Saturday, 15 March 2025
WORLD

ทรัมป์คุมสื่อ!! จำกัดนักข่าว AP-Reuters-Bloomberg อ้างปรับสมดุล แต่สื่อใหญ่ฟาดกลับ คุกคามเสรีภาพ

รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มใช้มาตรการใหม่ในการควบคุมการเข้าถึงของสื่อมวลชนภายในทำเนียบขาว โดยการจำกัดการเข้าร่วมของนักข่าวบางสำนักในกิจกรรมต่าง ๆ ส่งผลให้ AP, Reuters และ Bloomberg ออกแถลงการณ์ประณามว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพสื่อและขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ (26 ก.พ.68) ตามเวลาท้องถิ่น การประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกของรัฐบาลทรัมป์มีการเลือกสำนักข่าวที่สามารถเข้าถึงข้อมูลในทำเนียบขาว โดยเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้คัดเลือกสื่อที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม ซึ่งนักข่าวจาก AP, Reuters, HuffPost และ Der Spiegel ถูกปฏิเสธ ไม่ให้เข้าร่วมงาน ในขณะที่สำนักข่าวที่ได้รับอนุญาตกลับเป็น ABC News, Newsmax, Axios, Bloomberg และ NPR

มาตรการนี้เป็นไปตามคำแถลงของทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ซึ่งระบุว่า ทำเนียบขาวจะเป็นผู้กำหนดว่าใครสามารถทำข่าวในพื้นที่สำคัญ เช่น ห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของการบริหารงานของประธานาธิบดี

ยิ่งไปกว่านั้น รายงานยังเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้สั่งให้พนักงานทุกคนยกเลิกการสมัครสมาชิกสื่อที่ถูกมองว่าเป็น 'ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล' เช่น The Economist, New York Times, Politico, Bloomberg, AP และ Reuters ซึ่งจะส่งผลต่อการเข้าถึงข้อมูลจากสำนักข่าวเหล่านี้ในระดับโครงสร้าง

ไม่เพียงแค่ทำเนียบขาวและกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (Pentagon) ก็ได้มีการถอดสำนักข่าวใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ NBC News, The New York Times, NPR และ Politico ออกจากพื้นที่ของเพนตากอน พร้อมเปิดโอกาสให้สื่อขนาดเล็ก เช่น One America News Network (OAN), New York Post, Breitbart News Network และ HuffPost เข้ามาทำข่าวแทน ซึ่งถูกอธิบายว่าเป็น 'การปรับโครงสร้างการรายงานข่าว'

การตัดสินใจดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากหลายฝ่ายในวงการสื่อและนักวิเคราะห์ ที่มองว่าเป็นความพยายามในการจำกัดการเข้าถึงของสื่อที่มีท่าทีวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่สนับสนุนทรัมป์มองว่าเป็นการ 'ปรับสมดุล' ให้กับสื่อมวลชนที่มีอคติต่อฝ่ายอนุรักษ์นิยม

ขณะนี้ยังไม่มีการตอบโต้จากทำเนียบขาวเกี่ยวกับแถลงการณ์ของ AP, Reuters และ Bloomberg แต่คาดว่า ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทรัมป์และสื่อหลักจะทวีความรุนแรงในอนาคต

จีนเสนอปรับกม.ใหม่ให้แต่งงานได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี พร้อมสร้างระบบจูงใจ หวังแก้วิกฤตประชากรลดลง

(27 ก.พ.68) ที่ปรึกษาทางการเมืองระดับชาติของจีนได้แนะนำให้ลดอายุการแต่งงานตามกฎหมายลงเหลือ 18 ปี เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตรในสภาวะที่ประชากรลดลงและ 'ปลดปล่อยศักยภาพในการเจริญพันธุ์' โดยเฉพาะในการเผชิญกับการลดลงของประชากรในประเทศ

เฉิน ซงซี สมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติของจีน (CPPCC) กล่าวกับ Global Times ว่า เขามีแผนที่จะยื่นข้อเสนอให้มีการยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดเกี่ยวกับการมีบุตรในจีน และจัดตั้ง 'ระบบจูงใจ' สำหรับการแต่งงานและการมีบุตรในหมู่ประชากรชาวจีนรุ่นใหม่

คำกล่าวของเฉินเกิดขึ้นก่อนการประชุมรัฐสภาประจำปีของจีนในสัปดาห์หน้า ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าจะประกาศมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบจากการลดลงของประชากรในประเทศ

ในปัจจุบัน อายุกฎหมายการแต่งงานในจีนอยู่ที่ 22 ปีสำหรับผู้ชาย และ 20 ปีสำหรับผู้หญิง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในอายุการแต่งงานที่สูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่กำหนดอายุการแต่งงานตามกฎหมายที่ 18 ปี

เฉินกล่าวว่า อายุการแต่งงานตามกฎหมายของจีนควรลดลงเหลือ 18 ปี "เพื่อเพิ่มฐานประชากรที่มีความสามารถในการมีบุตรและปลดปล่อยศักยภาพในการเจริญพันธุ์" โดยเขาเชื่อว่ามาตรการนี้จะสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

จำนวนประชากรของจีนลดลงเป็นปีที่สามติดต่อกันในปี 2024 ขณะที่จำนวนการแต่งงานลดลงถึง 20% ซึ่งถือเป็นการลดลงที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้จะมีความพยายามจากรัฐบาลในการส่งเสริมให้คู่รักวัยหนุ่มสาวแต่งงานและมีบุตร

การลดลงของประชากรในจีนส่วนใหญ่เกิดจากนโยบายลูกคนเดียวที่บังคับใช้ระหว่างปี 1980 ถึง 2015 โดยคู่รักได้รับอนุญาตให้มีบุตรได้สูงสุด 3 คนตั้งแต่ปี 2021

เฉินกล่าวว่า จีนควรยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนบุตรที่ครอบครัวสามารถมีได้ เพื่อให้สามารถตอบสนอง 'ความต้องการเร่งด่วนในการพัฒนาประชากรในยุคใหม่'

อย่างไรก็ตาม จำนวนคนที่เลือกที่จะไม่มีบุตรกำลังเพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าครองชีพในการเลี้ยงดูลูกที่สูง หรือการไม่อยากแต่งงานหรือหยุดพักการทำงาน

รัฐบาลจีนได้พยายามออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการมีบุตร เช่น การขยายเวลาการลาคลอด, สิทธิประโยชน์ทางการเงินและภาษีสำหรับการมีบุตร รวมถึงการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย

อย่างไรก็ตาม จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกสูงที่สุดเมื่อเทียบกับ GDP ต่อหัวของประชากร ตามรายงานจากสถาบันวิจัยชื่อดังของจีนเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งได้พูดถึงต้นทุนเวลาและโอกาสที่ผู้หญิงต้องสูญเสียในการมีบุตร

CPPCC ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทเป็นที่ปรึกษาในลักษณะเชิงพิธีการ จะประชุมพร้อมกับรัฐสภา และประกอบด้วยกลุ่มผู้ประกอบการศิลปิน พระภิกษุ และตัวแทนจากสังคมต่าง ๆ แต่ไม่มีอำนาจในการออกกฎหมาย

ทรัมป์ โบ้ย 'อียู' เอาเปรียบสหรัฐฯ มานาน ต้องเจอกำแพงภาษี 25% อียูเตือนพร้อมโต้กลับ

(27 ก.พ.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า สหภาพยุโรป (อียู) เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อ 'เอารัดเอาเปรียบ' สหรัฐ พร้อมย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องแก้ไขความเสียเปรียบที่เกิดขึ้นกับอเมริกา โดยหนึ่งในมาตรการหลักคือการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอียูในอัตรา 25% ซึ่งรวมถึงภาษีนำเข้ารถยนต์ โดยรายละเอียดเพิ่มเติมจะมีการประกาศในภายหลัง

ด้านคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของอียู ออกแถลงการณ์โต้ว่า อียูเป็นตลาดการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม อียูพร้อมใช้มาตรการตอบโต้ทันที หากสหรัฐดำเนินนโยบายภาษีที่ไม่เป็นธรรม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตและผู้บริโภคในยุโรป

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยว่า สหรัฐขาดดุลการค้ากับอียูสูงถึง 235,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.94 ล้านล้านบาท) ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทรัมป์ผลักดันมาตรการดังกล่าว

ผู้นำสหรัฐย้ำว่า วอชิงตันจำเป็นต้องเร่งแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า โดยกล่าวหาว่าอียูยังไม่นำเข้าสินค้าสหรัฐในระดับที่เพียงพอ โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ หากสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง สหรัฐอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการภาษีที่เข้มงวดขึ้นเพื่อกดดันอียูให้เปิดตลาดมากขึ้น

ฮ่องกงเล็งลดเจ้าหน้าที่รัฐบาล 10,000 ตำแหน่ง ทุ่มงบ 1 พันล้านดอลล์ แก้คลังขาดดุลด้วย AI

(26 ก.พ. 68) รัฐบาลฮ่องกงเปิดเผยแผนลดจำนวนข้าราชการ 10,000 ตำแหน่งภายในปี 2570 เพื่อรับมือกับปัญหาขาดดุลงบประมาณที่ทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมกับการเร่งลงทุนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความตึงเครียด

ในงานแถลงงบประมาณประจำปี พอล ชาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฮ่องกงได้ประกาศว่า “มาตรการนี้เป็นการวางรากฐานที่ชัดเจนเพื่อฟื้นฟูดุลการคลังในระยะยาว โดยการดำเนินการอย่างมีขั้นตอนและการวางแผนอย่างรอบคอบ”

ตามรายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ มาตรการนี้จะลดจำนวนข้าราชการลง 2% ต่อปีในช่วงสองปีข้างหน้า พร้อมกับการตรึงเงินเดือนข้าราชการในปีนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการรัดเข็มขัดทางการคลังอย่างเข้มงวด

ชานยังระบุว่า รัฐบาลมีแผนลดค่าใช้จ่ายภาครัฐลง 7% ตั้งแต่ปีนี้จนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2571 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้าง “รากฐานทางการคลังที่มั่นคงสำหรับการเติบโตในอนาคต”

มาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจากรายได้จากการขายที่ดินของรัฐบาลฮ่องกงลดลงอย่างมาก ทำให้การขาดดุลงบประมาณพุ่งสูงถึง 87,200 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเกือบสองเท่าของตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 48,100 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง

ในส่วนของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออนาคต ชานประกาศว่า ฮ่องกงจะใช้จุดแข็งในฐานะศูนย์กลางระหว่างประเทศในการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม AI โดยมีการจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงสำหรับการตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนา AI เพื่อรองรับการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีตามนโยบายของรัฐบาลจีน

บริษัทจีนประกาศยกเลิกคำสั่งโหด 'คนโสดแต่งงานหรือถูกไล่ออก' หลังขัดกฎหมายแรงงานและเจอแรงต้านจากชาวเน็ต

(26 ก.พ. 68) บริษัทในจีนยกเลิกคำสั่งที่ต้องการให้พนักงานโสดแต่งงานภายในปีนี้ หลังการวิจารณ์จากชาวเน็ตและหน่วยงานรัฐ เนื่องจากคำสั่งนี้ขัดต่อกฎหมายแรงงานของจีน สะท้อนถึงการต่อสู้ของจีนในการส่งเสริมการแต่งงานและการมีลูกท่ามกลางปัญหาประชากรลดลง

บริษัท ซานตง ซุนเถียน เคมิคอล กรุ๊ป (Shandong Shuntian Chemical Group) ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมตะวันออกของมณฑลซานตง ได้ประกาศให้พนักงานโสดอายุ 28-58 ปี รวมถึงผู้ที่เคยหย่าร้าง ต้องแต่งงานภายในวันที่ 30 ก.ย. 2568 หากไม่ทำตามจะมีการยกเลิกสัญญาจ้างงาน โดยบริษัทชี้แจงว่า คำสั่งนี้มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้พนักงานโสดที่อายุมากขึ้นให้ความสำคัญกับการสร้างครอบครัวและการตัดสินใจในชีวิตที่สำคัญ

ทว่า ข้อกำหนดนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เพราะขัดต่อกฎหมายแรงงานของจีน ซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องยกเลิกคำสั่งดังกล่าว โดยสื่อของรัฐอย่างโกลบอลไทมส์ระบุว่า ประกาศของบริษัทมีเจตนาที่จะส่งเสริมค่านิยมทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับความขยันหมั่นเพียรและการสร้างครอบครัว แต่กฎหมายแรงงานจีนไม่ได้รองรับการกำหนดให้พนักงานต้องแต่งงาน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังเผชิญกับการลดลงของจำนวนการแต่งงานที่ทำลายสถิติ โดยในปี 2567 จำนวนการแต่งงานลดลงถึง 20% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกัน ประชากรจีนที่มีจำนวนถึง 1.4 พันล้านคน กำลังเข้าสู่ภาวะชราอย่างรวดเร็ว และการลดลงของอัตราการเกิดยังคงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งหาทางแก้ไข

รัฐบาลจีนได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยสนับสนุนการเปิดหลักสูตร "การศึกษาด้านความรัก" ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมทัศนคติที่ดีต่อการแต่งงานและการมีลูก

ในระยะยาว คาดว่าในอีกสิบปีข้างหน้า ประชากรจีนราว 300 ล้านคนจะเข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งท้าทายทั้งเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

'หวัง ซิงซิง' แห่ง Unitree กับเส้นทางสู่เจ้าพ่อหุ่นยนต์จีน

คณะหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จากยูนิทรี โรโบติกส์ (Unitree Robotics) เพิ่งสร้างกระแสฮือฮาด้วยการแสดงเต้นระบำพื้นบ้านในงานฉลองเทศกาลตรุษจีนที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ CCTV กลายเป็นจุดสนใจของงานไปโดยปริยาย และไม่นานหลังจากนั้น ชื่อของ "หวัง ซิงซิง" (王兴兴) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท ก็ถูกกล่าวถึงอีกครั้งในเวทีใหญ่ระดับประเทศ

เมื่อวันที่ (17 ก.พ. 68) หวัง ซิงซิง กลายเป็นผู้บริหารอายุน้อยที่สุดที่ได้รับเกียรติให้นั่งแถวหน้าในที่ประชุมสัมมนาผู้ประกอบการภาคเอกชนจีน ร่วมกับบุคคลสำคัญระดับแถวหน้า อาทิ เหริน เจิ้งเฟย (Huawei), แจ็ก หม่า (Alibaba) และ โพนี หม่า (Tencent) ภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง นับเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จของเขาในฐานะผู้นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ของจีน

หวัง ซิงซิง เกิดที่เมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ในปี 2533 เขาไม่ใช่นักเรียนที่โดดเด่นด้านวิชาการ โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เขาไม่ได้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ อย่างไรก็ตาม ความหลงใหลในเทคโนโลยีหุ่นยนต์ตั้งแต่วัยเยาว์ทำให้เขาเลือกเส้นทางของตัวเอง

ตั้งแต่วัยเด็ก หวังชื่นชอบการสร้างแบบจำลองเครื่องบินและทดลองทางกลศาสตร์ เมื่อเข้าสู่ช่วงมัธยม เขาสามารถประกอบเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตขนาดเล็กได้ด้วยตัวเอง แม้ครูจะมองว่าเขาเป็นนักเรียนธรรมดา แต่ไฟแห่งความทะเยอทะยานกลับลุกโชนอยู่ในตัวของเขา

ในปี 2552 หวังเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเจ้อเจียง สาขาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง เขาสร้างหุ่นยนต์สองเท้าตัวแรกขึ้นมาด้วยงบเพียง 200 หยวน (ประมาณ 924 บาท) ความสามารถในการบริหารต้นทุนกลายเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของ Unitree ในเวลาต่อมา

ในปี 2554 หวังได้รับสิทธิบัตรฉบับแรกจากการพัฒนา "อุปกรณ์ป้อนกลับแบบหลายแรงสำหรับนิ้วมือ" (Multi-force Feedback Device for Fingers) และมุ่งมั่นศึกษาด้านตัวควบคุมมอเตอร์กระแสตรงแบบไม่มีแปรงถ่านเพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ เขายังแบ่งปันรายการหนังสือกว่า 100 เล่มที่เคยอ่านบนแพลตฟอร์มโซเชียล "เสี่ยวหงซู" (Red Note) โดยเฉพาะหนังสือด้านฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และ AI หนึ่งในเล่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาคือ AI Techniques for Game Programming ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาเข้าสู่โลกของปัญญาประดิษฐ์อย่างจริงจัง

ในปี 2558 หวังพัฒนาหุ่นยนต์สี่ขาต้นแบบ "XDog" ด้วยงบประมาณ 20,000 หยวน (ราว 92,400 บาท) โดยเลือกใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแทนระบบไฮดรอลิกเช่นที่ Boston Dynamics ใช้ การตัดสินใจนี้ช่วยให้ต้นทุนลดลงอย่างมาก และทำให้เขาชนะการแข่งขันระดับประเทศ คว้าเงินรางวัล 80,000 หยวน (ราว 369,600 บาท)

หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในปี 2559 หวังเข้าทำงานกับ DJI บริษัทผู้ผลิตโดรนชั้นนำของจีน แต่ไม่นานเขาก็ตัดสินใจลาออกเพื่อก่อตั้ง Unitree Robotics โดยได้รับเงินทุนสนับสนุน 2 ล้านหยวน (ราว 9,240,000 บาท) จากนักลงทุนอิสระ

ชื่อ "Unitree" มาจากการผสมคำว่า "Universe" (จักรวาล) กับ "Tree" (ต้นไม้) ซึ่งสื่อถึงแนวคิด "จุดประกายต้นไม้เทคโนโลยี" บริษัทของเขากลายเป็นเจ้าแรกในโลกที่จำหน่ายหุ่นยนต์สี่ขาและหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ประสิทธิภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วไป ผลิตภัณฑ์ของ Unitree ได้รับการนำเสนอในงานสำคัญหลายแห่ง เช่น เอเชียนเกมส์หังโจว 2023

ขณะที่บริษัทในสหรัฐฯ อย่าง Tesla และ Nvidia เร่งพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ รัฐบาลจีนเองก็ให้การสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มที่ ผ่านนโยบายและกองทุนวิจัยเพื่อกระตุ้นการแข่งขันกับตะวันตก

ปัจจุบัน Unitree ตั้งอยู่ใน Startup Park เขตปินเจียง เมืองหังโจว มีพนักงานเกือบ 500 คน และกำลังขยายสาขาไปยังเซี่ยงไฮ้เพื่อรองรับการเติบโต

ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว หวังได้รับเชิญให้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีต้อนรับนักศึกษาใหม่ที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เขาทิ้งท้ายข้อคิดที่สะท้อนตัวตนและเส้นทางความสำเร็จของเขาไว้ว่า

"จงค้นหาสิ่งที่คุณรัก ทำงานหนัก มุ่งมั่นเรียนรู้ และอย่าหยุดพัฒนา"

"ตั้งแต่เด็ก ผมอยากใช้เทคโนโลยีสร้างบางสิ่งที่มีคุณค่า เพื่อพิสูจน์ตัวเอง และเปลี่ยนแปลงโลก นั่นคือแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมเสมอมา" 

เส้นทางของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า แม้จะไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล ก็สามารถสร้างอิทธิพลต่อวงการเทคโนโลยีหุ่นยนต์ระดับโลกได้เช่นกัน

ทรัมป์ผุดไอเดียขายกรีนการ์ดใบละ 168 ล้านบาท ลดหนี้ชาติ-ดึงหัวกะทิเข้าประเทศ

(26 ก.พ. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนการขาย "บัตรทอง" หรือ Gold Card มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 168 ล้านบาท) ซึ่งจะมอบสิทธิ์ให้แก่ชาวต่างชาติได้รับ "กรีนการ์ด" พร้อมกับเส้นทางสู่ความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ภายในช่วงการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร (25 ก.พ.) โดยคาดว่าจะมีการจำหน่ายบัตรจำนวน 1 ล้านใบ

ทรัมป์กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายช่วยลดหนี้สินของสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว โดยจะมุ่งเน้นที่กลุ่มผู้มีความสามารถและผู้มีทรัพย์สินจากทั่วโลก โดยเฉพาะคนที่มีความสามารถพิเศษในด้านต่างๆ หรือผู้ที่สามารถสร้างงานและมีส่วนช่วยเศรษฐกิจของประเทศ "มันจะเป็นการสร้างโอกาสให้กับคนที่มีความมั่งคั่งและพรสวรรค์ รวมถึงสร้างรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นและโอกาสในการจ้างงาน" เขากล่าว

ในระหว่างการแถลงข่าว นายโฮเวิร์ด ลุตนิค รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้กล่าวเสริมว่า โครงการนี้จะเป็นการแทนที่โครงการวีซ่า EB-5 ซึ่งเคยใช้ให้กรีนการ์ดกับนักลงทุนบางราย โดยการซื้อบัตรทอง 5 ล้านดอลลาร์จะต้องผ่านการตรวจสอบตามกฎหมาย เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติและมีส่วนในการพัฒนาประเทศ

ทั้งนี้ ทรัมป์คาดว่าผู้ที่มีฐานะดีจากทั่วโลก เช่น กลุ่มนักลงทุนจากรัสเซียและผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีจากอินเดีย จะให้ความสนใจในการซื้อบัตรนี้ "บริษัทใหญ่ๆ อย่างแอปเปิลหรือบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ก็สามารถซื้อบัตรทองเพื่อดึงคนเก่งเข้ามาทำงานในอเมริกา" เขากล่าว

ประธานาธิบดีทรัมป์ย้ำว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ภาษีและสร้างงานให้กับประชาชนสหรัฐฯ "เมื่อผู้ซื้อบัตรทองเข้ามาทำงานในอเมริกา พวกเขาจะจ่ายภาษีเต็มเพดาน เหมือนกับพลเมืองทั่วไป" ทรัมป์กล่าว

นอกจากนี้ โครงการนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากทนายความของรัฐบาล และมีความพร้อมในการเปิดตัวภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่ทรัมป์หวังว่าจะสามารถขายบัตรได้ถึง 1 ล้านใบ ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ หากมีการขายจำนวนมากขึ้นก็จะช่วยลดหนี้สาธารณะของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จับตาพระคาร์ดินัล ตัวเต็งสืบทอดประมุขคาทอลิก หลังโป๊ปฟรานซิสประชวรหนัก พระอาการทรงตัว

(26 ก.พ.68) สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ หลังทรงเข้ารับการรักษาด้วยอาการปอดบวมทั้งสองข้างมาเป็นวันที่สี่ วาติกันแถลงเมื่อวันอังคาร (25 ก.พ.) ว่าพระอาการของพระองค์ทรงตัว ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

ขณะนี้พระองค์มีพระชนมายุ 88 พรรษา และประทับอยู่ที่โรงพยาบาลเจเมลลีในกรุงโรมเป็นคืนที่ 12 ซึ่งเป็นระยะเวลาการรักษาที่ยาวนานที่สุดในรอบเกือบ 12 ปีแห่งสมณสมัยของพระองค์

"พระอาการทางคลินิกของพระองค์ยังคงอยู่ในภาวะที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แต่ระบบไหลเวียนโลหิตยังคงเสถียร" วาติกันระบุในแถลงการณ์ อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากวาติกันเผยว่า สมเด็จพระสันตะปาปายังสามารถเสวยพระกระยาหารและเคลื่อนไหวภายในห้องพักได้ตามปกติ

แม้ยังอยู่ระหว่างรักษาพระองค์ พระสันตะปาปายังคงปฏิบัติภารกิจบางประการ โดยมีการประชุมกับพระคาร์ดินัลปิเอโตร ปาโรลิน และคณะผู้ช่วยของพระองค์เมื่อวันจันทร์ (24 ก.พ.) เพื่อหารือเกี่ยวกับกระบวนการแต่งตั้งบุคคลเป็นนักบุญ รวมถึงตำแหน่งที่ต้องได้รับการอนุมัติจากพระองค์

มีรายงานเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีจอร์เจีย เมโลนี ของอิตาลี ได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้วาติกันเคยรายงานว่าพระองค์มีภาวะไตบกพร่องเล็กน้อย แต่ยืนยันว่าปัญหาดังกล่าว "ไม่น่าเป็นห่วง" ซึ่งในแถลงการณ์ล่าสุดไม่ได้กล่าวถึงภาวะนี้อีก

ขณะเดียวกัน พระคาร์ดินัลหลุยส์ ตาเกล ได้นำการสวดภาวนาเพื่อพระสันตะปาปาที่จัตุรัสนักบุญเปโตร โดยมีผู้ศรัทธาจำนวนมากเข้าร่วม และพิธีนี้จะจัดขึ้นทุกวันตลอดสัปดาห์นี้

ภาวะปอดบวมสองข้างเป็นภาวะติดเชื้อที่ทำให้ปอดอักเสบและส่งผลกระทบต่อระบบหายใจ วาติกันเผยว่าการติดเชื้อครั้งนี้เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด ซึ่งทำให้การรักษามีความซับซ้อน

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2013 มีประวัติสุขภาพที่เปราะบาง โดยทรงเคยป่วยเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบในวัยเยาว์และต้องผ่าตัดปอดบางส่วนออก ทำให้ทรงมีความเสี่ยงต่อโรคปอดมากกว่าปกติ

ด้านพระคาร์ดินัลออสการ์ โรดริเกซ มาราเดียกา พระสหายชาวฮอนดูรัสของพระองค์ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ลา รีพับบลิกา ของอิตาลีว่า "ผมเชื่อว่ายังไม่ถึงเวลาที่พระองค์จะเสด็จสู่สวรรค์"

ข่าวการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาทำให้ผู้ศรัทธาจากทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่ออธิษฐานขอให้พระองค์มีพระพลานามัยแข็งแรง โดยในกรุงบัวโนสไอเรส บ้านเกิดของพระองค์ มีการจัดพิธีสวดภาวนาที่พลาซ่าคอนสติทิวชัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์เคยประกอบพิธีมิสซาในอดีต

ขณะที่ คาร์ลา ราเบซซานา พระญาติของพระองค์วัย 93 ปี ที่อาศัยอยู่ในอิตาลี เปิดเผยว่าครอบครัวมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของพระองค์ ส่วนพระคาร์ดินัลทิโมธี โดแลน แห่งนิวยอร์ก กล่าวระหว่างพิธีมิสซาที่แมนฮัตตันว่า "พระองค์ทรงมีสุขภาพอ่อนแอมากและอาจใกล้จะสิ้นพระชนม์"

การสืบตำแหน่งพระสันตะปาปา

ในฐานะประมุขแห่งนครรัฐวาติกันและพระสันตะปาปาองค์ที่ 266 แห่งคริสตจักรคาทอลิก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2013 ทรงมีปัญหาสุขภาพหลายประการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับเข่าและเส้นประสาทไซแอติก ซึ่งทำให้ต้องใช้รถเข็นหรือไม้ค้ำยันบ่อยครั้ง

หากพระองค์ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อไป การประชุมเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่จะเกิดขึ้นตามกระบวนการดั้งเดิม โดยคณะคาร์ดินัลจะประชุมลับและลงคะแนนเสียงในโบสถ์ซิสติน

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงขยายวาระการดำรงตำแหน่งของพระคาร์ดินัลจีโอวานี บาททิสทา เร ซึ่งมีหน้าที่เตรียมการประชุมลับดังกล่าว

แม้จะยังไม่มีการกำหนดผู้สืบทอดที่แน่ชัด แต่ตามธรรมเนียมแล้ว พระสันตะปาปามักได้รับเลือกจากคณะคาร์ดินัล โดยรายชื่อบุคคลที่อาจได้รับการพิจารณา ได้แก่

พระคาร์ดินัลปิเอโตร ปาโรลิน เลขาธิการแห่งรัฐของวาติกัน

พระคาร์ดินัลปีเตอร์ เติร์กสัน จากกานา อดีตประธานสภาสันติภาพและความยุติธรรมแห่งวาติกัน

พระคาร์ดินัลหลุยส์ ตาเกล จากฟิลิปปินส์ ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในสำนักวาติกัน

สหรัฐ-ยูเครน ปิดดีลแร่หายาก ทรัมป์ปลดล็อกส่งอาวุธ แต่ไร้หลักประกันความมั่นคง เปิดช่องรัสเซียเดินเกมรุก

(26 ก.พ. 68) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและยูเครนได้อนุมัติร่างข้อตกลงแร่ ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของยูเครนเพื่อกระตุ้นการลงทุนและการฟื้นฟูประเทศ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ระบุการรับประกันความปลอดภัยจากสหรัฐแก่ยูเครนโดยตรง ซึ่งเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดข้อกังวลในแวดวงการเมืองระหว่างประเทศ

ร่างข้อตกลงฉบับนี้กำหนดให้มีการจัดตั้ง "กองทุนการลงทุนเพื่อการฟื้นฟู" (Reconstruction Investment Fund) เพื่อรวบรวมรายได้จากแหล่งแร่ธาตุ ไฮโดรคาร์บอน และทรัพยากรอื่น ๆ ของยูเครน โดยยูเครนจะต้องสมทบเงิน 50% ของรายได้สุทธิจากทรัพยากรธรรมชาติเข้ากองทุนจนกว่าจะถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 16.8 ล้านล้านบาท) ขณะที่สหรัฐจะให้การสนับสนุนทางการเงินระยะยาวเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของยูเครน

แม้ว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและยูเครน แต่ประเด็นเรื่องความมั่นคงยังคงเป็นข้อถกเถียงสำคัญ แหล่งข่าวระบุว่าร่างข้อตกลงไม่ได้ให้การรับประกันด้านความปลอดภัยจากสหรัฐแก่ยูเครนอย่างชัดเจน หรือให้คำมั่นเกี่ยวกับการส่งอาวุธเพิ่มเติม โดยระบุเพียงว่าสหรัฐต้องการให้ยูเครนเป็น "อิสระ มีอำนาจอธิปไตย และปลอดภัย"

อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้ผลักดันข้อตกลงนี้ กล่าวว่า หากสามารถบรรลุข้อตกลงยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ อาจจำเป็นต้องมีกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม รัสเซียแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นกองกำลังจากองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้)

การหารือเกี่ยวกับข้อตกลงเกิดขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน โดยทรัมป์เคยกล่าวหาเซเลนสกีว่าเป็น "เผด็จการ" ขณะที่ผู้นำยูเครนตอบโต้โดยระบุว่า ทรัมป์ได้รับข้อมูลผิด ๆ จากรัฐบาลรัสเซีย

ก่อนหน้านี้ เซเลนสกีปฏิเสธที่จะลงนามข้อตกลง เนื่องจากเห็นว่าสหรัฐเรียกร้องผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของยูเครนมากเกินไปเมื่อเทียบกับความช่วยเหลือที่มอบให้ โดยสหรัฐได้ให้เงินช่วยเหลือยูเครนแล้วกว่า 350,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 11.8 ล้านล้านบาท) รวมถึงอาวุธและอุปกรณ์ทางทหาร

นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงมองว่า แรงผลักดันของทรัมป์ในการเร่งยุติสงครามและท่าทีที่ประนีประนอมกับรัสเซีย อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของยูเครนและยุโรป รวมถึงเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์

สก็อตต์ แอนเดอร์สัน นักวิจัยจากสถาบันบรูคกิ้งส์ ให้ความเห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากยูเครน แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทรัมป์และสมาชิกสภาคองเกรสของพรรครีพับลิกัน เนื่องจากช่วยให้สหรัฐมีบทบาทสำคัญในสถานการณ์นี้

‘นักข่าวลี้ภัยพม่า’ ยอมรับ กำลังเผชิญวิกฤติหนัก หลัง USAID ถอนทุนฟ้าผ่า แต่ขอเดินหน้าทำหน้าที่ต่อ

สถานการณ์สื่ออิสระพม่าที่ลี้ภัยอยู่ในเมืองแม่สอด ชายแดนไทย-เมียนมา กำลังเผชิญวิกฤติหนัก ภายหลังรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจระงับการสนับสนุนเงินทุนจากองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐฯ (USAID) ซึ่งเดิมเป็นผู้สนับสนุนหลักของสื่ออิสระในหลายประเทศรวมถึงเมียนมา การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อนักข่าวพลัดถิ่นประมาณ 200 คนในไทย ซึ่งเคยได้รับเงินสนับสนุนจาก USAID จนไม่สามารถดำเนินการทำข่าวได้ตามปกติ โดยเฉพาะกลุ่ม ThanLwinKhet News ที่นำโดย ซู มยัต นักข่าวอาวุโสที่เคยพึ่งพิงงบประมาณดังกล่าว เธอเปิดเผยว่าต้องนำเงินส่วนตัวมาจ่ายเงินเดือนพนักงานได้เพียงครึ่งเดียว และต้องจัดหาอาหารและที่พักราคาถูกเพื่อให้พวกเขาอยู่รอด แม้กระทั่งนักข่าวบางคนที่ไม่ได้รับเงินเดือนอีกต่อไปยังคงยืนยันทำหน้าที่ต่อไป เพราะเชื่อว่าการรายงานข้อเท็จจริงเป็นภารกิจสำคัญเพื่อปกป้องประชาชนจากข่าวลวงและข้อมูลที่บิดเบือน

ในขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมาได้แสดงความเห็นว่าการสนับสนุนเงินทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะจาก USAID ถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศและเป็นการสนับสนุนกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลโดยตรง โดยมองว่าการสนับสนุนดังกล่าวไม่ได้มีเป้าหมายในการสร้างเสรีภาพสื่ออย่างแท้จริง แต่มีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในการต่อต้านรัฐบาลเมียนมา

ด้านองค์กรสื่อใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น Irrawaddy ซึ่งได้รับทุนจาก USAID ประมาณ 35% ของงบประมาณทั้งหมด ออกมายอมรับว่าผลกระทบจากการตัดงบครั้งนี้รุนแรงอย่างมาก และจำเป็นต้องมีการปรับแผนดำเนินงานใหม่ทั้งหมด สื่อในกัมพูชาและอินโดนีเซียที่เคยได้รับเงินทุนลักษณะเดียวกันนี้ต่างแสดงความกังวลในลักษณะคล้ายกัน โดยระบุว่าการระงับเงินทุนครั้งนี้อาจทำให้รัฐบาลที่มีแนวคิดเผด็จการในภูมิภาคได้เปรียบ เนื่องจากสื่ออิสระไม่สามารถดำเนินงานได้เหมือนเดิม เปิดช่องให้เกิดการแพร่ระบาดของข่าวปลอมและโฆษณาชวนเชื่อเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักข่าวหลายรายยังคงยืนยันที่จะรายงานข่าวต่อไป แม้ไม่มีรายได้ เนื่องจากเชื่อว่าการรายงานความจริงยังเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ขณะที่บางส่วนก็ยอมรับว่าความเป็นกลางและอิสระในการทำข่าวอาจได้รับผลกระทบจากการรับทุนต่างชาติ แต่ก็ยืนยันว่าการดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นไปเพื่อเปิดเผยความจริงและสร้างความโปร่งใสต่อสถานการณ์ภายในเมียนมา

'ดร.ปิติ' ชี้ ระเบียบโลกใหม่กำลังจะอุบัติ หลัง 'สหรัฐฯ - รัสเซีย - เกาหลีเหนือ ไหลอยู่ฝั่งเดียวกัน

(25 ก.พ. 68)  รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ระเบียบโลกเปลี่ยนไปแล้ว

ใครจะไปเชื่อว่าเราจะได้เห็น รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และ เกาหลีเหนือ รวมกับประเทศอื่นๆ อีก 15 ประเทศ คัดค้านการเรียกร้องให้ลดระดับความรุนแรง คัดค้านการยุติการสู้รบโดยเร็ว และคัดค้านการยุติสงครามกับยูเครนโดยสันติ ในที่ประชุมสหประชาชาติ เนื่องในโอกาส 3 ปีสงครามยูเครนที่เป็นความขัดแย้งของรัสเซียกับพันธมิตร NATO ที่นำโดยสหรัฐเอง

ระเบียบใหม่ต่อจากนี้คือ

1. รัฐที่มีพลังอำนาจเหนือกว่า สามารถละเมิดอธิปไตยเข้ายึดครองพื้นที่ของรัฐที่มีพลังอำนาจอ่อนด้อยกว่าได้ หากการเข้ายึดครองนั้น สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ

2.ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (ตามวิธีคิดของ Trump ที่ดูตัวเลขขาดดุล เกินดุลเป็นหลัก) คือกลไกขับเคลื่อนมิติความมั่นคง สงครามการค้า สงครามเศรษฐกิจ และสงครามในสนามรบจริง คือ สิ่งที่เจรจา ต่อรองแลกเปลี่ยนกันได้

‘ดร.ไชยันต์’ วิเคราะห์เลือกตั้ง ‘เยอรมนี’ ชี้ พรรคอนุรักษฯ อาจจับมือกับพรรคฝ่ายซ้ายตั้งรัฐบาล

(25 ก.พ. 68) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ถึงการเลือกตั้งของเยอรมนี ว่า

ใครจะได้เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลผสม และใครจะผสมกับใคร ?
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเยอรมนี (Bundestag)  การลงคะแนนครั้งที่ 2
พรรคอนุรักษนิยม (CDU/CSU)ได้ สส. มากสุด แต่แค่ 28.52% ตามมาด้วยพรรคขวาจัด (AFD) 20.8% และพรรคสังคมประชาธิปไตย (ซ้าย แกนจัดตั้งรัฐบาลชุดที่แล้ว) 16.41%
อนุรักษ์ฯยืนยันไม่ผสมกับขวาจัดที่ได้คะแนนเพิ่มมากกว่าที่ผ่านมา
ซ้ายตอนแรกยืนยันว่าจะไม่ผสมกับใครเลย แต่เริ่มเปลี่ยนท่าที

สภาพการณ์แบบนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาหรือจะเรียกว่าธรรมชาติของสังคมที่ผู้คนเลือกหลายพรรคต่างๆกัน นั่นคือ ระบบหลายพรรค (multi-party system) ซึ่งของไทยเรา ตั้งแต่มีพรรคการเมือง เราก็เป็นระบบหลายพรรค ยกเว้นจะออกแบบรัฐธรรมนูญแบบภูฏาน ที่ให้เลือกตั้ง 2 รอบ รอบแรก กี่พรรคลงแข่งก็ได้ รอบ 2 ให้สองพรรคที่ได้คะแนนสูงสุดในรอบแรกแข่งกัน พรรคไหนชนะก็ตั้งรัฐบาล อีกพรรคก็เป็นฝ่ายค้านไป

‘ศาลฎีกา’ ยืน!! ตามคำตัดสินของศาลล่าง ที่ปฏิเสธการออกวีซ่าระยะยาว ให้แก่ชายชาวอเมริกัน ที่แต่งงานกับ ‘คู่รักเพศเดียวกัน’ ชาวญี่ปุ่นในสหรัฐฯ

(24 ก.พ. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ศาลฎีกาของญี่ปุ่นยืนตามคำตัดสินของศาลชั้นล่างที่ปฏิเสธการออกวีซ่าพำนักระยะยาวให้แก่ชายชาวอเมริกันที่แต่งงานกับคู่รักเพศเดียวกันชาวญี่ปุ่นในสหรัฐฯ

ศาลยืนยันคำตัดสินของศาลชั้นสูงโตเกียวในปี 2023 ซึ่งระบุว่าคู่รักเพศเดียวกันในญี่ปุ่นไม่มีสถานะทางกฎหมายเท่ากับคู่รักต่างเพศ แอนดรูว์ ไฮ ผู้ฟ้องคดีโต้แย้งว่าคำตัดสินดังกล่าวละเมิดการรับรองความเท่าเทียมกันตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นไม่รับรองการแต่งงานของเพศเดียวกันตามกฎหมาย และวีซ่า "คู่สมรสหรือบุตรของพลเมืองญี่ปุ่น" มีไว้สำหรับคู่รักต่างเพศเท่านั้น แม้ว่าในตอนแรก High จะได้รับวีซ่าชั่วคราวเท่านั้น แต่ในปี 2022 ศาลแขวงโตเกียวได้แนะนำให้เขาได้รับวีซ่า "กิจกรรมที่กำหนด" ซึ่งเขาได้รับในเดือนมีนาคม 2023

แม้จะเป็นเช่นนี้ ไฮก็ยังพยายามขอวีซ่าพำนักระยะยาวที่มั่นคงกว่า ซึ่งให้ความปลอดภัยที่มากกว่าและมีข้อจำกัดในการทำงานน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม คำร้องของเขาถูกปฏิเสธ ซึ่งยืนยันถึงข้อจำกัดทางกฎหมายที่คู่รักเพศเดียวกันในญี่ปุ่นต้องเผชิญ

ตำรวจจีน ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยคดีอาญา บนเครื่องบินเช่าเหมาลำ มุ่งหน้าสู่จีน ฟันโทษ!! 'จำคุกตลอดชีวิต' 4 คนสำคัญ คดีฉ้อโกง โทรคมนาคมข้ามพรมแดน

(24 ก.พ. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ศาลประชาชนสูงสุดของจีนรายงานการตัดสินจำคุกตลอดชีวิต 4 บุคคลสำคัญในคดีฉ้อโกงทางโทรคมนาคมข้ามพรมแดน โดยบุคคลทั้งสี่ได้เดินทางออกนอกจีนเพื่อจัดตั้งองค์กรฉ้อโกงทางโทรคมนาคม ซึ่งบุคคลหนึ่งที่มีแซ่อวี๋เป็นผู้จัดหาคนจำนวนมากออกจากจีนมาก่ออาชญากรรมดังกล่าว

คดีความอีกคดีหนึ่งเกี่ยวข้องกับจำเลยแซ่หยาง ผู้เคยถูกตัดสินโทษฐานพัวพันกับการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมมาก่อน ได้ถูกลงโทษสถานหนักฐานกระทำความผิดซ้ำ ส่วนจำเลยอีกสองรายในคดีความอีกคดีหนึ่งถูกลงโทษสถานหนักแม้เป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดและรับสารภาพความผิดแล้ว เนื่องจากมีความผิดฐานชักจูงผู้เยาว์เข้าร่วมการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม

ทั้งนี้ ศาลจีนยังสั่งให้กลุ่มผู้กระทำความผิดคืนเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกง และรับรองว่าเหยื่อจะได้รับเงินที่ยึดคืนมาอย่างทันท่วงที

‘สีจิ้นผิง’ แอบยิ้ม!! ‘ทรัมป์’ กลับมาเป็น ปธน. เข้าทางจีน หลังจัดการ!! ลงดาบ ‘USAID’ ฐานที่ไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน

(24 ก.พ. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn เกี่ยวกับ สีจิ้นผิง และทรัมป์ โดยมีใจความว่า ...

#สีจิ้นผิง แอบอมยิ้ม  อีกปรากฏการณ์ที่ช่วยอธิบายว่า ทำไม #ทรัมป์ กลับมา คือ #เข้าทางจีน  #Trump  

พรรคฝ่ายค้านของ #ฮ่องกง คือพรรคประชาธิปไตยแห่งฮ่องกง (Democracy Party of Hong Kong) เตรียมจะยุบพรรคด้วยตัวเอง !! (สีจิ้นผิงไม่ได้สั่งนะ) 

โปรดสังเกตว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลทรัมป์ โดยอิลอน มัสถ์ จัดการลงดาบกับ  #USAID ที่ละเลงงบประมาณไปยุ่งกับเรื่องชาวบ้าน 
#ท่อน้ำเลี้ยงจากต่างประเทศ แห้งเหือดลง แก๊งการเมืองไม่ถูกใจสีจิ้นผิงใน #ฮ่องกง ก็คงไปต่อยากนะคะ  #HongKong


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top