Friday, 26 April 2024
WORLD

'จีน' สั่งกวาดล้างเหล่าอินฟลูฯ 'สร้างข่าวลือ-ปั่นคอนเทนต์ลวง' ลั่น!! โลกโซเชียลไม่อยู่เหนือกฎหมาย ทำผิด ก็มีสิทธิติดคุก

รัฐบาลมณฑลหังโจว ประเทศจีนจัดหนัก สั่งแบนอินฟลูเอ็นเซอร์สาว ดาวโซเชียลคนดัง 'สู เจียอี๋' ผู้ใช้ชื่อบัญชีในโลกออนไลน์ว่า 'Thurman Maoyibei' ที่มีผู้ติดตามถึง 40 ล้านคน แต่ตอนนี้ถูกแบนจากทุกแพลตฟอร์มโซเชียลที่เธอใช้ ทั้ง Tiktok, Weibo และ Wechat ด้วยความผิดฐาน 'สร้างความปั่นป่วนในสังคม' และมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีได้ทั้งจำและปรับ 

'สู เจียอี๋' หรือ 'Thurman Maoyibei' เป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชัน ความงาม และไลฟ์สไตล์คนดังใน Douyin หรือ Tiktok ของจีน ที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก 

แต่ราวเดือนกุมภาพันธ์ เธอได้โพสต์คลิปขณะกำลังเที่ยวในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่ามีบริกรเข้ามาทัก บอกว่าพบสมุดการบ้าน 2 เล่มที่น่าจะเป็นของเด็กจีน ลืมไว้ในห้องน้ำที่ร้าน อยากให้ตามหาเจ้าของเพราะเห็นว่าเธอเป็นคนจีนเหมือนกัน

จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นภารกิจตามหาเจ้าของการบ้านของ Thurman Maoyibei เมื่อเธอไลฟ์ผ่านโซเชียลที่มีผู้ติดตาม 40 ล้านคน ตามหา 'ชิน หลาง' ชั้น ป.1 ห้อง 8 ที่ปรากฏชื่อบนสมุดการบ้านที่ลืมไกลถึงกรุงปารีสให้มารับสมุดคืนได้ที่เธอ จนกลายเป็นไวรัลอย่างกว้างขวาง และมีผู้แอบอ้างว่าเป็นญาติ หรือ คนรู้จัก ชิน หลาง มากมายในโลกโซเชียลจีน

หลังจากผ่านไปไม่นาน มีการตรวจสอบข้อมูลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองของจีน ย้อนไปถึงช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ก็ไม่พบว่ามีเด็กในช่วงวัยประถมที่ชื่อ ชิน หลาง เดินทางไปต่างประเทศแต่อย่างใด 

และคดีก็พลิกทันที จน สู เจียอี๋ ต้องออกมายอมรับว่าเธอกุเรื่อง ชิน หลาง ขึ้นมา เพื่อสร้างคอนเทนด์ในช่องของเธอ โดยสมุดการบ้านนี้เธอซื้อมาทางออนไลน์ และมี 'เสว่' เพื่อนร่วมทีมอีกคนเขียนบทเรื่องราวการบ้านหายในฝรั่งเศสให้ และช่วยกันปั่นให้เกิดกระแสทั้งใน Douyin และ Weibo จนมียอดแชร์นับล้านวิว

หลังความแตก สู เจียอี๋ ออกมากล่าวขอโทษสังคมผ่านทางโซเชียล ด้วยความ 'รู้เท่าไม่ถึงการณ์' แค่ต้องการเพียงสร้างกระแสให้ช่องทางออนไลน์ของเธอเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น ซึ่งเธอสำนึกแล้ว ต้องการให้การกระทำของเธอเป็นกรณีตัวอย่าง และต่อไปเธอสัญญาว่าจะทำแต่คอนเทนด์เพื่อสร้างสรรค์สังคมคุณภาพ

แต่ไม่ทันแล้ว เพราะวันนี้รัฐบาลหังโจวได้สั่งแบนบัญชีออนไลน์ของ สู เจียอี๋ ในทุกแพลตฟอร์ม สูญเสียผู้ติดตามหลายสิบล้านในพริบตา และมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีในข้อหาสร้างความปั่นป่วนในสังคมด้วย

คดีของ สู เจียอี๋ เป็นอีกหนึ่งในหลายหมื่นคดี ที่กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้ออกมาประกาศจะกวาดล้างเหล่าบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่กุข่าวเท็จ ปั่นข่าวลือ เพื่อดึงกระแสให้ช่องทางออนไลน์ของตัวเอง และถือเป็นภัยสังคมอย่างหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็ตาม

และตั้งแต่ธันวาคม 2566 เป็นต้นมา มีการจับปรับเจ้ากรมข่าวลือที่ปล่อยข่าวเท็จในเน็ตไปแล้วมากกว่า 10,000 ราย และถูกจำคุกอีกกว่า 1,500 ราย 

รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะย้ำว่า โลกโซเชียลไม่ใช้พื้นที่ที่อยู่นอกกฏหมาย ชาวเน็ตจีนจึงควรตระหนักถึงกฏ ระเบียบ ในการใช้คำพูด หรือแสดงพฤติกรรมในโซเชียลให้จงหนัก เพราะรัฐบาลตามจับได้ และปรับจริง ติดคุกจริง แน่นอน

ส่วนชาวโซเชียล จำเป็นต้องมีสติในการเสพข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ ควรเช็กให้ชัวร์ก่อนแชร์ จะได้ไม่เจ็บใจทีหลัง

'กัมพูชา' ขอเอี่ยว!! ต้นกำเนิด 'ตุ๊กตาลาบูบู้' แรงบันดาลใจมาจาก 'กีรติมุกคา' ของเขมร

(19 เม.ย. 67) เรียกว่าเคลมทุกอย่างบนโลกนี้แล้ว! เมื่อ ‘ชาวกัมพูชา’ หรือ ‘ชาวเขมร’ ประกาศเคลม ‘ลาบูบู้’ (Labubu) อาร์ตทอยสุดฮิต คาแร็กเตอร์ปีศาจตัวจิ๋ว ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้เป็นของกัมพูชา

โดย ลาบูบู้ (Labubu) ได้รับการออกแบบจาก ‘Kasing Lung’ ศิลปินชื่อดังชาวฮ่องกง ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายในยุโรปผสมผสานกับเรื่องราวของเอลฟ์ แต่งานนี้ กัมพูชา ได้ออกมาเคลมว่าเจ้าลาบูบู้นี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากประเทศของตัวเอง

ซึ่งเทียบลาบูบู้กับ ‘กีรติมุกคา’ ของกัมพูชา โดยเป็นปีศาจที่สั่งให้กลืนกินตัวเอง หน้าสัตว์
ประหลาดดุร้ายกลืนกินมีเขี้ยวใหญ่และปากอ้า พร้อมเทียบภาพให้ดูกันชัด ๆ ว่า ใบหน้าของกีรติมุกคานั้นคล้ายกับเจ้าลาบูบู้

อีกทั้ง เมื่อไม่นานมานี้ มีมือดีแอบเข้าไปเปลี่ยนข้อมูลในวิกิพีเดียของ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’
หรือ ลิซ่า BLACKPINK ว่า เกิดจาก ‘พนมเปญ กัมพูชา’ ไม่ใช่ประเทศไทย ซึ่งขณะนี้คนไทยได้เข้าไปแก้ไขข้อมูลเรียบร้อยแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น กัมพูชา มักจะเคลมของต่าง ๆ ว่ามาจากประเทศตัวเองอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นของไทย และประเทศอื่น ๆ รวมถึงลายกระเป๋าแบรนด์ดัง อย่าง ‘LOUIS VUITION’ ก็ยังเคยถูกเคลมมาแล้วด้วย

‘โตโยต้า’ เรียกคืนรถรุ่น Prius กว่า 1.3 แสนคัน ในญี่ปุ่น หลังพบความเสี่ยง ‘ประตู’ อาจเปิดอ้าระหว่างขับขี่

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป เปิดเผยการเรียกคืนรถยนต์ไฮบริด รุ่นพรีอุส (Prius) ในญี่ปุ่น จำนวน 135,305 คัน เนื่องจากพบความเสี่ยงว่าประตูอาจเปิดอ้าออกระหว่างขับขี่

ทั้งนี้ รายงานการเรียกคืนรถยนต์ที่โตโยต้ายื่นต่อกระทรวงคมนาคมของญี่ปุ่น เมื่อวันพุธ (17 เม.ย.) ระบุว่า ปัจจุบันมีการร้องเรียน 3 กรณีที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของมือจับประตูด้านหลัง แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันพบการเกิดอุบัติเหตุ

โดยโตโยต้า เปิดเผยว่า รถรุ่นที่พบปัญหาคือรุ่นที่ผลิตระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2022 จนถึงเดือนเมษายน 2024 พร้อมเสริมว่า บริษัทจะระงับการผลิตและหยุดรับคำสั่งซื้อจากตัวแทนจำหน่ายจนกว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้

ด้านกระทรวงฯ กล่าวว่า ระดับการกันน้ำที่ไม่เพียงพออาจส่งผลให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของประตูรถเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้หากโดนน้ำ ซึ่งอาจทำให้ประตูเปิดออกในขณะที่รถกำลังขับเคลื่อนอยู่

น้ำท่วมหนัก 'นครดูไบ' กระทบ 'ไฟฟ้า-น้ำประปา' ใช้งานไม่ได้ ด้านผู้ประสบภัยเซ็ง ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ

(19 เม.ย.67) น้ำท่วมหนักนครดูไบยังคงวิกฤติ ไฟฟ้าและน้ำประปายังใช้งานไม่ได้ ด้านผู้ประสบภัยบอกว่า ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ

สถานการณ์น้ำท่วมหนักในนครดูไบยังคงวิกฤติ อาสาสมัครนำเรือยางออกไปช่วยรับส่งประชาชนตามอาคารต่าง ๆ ซึ่งต้องเดินทางสัญจรไปบนท้องถนนที่จมอยู่ใต้น้ำ ในขณะที่ไฟฟ้าและน้ำประปายังใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาขาดแคลนอาหาร เนื่องจากปัญหาการขนส่ง ด้านผู้ประสบภัยบอกว่า ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ ขณะที่สื่อของทางการรายงานว่า ประธานาธิบดีชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล นาห์ยัน สั่งให้ทางการประเมินความเสียหาย และเร่งให้การช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 

วิเคราะห์ทุนนิยมสไตล์ 'อเมริกัน' VS 'จีน' ฝ่ายหนึ่งละ ฝ่ายหนึ่งแทรกแซงกิจการชาติอื่น

เมื่อพูดถึงเรื่องของ ‘ทุนนิยม’ ผู้คนต่างก็มักจะมองไปยังโลกตะวันตกโดยเฉพาะ ‘สหรัฐอเมริกา’ โดยลืมไปว่า ‘สาธารณรัฐประชาชนจีน’ ก็มีระบบเศรษฐกิจที่มีความเป็น ‘ทุนนิยม’ เฉกเช่นเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่มีระบอบการปกครองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ ‘คอมมิวนิสต์’ กับ ‘ประชาธิปไตย’ 

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองตามติดสหรัฐอเมริกาชนิดหายใจรดต้นคอได้ก็ด้วยเพราะ ระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นับตั้งแต่ท่านเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำจีนในยุค 1980 ได้นำหลักการตามแนวคิด ‘ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี’ มาใช้ขับเคลื่อนประเทศ

ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นี้เองที่ทำให้จีนใช้เวลาเพียงไม่ถึง 40 ปี ในการเปลี่ยนแปลงประเทศจากความล้าหลังมากมาย จนกลายเป็นความล้ำสุด ๆ และที่สำคัญที่สุดคือ ‘กลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมของโลก’ ได้เกือบทุกชนิดในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ โดยมี ‘สหรัฐอเมริกา’ ประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจอันดับหนึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด

ทั้งนี้ หากนำความหมายของคำว่า ‘ทุนนิยม’ (Capitalism) อันเป็นระบบเศรษฐกิจซึ่งนายจ้างเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิต ควบคุมการค้า อุตสาหกรรม และวิถีการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรในเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้...

(1) เอกชนสามารถถือครองทรัพย์สินได้มากเท่าที่จะหามาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 
(2) การแข่งขันเสรี ซึ่งจะทำให้ผู้ขายเสนอราคาที่เหมาะสมที่สุดด้วยศักยภาพการผลิตที่ดีที่สุด 
(3) ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งอนุญาตให้เอกชนสามารถลงทุนในการผลิตหรือใช้จ่ายเงินเพื่อหาซื้อสินค้าและบริการได้ตามความสามารถและความต้องการ โดยไม่มีกฎระเบียบหรือข้อบังคับจากรัฐบาล ด้วยเชื่อว่าที่สุดแล้วจะทำให้ราคาของสินค้าและบริการอยู่ในจุดสมดุลที่ผู้ซื้อและผู้ผลิตเห็นตรงกันว่าราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสม 
(4) มีความอิสระในการบริหาร โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล 

ด้วยบริบทดังกล่าวนี้ที่ว่ามานี้ ทำให้ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของจีนและสหรัฐอเมริกา จึงไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดเลย

นับตั้งแต่จีนปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปตามแนวทาง ‘ทุนนิยม’ ระบบเศรษฐกิจของทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็เกื้อหนุนกันมาโดยตลอด ระบบเศรษฐกิจของจีนโดยรวมก็เติบโตและมีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐฯ เองบรรดาผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีนต่างก็ได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 

ทว่า ก็มีความแตกต่างจากประโยชน์ของสองประเทศที่ได้รับ อาทิ จีนเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจโดยภาพรวมกับประชาชนทุกระดับชั้น ในขณะที่สหรัฐฯ กลับอยู่กับเพียงคนกลุ่มเดียว (ผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีน) ในขณะที่ประชาชนชาวอเมริกันได้ประโยชน์เพียงการได้บริโภคสินค้าราคาถูกจากจีน 

อย่างไรก็ตาม ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของสองประเทศนี้ต่างก็สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชาวโลก 

ถึงกระนั้น หากดูหากภูมิหลัง ความต่อเนื่อง และบริบท ฯลฯ จะพบบทบาทและลักษณะที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของโลกที่มีความแตกต่างกันจากทั้งสองประเทศ ดังนี้...

ความเป็น ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ มีมาต่อเนื่องยาวนานกว่าร้อยปี จึงมีพัฒนาการและการแผ่ขยายและแพร่กระจายที่เห็นได้ชัดเจนกว่า โดยสหรัฐฯ ตั้งอยู่บนทวีปอเมริกาเหนือและเชื่อมต่อกับทวีปอเมริกาใต้ การขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินจึงทำได้เพียงสองประเทศ 

ในขณะที่จีนตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและประชากรมากที่สุด ทั้งยังสามารถขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินได้จนถึงทวีปยุโรปซึ่งอยู่ติดกัน อันเป็นที่มาของนโยบาย ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative (BRI) หรือ One Belt One Road (OBOR))’ เพื่อเชื่อมจีนกับสังคมโลกด้วยระบบเศรษฐกิจเครือข่าย

กลับกัน สหรัฐฯ ซึ่งหากจะเชื่อมต่อกับทวีปอื่น ๆ จำเป็นต้องใช้การขนส่งทางน้ำและทางอากาศ สหรัฐฯ จึงยังคงใช้นโยบาย ‘เรือปืน’ (Gunboat Diplomacy) ด้วยการมีฐานทัพทางทหารอยู่ทั่วโลกกว่า 800 แห่ง มีกำลังทางเรือและกำลังทางอากาศที่สามารถปฏิบัติการได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง 

ดังนั้น หากมองพัฒนาการ ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ ที่มีความต่อเนื่องยาวนานกอปรกับนโยบาย ‘เรือปืน’ ปฏิสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ทั่วโลก จึงมีความเป็นระบบมากกว่า และดำเนินการโดยบริษัทการค้าข้ามชาติของสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ และได้รับการสนับสนุนด้านนโยบายที่เอื้อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ จากรัฐบาลอเมริกัน 

จากนั้น บริษัทอเมริกันต่าง ๆ จึงสามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างสะดวกสบายโดยมีรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลังพิง (Back-up) ตราบใดที่ยังคงเสียภาษีให้กับรัฐอย่างถูกต้อง ไม่ทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ (และให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ของอเมริกันทั้งสองพรรค) 

ทั้งนี้ หากมองปฏิสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นไปในระดับบนหรือระดับชาติเป็นส่วนใหญ่นั้น เพราะสหรัฐฯ เองเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มากเกือบเท่ากับจีน แต่กลับมีประชากรเพียงหนึ่งในสี่ของประชากรจีน ประกอบด้วยรัฐต่าง ๆ จึงแทบจะไม่เห็น พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวอเมริกันมาประกอบธุรกิจขนาดเล็กในประเทศต่าง ๆ 

ขณะที่จีน ซึ่งมีพลเมืองกว่า 1.4 พันล้านคน จะพบว่ามีพ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีนออกมาประกอบธุรกิจมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยของเรา

ฉะนั้น ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีน จะออกมาประกอบธุรกิจการค้าในต่างแดน โดยไม่มีรัฐบาลจีนเป็นหลังพิง (Back-up) เหมือนกับบรรดาบริษัทอเมริกันทั้งหลาย จึงต้องทำตามกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติของตามแต่ละประเทศนั้น ๆ 

แน่นอนว่า ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดในการปฏิบัติ ก็จะไม่มีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายของคนเหล่านั้น แต่กลับกันในประเทศที่ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายหย่อนยาน ไม่เคร่งครัด ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ละโมบ โลภมาก ก็จะมีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น ดังเช่นเรื่อง 'จีนเทา' ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ซึ่งต้องยอมรับว่า เกิดจากความหย่อนยานในการปฏิบัติ ความละโมบโลภมาก เห็นแก่อามิสสินจ้าง ความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของผู้มีอำนาจ ฯลฯ ของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเหล่านั้น 

อันที่จริงเรื่องของการกระทำผิดกฎหมาย อาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม หากเราทราบเรื่อง มีเบาะแส เกี่ยวกับความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นทั้งหลายทั้งปวง ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการทันที 

...และหากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพิกเฉยละเลย ในปัจจุบันก็มีช่องทางมากมายในการติดตามหรือเร่งรัด ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด, กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.), คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องของรัฐสภา, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลปกครอง เป็นต้น

สำหรับบ้านเราแล้ว ปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ จีน สามารถจัดการแก้ไขได้ง่ายกว่าปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ อเมริกัน เพราะในเรื่องของการทำผิดกฎหมายแล้ว รัฐบาลจีนจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแทรกแซงกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวจีนหรือบริษัทไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมาย ถ้ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรม 

หากแต่ถ้าเป็นประเทศตะวันตกอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาแล้ว รัฐบาลอเมริกันพร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวอเมริกันหรือบริษัทอเมริกันไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมายในเรื่องของเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ไม่ว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรมหรือไม่ก็ตาม 

'อิหร่าน' ขู่!! ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ของ 'อิสราเอล' ลั่น!! รู้ว่าซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง ปราม!! อย่าแหยมอีก

(19 เม.ย. 67) เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เตือนเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ว่า เตหะรานทราบดีถึงตำแหน่งที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิสราเอล และมีศักยภาพโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของรัฐยิว ในกรณีที่พวกเขาถูกโจมตีก่อน ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น

ความตึงเครียดโหมกระพือหนักหน่วงขึ้นในตะวันออกกลางในเดือนนี้ ตามหลังเหตุโจมตีสถานกงสุลของอิหร่านประจำกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายน ซึ่งว่ากันว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล สังหารสมาชิกกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม 7 นาย เตหะรานแก้แค้นในสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการปล่อยโดรนและยิงขีปนาวุธห่าใหญ่เล่นงานอิสราเอล แต่ส่วนใหญ่ถูกสอยร่วงโดยรัฐยิวและบรรดาชาติตะวันตก ผู้สนับสนุนของอิสราเอล

แม้ขณะนี้อิสราเอลยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้วิธีการใดตอบโต้การโจมตีของอิหร่าน แต่วิธีหนึ่งที่กำลังสร้างความกังวลไปทั่วโลก นั่นคือการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ในอิหร่าน ซึ่งความเป็นไปได้ดังกล่าวนี้เองกระตุ้นให้เตหะรานออกมาขู่กลับเช่นกัน

"ทำเลที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิสราเอลถูกพบแล้ว และเรามีข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดเกี่ยวกับเป้าหมายต่าง ๆ ที่เราต้องการกำจัดในปฏิบัติการตอบโต้ของเรา" พันเอกอาห์หมัด ฮักตาลับ แห่งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านกล่าว ตามรายงานของทาสนิม สื่อมวลชนกึ่งรัฐ "มือของเราอยู่บนไกปืน ที่จะลั่นไกปลดปล่อยขีปนาวุธทรงพลังงานและทำลายเป้าหมายเหล่านั้น"

เตหะราน กล่าวว่า พวกเขากำลังหาทางคลี่คลายสถานการณ์ แต่ทางอิสราเอลประกาศจะโจมตีตอบโต้โดยไม่เปิดเผยว่าจะดำเนินการแบบไหนและเมื่อไหร่ ในเรื่องนี้ พันเอกฮักตาลับ เชื่อว่าอิสราเอลกำลังพิจารณาปฏิบัติการทางทหารเพิ่มเติม เป็นไปได้ว่าจะเล็งเป้าอุตสาหกรรมทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน และหากเป็นเช่นนี้ อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของอิสราเอลจะถูกเล่นงานในการโจมตีแก้แค้นเช่นกัน

ที่ผ่านมา อิสราเอลไม่เคยยืนยันหรือปฏิเสธเกี่ยวกับการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ทางสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ประเมินว่าอิสราเอลน่าจะมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ราว 80 ลูก ในนั้นเป็น gravity bombs จำนวน 30 ลูก และหัวรบนิวเคลียร์สำหรับขีปนาวุธพิสัยกลาง 50 ลูก ในขณะที่ พันเอกฮักตาลับ ไม่ได้เจาะจงว่าที่ตั้งทางนิวเคลียร์ใดบ้างที่อิหร่านเล็งไว้สำหรับปฏิบัติการโจมตีตอบโต้

อิสราเอล กล่าวหา อิหร่าน ว่าลอบพัฒนาแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ของตนเองแบบลับ ๆ มานานหลายทศวรรษแล้ว และ กิลาด เออร์ดาน ผู้แทนทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ กล่าวอ้างเมื่อวันอาทิตย์ (14 เม.ย.) ว่าเตหะรานเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ลูกหนึ่งสำเร็จ เขาเร่งเร้าให้บรรดาสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ พิจารณาว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าอิหร่านเปิดฉากโจมตีประเทศของพวกเขาด้วยระเบิดนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างนี้ถูกปฏิเสธโดยทบวงพลังงานปรมาณูสากล

พันเอกฮักตาลับ เปิดเผยด้วยว่า พวกผู้นำอิหร่านเน้นย้ำพวกเขามองอาวุธทำลายล้างสูงทุกชนิดเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้กับโลกอิสลาม แต่มีความเป็นไปได้ที่เตหะรานจะพิจารณาทบทวน ‘ยุทธศาสตร์และนโยบายทางนิวเคลียร์’ หากว่าอิสราเอลยังคงคุกคามที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของพวกเขา

ทั้งนี้ พันเอกฮักตาลับ บอกว่าปกติแล้วที่ตั้งทางนิวเคลียร์มักถูกพิจารณาอยู่นอกเหนือปฏิบัติการทางทหาร แต่การที่อิสราเอลโจมตีสถานกงสุล สำนักงานทางการทูตที่ได้รับการคุ้มครองในระดับนานาชาติ เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า อิสราเอลไม่ได้สนใจเล่นตามกฎใด ๆ

สื่อนอกตีข่าว 'ลูกค้าเทสลา' สะพัด!! บริษัทฯ ซุ่มระงับส่งมอบ 'ไซเบอร์ทรัก' คาดพบข้อบกพร่อง-เหตุขัดข้องต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มีข่าวแพร่สะพัดว่า เทสลาระงับการส่งมอบ 'ไซเบอร์ทรัก' ทั้งหมดในสหรัฐฯ หลังบรรดาผู้บริโภคส่งเสียงคร่ำครวญพบข้อบกพร่องที่อาจนำมาซึ่งการเสียชีวิต เกี่ยวกับแป้นเหยียบคันเร่งของรถกระบะไฟฟ้ารุ่นนี้

สื่อมวลชนอย่างนิวยอร์กโพสต์ และเดลิเมล เปิดเผยว่า มีข่าวปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์หลายแห่ง ในนั้นรวมถึงตามกระดานสนทนาของบรรดาเจ้าของไซเบอร์ทรัก ระบุว่า พวกลูกค้าของรถกระบะไฟฟ้าของเทสลา ได้รับข้อความจากบรรดาตัวแทนจำหน่าย แจ้งให้พวกเขาทราบว่าขอยกเลิกหมายนัดการส่งมอบไปก่อน

ในรายงานระบุว่า ลูกค้าหลายคนได้รับแจ้งว่า การส่งมอบรถไซเบอร์ทรักจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะผ่านพ้นวันที่ 20 เมษายน สืบเนื่องจากการเคลื่อนที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ตามรายงานของเดลิเมล 

"ผมขอให้พวกเขาให้เหตุผลอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อความกระจ่าง แต่ถูกเพิกเฉย" ผู้ใช้รายหนึ่งในกระดานสนทนาคลับพวกเจ้าของรถไซเบอร์ทรัก เขียนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

ผู้ใช้คนอื่น ๆ คาดการณ์ว่ามันน่าจะเป็น 'ประเด็นเดียวกับคันเร่ง' หลังพวกเจ้าของไซเบอร์ทรักรายอื่น ๆ บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์และติ๊กต็อกบ่งชี้ว่ามันมี "ข้อบกพร่องด้านการออกแบบอย่างร้ายแรง ที่พวกเจ้าของทุกคนจำเป็นต้องตรวจสอบเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมันก่อให้เกิดการเร่งเครื่องโดยไม่เจตนา สืบเนื่องจากแป้นคันเร่งที่ออกแบบมาราคาถูก"

ในติ๊กต็อกผู้ใช้นามว่า el.chepito1985 เจ้าของรถไซเบอร์ทรัก อ้างว่าแผ่นรองคันเร่งเลื่อนหลุดไปข้างหน้า กดให้คันเร่งจมไปกับพื้นและทำให้รถกระบะของเทสลาพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด

จากนั้นในโพสต์ต่อมา ผู้ใช้นามว่า Garage Klub ระบุว่าเหตุการณ์ที่รถไซเบอร์ทรักคันหนึ่งพุ่งเข้าชนป้ายของโรงแรมเบฟเวอร์ลี ฮิลล์ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม น่าเชื่อว่าอุบัติเหตุดังกล่าวมีต้นตอจากปัญหาแป้นคันเร่งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตำรวจยังไม่สรุปว่าอะไรคือต้นตอของอุบัติเหตุคราวนั้น

กระแสเสียงคร่ำครวญที่บรรดาพวกผู้เป็นเจ้าของไซเบอร์ทรัก บอกเล่าเรื่องราวเหตุขัดข้องต่าง ๆ ที่พวกเขาประสบพบเจอกับรถกระบะไฟฟ้ารุ่นนี้ มีขึ้นไม่นานหลังจากไซเบอร์ทรัก ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ เริ่มวิ่งอวดโฉมบนท้องถนนเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

ตัวแทนของเทสลายังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ หลังนิวยอร์กโพสต์ติดต่อสอบถามขอความคิดเห็น

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เทสลาเพิ่งแถลงปรับลดพนักงานลงมากกว่า 10% จากที่มีอยู่ทั่วโลกราว 140,000 คน โดย อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา บอกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากของบริษัท ในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ ท่ามกลางสงครามราคาอันหนักหน่วงสำหรับรถอีวี

HUAWEI Pura 70 Ultra ขายหมดเกลี้ยงใน 1 นาที ส่งสัญญาณยอดขาย iPhone ทรุดกว่าเดิมในจีน

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 67) HUAWEI เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในตระกูล HUAWEI Pura 70 ที่รีแบรนด์มาจาก P-series เดิม รวม 4 รุ่น ประกอบด้วย HUAWEI Pura 70, Pura 70 Pro, Pura 70 Pro+ และตัวท็อป Pura 70 Ultra ซึ่งได้กลายมาเป็นที่จับตามองของสื่อต่างประเทศทันที ด้วยความที่มือถือเหล่านี้เปรียบเสมือนเป็น ‘ตัวแทน’ ของจีน ท่ามกลางสงครามการค้ากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น ความก้าวหน้าในการพัฒนาชิปเซตของจีน และการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในจีนที่เป็นสมรภูมิสำคัญของโลก

โดยปีที่แล้ว HUAWEI ส่งสัญญาณคัมแบ็กระลอกแรก และเป็นระลอกใหญ่ โดยการเปิดตัว HUAWEI Mate 60 Pro+ ในจีน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับถล่มทลาย สินค้าขาดตลาดทุกช่องทางทั่วประเทศอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่นาน จนทำให้ยอดขาย iPhone 15 Pro Max ลดลงทันตาเห็น และ Apple ต้องอัดโปรฯ ลดราคาสู้ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว

แต่ HUAWEI Mate 60 Pro+ ก็แฝงไปด้วยปริศนาที่ทำให้ทั้งโลกมึนงง เกี่ยวกับชิป Kirin 9000S ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีการเก็งกันว่าจีนไม่น่าจะผลิตเองได้ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่กีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงเครื่องมือที่ทันสมัยได้ จนรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเข้ามาตรวจสอบในช่วงต้นปี พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า SMIC ที่เป็นผู้ผลิตชิป อาจมีการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และจนถึงตอนนี้สถานการณ์ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ในขณะที่ HUAWEI เองก็รูดซิปปิดปากเงียบ พยายามไม่พูดถึงตัวชิปในทุกวิถีทาง และเลี่ยงการตอบคำถามกับสื่อ

นอกจากนี้ หน่วยงาน Semiconductor Industry Association (SIA) ยังตรวจเจออีกว่า HUAWEI พยายามใช้วิธีซิกแซก โดยการเข้าซื้อหุ้นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์และหน่วยความจำในจีนหลังได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาล โดยการปกปิดความเกี่ยวโยงกับบริษัทแม่ เพื่อหลบเลี่ยงการแซงก์ชันจากสหรัฐฯ โดยทางสหรัฐฯ ก็แก้เกมด้วยการเพิ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าไปในบัญชีดำ Entity List เรียบร้อย แต่ยังไม่ดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติม เพราะเกรงว่าจะทำให้สถานการณ์ทางการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจจะตึงเครียดกว่าเดิม

สำหรับ HUAWEI Pura 70 Ultra หนนี้ HUAWEI ยังคงใช้แนวทางเดิมเป๊ะ คือไม่มีการโปรโมตเรื่องชิปอีกเช่นเคย รวมถึงประเด็นเรื่องการรองรับ 5G ก็หลีกเลี่ยงโดยการไม่ระบุข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับภาคการเชื่อมต่อเซลลูลาร์เลย แม้จะมีการนำเสนอถึงจุดขายว่าตัวเครื่องรับสัญญาณมือถือได้ดีมากก็ตาม

เบื้องต้นสื่อต่างประเทศให้ข้อมูลว่า HUAWEI Pura 70 Ultra น่าจะมาพร้อมชิปตัวใหม่ ที่อาจใช้ชื่อว่า Kirin 9010 ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่ทางการสหรัฐฯ จะยื่นมือเข้ามาตรวจสอบเหมือนเดิม

แต่ไม่ว่าชิปข้างในจะเป็นอะไร ก็ดูเหมือนจะไม่ได้กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าในจีนแม้แต่น้อย เพราะล่าสุดมีรายงานว่า HUAWEI Pura 70 Ultra และ Pura 70 Pro ที่เปิดขายวันนี้เป็นวันแรก ต่างขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึง 1 นาทีตั้งแต่ช่วงสาย (ตามเวลาท้องถิ่น) ส่วน HUAWEI Pura 70 Pro+ และ Pura 70 รุ่นมาตรฐาน จะวางขายตามมาภายหลังในวันที่ 22 เมษายน 2024

มีเกร็ดน่าสนใจเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย คือ ลูกค้าที่ซื้อ HUAWEI Pura 70 จะต้องทำการแกะกล่อง เปิดเครื่อง เพื่อทำการลงทะเบียนกับทาง HUAWEI ให้เรียบร้อยตั้งแต่หน้าร้าน ทั้งนี้คาดว่า HUAWEI ต้องการป้องกันพ่อค้าที่นำเครื่องไปรีเซลขายโก่งราคาในภายหลัง

‘สนามบินฮ่องกง’ ครองแชมป์ ‘ขนส่งสินค้า’ มากสุดในโลกปี 2023 จ่อเดินหน้าขยายระบบ เพื่อรับรองสินค้า 10 ล้านตันต่อปีในอนาคต

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (ACI) เปิดเผยว่า ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงทางตอนใต้ของจีนยังคงครองตำแหน่งท่าอากาศยานที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าโดยรวมมากที่สุดในโลกในปี 2023 ซึ่งถือเป็นการครองตำแหน่งดังกล่าวติดต่อกัน 13 ครั้ง เมื่อนับตั้งแต่ปี 2010

ด้าน แจ็ค โซ ประธานการท่าอากาศยานฮ่องกง กล่าวว่า การครองตำแหน่งดังกล่าวพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมและการบริการขนส่งสินค้าระดับโลกของท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง ซึ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำของท่าอากาศยานฯ ท่ามกลางสภาพการณ์อันท้าทาย

ทั้งนี้ การขนส่งสินค้าทางอากาศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของภาคโลจิสติกส์และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม โดยการท่าอากาศยานฮ่องกงจะเดินหน้าความพยายามร่วมมือกับอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศ เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการขนส่งสินค้าระดับโลก

อนึ่ง ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงกำลังขยายระบบสามรันเวย์ (Three-Runway System) เพื่อตอบสนองความต้องการในระยะยาว โดยระบบดังกล่าวที่มีกำหนดสร้างเสร็จสิ้นภายในปี 2024 จะช่วยให้ท่าอากาศยานฯ สามารถรับรองผู้โดยสาร 120 ล้านคน และสินค้า 10 ล้านตันต่อปี

‘ศาลฮ่องกง’ ตัดสินจำคุก ‘นักศึกษาฮ่องกง’ วัย 22 ฐานฟอกเงินทุนที่ช่วยผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมเมื่อปี 2019


Yu Yan-yuk นักศึกษาวิทยาลัยจีนจากฮ่องกงวัย 22 ปี ซึ่งขณะก่อเหตุนั้นอายุเพียง 17 ปี ได้ถูกตัดสินจำคุก 16 เดือน หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฟอกเงินเกือบ 600,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (76,620 ดอลลาร์สหรัฐฯ) จากการใช้ Spark Alliance HK แพลตฟอร์มระดมทุนสำหรับใช้ช่วยเหลือผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบต่อต้านรัฐบาลในปี 2019 โดยศาลแขวง WANCHAI ของฮ่องกง ได้ตัดสินว่า เขาเป็นผู้จัดการเงินสดในฐานะอาสาสมัครของ Spark Alliance HK

ทั้งนี้ Spark Alliance HK แพลตฟอร์มนี้ตั้งขึ้นหลังเหตุการณ์จลาจลที่มงก๊กเมื่อปี 2016 เพื่อช่วยจับกุมหรือจำคุกนักเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาระบุว่า Yu Yan-yuk ได้ฝากเงิน 23 ครั้ง และถอนเงินจากบัญชีธนาคารของเขามากกว่า 90 ครั้ง ในช่วง 6 เดือน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2019 ระหว่างการประท้วงต่อต้านรัฐบาล และจัดการฟอกเงินประมาณ 585,000 ดอลลาร์ฮ่องกง จากแพลตฟอร์ม Spark Alliance HK

“ระยะเวลาการฟอกเงินและจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องค่อนข้างน้อยและระยะเวลาค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับคดีที่คล้ายกัน และไม่มีองค์ประกอบของการฟอกเงินข้ามแดน” ผู้พิพากษากล่าว

ผู้พิพากษากล่าวเสริมอีกว่า “ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า เงินสดที่ถูกฟอกนั้นเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางอาญา หรือ Yu Yan-yuk จัดการเงินนั้นแม้จะรู้ว่าเกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญา แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยบรรเทาโทษได้ และจำเลยไม่เพียงแต่ให้บัญชีของเขาแก่ผู้อื่นเท่านั้น แต่เขาเป็นผู้ดำเนินการบัญชีแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่เชื่อว่าคำกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าเงินดังกล่าวเป็นการบริจาคให้กับ Spark Alliance HK เพื่อใช้ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เนื่องจากองค์กรมีบัญชีธนาคารเอง และจะไม่ใช้บัญชีของอาสาสมัคร” 


Yu Yan-yuk ซึ่งขณะนั้นอายุ 17 ปี เป็น 1 ใน 4 คนที่ถูกจับกุมเมื่อเดือนธันวาคม 2019 ด้วยหลักฐานที่มีความเกี่ยวข้องกับการสอบสวนกลุ่มไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) เขาไม่ยอมรับผิดฐานฟอกเงิน แต่ถูกตัดสินว่ามีความผิดตามคำพิพากษาของศาลแขวงเมื่อเดือนที่แล้ว Fiona Nam Hoi-yan ทนายจำเลยแถลงในศาลเพื่อขอให้บรรเทาโทษว่า Yu Yan-yuk เชื่อว่าเงินดังกล่าวมาจากแหล่งที่ถูกกฎหมาย และขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษเขาในสถานกักกันเป็นการชั่วคราว เพราะขณะก่ออาชญากรรมเขาอายุเพียง 17 ปี

ทางด้านทนายจำเลยได้เสนอให้กักขังเขาในศูนย์กักกันสำหรับผู้กระทำผิดชายที่มีอายุตั้งแต่ 14-24 ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากการจำคุกในเรือนจำ โดยศูนย์กักกันเน้นที่การใช้แรงงานและวินัยเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำความผิดที่เป็นเยาวชนก่ออาชญากรรมอีก 

สำหรับผู้กระทำผิดที่มีอายุระหว่าง 21-24 ปี ระยะเวลาการควบคุมตัวในศูนย์กักกันคือตั้งแต่ 3 เดือนถึง 12 เดือน โดยจะมีการคุมประพฤติอีก 1 ปี หลังจากได้รับการปล่อยตัว โดยมีข้อจำกัด เช่น การถูกกำหนดเวลาเคอร์ฟิว 

“พ่อแม่และแฟนสาวของจำเลยอธิบายว่า เขาเป็นคนเรียบง่าย ชอบช่วยเหลือ และมีความกระตือรือร้น” ทนายจำเลยกล่าวและยังชี้อีกว่า ขณะก่อเหตุอายุของจำเลยในขณะนั้นเพียง 17 ปี และเขาได้เรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์ดังกล่าวแล้ว “เขาได้ไตร่ตรองการกระทำของเขาอย่างลึกซึ้ง และกล่าวว่า หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่กระทำเช่นนี้อีก” ทนายจำเลยกล่าวเสริม “จำเลยยังกล่าวอีกว่าเขาเสียใจที่ทำให้คนที่เขารักกังวล และเข้าใจถึงความรุนแรงของอาชญากรรมของเขา เมื่อเขาพลาดงานศพของคุณยายขณะถูกคุมขัง”

แต่ผู้พิพากษาปฏิเสธข้อเสนอแนะให้กักขังในศูนย์กักกัน และตัดสินว่า ลักษณะของข้อกล่าวหาและความร้ายแรงของพฤติการณ์นั้นมีความร้ายแรง แต่ได้ลดโทษในการตัดสินโทษจาก 18 เดือนเหลือ 16 เดือน เนื่องจาก Yu Yan-yuk มีผลการสอบที่ยอดเยี่ยมเมื่อเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อีกครั้ง และได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของจีน แม้ว่าจะถูกกดดันอย่างมากนับตั้งแต่เขาถูกจับกุมในปี 2019

‘ตลาดแรงงานมาเลฯ’ ให้ความสำคัญทักษะด้านภาษา มากกว่าใบปริญญา ยิ่งสื่อสาร ‘จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น-อารบิก’ ได้ดี ยิ่งมีโอกาสหางานได้มากกว่า

ตลาดแรงงานมาเลฯ เริ่มมองหา ‘คนทำงานรุ่นใหม่’ ที่มีทักษะ ขยันเรียนรู้ มากกว่าใบเกรด และหากยิ่งรู้ภาษาจีน ก็ยิ่งได้เปรียบ

สมัยก่อน อาจจะกล่าวได้ว่า มีใบปริญญา สามารถการันตีโอกาสในการหางานที่ดีกว่าได้ ยิ่งเป็นใบปริญญาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง ก็ยิ่งมีโอกาสมากกว่าคนอื่น 

แต่ในยุคสมัยใหม่ที่กระแสค่านิยมและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก จนความรู้เชิงวิชาการเพียงอย่างเดียว ดูจะไม่เพียงพอเสียแล้ว เมื่อนายจ้างเริ่มพิจารณาคนทำงานที่มีคุณสมบัติอื่น ๆ มากกว่า โดยเฉพาะ ทักษะประสบการณ์ทำงานจริง, ความรู้เรื่องวัฒนธรรม รวมถึงจรรยาบรรณในการทำงาน 

วิค สิทธสนาน ผู้อำนวยการของ Jobstreet by Seek Malaysia แสดงความเห็นว่า การพัฒนาด้านอาชีพกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยได้ยกรายงานจาก Hiring Compensation and Benefits Report for 2024 ซึ่งบ่งชี้ว่ามีนายจ้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เน้นคัดเลือกบุคลากรที่เคยผ่านการฝึกอบรมวิชาชีพ หรือ หลักสูตรที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ตามทักษะที่นายจ้างต้องการ มากกว่าใบปริญญาแล้ว 

แม้การพิจารณาคัดเลือกพนักงานจากวุฒิการศึกษายังคงมีอยู่ แต่ก็จะถูกลดความสำคัญลงไป เมื่อนายจ้างยุคใหม่ต้องการคนที่ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทางที่ตรงกับสายงานมากกว่า และจำเป็นต้องนำมาใช้งานได้จริงด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้บริหารเว็บไซท์ที่ให้บริการรับสมัคร, จัดหางานอันดับ 1 ในมาเลเซีย ยังเน้นอีกว่า ‘ภาษาอังกฤษ’ มีความสำคัญ แต่ยังไม่พอ 

เนื่องจากมาเลเซียมีเศรษฐกิจที่ผูกพันกับทางจีนอย่างมาก ความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถในการสื่อสารภาษาจีนจึงพุ่งสูงขึ้นในตลาดแรงงานมาเลเซีย โดยเฉพาะในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลาง ที่หลายบริษัทระบุเลยว่าต้องการผู้ที่พูดภาษาจีน หรือสามารถพูดได้หลายภาษา

ความเห็นของผู้บริหาร Jobstreet สอดคล้องกับ ดาตุ๊ก ดร.ซาอีด ฮัซเซน ซาอีด ฮัสมาน ประธานสหพันธ์นายจ้างมาเลเซีย ที่ได้กล่าวว่า ปัจจุบัน นายจ้างสนใจผู้สมัครที่จบวุฒิสายอาชีพ (TVET) มากกว่า เพราะมีทักษะหลายอย่างที่สามารถนำมาประยุกต์ในการทำงานจริงได้โดยตรง โดยนายจ้างก็มีแนวโน้มประเมินผู้สมัครแบบองค์รวมมากขึ้น

และถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษยังอยู่ในห้าอันดับแรกของทักษะที่เป็นที่ต้องการ แต่ ดร.ซาอีด ฮัซเซนเห็นเช่นเดียวกับ วิค สิทธสนาน ว่าทักษะภาษาจีนกลางเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน 

ซึ่งนอกจากภาษาจีนแล้ว ผู้ที่เชี่ยวชาญทักษะภาษาอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี และ อารบิก ก็เป็นที่ต้องการสูงเช่นกัน ทั้งนี้เพราะมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศศูนย์กลางการลงทุนของบริษัทข้ามชาติ จึงมองหาบุคลากรที่สามารถสื่อสารได้หลายภาษา นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ 

จึงสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะมี ‘ความรู้’ แบบใดมาจากระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม แต่สิ่งที่เจ้าของกิจการมองหาคือ ‘ทักษะ’ ที่หมายถึง ‘ความสามารถ’ ในการใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ด้านงานช่าง งานเทคนิค ฯลฯ รวมถึงเข้าใจในการทำงานในวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายด้วย ซึ่งทักษะเหล่านี้ ไม่อาจพิจารณาจากใบปริญญาได้ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองที่หน้างานเท่านั้น 

“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง 
ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย 
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

แค่ปริญญา ไม่พอจริง ๆ”

กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา เผยตัวเลขนักท่องเที่ยว 21.70 ล้านคน ส่วนใหญ่งงตัวเลข เนื่องจากมากกว่าประชากร 17 ล้านคน

(18 เม.ย. 67) เพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' เผย กัมพูชา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา ได้เปิดเผยตัวเลขนักท่องเที่ยว ช่วงเทศกาลปีใหม่เขมร 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-16 เมษายน 2567 ว่า...

ตัวเลขนักท่องเที่ยว 21.70 ล้านคน
นักท่องเที่ยวต่างชาติ 110,000 คน

🌊เมือง-จังหวัดยอดนิยม 5 อันดับแรก 

1.จังหวัดกำปงจาม 
 *นักท่องเที่ยว 5,349,297 คน
 *นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 514 คน

2.จังหวัดเปรยแวง  
* นักท่องเที่ยว 229,867 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 คน

3.จังหวัดกำปงสปือ 
* นักท่องเที่ยว 2,102,247 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,668 คน

4.จังหวัดพระตะบอง 
* นักท่องเที่ยว 1,731,432 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 3,197 คน

5.จังหวัดกำปอต
* นักท่องเที่ยว 1,400,375 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 3,122 คน

🌊:จากความเห็นในสื่อออนไลน์  ส่วนใหญ่ยังงงตัวเลข เนื่องจากตัวเลขมากกว่าประชากร 17 ล้านคน  และบางคนบอกทำงานไม่ได้ไปเล่น   

🌊*หากยึดหลักการปี 2022-2023  
นักท่องเที่ยว 1 คนสามารถไปหลายจังหวัดจะถูกนับ 1 ทันที ที่ผ่านเขตจังหวัด

จากภาพกัมพูชาเริ่มใช้คำว่า 
Sangkrant :  สังกรานต์
Maha Sangkrant : มหา สังกรานต์

ไม่รอด!! ’Google‘ ไล่ออก 28 พนักงาน บุกเข้ายึดห้องของ CEO หลังข่มขู่ให้บริษัทหยุดทำธุรกิจกับ 'รัฐบาลอิสราเอล'

(18 เม.ย. 67) กูเกิล (Google) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบท อิงค์ (Alphabet Inc) สั่งปลดพนักงาน 28 คน หลังจากพนักงานเหล่านั้นเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านโปรเจกต์ นิมบัส (Project Nimbus) ซึ่งเป็นโครงการมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ที่กูเกิลร่วมมือกับบริษัทอะเมซอนดอตคอม อิงค์ (Amazon.com Inc) เพื่อให้บริการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบคลาวด์แก่รัฐบาลอิสราเอล

ทั้งนี้ การประท้วงดังกล่าวซึ่งนำโดยองค์กรโน เทค ฟอร์ อะพาไทด์ (No Tech for Apartheid) เกิดขึ้นเมื่อวันอังคาร (16 เม.ย.) ทั่วสำนักงานของกูเกิลในนิวยอร์ก ซิตี, ซีแอตเทิล และซันนีเวล แคลิฟอร์เนีย โดยกลุ่มผู้ประท้วงในนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนียจัดการชุมนุมกว่า 10 ชั่วโมง รวมถึงมีการบันทึกภาพและถ่ายทอดสดผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิงทวิตช์ (Twitch) โดยผู้ประท้วงถูกจับกุม 9 รายในข้อหาบุกรุกในช่วงเย็นของวันอังคาร

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า พนักงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประท้วง รวมถึงผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการประท้วงโดยตรง ได้รับอีเมลจากกลุ่มแรงงานสัมพันธ์ของบริษัทที่แจ้งให้พวกเขาพักงาน

กูเกิลได้แจ้งในอีเมลถึงบรรดาพนักงานที่ได้รับผลกระทบว่า บริษัทจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยจะเปิดเผยข้อมูลตามความจำเป็นเท่านั้น

ด้านแถลงการณ์จากพนักงานของกูเกิลในองค์กรโน เทค ฟอร์ อะพาไทด์ระบุว่า ในช่วงเย็นวันพุธ (17 เม.ย.) พวกเขาได้รับแจ้งจากกูเกิลว่าถูกไล่ออกจากบริษัทแล้ว

ทั้งนี้ กูเกิลได้ให้การสนับสนุนวัฒนธรรมการอภิปรายแบบเปิดกว้างมาโดยตลอด แต่การเคลื่อนไหวของพนักงานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ทดสอบความมุ่งมั่นดังกล่าว โดยพนักงานของกูเกิลที่จัดการประท้วงหยุดงานในปี 2561 เพื่อต่อต้านแนวทางของบริษัทในการจัดการกับข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศได้เปิดเผยว่า กูเกิลได้ทำการลงโทษพวกเขาสำหรับความเคลื่อนไหวดังกล่าว

วิกฤต Gen Z จีน 'หางานยาก-งานรายได้ต่ำ-มีไม่กี่คนที่จะได้งาน' สุดท้ายหันมาใช้ชีวิตแบบ 'ถ่างผิง' เรียบง่าย ไร้ความทะเยอทะยาน

Gen Z หรือ Generation Z หมายถึงเด็กที่เกิดในช่วงปลายทศวรรษ 1990 จนถึงกลางทศวรรษ 2010 ดูจากอายุอานามแล้ว เป็นคนรุ่นที่กำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทในองค์กรต่าง ๆ

ทว่า ปัจจุบัน Gen Z ในจีน ได้พากันหันหลังให้กับชีวิตในบริษัทใหญ่ ๆ เหมือนคนรุ่นพ่อแม่ และปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่สนใจอาชีพการงานที่มั่นคง ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ผันผวนอย่างหนัก

ปัจจุบัน จีนมี Gen Z ราว 280 ล้านคน ผลการสำรวจทัศนคติของ Gen Z เมื่อเทียบกับคนในช่วงอายุอื่นพบว่า Gen Z ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ ‘มองโลกแง่ร้ายมากที่สุด’

มหกรรมการหางานครั้งล่าสุดในกรุงปักกิ่งตอกย้ำสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เพราะตำแหน่งที่เปิดรับมีแต่งานที่ใช้ทักษะต่ำ เช่น การเป็นผู้ช่วยขายประกัน หรือไม่ก็ผู้ช่วยขายอุปกรณ์ทางการแพทย์

หากพูดถึงเงินเดือนคาดหวังในมหกรรมการหางานดังกล่าวแล้ว ค่าเฉลี่ยสำหรับพนักงานใหม่ได้ปรับลดลงใน 38 เมืองสำคัญ ถือว่าเป็นการปรับลดครั้งที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016

หนุ่มปริญญาโทวัย 25 ที่เรียนจบสาขาวิศวกรรมซอฟท์แวร์จากเยอรมนีคนหนึ่งเชื่อว่า ผู้ที่มีความสามารถจริง ๆ จะต้องหางานได้ เขาเชื่อว่า ‘อนาคตของโลกอยู่ที่จีน’

แต่พอกลับมาถึงจีนจริง ๆ เขาเริ่มไม่มั่นใจเมื่อเจอบรรยากาศเศรษฐกิจบ้านเกิดแม้ทักษะ และองค์ความรู้ที่เขามีจะเป็นที่ต้องการอย่างมาก แต่ในความเป็นจริง มีคนที่จบจากยุโรป และเรียนมาในสาขาเดียวกันจำนวนมาก

‘งานจึงไม่ได้หาง่ายอย่างที่คิด’ เขากล่าว

เพื่อนหลายคนของเขา จึงตั้งเป้าไปที่งานราชการแทน หลังมองว่างานบริษัทเอกชนนั้น ‘อนาคตมืดมน’ ทำให้ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หนุ่มสาวชาวจีนเข้าสมัครสอบคัดเลือกรับราชการมากเป็นประวัติการณ์ คือสูงกว่า 3 ล้านคน

เขากล่าวว่า “เด็กนับล้านต่างมองหางานแน่นอน มีไม่กี่คนที่จะได้งาน และคนโชคดีที่ได้งาน ก็เป็นงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับสาขาที่จบ”

หญิงสาวชาวจีนอีกคนที่จบจากมหาวิทยาลัยในประเทศ มีความมุ่งมั่นกับการหางาน และหาอะไรทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้งานที่ต้องการ เช่น การเป็นไกด์นำเที่ยวในอุทยานแพนด้า นครเฉิงตู หรือเป็นพนักงานขายเครื่องดื่ม และฝึกงานในโรงเรียนอนุบาลก็เคยมาแล้ว

“งานพวกนี้ไม่ค่อยมีอนาคตนัก” เธอกล่าว “งานทักษะต่ำ แน่นอนเงินเดือนย่อมต่ำ ที่สำคัญถูกแทนที่ง่ายมากหากคุณหยุดงานแค่ครึ่งวัน รุ่งขึ้นก็จะมีคนใหม่มาทำแทน เมื่อเป็นแบบนี้ เด็กส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะกลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ หรือที่เรียกว่าประกอบอาชีพลูกเต็มเวลา”

ปัจจุบัน เธอเป็นพนักงานขายหนังสือและอุปกรณ์การศึกษา แม้จะไม่ใช่งานในฝัน แต่เธอมองว่ายังดีกว่าไม่มีอะไรทำ และคิดในแง่บวกว่าเป็นการสั่งสมประสบการณ์

ในทางกลับกัน ครอบครัวของเธอเป็นกังวลมาก เนื่องจากเธอเป็นลูกหลานคนแรกของครอบครัวที่จบมหาวิทยาลัย พ่อของเธอภูมิใจมากถึงขนาดจัดเลี้ยงโต๊ะจีนกว่า 30 โต๊ะในวันรับปริญญา

“พ่อแม่คาดหวังว่าหลังจากที่พวกเขาส่งเสียฉันเรียนหนังสือ อย่างน้อยฉันจะหางานได้ พวกเขาคาดหวังให้ฉันมีชีวิตที่ดี แต่ฉันยืนยันว่าจะเดินไปตามทางของตัวเอง และในความเร็วที่ฉันกำหนดเอง”

เธอตั้งเป้าหมาย ว่าต้องไปให้ไกลกว่านี้ และหวังว่าวันหนึ่งจะไปเรียนภาษาอังกฤษที่ออสเตรเลีย เธอเชื่อว่าช่วงชีวิต Gen Z แบบเธอง่ายกว่าคนรุ่นพ่อแม่มาก เพราะตอนนั้น จีนจนกว่านี้มาก ความฝันต่าง ๆ ก็ดูห่างไกลจากความเป็นจริงแบบฟ้ากับเหว

“ยังมีเวลาอีกมากสำหรับพวกเราเพื่อไปถึงจุดหมาย เราไม่ได้สนใจหรือทุ่มชีวิตไปกับการหาเงินเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อน เรามองไปที่วิธีการที่จะทำให้ฝันเป็นจริงยังไงมากกว่า”

เช่นเดียวกับหญิงสาวอีกคนที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยในประเทศมาหมาด ๆ เธอตั้งเป้าจะทำงานในบริษัทแฟชั่นยักษ์ใหญ่ แต่หลังจากได้เข้าไปสัมผัสการทำงานจริงราว ๆ 2 ปี ความกดดัน และความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับหัวหน้างาน ทำให้เธอตัดสินใจลาออก และหันมาประกอบอาชีพ ‘ช่างสัก’

เธอและเพื่อนชาว Gen Z นับล้านคนกำลังรู้สึกไม่พอใจกับโอกาสในการทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ Gen Z ในจีนจึงพากันหันมาใช้ชีวิตแบบ ‘นอนราบ’ หรือ Lying Flat (ภาษาจีนเรียกว่า ‘ถ่างผิง’) ซึ่งหมายถึง การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไร้ความทะเยอทะยาน ทำงานเท่าที่จำเป็น และเอาเวลาว่างไปทำกิจกรรมที่ตนสนใจ

ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลจีนพยายามผลักดันตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิด COVID-19

อย่างไรก็ตาม การสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 2023 พบว่า อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวทั่วประเทศเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่เกือบ 22%

สอดคล้องกับข้อมูลจากสถาบันอุดมศึกษาที่ชี้ว่า ผู้ที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ยอมทำงานที่ต่ำกว่าวุฒิ เพื่อให้มีรายได้ประทังชีวิตไปวันวัน

สาวช่างสักบอกว่า ตอนนี้เธอมีความสุขมาก และเชื่อว่า การเดินออกมาจากบริษัทใหญ่ ไม่เพียงหลีกหนี ‘แรงกดดันที่ไม่จบ’ เท่านั้น แต่ยังเป็นการค้นพบตัวเองที่คุ้มค่ามาก

เมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ในเชิงกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ ‘กินของขม’ ซึ่งเป็นวลีภาษาจีนที่ใช้อธิบายความหมายของ ‘ความอดทนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก’

ทั้งนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ออกมากระตุ้นเป็นระยะ ให้เด็กจบใหม่เลิกคิดว่าพวกเขาดีเกินกว่าจะใช้แรงงาน โดยบอกให้พวกเขา ‘พับแขนเสื้อขึ้น’ เพื่อไปทำงานที่ใช้แรง และให้ ‘กลืนความขมขื่น’

ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายสำหรับการกำหนดนโยบายของผู้นำจีน คือการทำให้กลุ่มคน Gen Z รู้สึกสงบลง ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าที่สุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษ

ขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัว และตลาดแรงงานยังอยู่ในภาวะที่อึดอัด Gen Z เหล่านี้ต้องรับมือกับความท้าทายมากมาย อาทิ ความไม่เท่าเทียมทางสังคม การควบคุมทางการเมืองที่เข้มงวด และแนวโน้มทางเศรษฐกิจของจีนที่ยังดูไร้ความหวัง

สยอง!! ‘หลาน’ เข็น ‘ศพลุง’ เข้าธนาคาร หวังกู้เงินแสน ตีเนียนทำท่าทีว่ายังไม่ตาย สุดท้ายถูกพนักงานจับได้ 

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก World Forum ข่าวสารต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความเหตุการณ์ในบราซิล โดยระบุว่า…

หลานสาวคนหนึ่งได้เข็นศพลุงไปธนาคาร เพื่อเซ็นสินเชื่อกู้เงินในชื่อของลุง โดยเธอตบตาเจ้าหน้าที่ธนาคารในเมืองรีโอเดจาเนโร (หลานสาวชื่อเอริกา เด ซูซา วิเอรา นูเนส)

ทั้งนี้ ขณะที่คอคุณลุงพับลงและตั้งไม่ตรง แต่หลานสาวก็พยายามที่จะตั้งคอขึ้น ซึ่งเธอใช้มือจับประคองไว้ และแกล้งทำเป็นกำลังพูดคุยกับลุง และบอกเขาเซ็นเอกสารเงินกู้ต่อหน้าพนักงาน

"คุณลุง ได้ยินหรือเปล่าคะ คุณลุงต้องเซ็นเอกสารนะ หนูเซ็นไม่ได้"

"เซ็นชื่อตรงนี้ และเลิกทำให้หนูปวดหัวได้แล้ว"

นั่นคือคำที่เธอแกล้งคุยกับลุงร่างที่ไร้วิญญาณ ซึ่งเธอทำเหมือนปฏิบัติกับคนปกติ

ซึ่งพนักงานธนาคารก็พูดว่า ฉันเห็นในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ใช่สิ่งถูกกฎหมาย ลุงดูไม่ค่อยสบาย และลุงหน้าซีดมาก

ทางด้านหลานสาวเอริกา ก็ตอบกลับว่า “ลุงก็เป็นปกติแบบนี้” และพูดกับลุงว่าไม่สบายหรือเปล่า จะกลับไปโรงบาลอีกไหม

จากนั้นพนักงานธนาคารเริ่มสงสัย และบันทึกคลิปของทั้งคู่ไว้ ก่อนจะเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน

ทั้งนี้ สิ่งที่ช็อกที่สุดต่อมา หน่วยกู้ภัยยืนยันว่าเปาโล โรแบร์โต บรากา ชายวัย 68 ปี เสียชีวิตแล้ว ก่อนที่หลานสาวจะลากร่างลุงไปธนาคารด้วยรถเข็น ตำรวจจึงจับกุมเอริกา ในข้อหาหลอกลวง และเปิดเผยว่าเธอพยายามจะกู้เงิน 17,000 เรอัลบราซิล (119,090 บาท)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top