Saturday, 27 April 2024
WORLD

‘นร.วัย 12’ กราดยิงโรงเรียนในฟินแลนด์ ดับสลด 1 ศพ บาดเจ็บสาหัส 2 ราย

(3 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจฟินแลนด์ยืนยันว่าเหตุกราดยิงโรงเรียนใกล้กรุงเฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ เมื่อวานนี้ (2 เม.ย. 67) ส่งผลให้มีเด็กนักเรียนเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 2 ราย ซึ่งเด็กที่เสียชีวิต บาดเจ็บ รวมถึงผู้ต้องสงสัยก่อเหตุต่างเป็นนักเรียนวัย 12 ปีในโรงเรียนเดียวกัน

รายงานระบุว่านักเรียนผู้ต้องสงสัยถูกตำรวจควบคุมตัวได้บริเวณใกล้โรงเรียนภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุ และพบว่าเขาพกอาวุธปืนไว้กับตัว ด้านเพทเทรี ออร์โพ นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ และรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ได้ออกมาแสดงความตกใจและหวาดหวั่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่าสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นคนก่อเหตุกราดยิงที่โรงเรียน ได้อย่างไม่เกิดเหตุรุนแรง ที่ย่าน Siltamaki ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปไกลพอสมควร ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัยและยึดอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุกราดยิงได้แล้ว

ตำรวจฟินแลนด์เผยด้วยว่า ขณะนี้ไม่มีผู้ต้องสงสัยคนอื่นที่ร่วมก่อเหตุกราดยิงในครั้งนี้ และเนื่องจากเด็กที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมทั้งมือปืนที่ก่อเหตุยังเป็นเด็ก อายุเพียง 12 ปีและเรียนที่โรงเรียนนี้ จึงไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ 

ในขณะที่ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุกราดยิง ได้ยอมรับระหว่างถูกตำรวจสอบปากคำในเบื้องต้น และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งตัวไปให้อยู่ในความดูแลของหน่วยงานประชาสงเคราะห์ เนื่องจากเขายังเด็กเกินไปที่จะควบคุมตัวในห้องขัง

อนึ่ง เหตุกราดยิงครั้งนี้เกิดขึ้นที่โรงเรียนเวียร์โตลา (Viertola) ในเมืองวานตา ซึ่งมีนักเรียนประมาณ 800 คน และมีเจ้าหน้าที่ 90 คน

‘กงสุลใหญ่ฯ ฟูกูโอกะ’ เตือนภัยคนไทย หลังแผ่นดินไหวไต้หวัน แนะ!! ปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการญี่ปุ่นอย่างเคร่งครัด

(3 เม.ย.67) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ ประกาศเตือนภัยสึนามิ ระบุว่า ด้วยวันนี้ (วันพุธที่ 3 เมษายน 2567) เวลาประมาณ 09.02 น. (เวลาท้องถิ่นในญี่ปุ่น) เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.5 แมกนิจูด ที่ไต้หวัน โดยพบแรงสั่นสะเทือนสูงสุดระดับ 4 ที่เกาะโยนากูนิ (ใกล้กับไต้หวัน) กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ออกประกาศเตือนภัยสึนามิ ในเกาะโอกินาวะ เกาะมิยาโกจิมะ หมู่เกาะยาเอยามะ โดยขอให้ประชาชนอพยพทันที คาดการณฺ์ว่า คลื่นอาจสูงถึง 3 เมตร และอาจจะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในบางพื้นที่ 

ในการนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียง โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการท้องถิ่นอย่างเคร่งครัด จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกเตือนภัย และติดตามข่าวสารของทางการญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด

กรณีฉุกเฉินสามารถติดต่อสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน  090-9572-1515 หรือ 090-2585-3027

‘เรือเหาะแคปซูล’ แบบมีคนขับ ‘ฝีมือจีน’ บินเที่ยวแรกสำเร็จ หลังพัฒนาขึ้นมาเอง ชี้!! สมรรถนะครบครัน พร้อมลุยต่อยอด

เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัทอุตสาหกรรมการบินแห่งประเทศจีน (AVIC) ระบุว่า เรือเหาะพลเรือนแบบมีมนุษย์ควบคุม เอเอส700 (AS700) ซึ่งพัฒนาขึ้นเองของจีน ประสบความสำเร็จในการขึ้นบินเที่ยวแรกจากสนามบินจิงเหมิน จางเหอในมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน ก่อนลงจอดที่สนามบินแห่งหนึ่งในเมืองจิงโจวในเวลา 1 ชั่วโมง 46 นาที โดยมีกำหนดส่งมอบลำแรกภายในสิ้นปีนี้

ด้าน หลินหง นักบินผู้ควบคุม กล่าวว่า เที่ยวบินแรกดำเนินไปอย่างราบรื่นตามแผน เอเอส700 มีความคล่องตัวที่ดี มีศักยภาพการขึ้นบิน-ลงจอดในแนวดิ่งในพื้นที่แคบ อีกทั้งคล่องตัวและยืดหยุ่นมากกว่าเรือเหาะประเภทอื่น ๆ

ด้าน โจวเหลย หัวหน้าผู้ออกแบบโครงการเรือเหาะลำนี้ เผยว่า เที่ยวบินดังกล่าวตรวจสอบการสื่อสารบนเที่ยวบิน การบรรทุกอุปกรณ์ ตลอดจนศักยภาพการขึ้นบิน-ลงจอดของเอเอส700 อย่างครบถ้วน ซึ่งวางรากฐานสำหรับเที่ยวบินระยะไกลและยาวนานขึ้นในอนาคต

บริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อเรือเหาะรุ่นนี้จำนวน 18 ลำแล้ว หลังจากเอเอส700 ได้รับใบรับรองแบบในจีนเมื่อปี 2023 โดยลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในแวดวงภาคการท่องเที่ยวชมวิวในระดับต่ำ

ทีมพัฒนาเรือเหาะเอเอส700 วางแผนปรับปรุงอากาศยานลำนี้เพิ่มเติมเพื่อขยายสถานการณ์การใช้งานให้ครอบคลุมการช่วยเหลือฉุกเฉิน บริการสาธารณะในเมือง และด้านอื่น ๆ

เรือเหาะแบบมีมนุษย์ควบคุมประเภทแคปซูลเดี่ยว มีน้ำหนักขึ้นบินสูงสุด 4,150 กิโลกรัม พิสัยการบินสูงสุด 700 กิโลเมตร ระยะเวลาการบินสูงสุด 10 ชั่วโมง และความจุสูงสุด 10 คน (รวมนักบิน)

‘ราชวงศ์ญี่ปุ่น’ เปิดบัญชี IG อย่างเป็นทางการ หวังสื่อสารกับ ‘คนรุ่นใหม่’ ให้เข้าใจสิ่งที่ทำ

(1 เม.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน บัญชีอินสตาแกรม ‘สำนักพระราชวังอิมพีเรียล’ หรือ The Imperial Household Agency (@kunaicho_jp) ของ ราชวงศ์ญี่ปุ่น เปิดให้สาธารณะเข้ามีส่วนร่วมได้แล้วในวันนี้ (1 เม.ย.) โดยมีผู้ติดตามแล้วกว่า 200,000 คน (ข้อมูล ณ เวลา 14.55 น. วันที่ 1 เม.ย.67) ซึ่งโฆษกสำนักพระราชวังยืนยันว่า การเล่นโซเชียลมีเดียก็ด้วยหวังให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจถึงสิ่งที่ราชวงศ์ทำ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โพสต์มีเพียงข้อความบรรยายง่าย ๆ ว่าสมเด็จพระจักรพรรดิทรงทำอะไรบ้าง อาทิ ให้ทูตานุทูตเข้าเฝ้าไปจนถึงทรงชื่นชมต้นบอนไซ โดยมีการคัดกรองความเห็นไว้แล้ว บัญชีนี้ไม่ได้ติดตามยูสเซอร์รายอื่นและยังไม่เข้าร่วมในอินสตาแกรมสตอรี

อย่างไรก็ตาม ท่าทีดังกล่าวก็สร้างความประหลาดใจให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก อาทิ

“สำนักพระราชวังอิมพีเรียลเล่นอินสตาแกรม! ฉันคิดว่านี่มันมุกวันเมษาหน้าโง่” ผู้ใช้ X คนหนึ่งแสดงความคิดเห็นเมื่อทราบข่าว

“ตอนที่ฉันได้ยินว่าสำนักพระราชวังมีบัญชีอินสตาแกรม ฉันรีบเช็กข้อมูล แต่พระจักรพรรดิคงไม่โพสต์มื้อเที่ยงวันนี้ หรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ” ผู้ใช้อีกคนที่ให้ความคิดเห็น ขณะที่หลายคนแซวว่า ดีแล้วที่ราชวงศ์เลือกเล่นอินสตาแกรมที่มี ‘อารยะ’ มากกว่า X หรืออดีตทวิตเตอร์

ทั้งนี้ ราชวงศ์อื่น ๆ เล่นโซเชียลมีเดียมานานแล้วรวมถึงราชวงศ์อังกฤษ ที่เมื่อเร็ว ๆ นี้เพิ่งเจอข่าวลือและทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับแคเธอริน เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ที่ทรงตกแต่งภาพทางการที่วังเผยแพร่เนื่องในโอกาสวันแม่ และภายหลังพระองค์ทรงเปิดเผยว่าทรงได้รับการวินิจฉัยประชวรมะเร็ง

'จีน' วัดพลังเจ้าเวหา คลอดเครื่องบินพาณิชย์ Made in China  ไม่หวั่น 'Airbus-Boeing' แม้ตอนนี้จะยังช่วงชิงส่วนแบ่งยาก

จีนเปิดตัวเครื่องบินพาณิชย์ Made in China แท้ ๆ รุ่น C919 ของบริษัท COMAC (Commercial Aircraft Corporation of China) ผู้พัฒนาอากาศยานเชิงพาณิชย์ของรัฐบาลจีน ในงาน Singapore Airshow 2024 ที่ผ่านมา เป็นงานจัดแสดงอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ที่จะจัดขึ้นทุก ๆ 2 ปี และปีนี้เป็นการจัดงานครั้งแรกหลังผ่านพ้นวิกฤติการระบาด Covid-19 

โดยจีนได้ส่ง เครื่องบินพาณิชย์ของ COMAC รุ่น C919 มาจัดแสดงในงานนี้ด้วย เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการพัฒนาเครื่องบินขนส่งพาณิชย์ของจีน ที่พร้อมตีตลาดคู่แข่งยักษ์ใหญ่ตลอดกาลอย่าง บริษัท Airbus ในรุ่นขายดี A320 และ Boeing ในรุ่น 737 MAX 

COMAC - C919 เป็นเครื่องบินลำตัวแคบ ระยะบินใกล้ถึงปานกลาง ในระยะทางไม่เกิน 3,600 ไมล์ (5,644 กิโลเมตร) สามารถจุผู้โดยสารได้ถึง 192 คน เหมาะกับเที่ยวบินระยะสั้น ภายในประเทศ ซึ่งได้รับการรับรองการใช้งานอย่างเป็นทางการจากสำนักงานการบินพลเรือนของจีนแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2022 

ปัจจุบัน เครื่องบินรุ่น C919 เริ่มให้บริการผู้โดยสารแล้วโดยสายการบิน China Eastern เมื่อเดือนพฤษภาคม 2023 นอกจากนี้ยังมีสายการบินทิเบต แอร์ไลน์ ที่ได้สั่งซื้อเครื่องบิน C919 แล้วจำนวน 40 ลำแล้วเช่นกัน

ถึงแม้ว่า ปัจจุบันตลาดเครื่องบินพาณิชย์ COMAC จะยังคงจำกัดอยู่ในประเทศจีน แต่การเปิดตัวเครื่องรุ่น C919 ในงาน Singapore Air Show ในปีนี้เป็นครั้งแรก เป็นการประกาศถึงความพร้อมของจีน ที่ต้องการตีตลาดเครื่องบินพาณิชย์ ที่เคยมีบริษัทยักษ์ใหญ่ผูกขาดอยู่เพียง 2 บริษัทคือ Airbus และ Boeing โดยจีนเล็งไปที่ตลาดที่ธุรกิจการบินกำลังกลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลัง Covid-19 และอยู่ไม่ห่างจากจีนมากนั้น นั้นก็คือ ย่านอาเซียน

แม้นักวิเคราะห์ด้านธุรกิจการบินมองว่า เครื่องบินพาณิชย์สัญชาติจีนยังแข่งขัน แย่งชิงส่วนแบ่งของ 2 เจ้าตลาดโลกได้ยากมากในเวลานี้ แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยในอนาคต เมื่อดูจากผลตอบรับในงาน Singapore Air Show เครื่องบินจีนได้รับความสนใจอย่างมาก การออกแบบตัวเครื่องทำได้ดี บินได้นิ่ง และเงียบ 

ส่วนด้านเทคนิค ภายในตัวเครื่อง C919 กว่าครึ่งยังใช้เครื่องยนต์นำเข้าของ CFM International บริษัทผู้พัฒนาเครื่องยนต์อากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีศักยภาพเทียบชั้นได้กับเครื่องยนต์ของ Airbus และ Boeing เช่นกัน 

และด้วยสถานการณ์ของเครื่องบิน Boeing 737 Max 9 ที่ถูกสั่งห้ามบินในสหรัฐฯ หลังเกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคกับเครื่องของสายการบิน Alaska Airlines ที่เป็นรุ่นคู่แข่งโดยตรงของ C919 ก็ถือเป็นโอกาสการเข้าทำตลาดของเครื่องบินน้องใหม่สัญชาติจีนลำนี้ 

และหลังจากงาน Singapore Air Show แล้ว COMAC วางแผนที่จะลุยตลาดต่อในประเทศเวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และ ไทย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความใกล้ชิดทางการค้ากับจีน และมีนักท่องเที่ยวจีนนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าตลาดการบินในย่านนี้จะโตขึ้นได้อีกอย่างรวดเร็ว 

แต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ COMAC ไม่ได้ต้องการขายเครื่องบินราคาถูก เพื่อตัดราคาในท้องตลาด โดย C919 ตั้งราคาไว้ที่ลำละ 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแทบไม่ต่างจากราคาเครื่องบินของ Airbus หรือ Boeing ในรุ่นใกล้เคียงกันเลย เพียงแต่สิ่งที่ COMAC คำนึงในตอนนี้คือ คุณภาพการให้บริการแบบจัดเต็ม ระบบซ่อมบำรุง ฝึกอบรม และอื่น ๆ ที่มาในแพ็กเกจ พร้อมข้อเสนอราคาพิเศษเมื่อซื้อล็อตใหญ่ตั้งแต่ 40 ลำขึ้นไป อีกทั้งยังเป็นการทดลองเปิดตลาดต่างประเทศ ที่ทางจีนไม่ได้คาดหวังในการทำกำไรทันทีในรุ่นนี้ 

และหากพิจารณาจากโอกาสในการเติบโตของเครื่องบินจีน ประเทศที่มีธุรกิจการบินในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกรองจากสหรัฐฯ รัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าที่จะพัฒนาเครื่องยนต์พาณิชย์ของตัวเอง เพื่อลดการพึ่งพาเครื่องยนต์จากประเทศตะวันตกอย่างจริงจัง และเชื่อมั่นว่าจะสามารถยกระดับเทคโนโลยีด้านการบินของตนให้สามารถแข่งขันกับเครื่องบินของชาติตะวันตกได้อย่างทัดเทียมกันในอนาคตอันใกล้ อย่างที่จีนเคยทำได้ในตลาดสินค้าเทคโนโลยีอื่น ๆ มาแล้ว 

ดังนั้น อนาคตธุรกิจเครื่องบินพาณิชย์ของจีนนั้น คงไม่จบแค่บทเดียว แต่ต้องจับตามองกันต่อในระยะยาว ถ้าจีนไม่ถอดใจไปเสียก่อน

สตรีในนิวยอร์ก ผวา!! ตกเป็นเป้าชกหน้าแบบไม่รู้เหตุผล ตอกย้ำความกังวลด้านอาชญากรรมในมหานครแห่งนี้ 

ผู้หญิงหลายคนทำวิดีโอลงบน TikTok เล่าว่าพวกเธอโดนทำร้ายร่างกาย ถูกคนร้ายชกใบหน้าโดยไม่เลือก ระหว่างที่กำลังเดินอยู่บนท้องถนนในนิวยอร์ก ซิตี และจนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบเหตุผลว่าทำไม เหตุการณ์ต่อเนื่องที่โหมกระพือความกังวลเกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรมในมหานครของสหรัฐฯ แห่งนี้

เรื่องราวผู้หญิงถูกชกโดยไม่มีที่มาที่ไปถูกเปิดโปงออกมาเป็นครั้งแรกโดย ‘ฮัลลีย์ เคท’ ติ๊กต็อกสาววัย 23 ปี ที่พักอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก โดยเธอโพสต์วิดีโอหนึ่งในวันที่ 25 มีนาคม และตอนนี้กลายเป็นคลิปไวรัล ซึ่งกล่าวอ้างว่าเธอถูกชกที่ใบหน้าขณะเดินอยู่บนท้องถนน "ฉันกำลังเดินอยู่ และผู้ชายคนหนึ่งก็เข้ามาชกเข้าที่ใบหน้าฉัน โอ้พระเจ้า มันเจ็บมาก ฉันไม่สามารถพูดได้เลย"

ในวิดีโอต่อมา เคทให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เธอกำลังมัวแต่มองโทรศัพท์ตอนที่ชายคนหนึ่งจูงสุนัขมา แล้วชกหรือไม่ก็ศอกเข้าใบหน้าของเธอ ทำให้เธอล้มฟุบไปกองกับพื้นและศีรษะของเธอกระแทกเข้ากับทางเท้า ทั้งนี้ เคท เล่าว่าเธอต้องการรักษาตัวเป็นการด่วนและเข้าแจ้งความเรื่องนี้กับตำรวจ

กรมตำรวจนิวยอร์ก ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อเหยื่อ ยืนยันกับบิสเนสอินไซเดอร์ ว่า ได้รับแจ้งความเหตุทำร้ายร่างกายจากผู้หญิงวัย 23 ปีรายหนึ่ง ซึ่งถูกทำร้ายบริเวณใบหน้าและศีรษะ จากนั้นก็ร่วงไปกองกับพื้นและได้รับบาดเจ็บ

เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยต่อว่า ชายวัย 40 ปีคนหนึ่งชื่อว่า ‘สกีโบกี สโตรา’ ถูกจับกุมและตั้งข้อหาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม และเวลานี้ยังอยู่ระหว่างการสืบสวน

นับตั้งแต่เรื่องราวของ เคท ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ ได้ปรากฏวิดีโอของสาวติ๊กต็อกอีกคน ที่เผยแพร่ก่อนหน้านั้นหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเธอเผยว่าเธอถูกชกบนท้องถนนในนิวยอร์ก ซิตี เช่นกัน

โอลิเวีย แบรนด์ เผยว่า ชายคนหนึ่งเดินตรงเข้าหาเธอ ในเขตโนลิตา/โซโหของนิวยอร์ก และกล่าว "ขอโทษ" ก่อนชกเข้าที่ใบหน้าของเธอ พร้อมบอกว่าเธอได้แจ้งความกับตำรวจเรียบร้อยแล้ว

ในเรื่องนี้ กรมตำรวจนิวยอร์กยืนยันเช่นกันว่าได้รับแจ้งความผู้หญิงวัย 25 ปีคนหนึ่งถูกชกในวันที่ 17 มีนาคม บริเวณใกล้เคียงถนนเคนแมร์ตัดกับถนนมัลเบอร์รี และได้รับแจ้งความในฐานะคดีคุกคาม

นอกจากนี้ ผู้หญิงอีกคนใช้ชื่อบนสื่อสังคมออนไลน์ Malous228 เปิดเผยว่าเธอถูกชกเข้าที่ใบหน้าแบบไม่เลือกหน้า โดยชายคนหนึ่ง ในย่านไทม์ส สแควร์ โดยในวิดีโอที่เธอโพสต์นั้นพบเห็นชายคนหนึ่งที่เธออ้างว่าเป็นคนทำร้ายเธอกำลังเดินหนีไป

เธอบอกว่าเธอออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเอง หลังพบเห็นคลิปไวรัลของผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ประสบพบเจอเหตุโจมตีแบบเดียวกัน

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ก่อเหตุชกหน้าผู้หญิงนั้น เป็นชายคนเดียวกันหรือเป็นฝีมือของหลายคน ที่ลงมือเล่นงานเหยื่อแบบสุ่ม ๆ

‘มากายลา โตนินาโต’ สาวติ๊กต็อกอีกคนโพสต์วิดีโอภาพที่เธอมีบาดแผลบริเวณใบหน้าอย่างชัดเจน เล่าว่าเธอถูกชกแบบไม่เลือกหน้าเช่นกัน ตอนที่เธอกำลังเดินออกจากมหาวิทยาลัยเดอะนิวสคูล

ส่วนผู้หญิงรายที่ 5 ‘เซเลนา พิกานับ’ เปิดเผยผ่านติ๊กต็อกเช่นกันว่า เธอถูกชายคนหนึ่งถูกชกในย่านโซโห ขณะที่เหยื่อรายที่ 6 ‘ไกเซม เซอร์มาลี’ สาวครีเอตคอนเทนต์วัย 27 ปี ที่พักอาศัยอยู่ในเยอรมนี ให้สัมภาษณ์กับเดอะการ์เดียน ว่าเธอถูกชกบนท้องถนนในเขตโซโห ระหว่างที่เดินทางมาทำงานที่เมืองแห่งนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์

โตนินาโต กล่าวว่านับตั้งแต่เธอเผยแพร่เรื่องราวของตนบนสื่อสังคมออนไลน์ มีผู้หญิงหลายคนได้ติดต่อเข้ามาเล่าเรื่องราวให้ฟังว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้พวกเธอเองก็ถูกชกโดยไม่เลือกหน้าในนิวยอร์ก ซิตี เช่นกัน

เหตุการณ์ชกหน้าโดยไม่เลือกหน้าเหล่านี้ กำลังสร้างความไม่สบายใจแก่บรรดาผู้หญิงในนิวยอร์ก ซิตี เป็นอย่างมาก โดยหลายคนโพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ แสดงความหวาดกลัวว่าจะถูกชกและเตือนคนอื่น ๆ ให้อยู่ในความระแวดระวัง

เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลต่อปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นในมหานครแห่งนี้ ตามหลังมีรายงานเกี่ยวกับเหตุโจมตีไม่เลือกหน้าในระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน และหนึ่งในนั้นถึงขั้นทำให้เหยื่อถึงแก่ความตาย

‘โซเชียลมาเลฯ’ ถาม!! ‘เหตุใด? น้ำมันในไทยแพง แต่อาหารถูก’ ตอบ!! เพราะไทยทำเกษตร-ผลิตอาหารเอง-ต้นทุนขนส่งทางถนนต่ำ

(1 เม.ย. 67) เพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ โพสต์ข้อความเรื่อง ‘ไวรัสในมาเลเซีย เกี่ยวกับค่าน้ำมันและอาหารในประเทศไทย’ โดยระบุว่า…

“ไวรัล ในมาเลเซีย 🇲🇾

**คำถาม ราคาน้ำมันในประเทศไทย ‘แพง’ แต่ทำไม อาหารถึง ‘ถูก’.......? อธิบายหน่อย

✍️จากความเห็นส่วนใหญ่ 

1.ประเทศไทย ประสบผลสำเร็จเรื่องการเกษตร ผู้ส่งออกอาหาร และวัตถุดิบ มาเลเซียต้องนำเข้า แม้แต่อาหารสัตว์ **ไทยมีพื้นที่ลุ่ม ปลูกอาหารได้ทั้งปี

2.มาเลเซีย แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ผู้ผลิต +ต้นทุนการขนส่งไปอีกฝั่ง 

3.มาเลเซีย เสียค่าผ่านทางถนน - ไทยฟรี เมื่อคำนวนระยะจ่ายแล้วไม่ต่างกันเท่าไหร่ 

4.ในช่วงปี 2000 มาเลเซีย มุ่งเน้นไปที่ อุตสาหกรรมไฮเทค จนลืมสานต่ออุตสาหกรรมการเกษตร  ทำให้ภาคผลิตการเกษตรลดลงอย่างมาก

✍️#คุณมีความเห็นอย่างไร”

'เถาเป่า' ทดลองยิงจรวดส่งสินค้าด่วนขั้นเทพ ส่งได้ทั่วโลกภายในหนึ่งชั่วโมง แม้แต่รถยนต์

สเปซ อีพ็อก (Space Epoch) บริษัทผู้สร้างจรวดของจีน ประกาศความร่วมมือกับ ‘เถาเป่า’ แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ในเครืออาลีบาบา ทดลองส่งสินค้าตามสั่งด้วยจรวด

(1 เม.ย. 67) สตาร์ตอัปเอกชน ซึ่งมีชื่อเต็มว่า บริษัท ปักกิ่ง เซพ็อก เทคโนโลยี จำกัด (Beijing Sepoch Technology Co) ยืนยันกับโกลบอลไทมส์ สื่อของทางการจีนเมื่อวันอาทิตย์ (31 มี.ค.) ว่า จะเริ่มดำเนินการทดสอบครั้งแรกในปีนี้ ถ้าโครงการสำเร็จราบรื่น การส่งสินค้าข้ามประเทศด้วยจรวดจะสามารถทำได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ในขณะที่ตามรายงานของรอยเตอร์นั้นระบุว่า แค่ชั่วโมงเดียว

โดยการขนส่งในขั้นแรกจะใช้เซพ็อกไฮเคอร์หมายเลขหนึ่ง (Sepoch Hiker No 1) หรือ หยวนซิง - 1 ซึ่งเป็นจรวดขนส่งของเหลวขนาดกลาง ที่บริษัทเป็นผู้พัฒนา จรวดนี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ลำตัวจรวดทำด้วยเหล็กกล้าไม่เป็นสนิม โดยเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีการผลิตทางอุตสาหกรรมร่วมกับนวัตกรรมเทคโนโลยีการรีไซเคิลทางทะเล ซึ่งช่วยลดเวลาการวิจัยและพัฒนา และลดความเสี่ยงในการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพิสูจน์แล้วว่า ประสบความเสร็จ ก็จะช่วยตอบโจทย์บริการส่งสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งความต้องการของผู้บริโภคกำลังพุ่งทะยาน

จรวดมีพื้นที่บรรทุกสินค้าได้มากถึง 10 ตัน ด้วยการออกแบบให้มีปริมาตรความจุ120 ลูกบาศก์เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.2 เมตร ซึ่งหมายความว่า นอกจากสินค้าขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว ยังสามารถขนส่งสินค้าขนาดใหญ่อย่างรถยนต์ หรือแม้กระทั่งรถมินิแวนได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม บริษัทสตาร์ตอัปรายนี้ยอมรับว่า การขนส่งสินค้าด้วยจรวดที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่อาจเป็นภารกิจที่ยากลำบากในระยะสั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและขีดความสามารถในปัจจุบัน แต่นั่นอาจเป็น ‘การสำรวจในระยะยาวที่มีความหมาย’ บริษัทระบุ

ทั้งนี้ ในปี 2566 สเปซ อีพ็อกได้เสร็จสิ้นการทดสอบการจุดระเบิดแบบสถิตและการกู้จรวดเซพ็อกไฮเคอร์ ที่ลงจอดในทะเล โดยมีแผนทดสอบการนำจรวดลงจอดในทะเลและดำเนินการกู้ขึ้นมาเป็นเที่ยวบินแรกในเร็ว ๆ นี้ จากนั้น จึงจะทดสอบการขนส่งสินค้าด้วยจรวดเป็นครั้งแรก ซึ่งทำภายในประเทศจีนก่อน

‘กัมพูชา’ เตรียมเสนอ ‘สงกรานต์กัมพูชา’ เป็นมรดกโลก หวัง!! ‘วัฒนธรรมของบรรพบุรุษ’ ได้การยอมรับในระดับสากล

หลังจากที่ ‘ประเพณีสงกรานต์ของไทย’ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกมายาวนาน จนในปี 2566 ที่ผ่านมา ‘ยูเนสโก’ ประกาศขึ้นทะเบียน ‘สงกรานต์ไทย’ ให้เป็นมรดกโลกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ในรายการบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

ล่าสุดประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ‘กัมพูชา’ ก็เตรียมเสนอ ‘สงกรานต์กัมพูชา’ หวังเป็นมรดกโลกเช่นกัน

โดยเมื่อวานนี้ (31 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ประกาศแผนเสนอรายชื่อทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ 7 รายการ และทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ 3 รายการ เพื่อขึ้นบัญชีรายชื่อมรดกโลกของยูเนสโก (UNESCO)

สถานที่ 7 แห่งที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ ได้แก่ อดีตเรือนจำเอ็ม-13 (M-13)/พิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตวลสเลง/ศูนย์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เจืองแอ็ก วัดบันทายฉมาร์ สถานที่ตั้งของอังกอร์เบอเรยและพนมฎา โบราณสถานภูเขาพนมอูดง ปราสาทพระขรรค์กำปงสวาย วัดเบ็งเมเลีย และอุทยานเทือกเขาพนมกุเลน

ส่วนทรัพย์สินอีก 3 รายการที่วางแผนยื่นเสนอเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ได้แก่ สงกรานต์กัมพูชา กรอมา (Krama) ผ้าพันคอที่ทอแบบดั้งเดิม และประเพณีการแต่งงานแบบเขมร

“เราจะเสนอรายชื่อเหล่านี้เป็นมรดกโลกของยูเนสโก เพื่อให้ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษของเราได้รับการยอมรับและอนุรักษ์ในระดับสากล” ฮุนมาเนตกล่าว พร้อมเสริมว่าปกติแล้วการขึ้นทะเบียนจะใช้เวลาเกือบสองปี และแต่ละประเทศสามารถยื่นเสนอรายชื่อเป็นมรดกโลกของยูเนสโกได้ปีละ 1 รายการเท่านั้น

กัมพูชาจะยื่นเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนสงกรานต์กัมพูชาลงในรายการมรดกที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโกในปี 2025 และคาดว่าจะได้รับการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการในปี 2026

สงกรานต์เป็นคำภาษาสันสกฤตที่ใช้เรียกวันปีใหม่ตามปฏิทินทางพุทธศาสนา ซึ่งเทศกาลนี้มีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศที่นับถือพุทธศาสนาในเอเชีย อาทิ กัมพูชา ไทย ลาว และเมียนมา

เจ้าหน้าที่จีน เผยตัวเลข นทท.เข้า-ออกสูงเกือบ 3 ล้าน เหตุจาก นโยบายฟรีวีซ่า-ชำระเงินง่าย สะดวกสบาย 

เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวซินหัว ได้รายงานว่า สือเจ๋ออี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน อ้างอิงข้อมูลจากสำนักบริหารการตรวจคนเข้าเมืองแห่งชาติจีน ระบุว่าจีนพบยอดการเดินทางขาเข้าและขาออกของผู้มาเยือนต่างชาติ รวมอยู่ที่ 2.95 ล้านครั้ง ในช่วงสองเดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์) ของปี 2024

สือเผยว่าตัวเลขข้างต้นเพิ่มขึ้น 2.3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า และฟื้นตัวสูงถึงร้อยละ 41.5 ของระดับก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายฟรีวีซ่าที่จีนขยายครอบคลุมประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมเมื่อไม่นานนี้ อาทิ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน มาเลเซีย และสิงคโปร์ และยอดนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศเหล่านี้ยังเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเทศกาลตรุษจีน

สือกล่าวว่าจีนจะดำเนินงานเพื่อขจัดอุปสรรคและจัดการกับปัญหาในด้านวัฒนธรรมและการท่องที่ยว โดยเฉพาะการทำให้กระบวนการชำระเงินตามสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดการแสดงทางวัฒนธรรม และโรงแรมสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จีนจะจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม พร้อมเพิ่มความพยายามในการโฆษณาและส่งเสริมตลาดระหว่างประเทศ

นักวิจัย ในออสเตรเลีย ชี้ ‘งูเหลือม’ มีโปรตีนสูง เหมาะทำ ‘ฟาร์มปศุสัตว์’ เพื่อแก้ปัญหา ‘สภาวะขาดโปรตีนเฉียบพลัน’ ในกลุ่มประเทศยากจน

เมื่อเร็วๆ นี้ การวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมกควอรี ในออสเตรเลีย นำทีมโดยนักวิจัยกิตติมศักดิ์ ดร. แดเนียล นาทัสช์ ได้ศึกษาฟาร์มงูเหลือมเชิงพาณิชย์ 2 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า 'งูเหลือม' สามารถเปลี่ยนอาหารเป็นการเพิ่มน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง เมื่อเทียบกับปศุสัตว์ทั่วไป เช่น ไก่และโคเนื้อ

“งูเหลือมมีประสิทธิภาพในการแปลงอาหารให้เป็นโปรตีนและน้ำหนักตัวมากกว่าสัตว์ที่เลี้ยงเพื่อการบริโภคทุกชนิด งูเหลือมโตเร็วมาก เพียงแค่ปีเดียวหลังจากฟักออกจากไข่ ก็สามารถจับส่งขายได้แล้ว” ดร.นาทัสช์ กล่าว

นักวิจัยได้เก็บข้อมูลงูเหลือมร่างแห (Malayopython reticulatus) และงูเหลือมพม่า (Python bivittatus) ที่เลี้ยงในฟาร์มของประเทศไทยและเวียดนามเกือบ 5,000 ตัวเป็นเวลาหนึ่งปี พร้อมด้วยอาหารพวกมันที่ได้รับอาหาร รวมถึงน้ำหนักเนื้องู โดยไม่รวมผิวหนัง อวัยวะภายใน ศีรษะและหาง จากนั้นจึงนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่มีอยู่ในสัตว์อื่น ๆ 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคภัยไข้เจ็บ และปริมาณทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลง ล้วนสร้างปัญหาให้กับการทำการเกษตรและปศุสัตว์ ซึ่งจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้คนจำนวนมาก ในกลุ่มประเทศยากจน ที่อยู่ในสภาวะขาดโปรตีนเฉียบพลันอยู่แล้ว จนเกิดความไม่มั่นคงทางอาหารในวงกว้าง ทำให้ผู้คนต้องแสวงหาแหล่งอาหารทางเลือก

'เนื้องู' ถือเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและมีไขมันอิ่มตัวน้อยและเป็นแหล่งอาหารที่ยั่งยืน โดยมีการบริโภคอย่างแพร่หลายทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในประเทศจีน ถึงแม้ว่าจะมีการเลี้ยงงูเหลือมขนาดใหญ่มากมายในเอเชีย ถึงขั้นเปิดเป็นฟาร์มเชิงพาณิชย์ได้ แต่งูกลับไม่ได้รับความสนใจจากวงการวิทยาศาสตร์การเกษตรกระแสหลักมากนัก ทั้ง ๆ ที่งูไม่ต้องการดูแลและอาหารมากเท่ากับสัตว์ชนิดอื่น

ปกติแล้ว นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสูญเสียพลังงานจากอาหารที่กินประมาณ 90% เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ แต่สัตว์เลื้อยคลานที่เป็นสัตว์เลือดเย็นไม่ต้องเสียพลังงานไปกับการรักษาอุณหภูมิ พวกมันแค่ต้องการแสงแดดเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นเท่านั้น

ดังนั้นงูเหลือมจึงสามารถเปลี่ยนแปลงสารอาหารที่พวกมันกินให้เป็นเนื้อและเนื้อเยื่อร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าสิ่งมีชีวิตเลือดอุ่นทุกชนิด

ดร.นาทัสช์ กล่าวว่า งูสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำค้างที่ตกลงบนเกล็ดของมันในตอนเช้า และกินสัตว์ฟันแทะ หรือสัตว์อื่น ๆ ที่ทำลายพืชอาหารของมนุษย์ พร้อมระบุว่า การศึกษาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการทำฟาร์มงูเหลือมด้วยระบบปศุสัตว์ อาจให้การตอบสนองต่อความไม่มั่นคงด้านอาหารทั่วโลกได้อย่างและมีประสิทธิภาพ

ศ.ริค ชายน์ ผู้ศึกษาวิจัยร่วม กล่าวว่า นี่เป็นการศึกษาครั้งแรกที่เจาะลึกถึงต้นทุน และประโยชน์ของฟาร์มงูเชิงพาณิชย์ โดยผลการศึกษาชี้ว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงงูเหลือมสามารถปรับตัวทางเศรษฐกิจและได้กำไรมากกว่าการทำฟาร์มสุกร

การศึกษาพบว่า มวลอาหารแห้งที่งูเหลือมเลี้ยงคือ 1.2 เท่าของมวลเนื้องู ซึ่งต่ำกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน (1.5) จิ้งหรีด (2.1) สัตว์ปีก (2.8) หมู (6) และ วัว (10) 

เช่นเดียวกับน้ำหนักของโปรตีนที่ให้เป็นอาหารงูอยู่ที่ 2.4 เท่าของมวลน้ำหนักงู ต่ำกว่าสัตว์ชนิด ๆ ได้แก่ ปลาแซลมอน (3) จิ้งหรีด (10) สัตว์ปีก (10) หมู (38) และ วัว (83)

งูเหลือมหนึ่งตัว สามารถนำมาใช้บริโภคได้ถึง 82% ของน้ำหนักตัว ซึ่งนอกจากเนื้อสัตว์ที่นำมาบริโภคแล้ว ยังสามารถนำหนังไปใช้ทำเครื่องประดับหรือเฟอร์นิเจอร์ได้ ขณะที่ไขมัน หรือที่เรียกว่า 'น้ำมันงู' และ ดีงู (น้ำดีงู) สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้อีกด้วย

สัตว์เลื้อยคลานผลิตก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาก ระบบย่อยอาหารที่แข็งแรงของพวกมัน สามารถสลายกระดูกได้ ทำให้แทบไม่มีการสูญเสียน้ำและสร้างของเสียน้อยกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาก

อีกทั้งงูยังให้กำเนิดลูกได้จำนวนมากในเวลาอันสั้น โดยงูเหลือมผลิตไข่ได้ระหว่าง 50-100 ฟองในหนึ่งปี ตรงกันข้ามกับวัวซึ่งให้กำเนิดลูกโดยเฉลี่ยเพียง 0.8 ตัวต่อปี ส่วนสุกรซึ่งสามารถตกลูกได้ประมาณ 22-27 ตัว 

ดร.นาทัสช์ กล่าวว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกษตรกรไม่สามารถขายสุกรได้ และมีต้นทุนมากเกินไปที่จะเลี้ยงต่อ สุดท้ายเกษตรกรจำเป็นต้องการุณยฆาตและฝังกลบ หรือเอาไปทำเป็นปุ๋ยหมัก แต่ถ้าเลี้ยงงูก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะงูเหลือมสามารถอดอาหารได้นานกว่า 4 เดือน โดยที่น้ำหนักแทบจะไม่ลดลงเลย  และกลับมาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้กินอาหาร ดังนั้นการเลี้ยงดูงูเหลือมจึงสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาหารจะขาดแคลนก็ตาม

นอกจากนี้การเลี้ยงงูยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านได้อีกด้วย “ฟาร์มบางแห่งมีนำลูกงูเหลือมไปให้ชาวบ้านช่วยเลี้ยง และจะรับซื้อคืนเมื่องูอายุครบหนึ่งปี ซึ่งเป็นการสร้างรายได้เสริมให้แก่ชาวบ้านวัยเกษียณ โดยพวกเขาจะมีต้นทุนเพียงแค่ค่าอาหารงู อาจจะเป็นสัตว์ฟันแทะหรือเศษอาหารต่าง ๆ ที่หาได้ในท้องถิ่น” ดร.นาทัสช์ กล่าว

ขณะที่ ศ.ชายน์ กล่าวว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของสัตว์เลื้อยคลานในการเปลี่ยนของเสียให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์ได้ และแสดงให้ถึงโอกาสในการผลักดันให้งูกลายเป็นแหล่งอาหารทางเลือก แต่อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้ที่ชาวยุโรปและออสเตรเลียจะทดลองทำฟาร์มงู และนำงูมาบริโภค

“ผมคิดว่าคงอีกนานกว่าที่คุณจะได้เห็นเบอร์เกอร์งูเหลือมเสิร์ฟที่ร้านอาหาร”

อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยงูเหลือมนั้นเป็น สัตว์ป่าคุ้มครอง ตามกฎกระทรวง กำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2546 โดยมีงูจำนวน 14 ชนิด ได้แก่

1. งูเขียวกาบหมาก (Gonyosoma oxycephalum)
2. งูจงอาง (Ophiophagus Hannah)
3. งูทางมะพร้าวเขียว (Gonyosoma prasina)
4. งูทางมะพร้าวดำ หรือ งูทางมะพร้าวมลายู หรือ งูหลุนชุน (Elaphe flavolineata)
5. งูทางมะพร้าวแดง (Elaphe porphyracea)
6. งูทางมะพร้าวลายขีด (Elaphe radiata)
7. งูทางมะพร้าวหางดํา หรืองูใบ้ หรืองูทางมะพร้าวถํ้า (Elaphe taeniura)
8. งูสิง (Ptyas korros)
9. งูสิงหางดํา (Ptyas carinatus)
10. งูสิงหางลาย หรืองูสิงลาย (Ptyas mucosus)
11. งูแสงอาทิตย์ (Xenopeltis unicolor)
12. งูหลาม (Python molurus bivittatus)
13. งูหลามปากเป็ด (Python curtus)
14. งูเหลือม (Python reticulatus)

ทั้งนี้สามารถขออนุญาตเพื่อเพาะพันธุ์จำหน่าย เพื่อความสวยงาม แปรรูปผลิตภัณฑ์หนัง แต่ไม่อนุญาตให้นำไปกินเป็นอาหาร

‘Xiaomi’ ท้าชน!! เปิดตัว NEV รุ่น SU7 ที่พัฒนาเองครั้งแรก ราคาเริ่มต้น 1.1 ล้านบาท ครบครันทั้งสมรรถนะ-เทคโนโลยี

(29 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เสียวหมี่ (Xiaomi) บริษัทเทคโนโลยีของจีน เปิดตัวรถยนต์พลังงานใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองเป็นครั้งแรก รุ่นเอสยู7 (SU7)

โดยรถยนต์รุ่นดังกล่าวมาใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ เอสยู7, เอสยู7 โปร (SU7 Pro) และเอสยู7 แม็กซ์ (SU7 Max) ซึ่งจะจำหน่ายในท้องตลาดในราคา 215,900-299,900 หยวน (ราว 1.1-1.53 ล้านบาท)

รถยนต์เอสยู7 และเอสยู7 แม็กซ์ ถูกออกแบบให้มีพิสัยวิ่งขั้นต่ำ 700 กิโลเมตร โดยจะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าภายในปลายเดือนเมษายน ส่วนเอสยู7 โปร จะเริ่มส่งมอบภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม

เหลยจวิน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเสียวหมี่ กล่าวในงานเปิดตัวว่าบริษัทฯ สร้างความก้าวหน้าในการพัฒนาทางเทคโนโลยีในหลายสาขาสำคัญ เช่น การออกแบบโมเดล แบตเตอรี่ การขับขี่อัจฉริยะ และห้องคนขับอัจฉริยะ

ทั้งนี้ เสียวหมี่เข้าสู่ภาคส่วนยานยนต์พลังงานใหม่ในปี 2021 และสร้างโรงงานบนพื้นที่มากกว่า 700,000 ตารางเมตรในกรุงปักกิ่ง

ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน ระบุว่าปริมาณการผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ในจีนสูงถึง 1.25 ล้านคัน และมีการจัดจำหน่ายรถประเภทนี้ 1.21 ล้านคันในช่วงสองเดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์) ของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.2 และร้อยละ 29.4 เมื่อเทียบปีต่อปี ตามลำดับ

‘จีน’ ออกแบบ ‘รร.อนุบาล’ ใต้แนวคิด ‘ของเล่นชิ้นใหญ่สำหรับเด็ก’ สร้างสภาพแวดล้อมผ่อนคลาย-ปลอดภัย-พร้อมเรียนรู้ในหลากมิติ

โรงเรียนอนุบาล ‘Xicheng Dayang Preschool Group’ พื้นที่ 6,667 ตารางเมตร จำนวน 12 ชั้น ตั้งอยู่ในเมืองหลินไห่ เมืองไถโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ออกแบบโดย Atelier RenTian สามารถรองรับเด็กอายุระหว่าง 3 ถึง 6 ปี ได้ 360 คน

ด้วยแนวคิดการออกแบบ ‘ของเล่นชิ้นใหญ่สำหรับเด็ก’ การออกแบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ทำให้เด็กรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย และปลอดภัย รวมถึงสร้างพื้นที่การสอนสำหรับเด็กที่เคารพธรรมชาติ พัฒนาบุคลิกภาพ และปลูกฝังจิตวิญญาณ

เมื่อมองจากระยะไกล อาคารทั้งหลังนี้ดูเหมือนเรือ ที่กำลังแบกเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ เพื่อล่องไปสู่อนาคตอันสดใส

ระเบียงถูกออกแบบให้ถอยร่นออกไปทีละชั้นคล้ายคลื่น และส่วนหน้าของขั้นบันไดช่วยเพิ่มมุมมองที่โปร่งโล่งและในขณะเดียวกันก็สะท้อนรูปร่างของภูเขาที่อยู่ด้านหลัง ทั้งแสงแดด ลม และต้นไม้จำนวนมากผสานรวมเข้าด้วยกัน สู่พื้นที่เล่าเรียนและละเล่น เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่และการสลับสับเปลี่ยนของกลางวันและกลางคืน ช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางกายภาพของเด็กเพิ่มจิตวิญญาณในการสำรวจของเด็ก และเอื้อต่อการพัฒนาสุขภาพจิตของเด็กมากขึ้น

ขณะที่การปลูกต้นไม้บนหลังคา ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ควบคุมความชื้นภายในอาคารและทำให้สภาพแวดล้อมสวยงาม แต่ยังทำหน้าที่เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่ขยายออกไปนอกเหนือจากห้องเรียนปกติอีกด้วย ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพืช ดอกไม้ และแมลงต่าง ๆ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้และใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมดังกล่าวทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกธรรมชาติเพิ่มเติม ด้วยแนวทางนี้จะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการพัฒนาความสามารถทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ รวมถึงการสังเกต การได้ยิน และการสัมผัส ช่วยให้เด็ก ๆ สร้างความเชื่อมโยงกับธรรมชาติและพัฒนาความรู้สึกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของพวกเขา

ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่สี่เหลี่ยมคางหมู การออกแบบนี้ได้ทำลายรูปแบบเชิงพื้นที่ที่เรียบง่ายของโรงเรียนอนุบาลแบบดั้งเดิมที่เราเห็นกันจนชินตา โดยขยายพื้นที่การจราจรไปสู่พื้นที่กิจกรรมในร่มและกลางแจ้งโดยมีธีมการออกแบบที่แตกต่างกัน เช่น ทางเดินกิจกรรมที่ซิกแซกจะขยายใหญ่ขึ้นจะสร้างพื้นที่การสื่อสารและพื้นที่ทางสังคม หรือห้องโถงซึ่งเป็นพื้นที่กิจกรรมและละเล่นเกมต่าง ๆ ในร่ม รวมถึงสไลเดอร์สำหรับเด็กได้รับการจัดเรียงอย่างลงตัวทั้งในร่มและกลางแจ้งเพื่อเชื่อมต่อชั้นต่าง ๆ ทำให้เกิดกิจกรรมและสถานที่ละเล่นที่หลากหลายและมีสีสันสำหรับเด็ก

พื้นที่กิจกรรมกลางแจ้งของแต่ละชั้นเรียนจะถูกจัดไว้ด้านนอก โดยพื้นที่กิจกรรมกลางแจ้งของเด็กแต่ละคนจะถูกคั่นด้วยช่องทางเดินหรือลู่วิ่ง ซึ่งทำให้ขอบเขตที่เข้มงวดระหว่างชั้นเรียนลดน้อยลง และสร้างความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ที่เปิดกว้างมากขึ้นและสามารถบูรณาการได้ ทำให้พื้นที่กิจกรรมของเด็ก ๆ กลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเด็กจากชั้นเรียนและกลุ่มอายุที่แตกต่างกันสามารถเคลื่อนไหว โต้ตอบ และเล่นกันได้อย่างอิสระ

แนวคิดของ ‘ความพร้อมใช้งาน’ ถูกนำมาใช้ในการออกแบบสภาพแวดล้อมการศึกษาก่อนวัยเรียน โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงความเป็นไปได้ในการส่งเสริมพฤติกรรมของเด็ก และเพิ่มคุณค่าการศึกษาผ่านการสร้างสภาพแวดล้อม โดยเชื่อว่าพื้นที่การศึกษาก่อนวัยเรียนไม่เพียงแต่เป็นการผสมผสานระหว่างสื่อการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างครู เด็ก และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ด้วยการรับรู้ถึงความพร้อมของสภาพแวดล้อม เด็ก ๆ จะค้นพบความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่เกิดจากการสำรวจ

ภายในโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ยังออกแบบพื้นที่เล็ก ๆ ที่น่าสนใจ เช่น พื้นที่ที่ซ่อนอยู่ตรงหัวมุมหรือพื้นที่เตี้ย ๆ ที่มีเพียงเด็กเท่านั้นที่สามารถยืนและเล่นได้ เพื่อปลูกฝังการรับรู้ทางอารมณ์ของเด็ก

โลกใบเล็ก ๆ ที่เป็นของเด็ก ๆ เหล่านี้เป็นที่นิยมในหมู่เด็ก ๆ การออกแบบโรงเรียนอนุบาลจึงควรเพิ่มสถานที่บางแห่งที่มีเฉพาะเด็กเท่านั้นที่สามารถเข้า ผ่าน และใช้งานได้ บ้านหลังเล็ก ๆ ถ้ำเล็ก ๆ และกำแพงปีนเล็ก ๆ ช่วยให้เด็ก ๆ ได้สำรวจและค้นพบพื้นที่ที่น่าสนใจ พร้อมทั้งได้ใช้ความต้องการด้านการเคลื่อนไหวเพื่อพฤติกรรมต่าง ๆ การออกแบบเหล่านี้สามารถเพิ่มความปรารถนาของเด็กในการสำรวจโลกได้อย่างอิสระ โต้ตอบกับเด็กคนอื่น ๆ ในพื้นที่อิสระขนาดเล็กเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางสังคม

นอกจากพื้นที่ขนาดเล็กที่เหมาะกับขนาดของเด็ก ๆ แล้ว พื้นที่สาธารณะก็มีความสำคัญเช่นกัน เช่น การออกแบบห้องสมุดเพื่อให้มีพื้นที่อ่านหนังสือที่หลากหลาย การจัดวางช่องรับแสง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับการเล่นในห้องโถงใหญ่ เพื่อสร้างความสดใสและสภาพแวดล้อมหลายมิติที่น่าสนใจ

โดยสกายไลท์บนหลังคาได้รับการติดตั้งในห้องโถงกลางหลัก และห้องโถงเล็ก 2 แห่งทางทิศเหนือและทิศใต้ แสงสว่างที่ดีจะสร้างสภาพแวดล้อมที่สว่างและสะอาดให้กับเด็ก ๆ

ทั้งนี้ โมเดลการศึกษาระดับอนุบาลแบบ ‘เปิด’ เป็นรูปแบบการศึกษาก่อนวัยเรียนที่ใช้กันทั่วไปในประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเหมาะสำหรับการพัฒนาทางร่างกายและจิตใจของเด็ก

ตามทฤษฎีการศึกษาปฐมวัยสมัยใหม่ (วิธีมอนเตสซอรี่) เชื่อว่ากิจกรรมการสื่อสารของเด็กทุกวัยจะเอื้อต่อการเติบโตทางจิตใจ การเติบโตทางความรู้ และการพัฒนาความสามารถทางสังคม โรงเรียนอนุบาลควรจัดให้มีพื้นที่ให้เด็กทุกวัยได้มีปฏิสัมพันธ์กัน และสร้างโอกาสให้เด็กทุกวัยได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ดังนั้นในการออกแบบพื้นที่สถาปัตยกรรมของโรงเรียนอนุบาลจึงจำเป็นต้อง เน้นทั้งการแยกและการผสมผสาน ความยืดหยุ่นและการเปลี่ยนแปลง รวมถึงให้ความสำคัญกับการสร้างกิจกรรมสาธารณะและพื้นที่การสื่อสาร

จากอัตราการเกิดของประชากรจีนที่ลดต่ำลงเป็นลำดับ ทำให้จำนวนโรงเรียนอนุบาลอาจไม่ใช่เป้าหมายหลักที่รัฐบาลจีนมุ่งเน้น การส่งเสริมหรือสนับสนุนให้มีการพัฒนา ปรับปรุง หรือกระทั่งสร้างโรงเรียนอนุบาลคุณภาพที่คิดทุกด้านมาอย่างรอบคอบเช่นเดียวกับ โรงเรียนอนุบาล Xicheng Dayang Preschool Group น่าจะเป็นคำตอบที่ใช่มากกว่า (อย่างน้อยก็ในขณะนี้) เพื่อฟูมฟักทรัพยากรมนุษย์ที่แม้จะมีจำนวนน้อยลง แต่มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมีคุณภาพ 

จากรายงานของ Statista ระบุว่าในปี 2566 จำนวนเด็กที่เกิดต่อประชากร 1,000 คนในประเทศจีนอยู่ที่ 6.39 คน เท่านั้น ซึ่งอัตราการเกิดลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา และจำนวนการเกิดลดลงต่ำกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในปี 2565 เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลให้อัตราการเติบโตของประชากรจีนติดลบ!

เช่นเดียวกับประเทศและดินแดนในเอเชียตะวันออกส่วนใหญ่ ประชากรจีนในปัจจุบันมีอัตราการเจริญพันธุ์ที่ต่ำมาก เนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์ที่ต่ำในระยะยาวจำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนำไปสู่ความตึงเครียดอย่างมากต่อระบบบำนาญและระบบสุขภาพ รัฐบาลจีนจึงตัดสินใจสนับสนุนการคลอดบุตรโดยค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการคุมกำเนิดที่เข้มงวดซึ่งใช้กันมากว่าสามทศวรรษ 

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายนี้มีน้อยกว่าที่คาดไว้มาก เพราะอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นจาก 11.9 คนต่อประชากร 1,000 คนในปี 2553 เป็น 14.57 คนในปี 2555 และยังคงอยู่ในระดับที่สูงขึ้นแค่ราว 2-3 ปี แต่ก็ลดลงอีกครั้งสู่ระดับต่ำสุดใหม่ในปี 2561 นี่แสดงให้เห็นถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่จำกัดจำนวนการเกิด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้น่าจะคล้ายคลึงกับปัจจัยที่มีประสบการณ์ในประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่นกัน เช่น ผู้หญิงชอบที่จะคว้าโอกาสในการทำงานมากกว่าการคลอดบุตร มีค่าใช้จ่ายสูงในการเลี้ยงดูลูก ฯลฯ

จำนวนการเกิดที่ลดลงยังสัมพันธ์กับจำนวนประชากรวัยเจริญพันธุ์ที่ลดลงอีกด้วย โดยกลุ่มอายุระหว่าง 15 ถึง 29 ปีในปัจจุบันมีขนาดเล็กกว่ากลุ่มอายุระหว่าง 30 ถึง 44 ปี อย่างมาก

อ้างอิง: https://www.archdaily.com/1014752/linhai-xiecheng-kindergarten-atelier-rentian
 

https://www.gooood.cn/linhai-xiecheng-kindergarten-by-atelier-rentian.htm

‘ญี่ปุ่น’ พบผู้ติดเชื้อ ‘แบคทีเรียกินเนื้อคน’ พุ่ง!! 517 ราย สูงกว่า 5 ปีก่อน 4 เท่า ฟาก ’เกาหลีเหนือ‘ ผวา!! ขอยกเลิกการจัด ‘ฟุตบอลโลก’ รอบคัดเลือกทันที

(29 มี.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ที่ว่าการมหานครโตเกียว เมืองหลวงประเทศญี่ปุ่น ออกคำเตือนหลังพบจำนวนคนติดเชื้อแบคทีเรียอันตราย ที่ก่อให้เกิดโรคแบคทีเรียกินเนื้อ(flesh-eating-disease) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดร้ายแรง ‘สเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ’ เพิ่มสูงขึ้น โดยในกรุงโตเกียวพบคนติดเชื้อแล้ว 88 ราย สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึงประมาณ 3 เท่า

ขณะที่ทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่น มีรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคนแล้ว จำนวน 517 ราย ซึ่งสูงกว่า 5 ปีก่อน ถึง 4 เท่า โดยแบคทีเรียกินเนื้อคนนั้น เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดร้ายแรง ที่ทำให้ผู้ติดเชื้ออาจเสียชีวิตสูงถึง 30% ขณะที่ความร้ายแรงของแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส กลุ่มเอ ที่ก่อให้เกิดโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน เกิดขึ้น เมื่อเกิดการติดเชื้อแล้ว เชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคน จะกระจายไปทั่วร่างกายเป็นเหตุให้การทำงานของอวัยวะภายในล้มเหลว

ศ.ฮิโตชิ ฮอนดา ศาสตราจารย์ด้านโรคติดเชื้อที่มหาวิทยาลัยสาธารณสุขฟูจิตะ กล่าวว่า แบคทีเรียกินเนื้อคนไม่ใช่โรคระบบทางเดินหายใจ เหมือนกับโรคปอดบวม หรือโรคโควิด-19 ที่สามารถเกิดการแพร่ระบาด ติดเชื้อได้จากการหายใจหรือสัมผัสละอองฝอย สารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ติดเชื้อ

ขณะที่ยังมีรายงานต่อเนื่องเรื่องของการพบผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคนที่พุ่งสูงขึ้นในญี่ปุ่น ทำให้เกาหลีเหนือ ยกเลิกการจัดแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ระหว่างทีมชาติเกาหลีกับทีมชาติญี่ปุ่นอย่างกะทันหัน ขณะที่กำหนดการแข่งขันจะมีขึ้นในวันที่ 26 มีนาคม ที่ผ่านมา

‘เซี่ยงไฮ้’ รับทัพ ‘นักท่องเที่ยว’ ปี 66 ทะลุ 326 ล้านคน กวาดรายได้กว่า 1.9 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 76.8%

(28 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน รายงานว่าเซี่ยงไฮ้รับรองนักท่องเที่ยวในปี 2023 ราว 326 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.5 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยส่วนหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยวขาเข้า 3.64 ล้านคน

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า เซี่ยงไฮ้ทำรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2023 มากกว่า 3.67 แสนล้านหยวน (ราว 1.9 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 76.8 เมื่อเทียบปีต่อปี

อนึ่ง สำนักฯ เผยแพร่ข้อมูลสถิตินี้ระหว่างการประชุมส่งเสริมการลงทุนด้านการท่องเที่ยวของเซี่ยงไฮ้ ครั้งที่ 3 ซึ่งเริ่มต้นวันพุธ (27 มี.ค.) ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ กลุ่มหน่วยงานทางการของเซี่ยงไฮ้ยังประกาศการดำเนินโครงการในภาคธุรกิจวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว จำนวน 26 โครงการ ซึ่งมีการลงทุนรวม 1.17 แสนล้านหยวน (ราว 6 แสนล้านบาท) และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดดำเนินงานหรือดำเนินงานต่อเนื่องภายในสิ้นปี 2025 โดย สวนสนุกเลโก เซี่ยงไฮ้ รีสอร์ต (Legoland Shanghai Resort) และสวนสนุกน้ำแข็งและหิมะเซี่ยงไฮ้ เย่าเสวี่ย (Shanghai Yaoxue) เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโครงการข้างต้นด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top