Friday, 9 June 2023
WORLD

‘เรเซป ไทยิป แอร์โดกัน’ รักษาตำแหน่งผู้นำตุรกีได้เป็นสมัยที่ 3 หลังคว้าชัยในการเลือกตั้งรอบตัดสิน ครองอำนาจต่ออีก 5 ปี

ประเทศตุรกี ได้จัดการเลือกตั้งใหญ่ไปเมื่อ 14 พฤษภาคมผ่านมา โดยมี 2 ผู้แข่งขันที่มีคะแนนไล่บี้กันมากคือ นาย เรเซป ไทยิป แอร์โดแกน ผู้นำปัจจุบัน และ นาย เคมัล คือลิชดากูลู ผู้นำฝ่ายค้าน แม้ว่า แอโดแกนจะชนะไปแล้วในรอบแรก แต่ได้เสียงสนับสนุนไม่ถึงครึ่ง (50%) จึงต้องมาเลือกตั้งต่อในรอบที่ 2

ผลปรากฏว่า ราเซป ไทยิป แอร์โดแกน ยังคงมีคะแนนนำ สามารถชนะไปได้ด้วยคะแนน 52.14% สมเป็นแมว 9 ชีวิตแห่งออตโตมาน ครองอำนาจการเมืองในรัฐบาลตุรกีเข้าสู่ทศวรรษที่ 3

‘ตำรวจ’ เผย ชายก่อเหตุเปิดประตูฉุกเฉิน ‘เอเชียน่า แอร์ไลน์’ เจ้าตัวแจ้ง เครียด เหตุเพิ่งตกงาน อยากรีบออกจากเครื่องบิน

(27 พ.ค. 66) รอยเตอร์ และ เอเอฟพี รายงาน ชายผู้โดยสารที่ก่อเหตุระทึก เปิดประตูทางออกฉุกเฉินสายการเอเชียน่า แอร์ไลน์ของเกาหลีใต้ เส้นทางบินภายในประเทศ ขณะเครื่องบินกำลังจะลงจอดที่สนามบินแทกู ประเทศเกาหลีใต้ ที่กลายเป็นข่าวฮือฮาเมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา สารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเพิ่งตกงาน และเครียด ช่วงเวลาก่อเหตุรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก และต้องการรีบออกจากเครื่องบินเร็วๆ

เอเอฟพี ระบุช่วงเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญเครื่องบินแอร์บัส A321ที่มีผู้โดยสารอยู่เกือบ 200 ชีวิต กำลังบินอยู่สูงเหนือพื้นดินราว 200 เมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจแทกู บอกกับเอเอฟพีว่า ชายผู้โดยสารวัย 30 กว่าที่ก่อเหตุ สารภาพว่า “เขารู้สึกว่าเที่ยวบินนี้ใช้เวลาเดินทางนานกว่าที่ควรจะเป็นและรู้สึกหายใจไม่ออกเมื่ออยู่ในห้องผู้โดยสาร เขาจึงต้องการรีบลงจากเครื่องบินไวๆ”

กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า มีผู้โดยสารราว 10 กว่ารายถูกนำส่งโรงพยาบาล หลังจากมีอาการหายใจติดขัด แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บรุนแรง หรือมีความเสียหายหนักแต่อย่างใด

ขณะที่รอยเตอร์ รายงานว่ามีผู้โดยสาร 9 รายถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยปัญหาเรื่องการหายใจ และทุกคนได้รับการปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลหลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง

ทั้งนี้ มีผู้โดยสารวัย 44 ปี เปิดเผยกับสำนักข่าวยอนฮับว่า “มันเกิดความชุลมุนจากการที่ผู้โดยสารที่นั่งใกล้ประตูทางออกฉุกเฉินเริ่มเป็นลมกันทีละคน และเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินประกาศว่ามีหมออยู่บนเครื่องบินนี้บ้างมั้ย ฉันยังคิดว่าเครื่องบินกำลังจะระเบิด และคิดว่าฉันกำลังจะตายแบบนี้หรือ”

แอร์สาวสายการบินดังของฮ่องกง ดูถูกผู้โดยสารจีน บอกจะไม่ให้ผ้าห่ม หากผู้โดยสารพูดภาษาอังกฤษไม่ได้‼

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 โลกโซเชียลได้แชร์เรื่องราวสุดดรามา ที่กำลังได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์สนั่นโซเชียลจีนอยู่ในขณะนี้ ถึงเรื่องของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบิน ‘คาเธ่ย์ แปซิฟิค แอร์ไลน์’ (Cathay Pacific Airlines) หรือภาษาจีน คือ ‘国泰航空’ เป็นสายการบินของฮ่องกง ได้ใช้ถ้อยคำดูถูกผู้โดยสารจีนที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ โดยระบุว่า…

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2023 บนเที่ยวบิน CX987 จาก เฉิงตู เดินทางไปยังฮ่องกง ได้มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 3 คน ที่ได้แสดงพฤติกรรมเลือกปฏิบัติ และเหยียดผู้โดยสารชาวจีน ที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้

เนื่องจากผู้โดยสารชาวจีน ต้องการผ้าห่ม จึงขอกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่กลับโดนพนักงานตอบกลับมาว่า “Can You Speak English?” “If you cannot say blanket in English , you cannot have it”

แปลเป็นไทยคือ “คุณพูดอังกฤษได้มั้ย ถ้าพูดไม่ได้ คุณก็จะไม่ได้ผ้าห่มไปหรอก”

ซึ่งทางผู้โดยสารจีนรายนี้ก็พยายามนึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และพูดขึ้นมาว่า ‘Carpet’ ซึ่งแปลว่า ‘พรม’

ปรากฏว่ากลับโดนแอร์สาวบนเครื่อง หัวเราะขบขันด้วยความตลก แล้วแอร์สาวก็พูดภาษาอังกฤษตอบไปว่า “Carpet is on the floor” (พรมก็อยู่ที่พื้นไง)

ปรากฏว่ามีผู้โดยสารท่านอื่นที่เห็นเหตุการณ์ ก็ได้อัดคลิปเสียงสนทนานั้นเอาไว้ แล้วก็โพสต์ลงโซเชียลจีน ว่าตนรู้สึกแย่มากๆ ทำไมแอร์โฮสเตส ต้องปฏิบัติแย่ๆ กับคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แบบนี้ด้วย

ล่าสุดกลายเป็นประเด็นร้อน มีชาวจีนจำนวนมากต่างออกมาประนามสายการบินคาเธ่ แปซิฟิก และจะร่วมกันแบนสายการบินนี้ไม่ขอใช้บริการอีก

ร้อนถึงทางสายการบินต้องรีบออกมาประกาศชี้แจงและขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และประกาศปลดพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทั้ง 3 คน ให้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานแล้ว

ในส่วนความคิดเห็นชาวจีน มีหลายความเห็นออกมาแชร์ประสบการณ์ว่า ตนก็เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ เมื่อบินกับสายการบินนี้มาแล้ว ส่วนตัวคิดว่าแย่มากๆ ที่พนักงานมีทัศนคติแย่ๆ แบบนี้ และสายการบินทำถูกแล้ว ที่รีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม

‘เมตา’ ยื่นอุทธรณ์ หลังถูก EU ปรับ 1,200 ล้านยูโร ฐานกระทำผิด ละเมิดกฎปกป้องข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า

เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 66 สำนักข่าวอินโฟเควสท์ รายงานว่า บริษัท เมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ออกแถลงการณ์ระบุว่า ทางบริษัทจะยื่นอุทธรณ์ หลังสหภาพยุโรป (EU) ประกาศปรับบริษัทเป็นจำนวนเงิน 1.2 พันล้านยูโร (1.3 พันล้านดอลลาร์) หรือราว 45,000 ล้านบาท เนื่องจากละเมิดกฎระเบียบเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลของลูกค้าใน EU

“เราจะอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว และจะขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดจากคำสั่งดังกล่าว ซึ่งรวมถึงผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนหลายล้านคนในแต่ละวัน” แถลงการณ์ระบุ

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการปกป้องข้อมูลของไอร์แลนด์ ซึ่งควบคุมดูแลการดำเนินงานของเมตาใน EU ได้กล่าวหาว่าทางบริษัทได้ละเมิดกฎระเบียบการปกป้องข้อมูลทั่วไป (GDPR) ด้วยการส่งข้อมูลส่วนตัวของพลเมืองในยุโรปไปยังสหรัฐ แม้มีคำตัดสินจากศาลยุโรปในปี 2563

คำสั่งปรับดังกล่าวถือว่ามีวงเงินสูงสุดนับตั้งแต่ที่ EU มีคำสั่งลงโทษบริษัทที่ละเมิดกฎระเบียบ GDPR โดยบริษัทที่ถูกปรับสูงสุดก่อนหน้านี้คือบริษัทแอมะซอน ซึ่งถูกปรับเป็นเงิน 746 ล้านยูโรในปี 2564

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการฯ ยังมีคำสั่งให้เมตาระงับการโอนข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าใน EU ไปยังสหรัฐภายในเวลา 5 เดือนนับตั้งแต่มีคำตัดสินดังกล่าว

เว็บเทรด ‘Hotbit’ ของฮ่องกง ประกาศยุติให้บริการ หลังบริษัทประสบปัญหาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022

เมื่อวาน 22 พ.ค. 66 Hotbit กระดานเทรด Crypto ที่จดทะเบียนในฮ่องกง ประกาศว่า จะยุติการดำเนินงานในวันที่ 22 พฤษภาคม และขอให้ผู้ใช้บริการทำการถอนเงินออกก่อนเวลา 11.00 น. ของวันที่ 21 พฤษภาคมตามเวลาไทย

สำหรับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ บริษัทได้ให้เหตุผลว่า การดำเนินงานของบริษัทเริ่มย่ำแย่ลง หลังจากอดีตสมาชิกทีมคนหนึ่งถูกสอบสวนเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2022 และบริษัทถูกสั่งให้ยุติการดำเนินธุรกิจเป็นเวลาหลายสัปดาห์

Hotbit ยังได้อ้างถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในวงการ Crypto ด้วยว่า สถานการณ์เหล่านั้นก็ส่งผลต่อบริษัทด้วยเช่นกัน รวมไปถึงการล่มสลายของ FTX และวิกฤตการธนาคารที่ส่งผลให้ USDC หลุด Peg ทำให้เงินทุนของบริษัทไหลออกอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ทีมของ Hotbit ยังเชื่อด้วยว่า กระดานเทรดแบบรวมศูนย์ ‘มีความยุ่งยากมากขึ้น’ และ ‘ดูเหมือนว่าจะไม่ตอบสนองต่อเทรนด์แนวโน้มในระยะยาว’ พร้อมกล่าวว่า หนทางเดียวในการแก้ไขปัญหานี้ คือ การทำให้กระดานเทรดมีความกระจายศูนย์ หรือยอมรับกฎระเบียบต่าง ๆ

บริษัทยังได้กล่าวโทษการโจมตีทางไซเบอร์และการใช้ประโยชน์จาก ‘โปรเจกต์ที่มีข้อบกพร่องโดยผู้ไม่ประสงค์ดี’ ที่ส่งผลให้กระดานเทรดแห่งนี้เดินทางมาถึงคราวล่มสลาย

หลังจากการประกาศนี้ถูกเผยแพร่ คนในชุมชน Crypto หลายคนได้ออกมาบ่นตัดพ้อว่า พวกเขาไม่สามารถถอนเงินออกจากกระดานเทรดได้
 

‘ชาวเซอร์เบีย’ ส่งมอบปืนคืนรัฐฯ กว่าหมื่นกระบอก หลังเกิดโศกนาฏกรรมกราดยิงในโรงเรียน

‘เซอร์เบีย’ เป็นประเทศที่มีอัตราการถือครองอาวุธปืนมากเป็นอันดับ 5 ของโลก และมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในยุโรป ปัจจุบันจากจำนวนชาวเซอร์เบียราว 7 ล้านคน มีการถือครองปืนมากถึง 2.7 ล้านกระบอก และมากกว่าครึ่งเป็นอาวุธปืนที่ครอบครองโดยผิดกฎหมาย

วัฒนธรรมการถือครองปืนของชาวเซอร์เบีย เริ่มแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ช่วงหลังสิ้นสุดสงครามยูโกสลาเวียในปี 1989 ซึ่งชาวเซอร์เบียมองว่า การมีอาวุธปืนในครอบครองถือเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานในการป้องกันตนเอง อีกทั้งการใช้ปืน ยังเป็นส่วนหนึ่งในพิธีแต่งงาน งานเฉลิมฉลองในวันเกิดทารก หรือแม้แต่เป็นหนึ่งในสมบัติประจำครอบครัวที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

แต่ทั้งนี้ คดีอาชญากรรมที่ใช้ปืนเป็นอาวุธในเซอร์เบียอยู่ในระดับกลาง ราวๆ 0.3 คดีต่อประชากร 100,000 คน และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ อีกด้วย อาจทำให้ชาวเซอร์เบียชะล่าใจว่า การถือครองปืนไม่ได้ส่งผลต่อระดับคดีอาชญากรรมในประเทศ จนกระทั่ง เกิดเหตุโศกนาฎกรรม กราดยิงครั้งใหญ่ ติดต่อกันถึง 2 แห่งภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในโรงเรียน Vladislav Ribnikar Model Elementary School ชานกรุงเบลเกรด โดยนักเรียนอายุ 13 ปี ใช้ปืนของพ่อกราดยิงเพื่อน และ ครูในโรงเรียน เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน หลังจากนั้นเพียง 2 วัน เกิดเหตุชายวัย 21 ขับรถไล่ยิงคนตามหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ทางใต้ของกรุงเบลเกรด จนมีผู้เสียชีวิตถึง 8 รายในคืนเดียว

จากเหตุสลดดังกล่าว ทำให้ชาวเซอร์เบียเริ่มตระหนักถึงอันตราย จากการมีอาวุธใกล้มือเกินไปที่บ้าน และเรียกร้องให้ประธานาธิบดี อเล็กซานดาร์ วูซิส ออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนโดยทันที

ด้านผู้นำเซอร์เบีย ก็ได้ออกคำสั่งกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน และเพิ่มโทษการถือครองอาวุธปืนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนถูกต้อง ด้วยโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี

แต่ประธานาธิบดี วูซิส ได้ประกาศช่วงนิรโทษกรรม 1 เดือนให้กับชาวเซอร์เบียทุกคนที่ยังครอบครองอาวุธปืนเถื่อน ให้นำมาส่งมอบคืนกับรัฐบาล จะได้รับการยกเว้นโทษ ซึ่งช่วงนิรโทษกรรมเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ไปจนถึง 8 มิถุนายนนี้ หากพ้นชวงนี้ไป ทางรัฐบาลเซอร์เบียจะเริ่มนโยบายกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน และใครที่ยังถือครองอยู่จะได้รับโทษตามกฏหมาย ไม่มีละเว้น

ซึ่งทันทีที่มีประกาศ ชาวเซอร์เบียก็ได้นำอาวุธไปคืนให้กับรัฐบาลเซอร์เบียเป็นจำนวนมาก จนกองพะเนินเป็นภูเขา และยังเป็นที่น่าตกตะลึงว่า ในจำนวนปืนที่นำมาส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ นอกจากจะมีปืนกล ปืนกึ่งอัตโนมัต ที่เป็นกลุ่มอาวุธที่รัฐบาลไม่อนุญาตให้พลเรือนครอบครองอยู่แล้ว ยังพบปืนต่อสู้รถถัง และ ปืนยิงขีปนาวุธ บางส่วนด้วย ซึ่งนับรวมแล้วตอนนี้มีปืนจากประชาชน ส่งคืนให้รัฐบาลไม่น้อยกว่า 13,500 กระบอก

แม้ว่าการเปลี่ยนวัฒนธรรมการครอบครองปืนของชาวเซอร์เบียจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โดยผู้นำเซอร์เบียได้ออกมากล่าวชื่นชมชาวเซอร์เบียที่นำอาวุธมาส่งคืนให้ เพราะมีตัวเลขที่น่าสนใจว่า ในจำนวนปืนราวหมื่นกระบอกนี้ กว่าครึ่งเป็นปืนที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง แต่ชาวเซอร์เบียบางส่วนก็ยินดีส่งมอบคืนให้แก่รัฐบาล เพราะเห็นว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ปืนเหล่านี้แล้ว อีกทั้งไม่อยากเห็นเหตุกราดยิงเกิดขึ้นในเซอร์เบียอีก

การออกมาตรการควบคุมอาวุธปืนในเซอร์เบีย กำลังจะเป็นที่สนใจอย่างมากในอีกประเทศที่มีปัญหาคดีอาชญากรรมจากอาวุธปืนอย่างหนัก นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกา

โดยสื่อในสหรัฐ พยายามถอดรหัส ‘เซอร์เบียโมเดล’ การปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนลดการถือครองอาวุธปืน และสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยได้โดยปราศจากอาวุธ

แต่โมเดลเซอร์เบีย อาจจะเกิดขึ้นไม่ง่ายที่สหรัฐ เนื่องจากในเซอร์เบียไม่มี ‘สมาคมปืนแห่งชาติ’ ที่พร้อมทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อล็อบบี้นักการเมืองอเมริกัน ในการยกมือคัดค้านกฎหมายควบคุมอาวุธปืน โดยอ้างสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ มานานนับร้อยปีนั่นเอง

‘เจฟฟรีย์ เอปสตีน’ แฉ!! ‘บิล เกตส์’ ปมชู้สาว เผย แอบนอกใจอดีตภรรยา ไปควงสาวรัสเซียวัย 20 ปี!!

‘เจฟฟรีย์ เอปสตีน’ นักค้าประเวณีที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด ล่าสุดมีท่าทีที่เหมือนจะข่มขู่ ‘บิล เกตส์’ เศรษฐีพันล้าน ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft และพยายามแบล็กเมล์เรื่องชู้สาวกับนักเล่นบริดจ์ชาวรัสเซีย ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่โดยวอลล์สตรีทเจอร์นัล

แหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้กล่าวกับวารสารว่า หลังจากที่ เจฟฟรีย์ เอปสตีน รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft กับผู้เล่นบริดจ์ชาวรัสเซีย ชื่อ ‘Mila Antonova’ โดยขู่ว่า บิล เกตส์ จะคืนเงินค่าเล่าเรียนให้ตน ซึ่งเจฟฟรีย์ เอปสตีน เป็นคนจ่ายให้ Mila Antonova ในตอนแรก เพื่อเข้าร่วมการเขียนโปรแกรมซอฟต์แวร์ของโรงเรียน

‘สวิตเซอร์แลนด์’ ประเทศที่มีความเป็นกลางที่สุดในโลก เหตุใดยังจำเป็นต้องมี ‘ทหาร’ แม้อยู่ในภาวะไร้สงคราม

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘khaekhaitravel’ โพสต์คลิปบอกเล่าสาระความรู้ เกี่ยวกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถึงเรื่องของ ‘ทหาร’ ในประเทศที่มีความเป็นกลางมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก โดยระบุว่า…

“รู้หรือไม่? ผู้ชายชาวสวิตเซอร์แลนด์ทุกคน จำเป็น ‘ต้องเป็นทหาร’ และทหารทุกคนจะมีปืนไรเฟิลไว้ที่บ้าน เพราะที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นไม่ได้มีทหารเยอะเหมือนประเทศไทยบ้านเรา ด้วยความที่สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศขนาดเล็กและมีจำนวนประชากรเพียง 8.8 ล้านคน เพราะฉะนั้น ที่สวิตเซอร์แลนด์ส่วนมากจะมีแต่ทหารอาสา ซึ่งก็คือผู้ชายสวิตเซอร์แลนด์ที่ถูกฝึกทหารกันไว้แล้ว หากเกิดสงครามขึ้น คนสวิตฯ ก็พร้อมรบ เพราะมีอาวุธพร้อม และทหารที่พร้อมตลอดเวลา ส่วนใครที่ไม่ได้เป็นทหาร เช่น ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ มีความพิการ หรือเป็นนักกีฬาของประเทศ จะต้องจ่ายภาษี 3% ของรายได้ ซึ่งมีระยะเวลาที่ต้องจ่ายประมาณ 10-12 ปีเลยทีเดียว และหากเป็นผู้ที่ไม่มีรายได้ก็จะจ่ายภาษีส่วนนี้น้อยลง”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกยังกล่าวอีกว่า การเป็นทหารที่สวิตเซอร์แลนด์ค่อนข้างมีความยืดหยุ่น เพราะผู้ชายที่สวิตฯ ต้องเป็นทหารกันประมาณ 300 วัน ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นทหารไปเลยเป็นระยะเวลา 1 ปี หรือจะเลือกเป็นทหาร 10 ปีก็ได้ เพราะบางคนก็ไม่สะดวกที่จะหยุดทุกอย่างเพื่อไปเป็นทหาร ที่สวิตเซอร์แลนด์จึงสามารถเลือกเป็นทหารกันประมาณ 10 ปี โดยแต่ละปีผู้ชายชาวสวิตฯ จะต้องมาฝึกทหารเป็นเวลา 2-3 อาทิตย์ เพื่อสะสมชั่วโมงหรือสะสมวันให้ครบนั่นเอง

“จริงๆ เคยมีคำถามจากประชาชนเยอะมาก ว่าเหตุใดประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเป็นกลาง แต่ทำไมถึงต้องใช้งบประมาณจำนวนมากไปกับทหาร ซึ่งประชาชนบางส่วนก็ไม่เห็นด้วย แต่สวิตเซอร์แลนด์ก็มองว่า ถึงแม้ประเทศเขาจะมีความเป็นกลาง แต่ก็ต้องมีความมั่นคงไปด้วย เช่น เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้ให้ประชาชนร่วมกันโหวต ว่าจะซื้อเครื่องบินรบดีหรือไม่ ปรากฎว่า เสียงข้างมาก หรือคิดเป็นประมาณ 50.1% มีมติเห็นด้วยที่จะอนุมัติการซื้อเรื่องบินรบ” ผู้ใช้ติ๊กต็อก กล่าว

เรือสำราญขนาดใหญ่ สร้างขึ้นภายในประเทศลำแรก ตั้งตระหง่าน ณ เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ ทางตะวันออกของจีน

(ซินหัว) — วันศุกร์ (19 พ.ค. 66) จีนเปิดเผยชื่อของเรือสำราญขนาดใหญ่ที่ถูกก่อสร้างขึ้นภายในประเทศเป็นลำแรก ณ เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน

สำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ และบริษัท ไชน่า สเตท ชิปบิลดิง คอร์ปอเรชัน ครูซ เทคโนโลยี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (CCTD) ระบุว่าเรือสำราญ “อะดอรา แมจิก ซิตี” (Adora Magic City) มุ่งมอบประสบการณ์ล่องเรืออันมีเอกลักษณ์ที่ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกอย่างลงตัว

เรือสำราญลำนี้ถูกออกแบบและก่อสร้างโดยซีซีทีดี ร่วมกับบริษัท เซี่ยงไฮ้ ว่ายเกาเฉียว ชิปบิลดิง จำกัด (SWS) มีขนาดยาว 323.6 เมตร ระวางบรรทุกรวม 135,500 ตัน สามารถรองรับผู้โดยสารสูงสุด 5,246 คน คาดว่าจะถูกส่งมอบภายในสิ้นปี 2023 และมีเซี่ยงไฮ้เป็นท่าเรือหลักในช่วงเริ่มต้นการเดินเรือ

อนึ่ง เรือสำราญลำนี้จะเดินเรือบนเส้นทางระหว่างประเทศระหว่างท่าเรือหลักในเซี่ยงไฮ้และท่าเรือจุดหมายในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากมีการส่งมอบอย่างเป็นทางการแล้ว ขณะเดียวกันจะมีการเปิดเส้นทางเดินเรือระยะกลางและระยะยาว เพื่อขยับขยายการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนและประเทศอื่นๆ

‘พงศ์พรหม’ โพสต์เตือน ก้าวไกล กับประเทศไทย ในเวทีโลก อย่าสร้างศัตรู ต้องวางตัวให้ดี เป็นกลาง อย่าอิงข้างแต่อเมริกา

นายพงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับแนวทางในการบริหารประเทศของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางในการดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศ มีใจความว่า

อย่างที่บอก ผมยอมรับกติกานะ แพ้เป็นแพ้

ให้พวกก้าวไกลบริหารประเทศไป อย่าไปขวาง

แต่เรื่องของเรื่องคือ ยังไม่ทันเป็นรัฐบาลเลย

ขู่ไปทั่ว ขู่ทหาร ขู่ สว. ที่อันตรายมากคือขู่จีน อย่างหยาบคาย

ตอนที่สถานะเป็นผู้สมัครนี่เรื่องนึงนะ จะด่าสีจิ้นผิงอย่างไรก็เป็นเสียงชาวบ้าน

แต่พอเป็นรัฐบาลปุ๊บ ด่าสีจิ้นผิง คือเท่ากับประเทศไทยด่าประเทศจีน

ยังไม่ทันไร สร้างศัตรูแล้ว โดยเฉพาะกับจีน

ลองหาข้อมูลนะ เจ้าพ่อเจ้าแม่อินเตอร์เน็ททั้งหลาย มันเป็นวิทยาศาสตร์มาก

จีนกับรัสเซียทำพันธะสัญญาบ้านพี่เมืองน้องไปแล้ว พวกเธอคงไม่รู้

รบกับจีน จึงเท่ากับรบกับรัสเซียด้วย

ไปดูเรือรบที่วิ่งในแปซิฟิคตอนนี้ เห็นกองเรือจีนและกองเรือรัสเซียไหม?

เทียบกับกองเรือตะวันตกที่เข้ามากวนประสาทแถวไต้หวันแล้วมันฟ้ากับเหว

ถ้าไม่เห็น ต้องถ่างตากว้างๆ นะ ไม่งั้นเสียชื่อคนรุ่นใหม่ที่คุยกว่าเก่งทางเทคโนโลยี

 

คราวนี้ซูมเอ้าท์ออกมาดูภาพกว้างขึ้น จะเปรียบเทียบให้ฟัง

 

ยูเครนปกครองโดยเซเลนสกี้ที่เป็นคนของยิวอิสราเอล (เอาตรงๆ)

เป้าหมายมันคือเปลี่ยนยูเครนตะวันตกให้เป็นอิสราเอลสอง

เพราะอิสราเอลหนึ่ง เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง (เปอร์เซียรวมตัวกันแล้ว)

แล้วมันก็จะทำให้แนวตะเข็บตะวันออกเป็นแนวป้องกันไว้ทิ่มแทงรัสเซีย

ดังนั้นจึงตะกายจะเข้านาโต้ เพราะล่อเป้าอย่างนี้

ถูกโจมตีเมื่อไหร่เท่ากับโจมตีนาโต้ทั้งหมด

อเมริกานั้นเจ้าเล่ห์ ไม่รบเองแต่จะผลักยุโรปทั้งทวีปให้ลุยแทน

แต่ไม่ทัน

รัสเซียทุบเลยทันที และยังไม่มีแนวโน้มจะเลิกทุบจนวันนี้

 

ถามว่า อเมริกาและยุโรปช่วยอะไรได้?

ไปถ่างตาดูหาข้อมูลจริงๆ ซะ อย่า 'เฮใน' แต่สื่อตะวันตก

ความเป็นจริงคือ จนบัดนี้ยังทำอะไรไม่ได้

ยูเครนพินาศย่อยยับไปทั่ว ทั้งที่เขายังยั้งมือไม่ลุยเต็มที่

ตะวันตกส่งอาวุธโบราณเหลือใช้ไปให้ ไม่โดนถล่มทิ้ง ทหารยูเครนก็เอาไปขาย

พวกแองโกลแซกซอนนั้นไม่กล้ารบ และใช้การบอยคอตทางเศรษฐกิจแทน

ตามด้วยแอนตี้พลังงานรัสเซีย

ผลออกมาคือ ยุโรปทั้งทวีปวุ่นวาย เกิดวิกฤติพลังงาน เศรษฐกิจปั่นป่วน

แต่รัสเซียไม่เดือดร้อนเลย เงินรูเบิ้ลสูงค่าที่สุดในประวัติศาสตร์

 

ผ่านไปไม่นาน อะราเบี้ยนโอเปคทั้งหมดไม่เว้นแม้ซาอุฯ หันไปจับมือรัสเซีย-จีน

โอเปคใหม่ ไม่มีอเมริกามาเอี่ยวอีกต่อไป

ไม่รับอเมริกันดอลล่าร์ และใช้เงินสกุลใดก็ได้ที่มีทองคำสำรองมาซื้อน้ำมัน

ผลคือ จบยุคของเปโตรดอลล่าร์

 

วันนี้ ทั้งอ่าวเปอร์เซียผนึกกันเป็นหนึ่ง สงครามตัวแทนทั้งหมดหยุด

แม้แต่ซาอุที่จับมือ UAE รังแกเยเมนมาตลอดหลายสิบปี หยุดรบกันแล้ว

ที่น่าตะลึงกว่านั้นคือ

อิหร่านที่โดนอเมริกาและตะวันตกแบนมาหลายสิบปี แข็งแกร่งกว่าเดิม

และอย่างที่รู้ เขามีอาวุธนิวเคลียร์

เลยกลายเป็นเหมือนตัวแทนผู้นำในเปอร์เซียไปโดยปริยาย

แม้แต่กษัตริย์ซาอุเองยังไปพูดคุยจับมือกับผู้นำอิหร่าน มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ตามด้วยบริจาคเงินให้เยเมนฟื้นฟูประเทศ (* เรื่องที่เธอไม่รู้ยังมีอีกเยอะ)

แม้แต่ซีเรียที่โดนอเมริกาทำลายวินาศไปแล้ว ยังฟื้นลุกขึ้นมาได้

นี่เป็นส่งที่เกิดขึ้นจริงเป็นที่รับรู้ไปทั่วโลก

ผมแปลกใจที่มีคนไทยมากมายหูหนวกตาบอดไม่รู้เรื่องพวกนี้ไปได้

คิดว่าคงดูแต่ CNN BBC ABC NBC CBS Fox Rueter..

สื่อพวกนี้อยู่ใต้ทุนตะวันตกเดียวกันทั้งหมด

หรือไม่ก็ดูแต่เว็บโป๊เว็บพนัน

 

สำนักข่าวทางเลือกที่จะหาอ่านได้ มันไม่ได้ซ่อนตัวเป็นเว็บลับนะ

ลองเลือกอ่านดูบ้าง ตัวอย่างเช่น

https://www.rt.com/

https://www.aljazeera.com/

https://www.scmp.com/

 

คงต้องไปหาข้อมูลจริงๆ มาศึกษาแล้ว ในฐานะเป็นรัฐบาล

จะมาอ่านข่าวเอาใจเชียร์ใน ไม่ได้อีกต่อไป

จะไปหวังอินเทลจากอเมริกาที่ป้อนข่าวปลอมให้ตลอดไม่ได้

คุณต้องมีอินเทลของคุณเอง.. ก็ไอ้ กอรมน ที่คุณจะยุบนั่นแหละ

ไอ้ที่คิดหวังว่าจะยืนข้างอเมริกา

ก็ดูเอาว่า การแทรกแซงฮ่องกงเป็นอย่างไร พม่าเป็นอย่างไร

และที่ฉิบหายวายป่วงที่สุดคือยูเครนเป็นอย่างไร

ในสัปดาห์ข้างหน้าคอยดูตุรกีและปากีสถาน

สมเด็จแยงกี้ไม่ขลังอีกต่อไปแล้ว

 

ผมคิดแล้วไม่เข้าใจว่าพวกเขาฉลาดจริงหรือ

จู่ๆ จะยอมให้เอาขีปนาวุธมาตั้งบนหลังคาแล้วคิดว่าบ้านจะนอนหลับสบาย

 

ที่นี้ลองจินตนาการดูว่า ถ้ามันเลยเถิดไปกว่าสงครามม็อบฟันน้ำนม

ต่อให้นองสีหรือนองเลือด ตีรันฟันแทงกันก็คงไม่น่าจะหายนะนัก

แต่ถ้ามันจะขยับไปขนาดสมดุลย์อำนาจจะพังทลาย

และบ้านเมืองจะเข้าสู่สงครามความขัดแย้งระดับโลก

ผมไม่เชื่อว่า พวกทหารระดับบัญชาการจะปล่อยให้เกิด

นักการเมืองพวกนี้ได้ขู่คำรามอย่างไม่ไตร่ตรองออกมา

ว่าจะกวาดล้างอำนาจทหารของพวกเขาให้สิ้น

ผมไม่ต้องแทงหวยเลยก็รู้ว่า ถ้าบีบขนาดนั้นจะมีรัฐประหารแน่นอน

แต่คราวนี้ จะไม่ได้แค่ออกมาจัดแถวเหมือนครั้งก่อนๆ อีกแล้ว

แต่จะเป็นเผด็จการจริงๆ เจ็บจริง ตายจริง

และอาจไม่ลังเลที่จะใช้กำลังพลเข้าปราบปรามรุนแรง

เชื่อได้ว่าการล้างบางครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น เพราะได้รับบทเรียนต้อนติดมุมแล้ว

ดีไม่ดีก็ฟันมันให้หมดทั้งการเมืองสองฝ่ายที่สร้างปัญหามาหลายสิบปี

แบบไม่สนน้ำหน้ายูเอ็นหรือยุโรปอเมริกันตะวันตกอีกต่อไป….

 

ถามว่า แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ไหม?

ไม่ได้เพ้อ.. ผมว่าเป็นไปได้? มันมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า

ไม่สนตะวันตก อเมริกา ยูเอ็น ก็ไม่ทำให้ตกที่นั่งลำบากหรือโดนรุมอีกแล้ว

ต้องเข้าใจด้วยว่าสายบังคับบัญชาและอำนาจกองทัพเหมือนกันทั้งโลก

แม้แต่อเมริกาที่แสนสวยของคุณ รัฐบาลก็ไม่ได้มีอำนาจคุมกองทัพจริงๆ

มันเป็นไปโดยหน้าฉาก

เมื่อไหร่ที่มันเกิดงัดกัน ประธานาธิบดีก็โดนเก็บได้ … JFK เป็นต้น

คุณอาจแฟนตาซีถึงเทียนอันเหมิน พร่ำเพ้อจิตวิญญาณหาญกล้า

วีรชนผู้งดงามยืนหยัดเพื่อความดี ได้ปรากฏบนทวิตเตอร์ไปทั่วอย่างทรนง

เหมือนกับที่หลอนหลอกด้วย 14 ตุลา 6 ตุลา วนเวียนอยู่ไม่จบ

แต่ความเป็นจริงคือ เทียนอันเหมินผ่านไปแล้วและจีนยังคงเป็นคอมมิวนิสท์

หนำซ้ำยังแข็งแกร่งเกินต้าน เจริญแซงหน้าอเมริกาไปแล้ว

ใครจะหลับหูหลับตาไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ก็เชิญตามสบาย

แต่ถ้าอยากจะพิสูจน์ ลองเสิร์ชดูภาพสถานีอวกาศนานาชาติเทียบกับสถานีอวกาศจีน ตะวันตกตั้งกี่ชาติรวมกันเพื่อสถานีอวกาศโบราณอันหนึ่ง แถมต้องอาศัยจรวดรัสเซียขึ้นไป มาตลอดหลายปี แต่จีนชาติเดียวบินเดี่ยวไปมีสถานีอวกาศของตัวเอง แถมตอนนี้กำลังสำรวจ dark side of the moon

หรือจะดูสินค้าจีนอย่างเช่นจักรยานไฟฟ้าใน Alibaba เทียบกับ Amazon ก็ยังเห็นภาพรวม

 

ถามว่า ก็ถ้าเกิดกองทัพทหารไทยออกมาบ้าเลือดอย่างนั้นบ้าง

พวกเธอจะออกมายืนขวางรถถังแบบเทียนอันเหมินแล้วคิดว่าจะหยุดได้ไหม

ผมก็ไม่ชอบหรอกนะ แต่พอถึงระดับนั้นแล้ว พวกคุณ พวกผม พวกไหนก็หยุดไม่ได้

(คนที่หยุดได้อยู่บนสวรรค์)

คุณจะด่าว่าชั่วร้ายหยาบคายสาดสีอย่างไร

ก็ไม่อาจเปลี่ยนเชนออฟคอมมานด์มาอยู่ในมือคุณด้วยน้ำลาย

ต่อให้คุณไปตามนายกในอดีตมาอีกสิบคนขี่คอกันออกมาต้าน

ก็หยุดไม่ได้หรอก

ก็ดูสิว่า ระดับรัฐบาลอเมริกันและยุโรปพ่นกันน้ำลายฟ่อด

ก็ไม่เห็นจะหยุดกองทัพปูตินได้สักนิด ฉันใดฉันนั้น

 

ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าด้วยภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบัน

การเลือกมหาอำนาจหลายขั้วคือทางเลือกใหม่โดยแท้

ถ้าคุณเป็นคนรุ่นใหม่จริง จะเปลี่ยนโลกสู่ยุคใหม่จริง

คุณควรเลือก มหาอำนาจหลายขั้วสิ ไม่ใช่ขั้วเดียวแบบเจ็ดสิบปีที่ผ่านไป

 

ถามว่า หากกองทัพไทยที่อาจออกมาปฏิวัติรอบนี้ จะทำตัวเหมือนอิหร่าน

และแตะเป็นแนวร่วมกับจีนรัสเซียแทน ผมถามว่า อเมริกาจะทำอะไรได้?

 

แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากเห็นบ้านเมืองไปถึงจุดนั้น

เพราะฉนั้นอย่าสุดโต่ง เมาน้ำลาย หลงไหลยอดไล๊ค์

จะก้าวหน้าไปสู่ยุคใหม่แล้วทำไมไม่ฉลาดหน่อยที่จะรู้จักสร้างมิตร

มันไม่แปลก ที่จะสู้กับพลเอกประยุทธ์หรือพลเอกประวิตรหรอกนะ

แต่มันโง่บัดซบ ที่จะพัฒนาประเทศไปพร้อมกับการสู้กับกองทัพประชาชนจีน

ในรัศมีที่จรวดไฮเปอร์โซนิควิ่งมาถึงบ้านเราในเวลาไม่ถึงสามสิบวินาที

อเมริกายังไม่กล้าเลย

เพราะมันใช้เวลาวิ่งไปดีซีแค่เจ็ดนาที

แต่ถ้าวิ่งมาลงแถวนี้ พวกมันไม่เดือดร้อนอะไรเลยไง

ก็ลองไตร่ตรองกันดูเถิด

‘นักวิเคราะห์’ เตือน!! ปัญหาสังคมผู้สูงอายุ อาจกระทบเครดิตเรทติ้งรัฐบาลทั่วโลก

สังคมผู้สูงอายุเริ่มส่งผลกระทบต่อการเงินสาธารณะทั่วโลกแล้ว โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่ง ได้ออกมาเตือนว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ได้เพิ่มผลกระทบของต้นทุนเงินบำนาญและการดูแลสุขภาพที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ มูดี้ส์, เอสแอนด์พี และฟิทช์เตือนว่า สถานการณ์ด้านประชากรที่ย่ำแย่ลงเริ่มส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลต่าง ๆ แล้ว หลังธนาคารกลางทั่วโลกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่พุ่งทะยานขึ้น

มูดี้ส์, เอสแอนด์พี และฟิทช์กล่าวด้วยว่า ทางสถาบันมีแนวโน้มที่จะต้องปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของแต่ละประเทศหากไม่มีการปฏิรูปขนานใหญ่ ซึ่งเสี่ยงที่จะสร้างวงจรภาระทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นและต้นทุนการกู้ยืมเงินที่เพิ่มสูงขึ้น

“ในอดีต ประเด็นด้านประชากรศาสตร์นั้นถือเป็นปัจจัยพิจารณาระยะกลางและระยะยาว แต่ขณะนี้ ประเด็นดังกล่าวได้ขยับเข้ามาและเริ่มกระทบอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศแล้ว” นายดีทมาร์ ฮอร์นุง รองกรรมการผู้จัดการของมูดี้ส์ กล่าว

สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์สรายงานว่า ในเดือนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ต่างก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์การเงิน ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนในการชำระหนี้ของรัฐบาล

“เมื่ออัตราการเกิดชะลอตัวลง ปัญหาก็เร่งด่วนมากยิ่งขึ้น” นายเอ็ดเวิร์ด ปาร์กเกอร์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยประเทศและนานาชาติของฟิทช์ระบุ พร้อมกล่าวเสริมว่า “หลายประเทศกำลังเผชิญผลกระทบไม่พึงประสงค์ โดยผลกระทบดังกล่าวมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ”

ด้านนายมาร์โค เมิร์สนิก หัวหน้านักวิเคราะห์ประเทศของเอสแอนด์พีระบุว่า ต้นทุนการกู้ยืมเงินที่เพิ่มขึ้น 1 จุดเปอร์เซ็นต์ จะเพิ่มอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศสำหรับญี่ปุ่น, อิตาลี, อังกฤษ และสหรัฐประมาณ 40-60 จุดเปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2603

‘กูรู EV จีน’ ชี้ ‘การปฏิวัติรถยนต์’ เข้าสู่ระยะใหม่ ใช้ชิปเป็นเทคโนโลยีหลัก ขับเคลื่อนการเดินทางอัจฉริยะ

เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ฮ่องกง รายงานว่า ยานยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ขณะโลกกำลังผลักดันเป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดย ‘เฉิน ชิงเฉวียน’ (C.C.Chan) นักวิทยาศาสตร์ด้านวิศวกรรม และผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าของฮ่องกง เชื่อว่าการปฏิวัติรถยนต์ถึงเวลาเข้าสู่ระยะใหม่แล้ว

เมื่อไม่นานนี้ เฉินให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า การปฏิวัติระยะแรก คือ การเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้า และขณะนี้ถึงเวลาเข้าสู่การปฏิวัติช่วงครึ่งหลัง โดยอาศัยชิปรถยนต์และระบบปฏิบัติการเป็นเทคโนโลยีหลัก โดยอนาคตรถยนต์จะเปลี่ยนจากวิธีขนส่งแบบดั้งเดิม เป็นพื้นที่เดินทางเคลื่อนที่อัจฉริยะ นำสู่การบูรณาการเครือข่ายการขนส่ง พลังงาน ข้อมูล และวัฒนธรรม

เฉินเป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ณ มหาวิทยาลัยฮ่องกง รวมถึงเป็นประธานผู้ก่อตั้งสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าโลก (WEVA) โดยเขาได้รับเลือกเป็นนักวิชาการประจำสถาบันบัณฑิตวิศวกรรมจีน เมื่อปี 1997 ซึ่งนับเป็นนักวิชาการจากฮ่องกงคนแรก

เฉินเริ่มมุ่งเน้นการวิจัยเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่กว่า 40 ปีก่อน และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเทคโนโลยีนี้ โดยเขาได้รับรางวัลทัชชิง ไชน่า อะวอร์ด (Touching China Award) ปี 2022 ซึ่งเป็นรางวัลประจำปี เพื่อยกย่องบุคคลต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจมากที่สุดของประเทศในด้านต่างๆ เพื่อยกย่องคุณูปการอันโดดเด่นที่มีต่อเครื่องยนต์ไฟฟ้า ระบบไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า

เฉินระบุว่า การวิจัยด้านวิศวกรรมให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ พร้อมเน้นย้ำ ความสำคัญของการแปรเปลี่ยนผลการวิจัยและพัฒนา (R&D) สู่ผลิตภัณฑ์ในแวดวงวิศวกรรมรถยนต์ไฟฟ้า

ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าเกี่ยวพันกับการเดินทางในชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างใกล้ชิด ซึ่งเฉินมองว่า เหล่านักวิทยาศาสตร์ไม่ควรมุ่งเน้นเฉพาะความก้าวหน้าด้านการวิจัยและพัฒนาเท่านั้น แต่ควรคำนึงถึงความต้องการและการยอมรับของตลาดด้วย โดยมีเพียงวิธีนี้ที่สามารถผลักดันการวิจัยและพัฒนาไปข้างหน้าได้

เฉินออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก รุ่น ‘ยู 2001’ (U2001) ในปี 1993 โดย ‘ยู’ หมายถึง ‘สามัคคี’ และ ‘2001’ หมายถึง ‘การมุ่งสู่ศตวรรษที่ 21’ ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้ใช้พลังงานแบบบูรณาการ แบตเตอรี่พลังงานสูง และระบบช่วยเหลือการขับเคลื่อนอัจฉริยะ มีอัตราเร่ง 6.3 วินาทีต่อ 100 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง และระยะขับขี่ 180 กิโลเมตร

นักวิทยาศาสตร์ผู้ช่ำชองอย่างเฉินมีความหมั่นเพียรอย่างมาก และเป็นเลิศในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และมีความปรารถนาจะรับใช้มาตุภูมิด้วยความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อย

“ถ้าคุณตามหลัง คุณก็จะถูกแซงหน้า” เฉินกล่าว “ผมรู้สึกว่าโชคชะตาของคนๆ หนึ่งนั้น สัมพันธ์กับประเทศอย่างใกล้ชิด”

เฉินเกิดในครอบครัวผู้ประกอบการเชื้อสายจีนในอินโดนีเซียเมื่อปี 1937 และเดินทางสู่กรุงปักกิ่งเมื่อปี 1953 เพื่อศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าขณะมีอายุ 16 ปี ต่อมาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮ่องกงจนได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าในปี 1982 และมีส่วนร่วมในการสอนและวิจัยเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้านับตั้งแต่นั้น

เฉินบูรณาการยานยนต์ มอเตอร์ การควบคุม และเทคโนโลยีอื่นๆ เข้ากับการศึกษาแบบสหวิทยาการใหม่อย่างสร้างสรรค์ พร้อมวางรากฐานสำหรับทฤษฎียานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ รวมถึงมีส่วนส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีหลักอื่นๆ อย่างโดดเด่น จนขึ้นแท่นเป็นผู้ชี้นำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของจีน

เฉิน ในวัย 86 ปี ยังคงมีไหวพริบว่องไวและความจำดีเยี่ยม ทั้งยังเข้าใจแนวทางการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญของจีน

“ผมสรุปประเด็น 3 ข้อที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ได้แก่ ความต้องการเร่งด่วนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ การดูแลนักวิทยาศาสตร์และความคาดหวังต่อนักวิทยาศาสตร์ของประเทศ ตลอดจนโอกาสการมีส่วนร่วมในระดับประเทศและโลกของนักวิทยาศาสตร์” เฉิน อธิบาย

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2021-2025) ของจีน สนับสนุนการพัฒนาของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับนานาชาติอย่างชัดเจน โดยมีการออกสารพัดนโยบาย เพื่อสนับสนุนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในฮ่องกงตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เฉินแนะนำว่า ฮ่องกงมีความแข็งแกร่งด้านการวิจัยพื้นฐาน แต่ค่อนข้างมีจุดอ่อนด้านการประยุกต์ใช้ โดยฮ่องกงสามารถทำงานร่วมกับเมืองอื่นๆ ในเขตเศรษฐกิจอ่าวกว่างตง-ฮ่องกง-มาเก๊า และสร้างสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเมืองเหล่านั้น

เฉินชี้ว่า แต่ละเมืองในเขตเศรษฐกิจฯ มีข้อได้เปรียบของตัวเอง เช่น เซินเจิ้นมีผู้ประกอบการนวัตกรรมจำนวนมาก ตงก่วนมีระบบประมวลผลสนับสนุนที่สมบูรณ์ จึงควรมีการจัดตั้งห่วงโซ่ระบบนิเวศการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมุ่งเน้นการแบ่งปันทรัพยากรและเสริมสร้างความร่วมมือ เพื่อยกระดับความสามารถทางการแข่งขันในวิทยาศาสตร์ และนวัตกรรมโดยรวมของเขตเศรษฐกิจ

ปัจจุบันเฉินสาละวนกับการเตรียมสุนทรพจน์ เพื่อการประชุมวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจ ซึ่งจะจัดขึ้นช่วงปลายเดือนนี้ โดยเขาจะเดินหน้าแบ่งปันแนวคิดการปฏิวัติรถยนต์ต่อไป พร้อมเสริมว่า นักวิทยาศาสตร์ต้องแสวงหากฎธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ ต้องคิดการณ์ไกลยามทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และยึดมั่นทิศทางที่ถูกต้องจนนาทีสุดท้าย

‘รัสเซีย’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ เปรียบเสมือน หุ่นเชิดของ ‘สหรัฐฯ’ หวั่น ก้าวไกล ทำกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-จีน-รัสเซีย

(18 พ.ค. 66) สำนักข่าว RT ของประเทศรัสเซีย รายงานข่าวเกี่ยวกับการเลือกตั้งประเทศไทย โดยเรียกพรรคก้าวไกลว่าเป็น ‘พรรคโปรตะวันตก’

ไบรอันได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นผลลัพธ์ของความพยายามของสหรัฐอเมริกา ที่ได้ทุ่มเทเงินหลายล้านเหรียญมาเป็นเวลาหลายปี เพื่อให้พรรคการเมืองที่เป็นหุ่นเชิดของตัวเองได้ขึ้นมามีอำนาจ”

ไบรอันมองว่า หากพรรคก้าวไกลยังเดินตามนโยบายต่างประเทศในทางที่เคยแสดงท่าทีไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน และประเทศไทยกับประเทศรัสเซียจะถูกกระทบอย่างรุนแรง

‘ไบเดน’ ยกเลิกทริปเอเชีย บินด่วนกลับสภา เหตุต้องแก้ปัญหาเพดานหนี้ก่อนไม่เหลือเงินจ่ายหนี้

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ จำเป็นต้องยกเลิกกำหนดการณ์เยือนประเทศในย่านเอเชียอย่างกะทันหัน เพราะต้องกลับไปแก้ปัญหาเพดานหนี้ที่กำลังวิกฤติในสหรัฐฯ

โดย โจ ไบเดน จะยังคงเข้าร่วมงานประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G7 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่นตามกำหนดเดิมก่อน 3 วัน แล้วจะบินกลับสหรัฐฯ เลย ซึ่งจะต้องยกเลิกแผนการเยือนกลุ่มประเทศพันธมิตรในย่านเอเชียทั้งหมด รวมถึงงานประชุมกลุ่มประเทศสมาชิก QUAD ที่ออสเตรเลียด้วย 

นับเป็นภารกิจภายในประเทศที่สำคัญเร่งด่วนมาก เพราะหากแก้ไขวิกฤติเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ทัน จะมีผลร้ายแรงต่อเครดิต ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ เสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ และ ภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำโลกในระยะยาว

แพทริค ครอนิน นักวิเคราะห์จากสถาบัน Hudson Institute Asia-Pacific มองว่า การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องยกเลิกแผนการเยือนต่างประเทศกลางอากาศ ไม่ใช่เรื่องผิดวิสัย เพราะผู้นำสหรัฐฯ ต้องให้ความสำคัญกับการหาทางรอดในวิกฤติการเงินของประเทศก่อนเป็นอันดับแรก หากใครที่ติดตามการเมืองสหรัฐฯ มานานก็จะเข้าใจ แต่ต้องยอมรับว่าบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีต่างประเทศก็จะดูด้อยลงไป เมื่อต้องทิ้งนัดหมายสำคัญเพื่อไปจัดการเรื่องการเมืองในบ้านที่ไม่เรียบร้อย 

ผลจากการยกเลิกแผนเดินทางในเอเชีย ทำให้โจ ไบเดน พลาดโอกาสในการเยือนประเทศปาปัว นิวกินี ที่จะเป็นการเยือนครั้งแรกของผู้นำสหรัฐฯ ในตำแหน่ง ซึ่งไบเดนมีนัดหมายต้องไปเจรจาเพื่อเซ็นข้อตกลงด้านความมั่นคงร่วมกันถึง 2 ฉบับ และยังทำให้การประชุมประเทศพันธมิตร QUAD (สหรัฐ-ออสเตรเลีย-ญี่ปุ่น-อินเดีย) ที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดด้วย  

แต่ในเมื่อวาระของชาติสำคัญเร่งด่วนกว่า โจ ไบเดน จำเป็นต้องกลับไปจัดช่วยทีมรัฐบาลผลักดันแผนการเพิ่มเพดานหนี้ให้เป็นผลสำเร็จให้ได้ ก่อนหายนะทางการเงินในรัฐบาลสหรัฐฯ จะเกิดขึ้น 

ข้อกำหนดเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีไว้เพื่อจำกัดวงเงินกู้ของรัฐบาลไม่ให้สูงกว่าค่าใช้จ่ายของภาครัฐอย่างเกินความจำเป็น แต่ทว่า รัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายที่มากกว่ารายได้จากภาษีมาโดยตลอด ที่ทำให้รัฐบาลกลางจำเป็นต้องเพิ่มข้อจำกัดเพดานหนี้เพื่อกู้เงินเสริมสภาพคล่องอยู่หลายครั้ง 

มีข้อมูลชี้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีการปรับขยายเพดานหนี้มาแล้วไม่น้อยกว่า 90 ครั้ง และไม่เคยปรับลดลงเลย และทุกครั้งที่มีการหารือเกี่ยวกับการขยายเพดานหนี้ มักนำมาสู่เกมการเมืองที่ไม่สามารถหาข้อตกลงได้ง่ายนัก เมื่อฝ่ายที่คัดค้านมองว่าการเพิ่มเพดานหนี้ เป็นการเพิ่มภาระหนี้สาธารณะให้กับประชาชนผู้เสียภาษี ซึ่งรัฐบาลน่าจะหาวิธีที่ดีกว่าด้วยการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางลงเพื่อให้สมดุลย์กับรายได้จากภาษี 

แต่ฝ่ายที่สนับสนุนการเพิ่มเพดานหนี้ แย้งว่า การลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ หมายถึงการลดสวัสดิการสังคมของประชาชน และยังไม่ช่วยแก้ปัญหาการเงินได้อย่างทันท่วงที ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ

อย่างเช่นวิกฤติการเงินที่เคยเกิดขึ้นในปี 2011 สมัยของบารัค โอบามา บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ได้ปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลง จาก AAA เป็น AA+ เนื่องจากความมั่นใจในศักยภาพการชำระหนี้ของรัฐบาลกลางลดลง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สภาคองเกรซได้มีการพิจารณาเพิ่มเพดานหนี้แล้ว แต่ออกมาอย่างล่าช้า จึงเป็นเหตุให้สำนักจัดอันดับต่าง ๆ มองว่าเป็นความเสี่ยงในนโยบายทางการเงินของรัฐบาลกลาง 

เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ พยายามกดดันสภาคองเกรซให้เร่งพิจารณาการขยายเพดานหนี้ โดยได้อ้างอิงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2011 การปรับลดความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดการเงินโลก ทำให้สถานะการเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ สั่นคลอนได้ 

อีกทั้งวิกฤติเงินคงคลังในรัฐบาลกลาง เริ่มอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง และดูจะร้ายแรงกว่าที่คิด จนทำให้โจ ไบเดน ต้องทิ้งนัดหมายสำคัญกับพันธมิตรในย่านเอเชียเอาไว้ก่อน เพราะทางรอดของประเทศสำคัญกว่า

‘ฟ่าน ปิงปิง’ คัมแบ็กพรมแดงเมืองคานส์ ปรากฏตัวในชุดลายเสือสุดเรียบหรูดูแพง

(17 ก.พ. 66) หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ ไม่ค่อยได้ออกสื่อบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน สำหรับ ‘ฟ่าน ปิงปิง’ ที่ล่าสุดได้เผยลุคอลังการ พร้อมกับหน้าสวยเด็กแบบแทบไม่เชื่ออายุจริงๆ ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2023 ครั้งที่ 76

งานนี้สวมชุดเดรสเกาะอก ทรงบอลกาวน์จาก Christoper Bu ที่สื่อถึงแรงบันดาลใจจากป่า เป็นชุดเดรสลายพิมพ์กราฟิกใบไม้ เปลือกไม้ และเสือหลายตัวที่ดูเหมือนจะเดินออกจากชุด พร้อมกับสวมเครื่องประดับต่างหูมรกตพร้อมแหวนเข้าชุดกัน ดูขลังเรียบหรูเเละดูเเพงสุดๆ ทำเอาช่างภาพรุมถ่ายรูปรัวๆ เลยทีเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top