ไทย และเวียดนาม ภายในการดำเนินงานเพียงหกเดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัย 1,332 ราย ซึ่งรวมถึงชาวต่างชาติ 262 ราย และช่วยเหลือเด็ก 17 ราย

หนึ่งในคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนจีน คือเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายผู้หญิงในร้านบาร์บีคิวที่เมืองถังซาน มณฑลเหอเป่ย ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศ หลิวในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนอาชญากรรมขณะนั้น ได้เข้ามากำกับดูแลคดีโดยตรง และยืนยันต่อสาธารณชนว่าทางการจีนจะดำเนินคดีอย่างจริงจัง

กัมพูชาสั่งลงทะเบียนโดรนทุกลำในประเทศ หลังพบมือดีเตรียมเทน้ำมันทางอากาศเผาบ้านอดีตนายกฯ

กัมพูชาบังคับผู้ใช้งานโดรนลงทะเบียนที่สถานีตำรวจท้องถิ่น หลังแผนโจมตีบ้านพักของฮุนเซนถูกสกัด

(17 ก.พ. 68) กัมพูชาได้ออกประกาศใหม่ให้ผู้ใช้งานอากาศยานไร้คนขับหรือโดรนที่สามารถบรรทุกวัตถุหนัก 2 กิโลกรัมขึ้นไป ต้องลงทะเบียนที่สถานีตำรวจท้องถิ่น พร้อมแจ้งข้อมูลรายละเอียดของโดรน เช่น ผู้ผลิต รุ่น หมายเลขประจำเครื่อง และข้อมูลเกี่ยวกับการบินต่างๆ หลังจากเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ขัดขวางแผนการใช้โดรนโจมตีบ้านพักของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน ในจังหวัดกันดาล

ประกาศนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความมั่นคงและความปลอดภัยในสังคม โดยผู้ใช้งานต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไปและบินได้เฉพาะในช่วงเวลา 06.00-18.00 น. ส่วนการบินตอนกลางคืนหรือการบินฝูงโดรน 5 ลำขึ้นไปต้องได้รับอนุญาตพิเศษ ผู้ใช้งานยังต้องปฏิบัติตามข้อจำกัดในการบินในพื้นที่สำคัญ เช่น ห้ามบินในรัศมี 3 กิโลเมตรจากท่าอากาศยานพลเรือนและท่าอากาศยานทหาร

การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ฮุนเซนยังเผยแพร่คลิปเสียงบทสนทนาลับของกลุ่มบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง ซึ่งวางแผนโจมตีบ้านพักของเขาด้วยการเทน้ำมันเบนซินจากโดรนเพื่อจุดไฟเผา

ลุยปราบแก๊งคอลไม่ยั้ง จับมือจีนสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

แถลงการณ์จากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมา ระบุว่าจีนและเมียนมาได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเชิงลึกเกี่ยวกับการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างจีนและเมียนมา และร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน เช่น การฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ และการค้ามนุษย์

เมื่อวันศุกร์ (14 ก.พ. 68) หม่าเจีย เอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมา และหลิวจงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ร่วมหารือกับอู ตาน ส่วย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมา และพลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในของเมียนมา ซึ่งฝ่ายเมียนมาเผยว่าให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปราบปรามอาชญากรรมผิดกฎหมาย เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม

ฝ่ายเมียนมานำเสนอมาตรการที่รัฐบาลเมียนมาจะดำเนินการในอนาคตอันใกล้เพื่อปราบการพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม โดยจะเสริมสร้างการประสานงานกับจีนและประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ตลอดจนสำรวจการจัดตั้งกลไกความร่วมมือประจำเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน เช่น การพนันออนไลน์ และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม

ขณะที่ฝ่ายจีนมีมุมมองเชิงบวกต่อความมุ่งมั่นและความพยายามของเมียนมาในการปกป้องความปลอดภัยของพลเมืองจีน พร้อมชี้ว่าการพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

จีนพร้อมดำเนินความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและไทยผ่านการใช้มาตรการรอบด้าน รวมทั้งแก้ไขปัญหาและสาเหตุที่แท้จริง เพื่อร่วมกันยับยั้งอาชญากรรมในประเทศที่เกี่ยวข้อง กำจัดเนื้อร้ายของการพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม และรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค

ตุรกีโวยบริษัทรองเท้า Adidas ใช้หนังหมูทำรองเท้าผ้าใบรุ่นดังไม่แจ้งลูกค้า

(17 ก.พ. 68) ตุรกีได้สั่งปรับ Adidas บริษัทอุปกรณ์กีฬายักษ์ใหญ่จากเยอรมนีเป็นเงินกว่า 15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5 แสนบ้าน เนื่องจากไม่แจ้งให้ลูกค้าทราบว่าโมเดลรองเท้าผ้าใบรุ่น "Samba OG" ที่เป็นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมของบริษัทมีการใช้หนังหมู

หน่วยงานกำกับดูแลการโฆษณาของตุรกีได้วิจารณ์ Adidas ที่อธิบายรองเท้า "Samba OG" ซึ่งได้รับความนิยมจากเหล่าคนดังอย่าง Kendall Jenner และ Bella Hadid ว่าทำจาก "หนังแท้" โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นหนังหมู

ในคำตัดสิน ระบุว่า การใช้วัสดุที่ "ขัดต่อความรู้สึกทางศาสนาของคนส่วนใหญ่ในสังคมต้องได้รับการระบุอย่างชัดเจน" ในการโฆษณาและคำอธิบายผลิตภัณฑ์ เป็นเหตุให้หน่วยงานดังกล่าวได้ออกปรับบริษัทเป็นเงิน 550,059 ลีราตุรกี (ประมาณ 15,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

ทางด้าน Adidas ออกมายอมรับว่าขณะนี้ได้ทำการ ปรับปรุงข้อมูลสเปคของสินค้าในเว็บไซต์โดยไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับเงิน

"หลังจากได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับคำอธิบายผลิตภัณฑ์ในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของเราที่ตุรกี เราได้อัปเดตข้อมูลวัสดุของผลิตภัณฑ์ตามนั้น" บริษัทกล่าวในแถลงการณ์สั้นๆ

ในปี 2020 สำนักงานประธานาธิบดีด้านศาสนาของตุรกีได้ตัดสินว่า "การผลิตรองเท้าหรือเสื้อผ้าที่ทำจากหนังหมูหรือขนหมูนั้นไม่อนุญาต"

"เกือบทุกท่านที่เป็นนักวิชาการมุสลิมยอมรับว่า หนังหมูไม่สามารถทำให้บริสุทธิ์ได้ด้วยการฟอกหรือกระบวนการอื่นๆ" คำตัดสินระบุ

ไต้หวันขึ้นบัญชีไทย ประเทศกลุ่มเสี่ยง เข้าลิสต์เดียวกับกัมพูชา-เมียนมา-ลาว

(17 ก.พ. 68) ไต้หวันเพิ่มไทย เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา และลาว ในรายชื่อจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงสูง หลังพบเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการฉ้อโกงออนไลน์

กระทรวงมหาดไทยไต้หวันประกาศเมื่อวันศุกร์ว่า นักเดินทางที่มุ่งหน้าไปยังประเทศเหล่านี้จะได้รับคำเตือนผ่านตั๋วเครื่องบิน พร้อมแนะนำให้ดาวน์โหลดแอป "คู่มือความปลอดภัยในการเดินทาง" เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง  

รายงานจากสื่อไต้หวัน ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2555 ชาวไต้หวันจำนวนมากถูกหลอกให้ทำงานในเครือข่ายฉ้อโกงในกัมพูชา ซึ่งภายหลังได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แก๊งอาชญากรรมเหล่านี้ได้ย้ายฐานไปยังเมียนมา ลาว และประเทศใกล้เคียง ส่งผลให้ชาวไต้หวันจำนวนไม่น้อยตกเป็นเหยื่อ ถูกกักขัง หรือบังคับให้ทำงานในขบวนการฉ้อโกง บางรายยังติดอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา  

รัฐบาลไต้หวันเพิ่มมาตรการเฝ้าระวัง โดยร่วมมือกับสายการบินต่างๆ เพื่อเพิ่มข้อความเตือนเกี่ยวกับการฉ้อโกงบนตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงแจกจ่ายบัตรข้อมูลที่สนามบิน หวังลดจำนวนเหยื่อที่อาจตกเป็นเป้าหมาย  

นอกจากนี้ ไต้หวันยังเดินหน้าช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยอาศัยพระราชบัญญัติต่อต้านการค้ามนุษย์ พร้อมจับมือกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และสมาคมธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อให้สามารถกลับประเทศได้อย่างปลอดภัย  

มาตรการเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของไต้หวันในการปกป้องพลเมืองจากขบวนการฉ้อโกงที่แพร่ระบาดในภูมิภาค  

สส.รีพับลิกันดันวันเกิด 'โดนัลด์ ทรัมป์' เป็นวันหยุดราชการ อ้างยิ่งใหญ่เท่า 'จอร์จ วอชิงตัน'

(17 ก.พ. 68) คลอเดีย เทนนีย์ สส.พรรครีพับลิกัน จากรัฐนิวยอร์ก ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติที่ชื่อว่า “Trump’s Birthday and Flag Day Holiday Establishment Act” เพื่อให้วันคล้ายวันเกิดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเกิดวันที่ 14 มิถุนายน 1946 ได้รับการประกาศเป็นวันหยุดราชการถาวร โดยวันที่ 14 มิถุนายนนี้ยังตรงกับวันธงชาติสหรัฐฯ ซึ่งระลึกถึงการรับเอาธงชาติอเมริกันเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 1777 อีกด้วย

ในข่าวแถลงการณ์ เทนนีย์ระบุว่า “ไม่มีประธานาธิบดีสมัยใหม่คนไหนที่มีผลกระทบต่อประเทศเรามากไปกว่าโดนัลด์ ทรัมป์” เธอย้ำว่าในฐานะที่ทรัมป์เป็นทั้งประธานาธิบดีคนที่ 45 และ 47 ของสหรัฐฯ เขาได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับความวุ่นวายทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาสัญญาสันติภาพอับราฮัมอคคอร์ด หรือการผลักดันมาตรการลดภาษีที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา

นอกจากนี้ เทนนีย์ยังเปรียบเทียบทรัมป์กับจอร์จ วอชิงตัน โดยชี้ให้เห็นว่าทรัมป์ควรได้รับเกียรติให้ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ที่มีวันคล้ายวันเกิดได้รับการเฉลิมฉลองในฐานะวันหยุดราชการ โดยที่วันคล้ายวันเกิดของวอชิงตัน ซึ่งรู้จักกันในนาม Presidents’ Day ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน

“ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่ประเทศของเรากำลังจะฉลองครบรอบ 250 ปี เราควรสร้างวันหยุดราชการใหม่เพื่อยกย่องธงชาติอเมริกันและคุณค่าที่มันเป็นตัวแทน ด้วยการกำหนดวันเกิดทรัมป์และวันธงชาติเป็นวันหยุดราชการ เราจะสามารถจารึกผลงานอันยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีทรัมป์และความสำคัญของธงชาติไว้ในกฎหมายอย่างถาวร” เทนนีย์กล่าวสรุป

อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ถูกปรากฎในรหัส H.R. 1395 บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสภาคองเกรสสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาต่อไป

เผยตัวจริงของ 'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' ปริศนา 137 ปี คนร้ายตัวจริงคือ 'อารอน คอสมินสกี'

(17 ก.พ. 68) หนึ่งในคดีฆาตกรรมที่มืดดำมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกอย่างคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญของ 'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' ที่ทำให้กรุงลอนดอนหวาดกลัวมากว่า 137 ปี อาจถูกไขกระจ่างแล้ว หลังจากมีความคืบหน้าครั้งใหญ่ในคดีนี้ 

'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' คือฆาตรกรต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับการข่มขืนและฆาตกรรมหญิงอย่างน้อย 5 คน ซึ่งถูกเรียกว่า 'Canonical Five' แต่มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจก่อเหตุเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 6 คดี เหยื่อทั้ง 5 ราย ได้แก่ แมรี นิโคลส์ (43 ปี), แอนนี แชปแมน (47 ปี), อลิซาเบธ สไตรด์ (44 ปี), แคทเธอรีน เอดโดวส์ (46 ปี) และแมรี เจน เคลลี (25 ปี) ซึ่งถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมระหว่างเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ปี 1888

สิ่งที่ทำให้คดีนี้กลายเป็นปริศนามายาวนานคือ ลักษณะอำมหิตของฆาตกร ซึ่งในบางกรณีได้ผ่าตัดเอาอวัยวะภายในของเหยื่อออกไป นำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่า ฆาตกรอาจมีความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์หรือศัลยกรรม การค้นหาตัวตนของอาชญากรที่โหดร้ายรายนี้เป็นปริศนาที่ทำให้ตำรวจ นักประวัติศาสตร์ และนักสืบอาชญากรรมต่างพยายามไขคำตอบมาโดยตลอด

แต่ล่าสุด นักวิจัยด้าน 'Ripperology' และนักเขียนชาวอังกฤษ รัสเซลล์ เอ็ดเวิร์ดส์ อ้างว่าเขาสามารถเปิดเผยตัวจริงของฆาตกรรายนี้ได้แล้ว โดยอาศัยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จากผ้าคลุมไหล่ที่เป็นของแคทเธอรีน เอดโดวส์ หนึ่งในเหยื่อของ 'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' ซึ่งเขาซื้อมาในปี 2007 ผ้าชิ้นนี้มีคราบเลือดและคราบอสุจิติดอยู่ ซึ่งต่อมาได้ถูกนำไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์และพบดีเอ็นเอจากสองบุคคลที่แตกต่างกัน

ดีเอ็นเอหนึ่งตรงกับทายาทของเหยื่อหญิง ส่วนอีกดีเอ็นเอหนึ่งตรงกับทายาทของผู้อพยพชาวโปแลนด์ ซึ่งขณะเกิดเหตุมีอายุราว 23 ปี เมื่อทราบชื่อนี้ เอ็ดเวิร์ดส์จึงสามารถระบุตัวตนของฆาตกรได้ว่าเป็น 'อารอน คอสมินสกี' ช่างตัดผมผู้อพยพชาวโปแลนด์ที่อาศัยอยู่ในย่านไวท์แชปเพล ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยจากก่อนหน้านี้

"เมื่อพิจารณาว่าดีเอ็นเอของเขาอยู่บนผ้าคลุมไหล่ที่พบในที่เกิดเหตุ และเขาถูกระบุชื่อมาก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยคิดว่าใครคนอื่นจะเป็นแจ็ค เดอะ ริปเปอร์เลย" เอ็ดเวิร์ดส์กล่าวกับ news.com.au

เขายังเผยว่ากระบวนการตรวจสอบดีเอ็นเอใช้เวลานานถึง 4 ปี โดยต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย รวมถึงการปนเปื้อนของหลักฐาน อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่าดีเอ็นเอบนผ้าคลุมไหล่ตรงกับทายาทของผู้ต้องสงสัย เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างที่สุด

"มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผม เมื่อดีเอ็นเอจากเลือดบนผ้าคลุมไหล่ตรงกับทายาทสายตรงของเหยื่อ และเมื่อเราตรวจสอบคราบอสุจิแล้วพบว่าตรงกับผู้ต้องสงสัย ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าเราได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของ 'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' แล้ว"

แม้จะมีการเปิดเผยนี้ แต่การไขปริศนา 'แจ็ค เดอะ ริปเปอร์' ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางดีเอ็นเอนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สุดในการค้นหาความจริงของหนึ่งในคดีฆาตกรรมที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์อาชญากรรมโลก

‘Apple’ เลือกใช้ AI ของ 'อาลีบาบา' หวังเพิ่มทางรอดธุรกิจ ในสมรภูมิ!! 'สงครามการค้า' ระหว่าง ‘สหรัฐฯ - จีน’

(16 ก.พ. 68) แอปเปิล (Apple) กำลังพยายามปรับโฉมใน “จีน” ครั้งใหญ่ด้วย เทคโนโลยี AI ที่จะเปิดตัวภายในกลางปี 2568 เพื่อเพิ่มยอดขายใจตลาดสำคัญ เดิมพันครั้งใหญ่ในการเพิ่มยอดขาย แต่ Apple ต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการเปิดตัวฟีเจอร์ดังกล่าวในประเทศจีน เนื่องจากกฎระเบียบของรัฐบาลจีนไม่อนุญาตให้ Apple นำความร่วมมือกับ OpenAI ผู้ผลิต ChatGPT เข้ามาในประเทศได้

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา “โจ ไช่” ประธานของอาลีบาบา (Alibaba) เปิดเผยว่า บริษัทจะร่วมมือกับ Apple ในด้านเทคโนโลยี AI สำหรับ iPhone ที่จำหน่ายในประเทศจีน 

ถึงแม้ความร่วมมือกับ Alibaba จะช่วยให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายการเปิดตัว Apple Intelligence ในประเทศจีนมากขึ้น แต่ก็ยังมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบบางประการที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้ อาจเป็นเหตุผลให้ Apple Intelligence ซึ่งเป็น AI ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2566 จึงยังไม่ได้เปิดตัวสู่ตลาดต่างประเทศที่สำคัญที่สุดของ Apple

ก่อนหน้านี้ Apple ทดสอบโมเดลและหารือถึงความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำด้าน AI ของจีนหลายราย เช่น Baidu, ByteDance, Moonshot, Zhipu และ Tencent รวมถึงทดสอบโมเดลของ DeepSeek ด้วยเช่นกัน  

หลังจากที่ประธานาธิบดี “โดนัล ทรัมป์” ได้ประกาศมาตรการเก็บภาษีศุลกากรรอบใหม่กับจีน 10% ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ Apple ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่า Apple จะได้รับการยกเว้นจากภาษีศุลกากรครั้งนี้หรือไม่ ในขณะเดียวกันทางการจีนกำลังดำเนินการตรวจสอบค่าธรรมเนียมและนโยบายการดำเนินงานต่างๆ ของ App Store

สิ่งที่สร้างความยุ่งยากมากกว่านั้นคือ การที่ Apple ถูกดึงเข้ามาอยู่ในสถานะผู้ต่อรองในสงครามการค้าโดยไม่เต็มใจ โดยมีรายงานว่า Apple ถูกรวมอยู่ในรายชื่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ที่อาจถูกจับตามองจากทางการจีน ในฐานะส่วนหนึ่งของการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลทรัมป์

หลังจากที่สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 10% ไม่นาน ปักกิ่งได้ตอบโต้ด้วยการเปิดการสอบสวน Google ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Alphabet Inc. แม้การสอบสวนดังกล่าวจะถือเป็นเพียงการส่งสัญญาณเตือนเท่านั้น เนื่องจาก Google มีธุรกิจในจีนเหลืออยู่น้อยมาก แต่ในกรณีของ Apple นั้นแตกต่างออกไป เพราะบริษัทยังคงพึ่งพารายได้ส่วนใหญ่จากตลาดผู้บริโภคในจีน

เมื่อปีที่แล้ว หน่วยงานกำกับดูแลชั้นนำของจีนได้ระบุกับ Financial Times ว่า Apple จำเป็นต้องร่วมมือกับบริษัทจีนเพื่อให้สามารถผ่านขั้นตอนการอนุมัติได้ง่ายยิ่งขึ้น 

การผนึกกำลังด้าน AI ระหว่าง Alibaba และ Apple เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับ Apple ซึ่งกำลังเผชิญกับยอดขาย iPhone ที่ลดลงในประเทศจีน ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Huawei

นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมชี้ให้เห็นว่า การขาดคุณสมบัติ AI ขั้นสูง ซึ่งเป็นจุดขายที่สำคัญของสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุด เป็นจุดอ่อนที่สำคัญสำหรับ Apple ในตลาดจีน

Apple สูญเสียตำแหน่งผู้นำในตลาดสมาร์ตโฟนจีนให้กับผู้ผลิตในประเทศ แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดจีน และความท้าทายที่ Apple กำลังเผชิญอยู่ โดย Canalys พบว่ายอดขาย iPhone ในประเทศจีนลดลงถึง 17% ในปี 2024 

อีกหนึ่งความท้าทายที่ Apple เผชิญคือ การที่ฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ จะสามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์ของ Apple หรือไม่ เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่า Apple Intelligence จะช่วยส่งเสริมให้บริษัทประสบความสำเร็จในประเทศจีนในช่วงที่ยอดขายสมาร์ทโฟนของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนในประเทศ เช่น Huawei, Xiaomi และ Vivo

Ethan Qi รองผู้อำนวยการบริษัท Counterpoint กล่าวว่า ตลาดสมาร์ทโฟนของจีนมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 โดยยอดขายโดยรวมลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากผู้บริโภค “ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น” และหลังจากมีข่าวลือเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่าง Apple และ Alibaba นักวิเคราะห์จาก Jefferies ระบุว่า ข้อตกลงนี้ไม่น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขาย iPhone 17 ในประเทศจีนได้

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช้ครั้งแรกที่ทั้ง 2 บริษัททำธุรกิจร่วมกัน ในปี 2557 ทิม คุก CEO ของ Apple ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการ "แต่งงาน" ระหว่าง Apple Pay และแพลตฟอร์มการชำระเงินของ Alibaba อย่าง Alipay โดยแสดงความชื่นชมต่อผู้ก่อตั้งบริษัทอย่าง Jack Ma เขาบอกว่าเขาชอบทำงานร่วมกับ "คนที่ผลักดันเรา และเราก็ชอบผลักดันพวกเขา"

‘รัฐบาลจีน’ ดึง ‘แจ๊ก หม่า - เหลียง เหวินเฟิง’ ร่วมประชุม ส่งสัญญาณ!! รัฐหนุนภาคเอกชน

(15 ก.พ. 68) จีนเชิญแจ๊ก หม่า (Jack Ma) ผู้ร่วมก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) และเหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้งดีปซีก (DeepSeek) เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารระดับสูงที่อาจจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ตารางนัดหมายการประชุมยังถูกปกปิดเป็นความลับและยังไม่มีความชัดเจนจนถึงปัจจุบัน แต่การพบปะกันระหว่างสี จิ้นผิง และแจ๊ก หม่า ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะมีการสนับสนุนภาคเอกชนมากขึ้น หลังปล่อยให้เผชิญความระส่ำระสายมานานหลายปี

แจ๊ก หม่า นักธุรกิจรายใหญ่ของจีนผู้ซึ่งกล้าพูดตรงไปตรงมา กลายเป็นเหยื่อรายสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากการปราบปรามภาคอสังหาฯเมื่อปี 2020 ของสี จิ้นผิง เมื่อรัฐบาลจีนช็อกผู้คนทั่วโลกด้วยการสกัดแผน IPO ของแอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) ฟินเทคยักษ์ใหญ่ของแจ๊ก หม่า ซึ่งทำให้แจ๊ก หม่า สูญเงิน 35,000 ล้านดอลลาร์ในพริบตา และต้องหายจากหน้าสื่อไปหลายเดือน 

ทั้งนี้ สารสนเทศของคณะมุขมนตรีจีน (State Council Information Office) ไม่ได้ตอบสนองต่อคำถามเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าวจากทางรอยเตอร์ เช่นเดียวกับตัวแทนของดีปซีกและอาลีบาบา

ปัจจุบัน รัฐบาลจีนดำเนินวิธีการที่ชวนวิวาทน้อยลง หลังเศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวและบริษัทต่าง ๆ อย่างอาลีบาบาปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางการผลักดันทางปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของสี จิ้นผิง

ขณะที่ เหลียง เหวินเฟิง กลายเป็นผู้นำด้านเอไอเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมวงประชุมเปิดระหว่างผู้ประกอบการกับผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศอย่าง หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ในวันที่ 20 มกราคม 2025 ด้านแจ๊ก หม่า ก็เริ่มค่อย ๆ ปรากฏตัวในที่สาธารณะมากขึ้น ได้มอบสุนทรพจน์เกี่ยวกับเอไอแก่พนักงานแอนท์ กรุ๊ป เมื่อเดือนธันวาคม 2024

‘สหรัฐฯ’ หยุดจ่ายเงิน!! ‘BBC’ หันมาชม!! ‘จีน’

(15 ก.พ. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘ลึกชัดกับผิงผิง’ โพสต์ข้อความระบุว่า …

หลายวันก่อน อีลอน มัสก์ปิดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID)โดยตรง มิเพียงแต่เลิกจ้างพนักงานทั่วโลกจำนวนกว่าหมื่นคนเท่านั้น และยังตัดงบประมาณที่มียอดกว่า 50,000ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี 

เรื่องนี้ทำให้ BBC โกรธมาก และหันมาชมจีนอย่างเต็มที่ ทีมงานของอีลอน มัสก์เปิดโปงว่าแต่ละปี สื่อจำนวนมากของสหรัฐอเมริกาและยุโรปล้วนได้เงินไม่น้อยจาก USAID ส่วน BBC ที่บอกว่าตัวเองเป็นสื่ออิสระและเป็นกลางนั้น ก็มีค่าตอบแทนเช่นกัน โดยแต่ละปีจะได้รับจากUSAIDหลายสิบล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อ 1 เดือนก่อน สารคดีของ BBC ส่วนใหญ่บอกว่าจีนแย่แล้ว จีนจะพังแล้ว แต่หลังจากวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่อีลอน มัสก์ตัดงบฯ แล้ว ทำให้ BBC โกรธมาก จึงเร่งพนักงานผลิตสารคดีเรื่อง 'โครงการเมดอินไชน่า 2025' ภายในเวลาไม่กี่วัน และออกอากาศด้วย 

สารคดีเรื่องนี้ชมจีนอย่างเต็มที่ อย่างเช่นโดรนทันสมัยนำหน้าของจีน รถยนต์พลังงานใหม่ของ BYD โครงการโซลาร์เซลล์ และ Deepseek เป็นต้น โดยไม่มีคำตำหนิใส่ร้ายใด ๆ มีแต่พูดเรื่องดี ๆ เท่านั้น 

สุดท้าย พิธีกรได้คำสรุปว่า 'โครงการเมดอินไชน่า 2025' ของจีนประสบความสำเร็จอย่างบริบูรณ์ สาเหตุคือ ระบบของจีน ความอดทนและการวางแผนระยะยาวของรัฐบาลจีน 

BBC ชอบรายงานจีนในเชิงลบ กระทั่งสร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับจีน อย่างเช่นเหตุการณ์ผ้าฝ้ายซินเจียง แต่หลังจากอีลอน มัสก์ตัดงบฯ แล้ว BBC เปลี่ยนท่าทีจากผู้ต้านจีนมาเป็นผู้สนิทกับจีนทันที 

ดิฉันคิดว่า BBC ทำสารคดีดังกล่าว คงไม่ใช่สนิทกับจีนจริง ๆ แต่เป็นการเตือนสหรัฐฯ ว่า ถ้าไม่จ่ายเงินต่อ วันหลังก็จะไม่ทำตามคำสั่งอีกแล้ว ทีมงานของอีลอน มัสก์โพสต์ข้อความและยืนยันว่า USAIDให้เงินสนับสนุนแก่ผู้สื่อข่าวจำนวนกว่า 6,200 คน สื่อ 707 แห่ง และองค์การภาคเอกชน 279 แห่งของ 30 ประเทศ

TikTokกลับมาแล้ว!! ดาวน์โหลดได้อีกครั้งในสหรัฐฯ หลังถูกถอดออกจากแอปสโตร์

(14 ก.พ.68) หลังจากที่ถูกถอดออกจากแอปสโตร์ของแอปเปิ้ล (Apple) และเพลย์สโตร์ของกูเกิล (Google) เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ติ๊กต๊อก (TikTok) ได้กลับมาพร้อมให้ดาวน์โหลดอีกครั้งในสหรัฐอเมริกา ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่แอปถูกถอดออกตามการบังคับใช้กฎหมายห้ามแอปจากจีนที่ได้รับการอนุมัติเมื่อปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม อนาคตของติ๊กต๊อกยังไม่ชัดเจน เนื่องจากกฎหมายที่บังคับให้ไบต์แดนซ์ (ByteDance) เจ้าของแอปต้องขายกิจการเพื่อตอบสนองข้อกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา

แต่แล้วการกลับมาของติ๊กต๊อกเกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเลื่อนการบังคับใช้คำสั่งห้ามดังกล่าว โดยในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งเป็นวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามขยายเวลาบังคับใช้คำสั่งดังกล่าวออกไปอีก 75 วัน จนถึงวันที่ 5 เมษายน

แม้ติ๊กต๊อกจะถูกถอดออกจากแพลตฟอร์มดิจิทัลทั้งสองแห่งนานเกือบเดือน แต่ข้อมูลจากคลาวด์แฟลร์ (Cloudflare Radar) ระบุว่าแอปสามารถฟื้นคืนยอดการเข้าชมได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้

จีนจี้ทรัมป์ลดงบกลาโหม ตามนโยบาย America First ก่อนจะมาบีบจีน-รัสเซีย ให้ลดงบประมาณทางทหาร

(14 ก.พ.68) กระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวว่า สหรัฐฯ ควรยึดหลัก 'อเมริกาเป็นอันดับแรก' และควรเป็นผู้นำในการลดการใช้จ่ายด้านการทหาร โดยตั้งตนเป็นตัวอย่างในการลดงบประมาณทางทหาร

ก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าเขาวางแผนจะพบกับผู้นำของจีนและรัสเซียเพื่อหารือเกี่ยวกับการลดความตึงเครียดทางการทหาร โดยเฉพาะในเรื่องของอาวุธนิวเคลียร์

เรื่องดังกล่าวส่งผลให้กัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวกับผู้สื่อข่าว ว่า "เนื่องจากสหรัฐฯ ยึดหลัก 'อเมริกาเป็นอันดับแรก' ควรตั้งตนเป็นตัวอย่างและเริ่มลดการใช้จ่ายด้านการทหารก่อน"

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศของจีน "โปร่งใส เปิดเผย มีเหตุผล และพอเหมาะ" โดยเมื่อเทียบกับมหาอำนาจทางทหารเช่นสหรัฐฯ การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศของจีน 'ค่อนข้างต่ำ' ไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์ของ GDP ส่วนแบ่งของงบประมาณรัฐบาล หรือการใช้จ่ายด้านการทหารต่อหัว

แม้ว่าจีนจะมีนโยบายทางทหารที่เน้นการป้องกัน และไม่เข้าร่วมในความขัดแย้งใดๆ แต่ก็ยังคงเพิ่มงบประมาณการป้องกันประเทศทุกปีอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเพิ่มขึ้น 7.2% โดยมีมูลค่ารวม 220 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2024 ก็เพิ่มขึ้นอีก 7.2% ทำให้มูลค่ารวมอยู่ที่ 231.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ งบประมาณการป้องกันประเทศที่เสนอสำหรับปี 2025 จะถูกเปิดเผยในวันที่ 5 มีนาคม เมื่อเปิดการประชุมสภานิติบัญญัติประจำปี

ทรัมป์สั่งยุบกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ถามกลับ มีไว้ทำไมหากอันดับการศึกษาตกต่ำ

เมื่อวันที่ (12 ก.พ.68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ นั้นเป็นแหล่งรวมเรื่องหลอกลวงครั้งใหญ่ และต้องการยุบกระทรวงฯ ทันที

ทรัมป์ระบุว่าจากการจัดอันดับระบบการศึกษา 40 ประเทศชั้นนำทั่วโลก สหรัฐฯ ติดอยู่ในอันดับที่ 40 แต่กลับครองอันดับที่ 1 ในแง่ต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับนักเรียน

ก่อนหน้านี้ทรัมป์อ้างว่าเขาต้องการปิดกระทรวงฯ เพื่อคืนหน้าที่ความรับผิดด้านการศึกษาให้แต่ละรัฐดูแล และเคยเสนอให้ปิดกระทรวงฯ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลดขนาดและหน้าที่ของรัฐบาลกลาง

สื่อสหรัฐฯ รายงานว่ากระทรวงฯ มีพนักงานอยู่ 4,245 คน และใช้จ่ายเงิน 2.51 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.49 ล้านล้านบาท) ในปีล่าสุด ซึ่งการปิดกระทรวงฯ ทันทีอาจส่งผลกระทบต่อเงินช่วยเหลือนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมปลายหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเงินช่วยเหลือค่าเล่าเรียนสำหรับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย

ช่วงสัปดาห์หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ทรัมป์ได้ผลักดันการปฏิรูปครั้งใหญ่ภายในรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงเร่งลดจำนวนพนักงานของรัฐบาลกลางและอนุญาตให้กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล ที่นำโดยอีลอน มัสก์ เข้าถึงระบบการชำระเงินสำคัญของหลายหน่วยงาน

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังพยายามจะปิดอีกหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) โดยอ้างว่าหน่วยงานเหล่านี้เต็มไปด้วยการฉ้อโกงร้ายแรง ทว่าการปิดสำนักงานฯ และกระทรวงศึกษาธิการนั้นจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสภากองเกรส

เม็กซิโกจ่อฟ้อง Google ปมเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' ปัดตกคำสั่งจากทรัมป์ เรียกร้องยกเลิกทันที

(14 ก.พ.68) นางเคลาเดีย ไชน์บัม ประธานาธิบดีเม็กซิโก เปิดเผยว่า รัฐบาลของตนอาจดำเนินการฟ้องร้องคดีแพ่งต่อบริษัท Google หากจำเป็น หลังจากที่ Google เปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' ในบริการแผนที่ของตน

ไชน์บัมกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นความผิดพลาด และเป็นการทำตามคำสั่งของฝ่ายบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ แม้ว่าเธอจะได้ส่งจดหมายถึง Google เมื่อเดือนที่แล้วเพื่อแสดงความไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้ โดยฮวน รามอน เดอ ลา ฟวนเต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเม็กซิโก ก็ได้ส่งจดหมายอีกฉบับเพื่อยืนยันว่าอ่าวเม็กซิโกไม่สามารถถูกเรียกใหม่ว่า 'อ่าวอเมริกา'

ในขณะที่แอป Google Maps ได้ปรับเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น 'อ่าวอเมริกา' สำหรับผู้ใช้งานในสหรัฐฯ แต่ยังคงใช้ชื่อเดิมสำหรับผู้ใช้งานในเม็กซิโก ส่วนผู้ใช้ในประเทศอื่น ๆ จะเห็นทั้งสองชื่อ โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ระบบข้อมูลชื่อทางภูมิศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ปรับปรุงชื่อดังกล่าวตามคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์

ขณะนี้ ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลเม็กซิโกกำลังพิจารณาข้อกฎหมายในเรื่องนี้ โดยไชน์บัมได้ย้ำว่า Google เป็นเพียงบริษัทเอกชนที่ให้บริการแผนที่ ไม่ใช่องค์กรระหว่างประเทศที่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับชื่อสถานที่ และต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top