Friday, 26 April 2024
WORLD

CATL เปิดตัวแบตฯ ใหม่ อายุการใช้งาน 15 ปี รองรับวิ่ง 1.5 ล้านกิโลเมตร เผย!! มีบัสไฟฟ้ารายใหญ่จากจีน เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรยาว 10 ปี

เมื่อไม่นานมานี้ CATL ได้เปิดตัวแบตเตอรี่ LFP รุ่นใหม่ รองรับการใช้งาน 1.5 ล้านกิโลเมตร อยู่ได้นาน 15 ปี พร้อมการันตีชาร์จ 1,000 รอบโดยไม่เสื่อมสภาพเลย 

CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน เปิดตัวแบตเตอรี่รุ่นใหม่แบบ lithium iron phosphate (LFP) ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน รองรับการใช้งานในรถยนต์ 1.5 ล้านกิโลเมตร การันตีอายุการใช้งานนาน 15 ปี โดยการชาร์จ 1,000 รอบแรกจะไม่เสื่อมสภาพเลย (zero degradation)

ลูกค้ารายแรกของ CATL คือ Yutong Bus ผู้ผลิตรถบัสไฟฟ้ารายใหญ่ของจีนที่มีลูกค้าทั่วโลก โดยทั้งสองบริษัทเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรยาวนาน 10 ปี ตั้งแต่ปี 2022

‘อากาศยานไร้คนขับ' ลำใหม่ ‘ฝีมือจีน’ พร้อมขึ้นบินเที่ยวแรกแล้ว ชี้ ช่วยปฏิบัติหลากภารกิจ ‘โลจิสติกส์-ดับเพลิง-ฝนเทียม-การสื่อสาร’

(5 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัทอุตสาหกรรมการบินแห่งประเทศจีน (AVIC) เผยว่าต้นแบบระบบอากาศยานไร้คนขับ (UAS) อเนกประสงค์เชิงพาณิชย์ลำใหม่ พร้อมที่จะออกขึ้นบินเที่ยวแรกแล้ว หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยความเร็วสูงครั้งสุดท้ายไม่นานมานี้

ทั้งนี้ ระบบอากาศยานเอชเอช-100 (HH-100) ซึ่งพัฒนาขึ้นเองของจีน สามารถทำงานอย่างเสถียรระหว่างการทดสอบ ขณะศักยภาพควบคุมการขับเคลื่อนอัตโนมัติทำงานได้เป็นอย่างดี 

เอชเอช-100 พัฒนาโดยบริษัทเอวิก เอ็กซ์เอซี คอมเมอร์เชียล แอร์คราฟต์ จำกัด ในนครซีอัน มณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ อากาศยานไร้คนขับ และสถานีสั่งการและควบคุมภาคพื้นดิน

ระบบดังกล่าวมีต้นทุนต่ำ น้ำหนักบรรทุกสูง รวมถึงจุดแข็งอื่น ๆ โดยได้รับการออกแบบให้มีน้ำหนักขึ้นบินสูงสุด 2,000 กิโลกรัม น้ำหนักบรรทุก 700 กิโลกรัม และพิสัยการบิน 520 กิโลเมตร

เอชเอช-100 สามารถปฏิบัติภารกิจได้หลากหลาย เช่น โลจิสติกส์ระดับภูมิภาค การดับเพลิงในพื้นที่ป่าและทุ่งหญ้า การติดตามไฟไหม้ การจัดส่งสิ่งของบรรเทาภัยพิบัติ การถ่ายทอดการสื่อสาร และส่งเสริมการทำฝนเทียม

‘อิสราเอล’ สั่งปิดสัญญาณ GPS - ห้ามทหารลาหยุด หวังเสริมการป้องกัน หลังเพิ่งโจมตีสถานกงสุล ‘อิหร่าน’ มา

(5 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อิสราเอลปิดใช้งานระบบ GPS ทั่วประเทศเพื่อขัดขวางการใช้งานของขีปนาวุธและโดรน ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นกับอิหร่าน ซึ่งประกาศคำมั่นว่าจะตอบโต้ หลังอิสราเอลโจมตีอาคารของแผนกกงสุลในสถานทูตอิหร่านที่ซีเรียเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 ราย รวมถึงนายพลอิหร่านจากหน่วยรบพิเศษคุดส์

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา มีการรบกวนการทำงานของระบบ GPS ในพื้นที่ตอนกลางของอิสราเอล ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่ออกแบบมาเพื่อขัดขวางการใช้อาวุธที่สามารถระบุตำแหน่งได้ โดยพลเมืองอิสราเอลระบุว่า พวกเขาไม่สามารถใช้บริการแอปในการระบุสถานที่ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น เทลอาวีฟและเยรูซาเลม ซึ่งอยู่ห่างไกลจากพื้นที่สู้รบได้

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ไทม์ออฟอิสราเอล รายงานว่า ได้มีการร้องขอให้ชาวอิสราเอลตั้งค่าตำแหน่งบนแอปด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้มีการส่งการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการโจมตีด้วยจรวด เพื่อให้แน่ใจว่าตำแหน่งของพวกเขายังคงแม่นยำ แม้ว่าจะมีการรบกวนสัญญาณ GPS อยู่ก็ตาม

ด้าน ดาเนียล ฮาการี โฆษกกองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล (ไอดีเอฟ) ยืนยันว่า อิสราเอลกำลังทำการบล็อคการใช้งาน GPS ซึ่งบางครั้งถูกเรียกว่าเป็นการปลอมแปลง

ดาเนียล ฮาการี ยังเรียกร้องให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกด้วยการกักตุนซื้อสินค้า โดยเขาโพสต์บน X ว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องปั่นไฟ กักตุนอาหาร หรือถอนเงินจากตู้เอทีเอ็ม ทำตัวเหมือนปกติอย่างที่เคยทำมา และเราแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทันที หากมีอะไรที่เป็นทางการ

ขณะเดียวกันไอดีเอฟยังประกาศว่าจะระงับการขอลาพักของทหารทั้งหมดที่อยู่ในหน่วยรบ โดยคำประกาศดังกล่าวมีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ทหารกองหนุนอิสราเอลเพิ่งถูกเรียกเข้าเสริมกำลังในหน่วยป้องกันภัยทางอากาศ

ดูเหมือนไอดีเอฟจะเชื่อว่าการตอบโต้ของอิหร่านใกล้จะเกิดขึ้น และอาจเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดในวันศุกร์ที่ 5 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันศุกร์สุดท้ายในเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม

นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล กล่าวหลังมีข่าวเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมรับความเป็นไปได้ของการโจมตีตอบโต้ของอิหร่านว่า อิสราเอลจะทำร้ายใครก็ตามที่ทำร้ายเรา หรือวางแผนที่จะทำร้ายเรา

เนทันยาฮูกล่าวก่อนเริ่มประชุมคณะรัฐมนตรีความมั่นคงเมื่อค่ำวันที่ 4 เม.ย.ว่า หลายปีมาแล้วที่อิหร่านดำเนินการต่อต้านเราทั้งโดยตรงและผ่านตัวแทน ดังนั้นอิสราเอลจึงจะดำเนินการต่อต้านอิหร่านและตัวแทนของอิหร่านทั้งในเชิงรับและเชิงรุก

“เรารู้วิธีที่จะป้องกันตนเอง และเราจะปฏิบัติตามหลักการง่าย ๆ ว่าใครก็ตามที่ทำร้ายเรา หรือวางแผนจะทำร้ายเรา เราก็จะทำร้ายพวกเขากลับ” เนทันยาฮู กล่าว

‘ทุเรียนเวียดนาม’ มาแรง!! คว้าส่วนแบ่ง 31.8% ‘ตลาดจีน’ เตรียมพุ่งสูง เป้าหมาย หลังรองจาก ‘ไทย’ 68% เท่านั้น

(4 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม รายงานว่า ทุเรียนเวียดนามครองส่วนแบ่งตลาดในจีนสูงถึงร้อยละ 31.8 ซึ่งเป็นรองจากทุเรียนไทย ร้อยละ 68 เท่านั้น

โดย กระทรวงฯ ระบุว่า ทุเรียนเวียดนามสามารถเพิ่มส่วนแบ่งดังกล่าวจนแซงหน้าทุเรียนไทยและครองตลาดจีน หากเวียดนามพยายามใช้โอกาสและข้อได้เปรียบให้ดี รวมถึงจัดเตรียมการผลิตอย่างมืออาชีพ

ปัจจุบันเวียดนามมีสวนทุเรียน 708 แห่ง และโรงงานบรรจุหีบห่อทุเรียน 168 แห่ง ซึ่งดำเนินการส่งออกทุเรียนสู่ตลาดจีนภายใต้การอนุมัติจากสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปของจีน

ทั้งนี้ สวนทุเรียนทั้งหมดของเวียดนามครอบคลุมพื้นที่ 112,000 เฮกตาร์ (ราว 7 แสนไร่) และสร้างผลผลิตรายปีสูงถึง 863,000 ตัน

เวียดนามส่งออกทุเรียนสู่จีนเป็นหลัก โดยปริมาณการส่งออกสู่จีนในปี 2023 สูงถึง 595,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 98.6 ของการส่งออกทุเรียนทั้งหมด

ทึ่ง!! ‘ไทเป 101’ มี ‘ลูกต้มยักษ์’ น้ำหนัก 660 ตัน เทียบเท่าช้าง 132 ตัว ช่วยป้องกันตึกถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหว ชี้ ถือเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด

เมื่อไม่นานมานี้ จากช่องติ๊กต็อก jadeforyouofficial ได้โพสต์คลิปขณะไปเยือน Taipei 101 ตึกที่สูงที่สุดในไต้หวัน และยังมีอีกหนึ่งความพิเศษนั่นก็คือ ‘ลูกตุ้มยักษ์’ หรือ Tuned Mass Damper หัวใจหลัก ถ้าหากเกิดเหตุ ‘แผ่นดินไหว’ ที่ตรงนี้จะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในไต้หวันเลยก็ว่าได้ โดยในคลิประบุว่า…

Taipei 101 คือตึกที่สูงที่สุดในไต้หวัน และเคยสูงที่สุดในเอเชีย มีทั้งหมด 101 ชั้น และมีความพิเศษอย่างนึงที่หลายตึกสูง ๆ ไม่มี นั่นก็คือ ‘การทนกับแผ่นดินไหว’ ที่ถึง 7 ริกเตอร์

แต่ก่อนจะเข้าถึงเรื่องนี้ ไต้หวันเป็นประเทศที่มีภูเขาเยอะมาก สำหรับพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ราบ มีแค่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่โดยรวม และคือ 2 ใน 3 นี้เป็นภูเขาหมดเลย ดังนั้น ผู้คนต้องอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายอย่างมาก เพราะจะทํายังไงให้ใช้พื้นที่ที่มีอยู่จํากัดให้เกิดประโยชน์ที่สุด ซึ่งคนไต้หวันเลยเป็นอีกหนึ่งชาติในโลกที่เทียบเท่ากับคนญี่ปุ่น เนื่องจากต้องสู้กับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ

ถัดมาที่ชั้น 91 ซึ่งจะเป็นแบบเปิด และสามารถรับลมได้ 400 เมตร โดยมุมนี้จะมองเห็นเลยว่าไต้หวันถือว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญในระยะเวลาที่ไม่นาน เนื่องจากตึกเต็มไปหมด ถือเป็นความมหัศจรรย์ของมนุษย์จริง ๆ นอกจากนี้ การจัดวางแบบลักษณะภูเขาสูงและตึกสลับกันไปมา ซึ่งเราจะไม่ค่อยเห็นกันมากนัก

อย่างไรก็ตาม ถัดมาที่ไฮต์ไลท์เด็ดภายในตึก Taipei 101 ที่มี ‘ลูกตุ้มยักษ์’ หรือ Tuned Mass Damper อยู่ด้วย ซึ่งเวลาแผ่นดินไหว เจ้าลูกบอลใบนี้ มันก็จะเคลื่อนตัว โดยมีการแกว่งไปมา ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแผ่นดินไหวไปทางด้านไหน โดยมีน้ำหนัก 660 ตัน เท่ากับช้างประมาณ 132 ตัว ฉะนั้นถ้าเกิดแผ่นดินไหวที่ตรงนี้จะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในไต้หวัน ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักเลยทีเดียว…และถ้าหากตึกต่าง ๆ ในโลกมีแบบนี้ ก็จะสามารถช่วยรับแรงเคลื่อนไหวของ ‘แผ่นดินไหว’ ได้เช่นกัน

สำหรับตึกต่าง ๆ อาจจะรับน้ำหนัก รับแรงสั่นสะเทือนไม่ได้มาก แต่สำหรับตึก Taipei 101 นี้การสร้างของเขาคือสร้างมาเพื่อป้องกันแผ่นดินไหวโดยเฉพาะ และยังมีเคเบิ้ลทองที่เป็นตัวรองรับน้ำหนักของเจ้าลูกต้มนี้อีกที่นึง ส่วนข้างล่างก็มี Choke ซึ่งไม่ใช่ว่าจะแกว่งไปไหนก็ได้ และถ้าหากถูกแกว่งไปด้านไหน มันก็จะรับน้ำหนักแล้วก็จะกลับมาด้านเดิม

ชาวเน็ตชื่นชม!! ผู้ดูแลไต้หวันใช้ร่างกายปกป้องผู้สูงอายุพิการ ไม่หวั่น!! แม้ของจะหล่นใส่ตัวเอง หลังเกิดแผ่นดินไหว

(4 เม.ย.67) จากกรณีไต้หวันเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.2 ณ เวลาประมาณ 07.58 น. เมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีความลึก 15.5 กิโลเมตร สร้างความสั่นสะเทือนทั่วทั้งไต้หวัน มีรายงานภัยพิบัติจากสถานที่ต่าง ๆ จนหลายคนตื่นจากการหลับใหล

รวมไปถึงชาวเน็ตจากเมืองนิวไทเปก็สามารถรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงได้เช่นกัน พร้อมออกมาเล่านาทีประทับใจขณะเกิดแผ่นดินไหว โดยไม่คาดคิดหลังจากที่ผู้ดูแลตื่นขึ้น เธอไม่ได้รีบออกจากประตู แต่กลับปกป้องร่างกายผู้พิการวัย 71 ปีบนเตียงทันทีแทน

ด้าน ชายแซ่หวัง เผยว่า เมื่อเกิดแผ่นดินไหวบ้านสั่นสะเทือนทั้งหลังอย่างรุนแรง ทำให้เขาไม่สามารถวิ่งไปหาแม่ได้ทันที ทว่าเมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดก็พบว่า ผู้ดูแลที่บ้านรู้สึกตัวสั่นขณะนอนหลับจึงเงยหน้าขึ้นสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ

ต่อมาเธอรีบกอดแม่ของเขาที่ป่วยเป็นโรคเลือดออกในสมองบนเตียงทันทีและพยายามปกป้องเขาด้วยร่างกายของเขาจนความสั่นไหวของสิ่งต่าง ๆ ค่อย ๆ ลดลง ซึ่งหมอน ผ้าห่ม แม้แต่โทรทัศน์และเศษซากอื่น ๆ ที่กองไว้ก็ล้มลงกับพื้น โชคดีที่ทั้งสองคนปลอดภัยซึ่งทำให้นายหวังโล่งใจเช่นกัน

นับตั้งแต่เรื่องราวดังกล่าวถูกแชร์ลงโซเชียล ทำให้ชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ประทับใจในการดูแลคนป่วยของผู้ดูแลคนนี้ เช่น “ใจดีกว่าพี่เลี้ยงเด็กคนนั้น” , “ผู้สูงอายุหลายคนมีความสัมพันธ์ที่ดีกว่ากับผู้ดูแล” , “พยาบาลประจําครอบครัวของเราที่ดูแลคุณยายทําวันนี้ กอดปุ๊บ ปลอบปั๊บ ไม่ต้องกลัว”, “คนดีหวังว่าจะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย” , “มันไม่มากเกินไปสําหรับการขึ้นเงินเดือน” , “มีความรับผิดชอบมาก ปลอดภัยในการจ่ายเงินให้กับผู้ดูแลคนนี้”

วิเคราะห์ 'จีน-สหรัฐฯ' วัดพลัง ‘รถยนต์บินได้’ คลื่นลูกใหม่โลกยานยนต์ ลุ้นได้ใช้ปี 2025

แม้จะยังถกเถียงว่ารถยนต์สันดาปจะหมดไป รถยนต์ไฟฟ้าจะมา หรือรถยนต์ไฮโดรเจนจะยั่งยืนกว่า? แต่ยังไม่ทันที่คำถามนี้จะหาข้อสรุปได้ก็ได้เกิดคลื่นลูกใหม่ที่กำลังเริ่มต้นก่อตัวขึ้นกับ ‘รถยนต์บินได้’ เมื่อคำนิยามของการเดินทางบนท้องถนนอาจรวมถึงถนนล่องหนเหนือหัวเราอย่างอากาศเสียแล้ว?

(4 เม.ย. 67) Business Tomorrow รายงานว่า ก่อนหน้านี้ 'อเลฟ แอโรนอติก' (Alef Aeronautic) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัปภายใต้ร่มเงาของสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ของเจ้าของบริษัทรถยนต์ดังอย่างเทสล่าอย่างอีลอน มัสก์ เพิ่งมีการเปิดจองรถยนต์บินได้อย่าง อเลฟ โมเดลเอ (Alef Model A) เมื่อต้นมีนาคมที่ผ่านมาไปถึง 2,850 คันแล้ว โดยโมเดลเอจะมีราคาเพียง 300,000 ดอลลาร์ หรือราว 11 ล้านบาท ราคาพอ ๆ กับซุปเปอร์คาร์หนึ่งคันได้เลยในบ้านเรา

แต่ในเวลาไม่นาน คู่แข่งคู่กัดในประเทศจีนอย่าง เสี่ยวเผิง (Xpeng) คู่แข่งสำคัญเทสล่าได้แจ้งบริษัทลูกอย่าง 'แอร็อต' (AeroHT) ได้ออกรายงานว่าบัดนี้ ‘รถยนต์บินได้’ ของพวกเขาได้รับการประตรารับรองจากสำนักงานการบินพลเรือนของจีนตอนกลางและตอนใต้ของจีน นั่นหมายความว่าอีกไม่นาน เสี่ยวเผิงจะผลิตรถยนต์บินได้ออกตามมาติด ๆ กับของฝั่งอเมริกา

และนี่อาจจะไม่ใช่การรอคอยที่เนิ่นนานอะไรมาก ทางฝั่งสหรัฐฯ อย่างอเลฟพร้อมส่งมอบโมเดลเอและพร้อมออกวิ่ง (และบิน) ได้ในปี 2025 หรือภายใน 1 ปีหน้า ส่วนทางเสี่ยวเผิง หากไม่มีข้อติดขัดอะไร จะมีการส่งมอบแอร็อตถึงมือลูกค้าภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025

ทั้งนี้ หากลองดูสเปคคร่าว ๆ จากเจ้าสองโมเดลจากสองขั้วบนโลกนี้จะพบว่า...

📌 อเลฟ โมเดลเอ (Alef Model A) จาก อเลฟ แอโรนอติก

- ที่นั่ง 4 ที่นั่ง
- ตัวถังหุ้มใบพัดหมุนสำหรับบินด้านในตัวรถและช่วยให้มีลมหมุนเวียนข้างในรถยนต์
- ใช้ใบพัดทั้ง 8 ใบทั้งหน้าและหลังในการบิน
- โหมดรถจะมีความเร็ว 37-54 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- โหมดบินมีความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

📌 เอ็กซ์ทรีเอฟ (X3-F) จาก แอร็อต

- ที่นั่ง 4 - 5 ที่นั่ง
- แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือโมดูลภาคพื้นดินและทางอากาศ
- เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 6 ล้อ ขับเคลื่อนทั้งหกล้อ
- ยังไม่เปิดเผยความเร็วทั้งสองโหมด
- โหมดการบินจะต้องประกอบโมดูลบิน มีใบพัด 6 ใบรวมถึงท่อไอพ่น 2 ท่อ

นอกจากสองฝั่งจากสหรัฐฯ และจีนแล้ว ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่มองไปในการพัฒนารถยนต์บินได้อย่าง Joby Aviation จากสหรัฐฯ ซึ่งก็ได้มีการร่วมมือกับทางเกาหลีใต้อย่างยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี SK Telecom ที่คาดว่าจะออกบินแท็กซี่นี้ได้ช่วงปี 2025 และ Lilium จากเยอรมันที่กำลังพัฒนาแท็กซี่แบบบินได้ 

เห็นท่าอย่างนี้ ไม่พ้นปีหน้า ก็คงจะได้ยลโฉมรถบนฟ้าแบบที่เคยเห็นในภาพยนตร์แน่นอน

เมื่อไทยกำลังกลายเป็นประเทศ NATO เต็มตัว หากยังไม่หยุดตามรอย ‘ฮิตเลอร์-เซเลนสกี’

จริงหรือที่ไทยเรากำลังจะกลายเป็นประเทศ NATO 

อันที่จริงประเทศไทยของเรามีสถานะเป็น ‘ชาติพันธมิตรหลักนอกกลุ่มนาโต’ (Major Non-NATO Ally: MNNA) ตั้งแต่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) โดยในระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของ George W. Bush ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ได้ประกาศให้ไทยมีสถานะดังกล่าว 

แต่การได้รับสถานะดังกล่าวนี้ ไม่ได้หมายถึงการมีหลักประกันด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศร่วมกันเช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ มีกับประเทศสมาชิก NATO แต่อย่างใด เป็นเพียงการแสดงให้เห็นถึงความสําคัญที่สหรัฐฯ ให้ความสัมพันธ์ในลักษณะพันธมิตรกับประเทศไทยในช่วงศตวรรษที่ 21 อันมาจากการที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรได้ส่งทหารไทยไปร่วมปฏิบัติการทั้งในอัฟกานิสถาน (กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน) และอิรัก (กองกำลังเฉพาะกิจปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรม 976 ไทย/อิรัก)

สำหรับ NATO เป็นชื่อย่อที่เรียกกันโดยทั่วไปของ ‘องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ’ (North Atlantic Treaty Organization: NATO) ซี่งก่อตั้งเมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) โดย สหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ ในยุโรปรวม 12 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, เบลเยียม, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, ไอซ์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์ และโปรตุเกส ที่ได้ร่วมกันลงนามในสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (The North Atlantic Treaty) ก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือ ‘นาโต’ ขึ้นในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมในปีเดียวกัน 

วัตถุประสงค์เริ่มแรกก่อตั้ง คือ เพื่อจัดตั้งระบบพันธมิตรทางทหารในการถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ (อดีตสหภาพโซเวียต) และให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกในกรณีที่ประเทศสมาชิกถูกคุกคามจากภายนอก ตลอดจนส่งเสริมความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ 

ปัจจุบัน NATO ประกอบด้วย 34 ชาติสมาชิก โดยได้ปฏิบัติการออกนอกเขตพื้นที่ของชาติสมาชิกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอัฟกานิสถาน, ลิเบีย และมีแผนที่จะเปิดสำนักงานติดต่อของ NATO ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นภายในปีนี้

ย้อนกลับมาที่ไทย ความหมายของ NATO ที่ไทยกำลังเป็นอยู่ในที่นี้นั้น มิได้หมายถึง NATO หรือ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือแต่อย่างใด หากแต่ความหมายของ NATO ที่ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่หมุดหมายดังกล่าวก็คือ NATO ที่ย่อมาจากคำว่า No Action, Talk Only ซึ่งแปลเป็นไทยว่า ‘ไม่ทำอะไรสักอย่าง เอาแต่พูดอย่างเดียว’ 

ด้วยเพราะผู้คนในสังคมไทยยุคนี้ส่วนหนึ่งมีความเชื่อถือศรัทธาในบรรดานักพูด นักแซะ ซึ่งมาแต่มีเพียงประสบการณ์เป็นนักคิด (ผิด ๆ ถูก ๆ) นักพูด (เอามัน เอาฮา เอาสนุก) แต่ไม่เคยทำงานอะไรในภาคปฏิบัติให้เห็นผลสำเร็จอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเลย เรื่องราวเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วมากมายหลายครั้งบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น Adolf Hitler ที่สามารถยุยงปลุกปั่นพลเมืองชาวเยอรมันที่มีคุณภาพในลำดับต้น ๆ ของโลกให้ต้องหลงใหล คลั่งไคล้ ชนิดที่โงหัวไม่ขึ้น ตั้งแต่การสร้างพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน (พรรค NAZI) ทั้งการปลูกฝังเด็ก ๆ เยอรมันในยุคนั้นให้เป็น ‘ยุวชนฮิตเลอร์’ (Hitler Youth หรือ Hitlerjugend) และพาเยอรมันเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งพ่ายแพ้ เยอรมันเสียหายย่อยยับและต้องถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศคือ เยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก ต้องใช้เวลารอคอยยาวนานกว่า 40 ปี (ค.ศ. 1949-1990) ก่อนที่จะสามารถกลับมาร่วมเป็นชาติเดียวได้อีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1990 

แม้แต่ ยูเครน ในปัจจุบันที่ถูกชาติตะวันตกหลอก ด้วยการเอา ‘โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี’ (Volodymyr Zelenskyy) ผู้มีอาชีพนักแสดงตลกและเจ้าของบริษัทโปรดักชัน Kvartal 95 ซึ่งผลิตภาพยนตร์ การ์ตูน และรายการทีวี รวมถึงซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Servant of the People ซึ่ง Zelenskyy เองรับบทเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ระดับมัธยมปลาย และในบทตัวเขาก็ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครนด้วย 

ซีรีส์ดังกล่าวซึ่งได้ออกอากาศตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2019 ได้รับความนิยมอย่างมาก จนกระทั่ง Servant of the People พรรคการเมืองชื่อเดียวกับซีรีส์นี้ ก็ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม 2018 โดยพนักงานของ Kvartal 95 

ความนิยมในตัวเขาจากบทบาท รวมถึงซีรีส์โทรทัศน์เรื่องนี้ ทำให้ชาติมหาอำนาจตะวันตก นำเขามาเป็นหุ่นเชิดและเครื่องมือกระทั่งกลายเป็นประธานาธิบดียูเครนจริง ๆ หากแต่ประธานาธิบดีในภาพยนตร์โทรทัศน์กับโลกแห่งความเป็นจริงแตกต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว เมื่อเขาดึงดันที่จะท้าทายกับรัสเซียจนเกิดสงครามยื้อเยื้อ และกำลังทำให้ยูเครนต้องพินาศย่อยยับ จนไม่อาจที่จะฟื้นคืนสภาพของบ้านเมืองที่เสียหายอย่างหนักภายใน 10-20 ปีนี้ได้ อีกทั้งต้องกลายเป็นลูกหนี้ต่างชาติจนไม่น่าจะใช้คืนได้ในอีกไม่ต่ำกว่า 50 ปีข้างหน้า

เหล่านี้คือ ตัวอย่างของนักการเมืองที่นำพาประเทศชาติไปสู่ความเป็นประเทศ NATO: No Action, Talk Only ของแท้ที่มีให้เห็น 

ดังนั้นพอหันมามองสังคมไทยในยุคนี้ ยุคที่ไทยเต็มไปด้วยกลุ่มชนที่มีความรู้ มีตรรกะ มีเหตุผล มีความสามารถในการพินิจพิจารณาใคร่ครวญในข้อเท็จจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หากแต่กลับมาตกหลุมในกับดักของเหล่าบรรดานักสังคมศาสตร์ ซึ่งถนัดแต่การปั้นแต่งคำ สร้างวาทกรรมที่บ่มเพาะความแตกแยก เกิดเป็นบรรทัดฐานความเชื่อในเรื่องผิด ๆ ว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และทำให้สังคมเชื่อว่า สิ่งที่ถูกต้องดีงามกลายเป็นเรื่องผิด ๆ ล้าสมัย ฯลฯ 

ท้ายสุดก็หนักถึงขั้นพยายามอย่างหนัก เพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงของบ้านเมือง โดยเฉพาะสถาบันหลักที่สำคัญของชาติ ซึ่งหากวันนี้คนไทยยังคงเป็น ‘ไทยเฉย’ ไม่พูด ไม่ทำ เป็นพวก NTNA : No Talk, No Action ในที่สุดแล้วประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ซึ่งเหล่าชาติมหาอำนาจตะวันตกกำลังจ้องเล็งที่จะเข้ามามีบทบาทในการชี้นำและครอบงำรัฐบาลบ้านเรา ให้ตั้งอยู่ในตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ตามที่พวกเขาต้องการในหมุดภูมิภาคนี้ ประเทศชาติอันเป็นที่รักของเราก็จะกลายเป็นประเทศ NATO: No Action, Talk Only ไปจริง ๆ 

ถึงเวลานั้นแล้วก็คงยากเกินกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้อีก 

‘ญี่ปุ่น’ เสนอแผนฆ่า ‘กวางนารา’ ในเขตกันชน แก้ปัญหา ‘กวางอดอยาก-บุกรุกฟาร์มเกษตรกร’

(3 เม.ย.67) กวางแห่งนารา เมืองท่องเที่ยวชื่อดังของภูมิภาคคันไซในประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองมายาวนานในฐานะผู้ส่งสารจากสวรรค์ และเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สัญลักษณ์ประจำเมือง แต่จังหวัดนาราวางแผนที่จะขยายพื้นที่ที่สามารถกำจัดได้

ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันสัปดาห์ที่ผ่านมา โอกิมาสะ มุราคามิ ประธานคณะกรรมการที่กำลังศึกษาแผนการคุ้มครองและการจัดการกวาง ได้นำเสนอแผนการอนุญาตให้กวางถูกฆ่าได้ใน ‘เขตกันชน’

ในขณะที่กวางป่าได้รับการคุ้มครองภายในและรอบ ๆ สวนนารา จำนวนประมาณ 180 ตัวถูกฆ่าทุกปีในเขตควบคุม และนอกพื้นที่คุ้มครอง เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างความเสียหายต่อพืชผลของเกษตรกร

ที่ผ่านมา เมืองนาราแบ่งพื้นที่ดูแลกวางออกเป็น 3 เขต ได้แก่ เขตคุ้มครอง เขตกันชน และเขตควบคุม ซึ่งระหว่างพื้นที่เขตคุ้มครองกับเขตควบคุม มีเขตกันชนซึ่งกวางไม่สามารถฆ่าได้ แต่จะถูกจับทั้งเป็น แล้วนำไปเลี้ยงไว้ในบริเวณที่มีรั้วกั้นภายในสวนนารา

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดสมาชิกคณะกรรมการจะพิจารณาเงื่อนไขและมาตรฐานในการอนุญาตให้กวางถูกคัดแยกในเขตกันชน โดยเชื่อว่าจะได้รับความเข้าใจจากสาธารณชนเกี่ยวกับนโยบายใหม่นี้ หากได้รับการอธิบายอย่างละเอียด

เพราะขณะนี้กวางที่จับได้ประมาณ 270 ตัวกำลังได้รับการดูแลในพื้นที่รั้วโดยมูลนิธิอนุรักษ์กวางนารา โดยสัตวแพทย์ของมูลนิธิได้แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วว่า กวางหลายตัวในศูนย์แห่งนี้ผอมแห้งหรือตายลงเนื่องจากขาดอาหาร

เมื่อปลายปีที่แล้ว มาโกโตะ ยามาชิตะ ผู้ว่าราชการเมืองนารากล่าวว่า จังหวัดไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการขยายพื้นที่ที่สามารถกำจัดกวางได้ เพื่อลดจำนวนกวางที่ถูกเลี้ยงไว้

ตำนานเล่าว่าเทพแห่งศาลเจ้าคะสุงะ ไทฉะ ซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะนารา มีกวางศักดิ์สิทธิ์เป็นพาหนะ กวางในพื้นที่เดิมของเมืองนารา จึงถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติและได้รับการคุ้มครองมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1957

ชาว X ลือสนั่น!! มือเผาอัลกุรอาน เป็นศพในนอร์เวย์ ด้านชาวเน็ตสงสัย หรือเก็บตัวเงียบรอเผาคัมภีร์ออกสื่ออีกครั้ง

ข่าวลือสนั่นโลกโซเชียลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คือข่าวการเสียชีวิตของ นาย ซาลวัน โมมิกา ชายชาวอิรัก ผู้ลี้ภัยในสวีเดน ที่ก่อเหตุหยามหัวใจชาวโลกอิสลามด้วยการประท้วง เผาคัมภีร์อัลกุรอานออกสื่อ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านศาสนาอิสลาม และเชิดชูสิทธิเสรีภาพทางการพูด 

แต่เมื่อวันอังคาร (2 เม.ย.67) ที่ผ่านมาสำนักข่าวในโซเชียลต่างออกมาแชร์ข้อมูลว่า พบนายซาลวัน โมมิกา เสียชีวิตแล้วในประเทศนอร์เวย์ ที่เขาเพิ่งทำเรื่องลี้ภัยจากสวีเดน เนื่องจากถูกกดดันจากทางการสวีเดนที่กำลังดำเนินการเนรเทศเขาออกนอกประเทศจากการเคลื่อนไหวที่สร้างความโกรธแค้นจากสังคมอิสลามอย่างมากเป็นวงกว้าง 

แม้ในตอนนี้ยังไม่มีข่าวยืนยันอย่างเป็นทางการจากนอร์เวย์ว่า นาย ซาลวัน โมมิกา เสียชีวิตจริงตามข่าวหรือไม่ แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จากเจ้าตัว ทั้งการปรากฏตัวในที่สาธารณะ และ ในโซเชียล เพื่อเป็นการสยบข่าวลือว่าตัวเขายังมีชีวิตอยู่แต่อย่างใด 

ดังนั้น การหายตัวไปของ ซาลวัน โมมิกา มือเผาอัลกุรอาน ยังคงเป็นปริศนา

ซาลวัน โมมิกา ปัจจุบันวัย 37 ปี เป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลามชาวอิรัก แต่เดิมระบุว่าตนเป็นชาวคริสเตียน เนื่องจากเกิดในครอบครัวชาวคริสต์ในอิรัก ต่อมาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกองกำลังติดอาวุธ Popular Mobilization Forces ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอิหร่าน เพื่อต่อต้านกลุ่มก่อการร้าย ISIS และต้านอิทธิพลของสหรัฐฯ ในพื้นที่ 

แต่ทว่า ซาลวัน โมมิกา มีทัศนคติที่ต่อต้านศาสนาอิสลามอย่างรุนแรง ทำให้เขาอยู่ในอิรักไม่ได้ ในปี 2018 จึงทำเรื่องลี้ภัยมาอยู่ในสวีเดน และประกาศตนเป็นนักเสรีนิยมผู้ไร้ศาสนา แต่สื่อหลายสำนักให้คำจำกัดความเขาว่าเป็นกลุ่มต่อต้านอิสลามหัวรุนแรง 

เหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อของนาย ซาลวัน โมมิกา กลายเป็นที่รู้จักอย่างมาก คือการเผาคัมภีร์อัลกุรอาน หน้าสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในกรุงสตอกโฮล์ม เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2566 สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวมุสลิมทั้งในสวีเดน และทั่วโลก จนถึงกับมีการรวมกลุ่มประท้วงที่หน้าสถานทูตสวีเดนในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสวีเดนส่งตัวนาย ซาลวัน โมมิกา กลับมาลงโทษในข้อหาดูหมิ่นศาสนา 

แต่นั่นไม่อาจหยุดการกระทำของซาลวัน โมมิกา ได้ เขาได้เผาคัมภีร์อัลกุรอาน โชว์ออกสื่ออีกหลายครั้ง รวมทั้งแสดงการดูหมิ่นด้วยการเหยียบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม ฉีก ทำลายหนังสือ หรือละเลงเนื้อเบคอนลงบนอัลกุรอาน  

ถึงแม้ว่าสวีเดนจะเป็นประเทศเสรี แต่ก็ใช่ว่าชาวสวีเดนจะเห็นชอบกับสิ่งที่ซาลวัน โมมิกา ทำ ที่แสดงถึงการคุกคามศรัทธาและความเชื่อของคนอื่น อีกทั้งยังสร้างความวุ่นวาย ชักศึกเข้าบ้าน ที่ทำให้ชาวสวีเดนส่วนใหญ่รู้สึกไม่สบายใจ เป็นผลให้รัฐบาลสวีเดนเพิกถอนสิทธิ์ผู้ลี้ภัยของเขาในเวลาต่อมา และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาส่งตัวนาย ซาลวัน โมมิกา ไปยังประเทศที่ 3 ที่ไม่ใช่อิรัก 

ซึ่งล่าสุด ซาลวัน โมมิกา เพิ่งออกมาโพสต์ใน X เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 67 ที่ผ่านมาว่าตัวเขาได้เดินทางออกจากสวีเดน ไปลี้ภัยในประเทศนอร์เวย์เรียบร้อยแล้ว โดยได้ยื่นคำร้องขอสิทธิ์คุ้มครองผู้ลี้ภัยที่นั่น เนื่องจากรัฐบาลสวีเดนไม่ต้อนรับผู้ลี้ภัยที่เป็นนักปรัชญา และ นักคิดผู้มีปัญญา แต่กลับไปรับผู้ลี้ภัยที่เป็นผู้ก่อการร้ายแทน อีกทั้งกล่าวหารัฐบาลสวีเดนที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของชาวสวีเดนที่แท้จริง และยืนยันจะเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านอุดมการณ์อิสลามต่อไป แม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

ซึ่งนั้นเป็นความเคลื่อนไหวในโซเชียลครั้งสุดท้าย ก่อนจะมีข่าวลือสะพัดว่าพบตัวนาย ซาลวัน โมมิกา กลายเป็นศพซะแล้ว ในนอร์เวย์ 

แต่เรื่องทั้งหมดยังคงเป็นเพียงข่าวลือ เมื่อสื่อต่างประเทศได้สอบถามไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ สำนักงานตำรวจในนอร์เวย์ ก็ยังไม่พบข้อมูลผู้เสียชีวิตที่มีชื่อว่า ซาลวัน โมมิกา แต่อย่างใด 

ดังนั้น ข่าวลือของชาว X อาจเป็นเพียงการเล่นตลกในเทศกาลวันโกหก หรือเป็นการสาปส่งล่วงหน้า ในช่วง ซาลวัน โมมิกา ยังต้องเก็บตัวเงียบเพื่อรอการพิจารณาคำร้องขอลี้ภัยในนอร์เวย์ หรือเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง จนกว่าจะพร้อมเผาคัมภีร์ออกสื่ออีกครั้ง 

‘จีน’ ยินดีช่วยเหลือ ‘ไต้หวัน’ หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว พร้อมเห็นใจเพื่อนร่วมชาติที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้

(3 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จูเฟิ่งเหลียน โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันแห่งคณะรัฐมนตรีจีน เปิดเผยว่าแผ่นดินใหญ่กำลังติดตามเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.3 ตามมาตราแมกนิจูด และสถานการณ์ภัยพิบัติในไต้หวันอย่างใกล้ชิด และยินดีจัดสรรความช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ

จูเฟิ่งเหลียน กล่าวว่า แผ่นดินใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวในไต้หวันเป็นอย่างมาก และขอแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมชาติชาวไต้หวันที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้อย่างจริงใจ

อนึ่ง ศูนย์เครือข่ายแผ่นดินไหวแห่งประเทศจีนรายงานการเกิดเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.3 ตามมาตราแมกนิจูด บริเวณน่านน้ำใกล้กับเมืองฮวาเหลียนบนเกาะไต้หวัน ตอน 07.58 น. ของวันพุธ (3 เม.ย.) ตามเวลาปักกิ่ง ซึ่งเกิดอาฟเตอร์ช็อกหรือแผ่นดินไหวตามอีกหลายครั้งด้วย

ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ ‘อิสราเอล’ หลังลาก ‘อิหร่าน’ เข้ามาอยู่ในวงสงคราม


ถ้อยแถลงประณามการโจมตีอันโหดร้ายของอิสราเอลต่อสถานเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ณ กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย ของกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน

กลายเป็นประเด็นลุกลามขึ้นมาในโลกทันที หลังจากกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ได้ประณามการโจมตีด้วยขีปนาวุธของ ‘รัฐบาลอิสราเอล’ อย่างผิดกฎหมายที่อาคารส่วนกงสุลของสถานทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในกรุงดามัสกัส ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงที่สุด ในตอนเย็นของวันจันทร์ที่ 1 เมษายน 2024

นั่นก็เพราะการโจมตีแบบกำหนดเป้าหมายในสถานที่ทางการทูตแห่งนี้ ซึ่งมีที่ปรึกษาทางทหารด้านต่อต้านการก่อการร้ายของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านหลายคนพักอาศัยอยู่ โดยทุกคนนั้นยังได้รับความคุ้มครองทางการทูต ภายหลังกำลังเข้าร่วมพิธีละศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ในอาคารดังกล่าว

ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การโจมตีที่น่ารังเกียจและน่าอับอายนี้ จะเป็นการละเมิดเอกสิทธิและความคุ้มกันของเจ้าหน้าที่ทางการทูตและสถานที่ โดยเฉพาะสถานทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านในกรุงดามัสกัส และละเมิดกฎระเบียบระหว่างประเทศอย่างชัดเจน รวมถึงอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม ค.ศ. 1973 การลงโทษอาชญากรรมที่กระทำต่อบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองระหว่างประเทศ รวมถึงตัวแทนทางการทูต และกฎบัตรสหประชาชาติ 

ฉะนั้น รัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศทั้งหลาย จึงสมควรต้องออกแสดงความไม่พอใจและประณามการกระทำอันชั่วร้ายที่เป็นการรุกรานและการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศครั้งนี้ โดยคาดหวังว่าสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเลขาธิการสหประชาชาติ ที่น่าจะต้องรีบออกมาตอบสนองอย่างรวดเร็วกับการกระทำของอิสราเอล ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ หากวิเคราะห์การโจมตีของอิสราเอลในครั้งนี้ กำลังสะท้อนให้เห็นถึงความสิ้นหวัง ทำอะไรไม่ถูก และความงุนงงทางยุทธศาสตร์ของอิสราเอล อันเป็นผลจากความล้มเหลวทางการทหาร การเมือง และศีลธรรมในฉนวนกาซา หลังจากหกเดือนของสงครามอาชญากรรมอันโหดร้าย ล้วนล้มเหลวในการบรรลุชัยชนะใดๆ ต่อขบวนการต่อต้าน ตลอดจนประเทศปาเลสไตน์ที่อดทนและยืดหยุ่น

ย้อนกลับไป อิสราเอล ล้มเหลวในการยุติความกล้าหาญของชาวปาเลสไตน์ และเริ่มหันไปใช้กลยุทธ์ที่น่าอับอาย อย่างการสังหารหมู่ สตรี เด็ก และพลเรือนชาวปาเลสไตน์ ที่ถูกปลิดชีพไปแล้วหลายหมื่นคน ภายใต้ความล้มเหลวในการพยายามขยายขอบเขตสงครามที่อันตรายและไม่ฉลาด จนเริ่มกลายเป็นการทำลายสันติภาพในภูมิภาค โดยมีประเทศอื่นร่วมเป็นเหยื่อ 

อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน คงไม่เหมือนปาเลสไตน์ และมีความเป็นไปได้ที่ต่อจากนี้จะทำให้ผู้รุกราน (อิสราเอล) กลายเป็นเป็ดง่อยและต้องเสียใจกับอาชญากรรมครั้งล่าสุดอย่างถึงที่สุด เพื่อตอบโต้อาชญากรรมที่ชั่วร้ายนี้

นั่นก็เพราะการกระทำของผู้นำแห่งอิสราเอลในครั้งนี้ กำลังกระตุกปฏิบัติการพายุอัลอักซอ และความแน่วแน่อย่างกล้าหาญของประเทศปาเลสไตน์ที่ถูกกดขี่แต่ทรงอำนาจในฉนวนกาซาในช่วงหกปีที่ผ่านมา ภายใต้แรงหนุนแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ที่อาจทำให้ปาเลสไตน์ไม่มีวันถอยแม้แต่ก้าวเดียวต่อจากนี้...ซวยแล้ว!!

‘เกาหลีใต้’ สร้าง ‘ดวงอาทิตย์เทียม’ ได้สำเร็จ ร้อนกว่าดวงอาทิตย์จริง 7 เท่า นาน 48 วินาที

(3 เม.ย. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความ เกาหลีใต้สร้าง ‘ดวงอาทิตย์เทียม’ ร้อนกว่าดวงอาทิตย์จริง 7 เท่า ระบุข้อความว่า…

“นับเป็นครั้งแรกที่เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันโทคามัค แอดวานซ์ รีเสิร์ซ (Tokamak Advanced Research หรือ KSTAR) หรือชื่อที่รู้จักในวงการเทคโนโลยีพลังงานว่า ดวงอาทิตย์เทียมของเกาหลีใต้ (Korean Artificial Sun) พัฒนาโดยสถาบัน Korea Institute of Fusion Energy (KFE) ในประเทศเกาหลีใต้ สามารถสร้างอุณหภูมิได้สูงถึง 100 ล้านองศาเซลเซียส หรือก็คือร้อนกว่าแกนกลางดวงอาทิตย์ที่มีอุณหภูมิประมาณ 15 ล้านองศาเซลเซียสประมาณ 7 เท่า และสามารถคงอุณหภูมินี้ไว้ได้นาน 48 วินาที ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นในการทดสอบระหว่างเดือนธันวาคม 2023 - กุมภาพันธ์ 2024”

และระบุเพิ่มเติมว่า “นอกจากจะสามารถสร้างอุณหภูมิได้มหาศาลแล้ว ยังสามารถอยู่ในโหมดการจำกัดสูง (High Confinement Mode) หรือโหมด H ซึ่งเป็นขั้นที่พลาสมาเสถียร ได้นานกว่า 100 วินาที ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของ KSTAR เพราะเมื่อในปี 2021 ศักยภาพของ KSTAR สามารถสร้างอุณหภูมิสูงเพียง 1 ล้านองศาเซลเซียส และอยู่ในโหมดการจำกัดสูงได้เป็นเวลา 30 วินาทีเท่านั้น”

แม้ว่าจะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาและขนาดใหญ่เท่ากับดวงอาทิตย์ แต่ด้วยกระบวนการสร้างพลังงานภายในที่อาศัยปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้ออกมาได้ความร้อนในระดับเดียวกันกับดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะดวงนี้ เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันนี้จึงเสมอเหมือนเป็นดวงอาทิตย์เทียมนั่งเอง
ดังนั้นผลลัพธ์ในการทดลองของ KSTAR ครั้งนี้ ก็จะถือเป็นข้อมูลล้ำค่าให้โครงการอื่น ๆ นำไปศึกษาและพัฒนาเพิ่มเติม เช่น โครงการเครื่องปฏิกรณ์ทดลองเทอร์โมนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ ( International Thermonuclear Experimental Reactor หรือ ITER) ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ระดับนานาชาติมูลค่า 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.82 แสนล้านบาท โครงการนี้ตั้งอยู่ในประเทศฝรั่งเศส แต่มีหลายประเทศร่วมพัฒนา เช่น เกาหลีใต้ จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และรัสเซีย

‘ไต้หวัน’ เผชิญ 'แผ่นดินไหว' รุนแรง 7.3 แมกนิจูด ด้าน ‘จีน’ ออกประกาศเฝ้าระวัง 'สึนามิ' ระดับสูงสุด

(3 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ศูนย์เครือข่ายแผ่นดินไหวแห่งประเทศจีน รายงานเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.3 ตามมาตราแมกนิจูด บริเวณน่านน้ำใกล้กับเมืองฮวาเหลียนบนเกาะไต้หวัน ตอน 07.58 น. วันนี้ตามเวลาของปักกิ่ง

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า จุดศูนย์กลางการสั่นไหวอยู่ที่ละติจูด 23.81 องศาเหนือ และลองจิจูด 121.74 องศาตะวันออก ณ ความลึก 12 กิโลเมตร

กลุ่มผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวในเมืองไทเปเผชิญการสั่นสะเทือนรุนแรง โดยอาคารสั่นไหวอย่างต่อเนื่องนานมากกว่าหนึ่งนาที และลิฟต์ของอะพาร์ตเมนต์ของกลุ่มผู้สื่อข่าวถูกระงับการใช้งาน

สื่อท้องถิ่นรายงานว่า หลายพื้นที่ของไต้หวันสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหว ด้านระบบรถไฟใต้ดินของไต้หวันระงับการเดินรถนาน 40-60 นาที

ด้านหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาของไต้หวัน ระบุว่า เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.2 ตามมาตราแมกนิจูด ตอน 07.58 น. ของวันนี้ (3 เม.ย.) ณ ความลึก 15.5 กิโลเมตร โดยจุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากตอนใต้-ตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐบาลอำเภอฮวาเหลียนราว 25 กิโลเมตร และความรุนแรงสูงสุดอยู่ที่ 6 ตามมาตราแมกนิจูดในอำเภอฮวาเหลียน

หลังจากนั้นเกิดอาฟเตอร์ช็อกหรือแผ่นดินไหวตาม โดยศูนย์ฯ รายงานว่าแผ่นดินไหวอีก 2 ครั้ง ขนาด 6.0 และ 5.9 ตามมาตราแมกนิจูด เกิดขึ้นภายในราว 40 นาที และจุดศูนย์กลางการสั่นไหวอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน

ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจีนประกาศเตือนภัยสึนามิ ระดับสีแดง หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวข้างต้น ระบุว่าน่านน้ำโดยรอบจุดศูนย์กลางการสั่นไหวอาจเผชิญสึนามิ ซึ่งจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อพื้นที่ชายฝั่งที่ครอบคลุมทางตะวันออกของไทเปและฮวาเหลียน

สำหรับระบบเตือนภัยสึนามิของจีนแบ่งเป็น 4 ระดับ 4 สี โดยสีแดงหมายถึงความรุนแรงสูงสุด

‘นร.วัย 12’ กราดยิงโรงเรียนในฟินแลนด์ ดับสลด 1 ศพ บาดเจ็บสาหัส 2 ราย

(3 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจฟินแลนด์ยืนยันว่าเหตุกราดยิงโรงเรียนใกล้กรุงเฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ เมื่อวานนี้ (2 เม.ย. 67) ส่งผลให้มีเด็กนักเรียนเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 2 ราย ซึ่งเด็กที่เสียชีวิต บาดเจ็บ รวมถึงผู้ต้องสงสัยก่อเหตุต่างเป็นนักเรียนวัย 12 ปีในโรงเรียนเดียวกัน

รายงานระบุว่านักเรียนผู้ต้องสงสัยถูกตำรวจควบคุมตัวได้บริเวณใกล้โรงเรียนภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุ และพบว่าเขาพกอาวุธปืนไว้กับตัว ด้านเพทเทรี ออร์โพ นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ และรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ได้ออกมาแสดงความตกใจและหวาดหวั่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่าสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นคนก่อเหตุกราดยิงที่โรงเรียน ได้อย่างไม่เกิดเหตุรุนแรง ที่ย่าน Siltamaki ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปไกลพอสมควร ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัยและยึดอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุกราดยิงได้แล้ว

ตำรวจฟินแลนด์เผยด้วยว่า ขณะนี้ไม่มีผู้ต้องสงสัยคนอื่นที่ร่วมก่อเหตุกราดยิงในครั้งนี้ และเนื่องจากเด็กที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมทั้งมือปืนที่ก่อเหตุยังเป็นเด็ก อายุเพียง 12 ปีและเรียนที่โรงเรียนนี้ จึงไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ 

ในขณะที่ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุกราดยิง ได้ยอมรับระหว่างถูกตำรวจสอบปากคำในเบื้องต้น และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งตัวไปให้อยู่ในความดูแลของหน่วยงานประชาสงเคราะห์ เนื่องจากเขายังเด็กเกินไปที่จะควบคุมตัวในห้องขัง

อนึ่ง เหตุกราดยิงครั้งนี้เกิดขึ้นที่โรงเรียนเวียร์โตลา (Viertola) ในเมืองวานตา ซึ่งมีนักเรียนประมาณ 800 คน และมีเจ้าหน้าที่ 90 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top