Wednesday, 4 December 2024
WORLD

ผู้นำอิเหนาเปิดแผนดันอินโดนีเซียเป็นชาติสมาชิก เผยอยากเข้าร่วม BRICS ตั้งแต่ 10 ปีก่อน

(19 พ.ย.67) สำนักข่าว sputnik รายงานว่า ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ปราโบโว ซูเบียนโต กล่าวต่อสื่อรัสเซียว่า เขามีแผนอยากให้ประเทศเข้าร่วมสมาชิกกลุ่ม BRICS ตั้งแต่ปี 2014 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน ในสมัยที่เขาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียสมัยแรก

"จริง ๆ แล้ว ผมเคยประกาศในช่วงตอนหาเสียงปี 2014 ว่าหากผมได้เป็นประธานาธิบดี ผมจะพาอินโดนีเซียเข้าร่วมกลุ่ม BRICS” ซูเบียนโตกล่าวต่อสื่อรัสเซียในระหว่างการประชุม G20 ที่ประเทศบราซิล

ซูเบียนโตย้ำถึงความตั้งใจของอินโดนีเซียที่จะเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS และเสริมว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่ซูเบียนโตได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาเผยว่าเขาได้แต่งตั้งคณะทำงานชุดหนึ่ง พร้อมส่งรัฐมนตรีต่างประเทศบินไปยังเมืองคาซาน เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอด BRICS ในฐานะรัฐผู้สังเกตการณ์ ... ซึ่งแสดงเจตนารมณ์ว่าเราต้องการเข้าร่วมกับ บราซิล อินเดีย และประเทศ BRICS อื่น ๆ เราคิดว่านี่จะเป็นองค์ประกอบใหม่ที่สำคัญในเศรษฐกิจโลก” ประธานาธิบดีกล่าว 

ผลการเข้าร่วมประชุมที่คาซาน ส่งผลให้อินโดนีเซียได้กลายเป็นรัฐพันธมิตรกลุ่ม BRICSในระหว่างการประชุมสุดยอดครั้งที่ 16 ของกลุ่ม BRICS ที่เมืองคาซานของรัสเซีย

ในฐานะชาติหุ้นส่วนจะช่วยให้อินโดนีเซีย สามารถเข้าร่วมการประชุมในวาระต่าง ๆ ของ  BRICS และการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มชาติ BRICS ได้มากขึ้น อาทิ การค้าและความมั่นคงแห่งชาติ และฟอรัมรัฐสภา ซึ่งในฐานะชาติหุ้นส่วนถือว่าเป็นก้าวแรกสู่การเข้าเป็นชาติสมาชิก BRICS ได้อย่างเต็มตัว

BRICS เป็นสมาคมระหว่างรัฐบาลที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 รัสเซียรับตำแหน่งประธานหมุนเวียนของกลุ่มเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2024 ปีเริ่มต้นด้วยการเข้าร่วมของสมาชิกใหม่เข้าเป็นสมาชิกของสมาคม นอกจากรัสเซีย บราซิล อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้แล้ว ปัจจุบัน BRICS ยังมีชาติหุ้นส่วนคือ อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย ตามเว็บไซต์ของตำแหน่งประธาน BRICS ของรัสเซียในปี 2024 มีรายงานว่าซาอุดีอาระเบียไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการในการเข้าร่วม แต่ได้เข้าร่วมการประชุม BRICS ที่เมืองคาซานที่ผ่านมา

ไทยนำเข้า ATK ตรวจไข้เลือดออก จากญี่ปุ่น เริ่มจำหน่าย ม.ค. ปีหน้า

(19 พ.ย.67) นิเคอิรายงานว่า บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่นเตรียมแผนเริ่มวางจำหน่ายชุดตรวจไข้เลือดออกแบบรู้ผลเร็วใน 15 นาที ในตลาดประเทศไทยช่วงเดือนมกราคมปีหน้า หลังจากที่บริษัทดังกล่าวได้รับการอนุญาตให้นำเข้าชุดตรวจมาจัดจำหน่ายได้อย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของทางการไทยแล้ว

รายงานระบุว่าบริษัท VisGene ซึ่งเป็นหน่วยงานที่แยกตัวจากสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยโอซาก้า ได้คิดค้นชุดตรวจไข้เลือดออกแบบรู้ผลเร็วภายใน 15 นาที ซึ่งให้ผลการตรวจที่แม่นยำ อีกทั้งยังประหยัดเวลาการตรวจไข้เลือดออกแบบเก่า ที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมงจึงจะรู้ผล

ข้อมูลจากเว็บไซต์ VisGene บริษัทได้พัฒนาชุดตรวจที่สามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลก โดยผสานเทคโนโลยีการผลิตชุดตรวจแบบอิมมูโนโครมาโทกราฟีเข้ากับแอนติบอดีจำเพาะสำหรับเชื้อไข้เลือดออก  

โรคไข้เลือดออกเป็นโรคไวรัสที่มียุงเป็นพาหะ ทำให้เกิดอาการไข้และผื่นขึ้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นแทบไม่มีรายงานการติดเชื้อภายในประเทศ มีเพียงไม่กี่สิบถึงร้อยรายที่เป็นผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ  

อย่างไรก็ตาม ในระดับโลก การติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีผู้ป่วยราว 100 ล้านคนต่อปี ส่วนใหญ่อยู่ในประมาณ 100 ประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในจำนวนนี้ 250,000 คนมีอาการรุนแรง  

โรคไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ และเป็นที่ทราบกันว่าความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมีการติดเชื้อครั้งที่สองจากสายพันธุ์ที่ต่างจากการติดเชื้อครั้งแรก ชุดตรวจวินิจฉัยจำเพาะสำหรับสายพันธุ์ไข้เลือดออกนี้เป็นชุดตรวจแรกที่สามารถแยกแยะสายพันธุ์ได้ด้วยชุดนี้ในเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถทำได้เฉพาะการตรวจแบบ PCR เท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นชุดตรวจเดียวที่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้การติดเชื้อครั้งที่สองมีอาการรุนแรง  

ก่อนหน้านี้ บริษัทมีการทดลองทางคลินิกได้ดำเนินการที่โรงพยาบาลนครนายก ประเทศไทย ในช่วงฤดูร้อนปี 2021 และได้รับผลลัพธ์ที่น่าพอใจ จากผลการทดลองดังกล่าว ทำให้บริษัทตัดสินใจดำเนินการตามแผนเพื่อขยายตลาดในประเทศไทยในปี 2025 

บริษัททัวร์หัวใสจัดทริปเอาใจอเมริกัน ใช้ชีวิตกลางทะเลหนีเงารัฐบาลทรัมป์

(18 พ.ย. 67) บริษัทวิลลา วี เรสซิเดนซ์ในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ เปิดตัวโปรแกรมท่องเที่ยวเอาใจชาวอเมริกันที่ไม่พอใจกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมา หลัง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 และต้องการหลีกหนีจากสถานการณ์ทางการเมืองในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยโปรแกรมนี้จะพาลูกค้าเดินทางล่องเรือสำราญเป็นเวลา 4 ปี ท่องเที่ยวไปยัง 425 เมืองในกว่า 140 ประเทศ

ราคาค่าทริปเริ่มต้นที่ 160,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5.5 ล้านบาท) สำหรับห้องพักเดี่ยวตลอด 4 ปี หรือห้องพักคู่เริ่มต้นที่ 320,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 11 ล้านบาท) รวมบริการอาหาร เครื่องดื่ม ไวไฟ และบริการทางการแพทย์บนเรือ พร้อมทั้งแม่บ้านทำความสะอาดห้องและบริการซักรีด

โปรแกรมท่องเที่ยวมีให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ "หนีจากความเป็นจริง" ล่องเรือ 1 ปี, "เลือกตั้งกลางเทอม" เดินทาง 2 ปี, "ที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่บ้าน" ล่องเรือ 3 ปี, และ "ข้ามเวลา 4 ปี" ที่ท่องเที่ยว 4 ปีเต็ม ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าชาวอเมริกันอย่างรวดเร็วหลังจากเปิดตัวทริป 

สส.รัสเซียเตือน 'ไบเดน' คิดผิดมหันต์ หากอนุมัติอาวุธพิสัยไกลให้ยูเครน

(18 พ.ย. 67) มาเรีย บูทีนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย วัย 36 ปี แสดงความกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจกำลังผลักดันสถานการณ์ไปสู่ความขัดแย้งระดับโลก หากอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธของสหรัฐในการโจมตีลึกเข้ามาในดินแดนรัสเซีย  

บูทีนา ซึ่งเคยถูกคุมขังในสหรัฐเป็นเวลา 15 เดือนในปี 2561 ข้อหาทำหน้าที่เป็นตัวแทนรัสเซียโดยไม่ขึ้นทะเบียน กล่าวกับรอยเตอร์ว่า รัฐบาลไบเดนดูเหมือนจะพยายามยกระดับความรุนแรงจนถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะหมดวาระ เธอหวังว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในเดือนมกราคมปีหน้า จะยุตินโยบายดังกล่าว เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ  

คำเตือนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานจากเจ้าหน้าที่สหรัฐและสื่อหลายแห่งว่า รัฐบาลไบเดนตัดสินใจอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกลที่ผลิตในสหรัฐเพื่อโจมตีดินแดนรัสเซีย การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้นับเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญ หลังจากที่สหรัฐเคยวางเงื่อนไขไม่ให้อาวุธดังกล่าวถูกนำไปใช้โจมตีในดินแดนรัสเซีย แม้ว่ายูเครนจะร้องขอมาเป็นเวลานาน  

ก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เคยเตือนว่า หากชาติตะวันตกอนุญาตให้ใช้อาวุธของตนโจมตีรัสเซีย จะถือว่าเป็นการเข้าร่วมสงครามโดยตรงของนาโตและพันธมิตร ขณะที่ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลรัสเซียได้ประกาศแผนตอบโต้หากเกิดกรณีดังกล่าว

ด้านยูเครน ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธรายงานนี้โดยตรง แต่ได้กล่าวในคลิปประจำวันว่า "ขีปนาวุธจะบอกทุกอย่างเอง" และย้ำว่า "ชัยชนะจะเป็นของยูเครน"  

ด้านนักวิเคราะห์มองว่าการอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกล ซึ่งมีระยะทำการถึง 300 กิโลเมตร อาจเป็นการยกระดับความขัดแย้งในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนี้อาจช่วยให้ยูเครนได้เปรียบในด้านยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในแคว้นคุสค์ที่ยูเครนสามารถเข้ายึดครองพื้นที่ได้บางส่วนแล้ว  

แหล่งข่าวในสหรัฐเผยว่า หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจนี้ คือรายงานว่ารัสเซียได้ใช้ทหารเกาหลีเหนือจำนวนมากถึง 11,000 นายในแคว้นดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มแรงกดดันในสนามรบ  

การตัดสินใจของสหรัฐอาจเพิ่มความซับซ้อนในวิกฤตยูเครนและยกระดับความขัดแย้งไปสู่ระดับนานาชาติ ในขณะที่รัสเซียยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการต่อข่าวนี้ แต่ประเด็นดังกล่าวอาจเป็นตัวแปรสำคัญในทิศทางของสงครามยูเครนในอนาคตอันใกล้ ซึ่งตรงกับช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะหมดวาระ

รู้จัก 'วิตาลิก บูเตริน' เจ้าพ่อ Ethereum อัจฉริยะผู้สร้างเหรียญเปลี่ยนโลก สู่เศรษฐีอายุน้อย

(18 พ.ย. 67) เพจ "ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง" ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารอย่างเป็นทางการของ "หมูเด้ง" และเพื่อนสัตว์แห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ได้โพสต์ภาพที่กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ทันที ภาพดังกล่าวเผยให้เห็น **"พี่เบนซ์" อรรถพล ผู้ดูแลหมูเด้ง ยืนถ่ายรูปคู่กับชายชาวตะวันตกคนหนึ่ง  

ชายในภาพไม่ใช่ใครอื่น แต่คือ วิตาลิก บูเทริน (Vitalik Buterin) มหาเศรษฐีชาวรัสเซียและผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากภาพนี้ถูกเผยแพร่ ผู้คนต่างให้ความสนใจอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะในหมู่ชาวไทยที่จดจำเขาได้จากข่าวไวรัลก่อนหน้านี้ เมื่อเขาใช้บริการขนส่งสาธารณะทั้งในกรุงเทพฯ และสิงคโปร์ ภาพเหล่านั้นสร้างความประทับใจและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย 

ถ้าคุณติดตามข่าวคริปโตเคอร์เรนซี คงคุ้นเคยกับชื่อของวิตาลิก บูเทริน ชายหนุ่มผู้เป็นต้นกำเนิด Ethereum แพลตฟอร์มบล็อกเชนที่เปลี่ยนโฉมโลกการเงินดิจิทัล แต่เรื่องราวของเขามีอะไรมากกว่าที่คิด

วิตาลิกเกิดที่รัสเซียในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ครอบครัวย้ายไปแคนาดาเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่า เมื่ออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เขาได้รับการจัดให้อยู่ในชั้นเรียนสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ โดดเด่นในคณิตศาสตร์ การเขียนโปรแกรม และเศรษฐศาสตร์ วิตาลิกได้รู้จัก Bitcoin ครั้งแรกเมื่ออายุ 17 ปี จากคำแนะนำของพ่อ 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า บูเทริน  มีความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์อย่างสูง ว่ากันว่าเขาสามารถ ‘บวกเลข 3 หลักในใจได้เร็วกว่าคนทั่วไป 2 เท่า’ ตอนอายุ 18 ยังได้รับรางวัลที่การันตีถึงความเก่งกาจด้วยรางวัลเหรียญทองแดงในการแข่งขันสนเทศศาสตร์โอลิมปิก  

หลังจากจบมัธยมปลาย วิตาลิกเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู และทำงานร่วมกับ เอียน โกลด์เบิร์ก (Ian Goldberg) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเข้ารหัส ก่อนที่เขาจะคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันวิทยาการคอมพิวเตอร์โอลิมปิกในอิตาลี  

ในปี 2013 วิตาลิกตีพิมพ์เอกสารที่อธิบายแนวคิดของ Ethereum ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นคริปโตเคอร์เรนซี่ แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่รองรับการพัฒนานวัตกรรมอย่าง dApps และ DAO ผ่านระบบบล็อกเชน  

เพื่อให้โปรเจกต์เป็นจริง เขาลาออกจากมหาวิทยาลัยหลังได้รับทุน 100,000 ดอลลาร์จาก Thiel Fellowship ซึ่งสนับสนุนผู้ที่มีความสามารถพิเศษในการสร้างสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อโลก  

บูเทริน เปิดตัวเหรียญ Ethereum ในปี 2015 และกลายเป็นบล็อกเชนอันดับสองรองจาก Bitcoin เขายังผลักดันให้เปลี่ยนระบบจาก Proof-of-Work เป็น Proof-of-Stake ในปี 2022 ซึ่งลดการใช้พลังงานได้ถึง 99%  

แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในด้านการสร้าง Ethereum วิตาลิก บูเทริน ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขายังมุ่งมั่นแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ โดยทำงานร่วมกับ เกลน เวย์ล (Glen Weyl) นักเศรษฐศาสตร์ผู้วิพากษ์ระบอบทุนนิยมและความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง  

บูเทรินได้รับแรงบันดาลใจจากข้อเสนอของเวย์ลเกี่ยวกับวิธีการเก็บภาษีความมั่งคั่งเพื่อกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม เขาแสดงความสนใจจนถึงขั้นทวีตข้อความสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ก่อนที่ทั้งสองจะร่วมกันเขียนคำประกาศ "Liberation Through Radical Decentralization" (การปลดปล่อยผ่านการกระจายอำนาจแบบสุดโต่ง) คำประกาศนี้เน้นย้ำถึงจุดร่วมระหว่างการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของบูเทรินและแนวคิดเศรษฐศาสตร์ของเวย์ล โดยชี้ว่ากลไกตลาดสามารถถูกออกแบบใหม่ให้สร้างความเป็นธรรมและแก้ไขปัญหาสังคมได้  

บูเทรินและเวย์ลยังได้ร่วมมือกับ ซูอี้ ฮิตซิก (Zoe Hitzig) นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และตีพิมพ์บทความในปี 2019 ชื่อ "A Flexible Design for Funding Public Goods" (การออกแบบที่ยืดหยุ่นสำหรับทรัพย์สินสาธารณะ) ซึ่งเสนอระบบการลงคะแนนเสียงแบบกำลังสอง (Quadratic Voting) แนวคิดในการช่วยจัดสรรทรัพยากรสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพและยุติธรรม 

ปัจจุบัน วิตาลิกในวัย 28 ปี ยังคงขับเคลื่อนการพัฒนา Ethereum พร้อมขยายขอบเขตของคริปโทเคอร์เรนซี่เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน นับตั้งแต่เทคโนโลยี การเงิน ไปจนถึงสังคม  

การที่บุคคลระดับมหาเศรษฐีระดับโลกอย่างวิตาลิกมาเยือนสวนสัตว์ในไทย รวมถึงเลือกโดยสารด้วยรถไฟฟ้าสาธารณะ แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายในชีวิตส่วนตัวของเขาและการเปิดกว้างในการเชื่อมต่อกับผู้คนและสถานที่ใหม่ๆ

วิตาลิก บูเทริน ที่ปัจจุบันอายุ 30 ปี ณ เวลาที่นี้ มูลค่าสุทธิของ Vitalik ซึ่งได้มาจากการถือครองสกุลเงินดิจิทัลเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าเกิน 1.025 พันล้านดอลลาร์ โดยความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของเขา มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่มาจากการถือครอง ETH ของเขา

บทบาทของ บูเทริน จึงไม่ใช่แค่ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ทั่วโลก

สื่อตะวันตกยอมรับ อเมริกาตามหลัง ผู้นำตัวจริงในสงครามเทคโนโลยี

(18 พ.ย. 67) สถาบันวิจัยระดับโลกอย่าง Australian Politics Policy Institute และสื่อตะวันตกหลายแห่ง เช่น Bloomberg, The Economist และ Voice of America ได้ออกมายอมรับว่า จีนได้ชัยชนะในสงครามเทคโนโลยีและกลายเป็นผู้นำในด้านนี้ไปแล้ว ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสำคัญในระเบียบโลกที่กำลังเกิดขึ้น

สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ถือเป็นชัยชนะของจีนมาแล้วนาน โดยสหรัฐฯ ยังประสบปัญหาการขาดดุลการค้า ขณะที่จีนยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้สหรัฐฯ จะพยายามใช้มาตรการปิดกั้น เช่น การเพิ่มภาษีสูงๆ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายใน แต่สิ่งที่จีนทำสำเร็จคือการคว้าผู้นำในด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ

รายงานจาก Australian Politics Policy Institute เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า จีนเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในสาขาที่สำคัญอย่างการป้องกันประเทศ, อวกาศ, พลังงาน, เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มากถึง 57 หมวดหมู่จากทั้งหมด 64 หมวดหมู่ เทียบกับสหรัฐฯ ที่ยังคงนำอยู่ใน 7 สาขา เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติและควอนตัมคอมพิวติ้ง

The Economist และ Voice of America รายงานว่า จีนตอนนี้ได้แซงสหรัฐฯ ไปแล้วในด้านการวิจัยเทคโนโลยีชี้ขาด ที่สำคัญคืออำนาจในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่ออนาคตของโลก โดยจีนได้กลายเป็นศูนย์กลางในการกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21

ในด้านเศรษฐกิจ ขณะนี้จีนใกล้จะแซงสหรัฐฯ ในเรื่องของอำนาจการซื้อ (Purchasing Power Parity) แม้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะยังคงมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่การเติบโตทางเทคโนโลยีและอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีนทำให้จีนมีศักยภาพในการนำพาโลกเข้าสู่ยุคใหม่

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางเศรษฐกิจหรือการค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการท้าทายระเบียบโลกเก่าที่ถูกนำโดยสหรัฐฯ โดยจีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สำคัญ

อนาคตของเศรษฐกิจโลกจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกันหรือการแข่งขันอย่างดุเดือด แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในสงครามเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21

'ชวีชุ่ยหรง' นายหญิงแห่ง KFC จีน เผยเคล็ดลับสำเร็จ ขยาย 10,000 สาขาในเวลาอันสั้น

(18 พ.ย. 67) โจอี้ วัต หรือ ชวีชุ่ยหรง ผู้บริหารหญิงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดของจีน และติดอันดับหนึ่งใน 500 ผู้บริหารยอดเยี่ยมจากการสำรวจของนิตยสาร Fortune ได้ เผยเคล็ดลับการขยายธุรกิจร้านอาหาร Fast Food ในเครือ Yum China ซึ่งรวมถึง KFC, Pizza Hut, และ Taco Bell กว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศจีน

ในปี 2024 KFC ได้ทะยานสู่เป้าหมาย 10,000 สาขา ครอบคลุม 2,000 เมืองทั่วจีน ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของแบรนด์ Fast Food ยอดนิยมจากต่างประเทศ ที่ยังคงครองใจผู้บริโภคจีนอย่างเหนียวแน่น

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ KFC สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว คือการสังเกตพฤติกรรมลูกค้าอย่างใกล้ชิดของ ชวีชุ่ยหรง ซึ่งไม่ได้พึ่งพาทีมการตลาดหรือการใช้ AI เท่านั้น แต่เธอใช้เวลามากกว่า 2-3 ชั่วโมงทุกวันในการนั่งดูลูกค้ากินอาหารในร้าน KFC เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงบริการและเมนูต่างๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ตัวอย่างหนึ่งคือเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าผู้บริโภควัยรุ่นชาวจีนชอบกินไก่ทอดคู่กับมันบด แต่พบว่ามันไม่สะดวกในการรับประทาน ชวีชุ่ยหรงจึงคิดค้นเมนู "เบอร์เกอร์มันบดไก่ไม่มีกระดูก" ซึ่งกลายเป็นเมนูยอดฮิตใน KFC จีน

ไม่เพียงแค่ใน KFC ชวีชุ่ยหรงยังได้สร้างสรรค์เมนูพิซซ่าหน้าทุเรียนในร้าน Pizza Hut หลังจากที่เธอสังเกตเห็นว่าคนจีนชื่นชอบทุเรียน โดยเฉพาะเมื่อหลายร้านอาหารต่างชาติไม่อนุญาตให้นำทุเรียนเข้ามาในร้าน เธอจึงตัดสินใจนำทุเรียนมาสร้างสรรค์เป็นพิซซ่าหน้าทุเรียนซึ่งกลายเป็นเมนูขายดีอันดับหนึ่งของร้าน Pizza Hut จีน โดยมียอดขายมากกว่า 30 ล้านถาดต่อปี

ภายใต้การบริหารของเธอ KFC และร้านในเครือ Yum China ได้เสนอเมนูใหม่ๆ ให้กับลูกค้าชาวจีนมากกว่า 500 เมนู และปรับรูปแบบการให้บริการให้ทันกับสถานการณ์ รวมถึงในช่วงการระบาดของ COVID-19 ที่ KFC เป็นหนึ่งในร้านแรกๆ ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการแบบ "ไร้การสัมผัส" และยังมีการตั้งกองทุนช่วยเหลือพนักงานในช่วงที่ร้านต้องปิดกิจการ

ชวีชุ่ยหรงกล่าวว่า ทักษะการบริหารที่ประสบความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากตำราเรียน แต่เกิดจากการสละเวลาลงไปสังเกตและเข้าใจลูกค้า รวมถึงการพูดคุยกับผู้จัดการร้านบ่อยๆ เพื่อเข้าใจปัญหาจริงจากหน้างานและสามารถแก้ไขได้ตรงจุด

นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้ชวีชุ่ยหรงสามารถนำ KFC และร้านอาหารในเครือ Yum China ก้าวสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ ด้วยการสังเกตและเข้าใจลูกค้าด้วยตาตัวเอง

โรงเรียนสหรัฐฯ ห้ามนักเรียนใส่ ทำเด็กเสียสมาธิ-ดีไซน์อันตราย

(18 พ.ย. 67) บลูมเบิร์กรายงานว่า มีโรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ ที่ประกาศห้ามนักเรียนใส่รองเท้าแตะแบรนด์ Crocs เนื่องจากมองว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยและรบกวนสมาธิของนักเรียน

รายงานระบุว่า Crocs Inc. ปัจจุบันมีมูลค่าถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้นจากการดีไซน์ที่ตอบโจทย์วัยรุ่นและความสบายในการสวมใส่ ซึ่งทำให้เป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมจากเด็กและวัยรุ่นอเมริกันในการใส่ไปโรงเรียน แต่กลับกลายเป็นปัญหาที่ทำให้หลายโรงเรียนในสหรัฐฯ เริ่มห้ามการสวมใส่รองเท้าแบรนด์นี้

Oswaldo Luciano พยาบาลโรงเรียนในนิวยอร์ก กล่าวว่าในโรงเรียนที่เธอทำงาน พบปัญหานักเรียนบาดเจ็บที่เท้า โดยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่ใส่รองเท้า Crocs ไปเรียน เธอกล่าวว่า "เมื่อไหร่ก็ตามที่มีใครพูดถึงอาการบาดเจ็บที่เท้า สิ่งแรกที่ทุกคนจะพูดคือ 'ฉันพนันได้เลยว่าพวกเขาใส่รองเท้า Crocs อยู่'"

โรงเรียนหลายแห่งในสหรัฐฯ อย่างน้อย 12 รัฐ ได้ห้ามนักเรียนสวมรองเท้า Crocs โดยอ้างว่านักเรียนบางคนอาจสะดุดล้มขณะสวมรองเท้าแตะที่ไม่มีสายรัดนิรภัยหลังส้น ขณะที่บางโรงเรียนระบุว่ารองเท้านี้ทำให้เกิดอุบัติเหตุและเสียสมาธิเพิ่มขึ้น เนื่องจากดีไซน์ที่โดดเด่นและสิ่งตกแต่งที่ติดมากับรองเท้า ซึ่งทำให้เด็กๆ สนใจสิ่งเหล่านั้นมากกว่าการเรียน

“นักเรียนทุกคนต้องสวมรองเท้าหัวปิดเพื่อความปลอดภัย (ห้ามสวมรองเท้า Crocs)” นโยบายเครื่องแบบของโรงเรียนประถม Lake City ในแอตแลนตาระบุ ขณะที่โรงเรียนมัธยม LaBelle ในเมือง LaBelle รัฐฟลอริดา ระบุว่า "ต้องสวมรองเท้าที่ปลอดภัยตลอดเวลา" และ "ไม่อนุญาตให้สวมรองเท้า Crocs"

Siobhan Joshua ช่างเทคนิคเภสัชกรรมในเมือง Yonkers รัฐนิวยอร์ก กล่าวว่าเมื่อไม่นานมานี้ เธอซื้อรองเท้าผ้าใบแบบสวมให้ลูกสาววัย 10 ขวบเพื่อทดแทนรองเท้า Crocs ที่โรงเรียน หลังจากที่โรงเรียนห้ามสวมรองเท้าแบบส้นเตี้ยในช่วงพักกลางวันด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ลูกสาวของเธอเคยได้รับบาดเจ็บจากรองเท้า Crocs ที่ติดบันไดเลื่อนจนทำให้พลัดตก และต้องเย็บแผลที่หน้าแข้งถึง 8 เข็ม แต่ลูกสาวยังคงชอบรองเท้า Crocs และสวมมันนอกโรงเรียน

แอนน์ เมห์ลแมน ประธานแบรนด์ Crocs และรองประธานบริหาร กล่าวว่า บริษัทไม่ทราบข้อมูลที่บ่งชี้ว่ามีการห้ามเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน Crocs ซึ่งมีกำหนดรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 พบว่า ยอดขายประจำปีเพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่าในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา จากความนิยมของรองเท้าที่ใส่สบายและมีสีสันสดใส

ด้าน นีล ซอนเดอร์ส กรรมการผู้จัดการฝ่ายค้าปลีกของ GlobalData กล่าวว่า การซื้อรองเท้าสำหรับใช้ในช่วงเปิดเทอมถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ ถึงแม้ว่าซอนเดอร์สจะบอกว่า ยังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งชี้ว่าการห้ามรองเท้า Crocs จะส่งผลกระทบต่อยอดขาย

Crocs กล่าวว่า ข้อจำกัดที่โรงเรียนกำหนดนั้น "น่าสับสน" และยังคงยืนยันว่า แม้จะมีบางโรงเรียนห้าม แต่รองเท้าเหล่านี้ก็ยังคงเป็น "รองเท้าสำหรับใส่ในชีวิตประจำวัน"

สีจิ้นผิง บอกลา ไบเดน ชี้สัมพันธ์จีนสหรัฐ สำคัญต่อมนุษยชาติ

(18 พ.ย. 67) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนกล่าวกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐอเมริกาว่า ความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างสองประเทศไม่เพียงสำคัญต่อประชาชนของทั้งสองฝ่าย แต่ยังส่งผลต่ออนาคตของมนุษยชาติทั้งหมด

รายงานจากสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของทางการจีนระบุว่า การสนทนานี้เกิดขึ้นในระหว่างการพบหารือนอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มเอเปคครั้งที่ 31 ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยประธานาธิบดีสีแสดงความยินดีที่ได้พบประธานาธิบดีไบเดนอีกครั้ง พร้อมย้ำว่า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเผชิญความผันผวนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่การเจรจาและความร่วมมือที่เกิดขึ้นช่วยให้ความสัมพันธ์โดยรวมมีเสถียรภาพ

ประธานาธิบดีสีกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าทุกครั้งที่ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติต่อกันด้วยความเป็นมิตรและมองหาโอกาสความร่วมมือ พร้อมทั้งเคารพความแตกต่าง ความสัมพันธ์จะก้าวหน้าอย่างชัดเจน แต่หากปฏิบัติต่อกันในฐานะศัตรูหรือคู่แข่ง ความสัมพันธ์มักตกอยู่ในความวุ่นวายและถดถอย

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสียังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐที่มั่นคง โดยระบุว่า ไม่เพียงแค่เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ แต่ยังส่งผลต่อชะตากรรมของมนุษยชาติในอนาคต แม้ว่าสหรัฐเพิ่งเสร็จสิ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่เป้าหมายของจีนในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและมั่นคงกับสหรัฐยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมย้ำว่าจีนพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐเพื่อคงไว้ซึ่งการเจรจา ขยายความร่วมมือ และจัดการความแตกต่าง เพื่อผลักดันความสัมพันธ์ให้ราบรื่นและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองชาติ

ด้านนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีนว่า สหรัฐไม่ต้องการทำสงครามเย็น และไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงระบบของจีน โดยพันธมิตรของสหรัฐเองก็ไม่ได้พุ่งเป้าที่จะต่อต้านจีน

ผู้นำสหรัฐกล่าวด้วยว่า สหรัฐไม่ได้ต้องให้ไต้หวันแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งไม่ได้ต้องการที่จะขัดแย้งกับจีน และไม่ได้ต้องการให้นโยบายของประเทศที่มีต่อไต้หวันนั้นเป็นหนทางที่จะแข่งขันกับจีน

ทั้งนี้ นายไบเดนได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวกับนายสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก หรือ เอเปค (APEC) ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู

‘นายกฯ อิชิบะ’ ของประเทศญี่ปุ่น อ้างรถติด!! มาไม่ทันถ่ายรูป ชาวเน็ต!! ตำหนิอย่างแรง ขึ้นอันดับ 2 ของ Yahoo Japan

(17 พ.ย. 67) ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘นายกฯ อิชิบะ’ โดยมีใจความว่า ...

นายกฯ #อิชิบะ ของ #ญี่ปุ่น พลาดการถ่ายรูปหมู่ผู้นำ #เอเปค2024 ที่ #เปรู เนื่องจากมาร่วมถ่ายภาพไม่ทัน เพราะรถติดหนัก หลังจากเดินทางไปเยี่ยมหลุมศพของอดีต ปธน.เปรู “อัลแบร์โต ฟูจิโมริ” ที่สร้างความขัดแย้งในเปรู จากนั้นได้หลบหนีมายังญี่ปุ่นหลายปีในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตและละเมิดสิทธิมนุษยชน 

นายกฯ #อิชิบะ อาจจะคิดว่านี่เป็นเพียงการถ่ายรูปหมู่ในกลุ่มผู้นำเท่านั้น ไม่ใช่การประชุมสำคัญ แต่ที่จริงการที่อิชิบะไม่มาร่วมถ่ายภาพนั้นถือเป็นความผิดพลาดทางการทูต

แม้ว่าการจราจรติดขัดนั่นเกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งอิชิบะไม่สามารถคาดเดาได้ อย่างไรก็ตาม การที่เขาพาดการถ่ายรูปหมู่ผู้นำเอเปค ได้กลายเป็นที่ชาวเน็ตญี่ปุ่นพากันกล่าวถึงมากติดอันดับ 2 ในการจัดอันดับความคิดเห็นของผู้ใช้มากที่สุดของ Yahoo Japan 

โดยชาวเน็ตญี่ปุ่นจำนวนมากพากันตำหนิอิชิบะสำหรับความผิดพลาดครั้งนี้

‘เซเลนสกี’ มั่นใจ!! ‘ทรัมป์’ เชื่อสงครามยุติเร็วขึ้น หลังหวนนั่งเก้าอี้!! ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

(17 พ.ย. 67) ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ระบุมั่นใจว่าสงครามกับรัสเซียจะยุติเร็วขึ้นเมื่อ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง

นายเซเลนสกี กล่าวว่าได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์กับนายทรัมป์ระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์หลังจากอดีตผู้นำสหรัฐคนดังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่ได้เปิดเผยว่านายทรัมป์เรียกร้องอะไรเกี่ยวกับการเจรจากับรัสเซียหรือไม่ แต่ย้ำว่านายทรัมป์ไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งที่ขัดกับจุดยืนของยูเครน

นายทรัมป์กล่าวมาโดยตลอดว่าลำดับความสำคัญในนโยบายของตนคือการยุติสงครามในยูเครนซึ่งปะทุขึ้นหลังรัสเซียรุกรานเต็มรูปแบบเมื่อเดือนก.พ. 2565

เนื่องจากสงครามทำให้สหรัฐสิ้นเปลืองทรัพยากรด้านต่างๆ ในรูปแบบการช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน เมื่อต้นปีที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติอนุมัติความช่วยเหลือทางการทหารมูลค่า 61,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.12 ล้านล้านบาท

สหรัฐเป็นผู้สรรหาอาวุธรายใหญ่ที่สุดของยูเครน ข้อมูลจากสถาบันคีลเพื่อเศรษฐกิจโลก องค์กรวิจัยของเยอรมนี ระบุว่าตั้งแต่เริ่มต้นสงครามจนถึงเดือนมิ.ย.2567 สหรัฐส่งมอบหรือให้คำมั่นที่จะส่งอาวุธยุทโธปกรณ์แก่ยูเครนมูลค่า 55,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.93 ล้านล้านบาท)

นายทรัมป์ให้คำมั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งว่าจะยุติสงครามในยูเครน ‘ในวันเดียว’ แต่ยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะทำอย่างไร

แน่นอนว่าสงครามจะยุติลงเร็วกว่านี้ด้วยนโยบายของทีมที่นำทำเนียบขาวในขณะนี้ นี่คือแนวทางของพวกเขา คำมั่นสัญญาของพวกเขาต่อพลเมือง นายเซเลนสกีให้สัมภาษณ์สื่อยูเครน ก่อนเสริมว่ายูเครนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้สงครามยุติลงภายในปีหน้า และยุติด้วยวิธีการทางการทูต

วัยทำงานสหรัฐฯ 46 % ‘ไม่มีงานในฝัน’ ส่วนคนรุ่นใหม่ ยังใฝ่ฝัน ถึงงานที่ชอบ

(16 พ.ย. 67) ในวัยเด็กหลายๆ คนคงเคยถูกผู้ใหญ่ถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร? มีงานในฝันคืออาชีพอะไร? ซึ่งคำตอบของเด็กยุคก่อนคงหนีไม่พ้น แพทย์ พยาบาล ครู วิศวกร ฯลฯ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป คำตอบของเด็กๆ จากคำถามดังกล่าวก็เปลี่ยนไปด้วย โดยก่อนหน้านี้มีผลการศึกษาใหม่จาก Class Central ค้นพบว่า อาชีพในฝัน อันดับ 1 ที่คนรุ่นใหม่อยากทำมากที่สุดคือ ‘นางแบบ’ รองลงมาคือ ศิลปิน ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า บล็อกเกอร์ นักการตลาด นักร้อง และเทรนเนอร์ส่วนตัว ตามลำดับ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำงานในฝันของตนเองเสมอไป ยิ่งล่วงเข้าสู่วัยกลางคน งานในฝันสมัยเด็กก็คงเลือนลางจางหายไปเรื่อยๆ 

ล่าสุดมีรายงานจาก Newsweek อ้างถึงผลสำรวจจาก Talker Research ซึ่งทำการสำรวจชาวอเมริกัน 1,000 คนเกี่ยวกับงานในฝันของพวกเขา (สำรวจเมื่อวันที่ 21 - 24 ตุลาคมที่ผ่านมา) ผลการสำรวจพบว่า วัยทำงานชาวอเมริกันถึง 46% ‘ไม่มีงานในฝัน’ ขณะที่ผู้ที่มีงานในฝันมีน้อยกว่าในสัดส่วน 43% ขณะที่มีอีกบางส่วน หรือ 12% ที่รายงานว่าไม่แน่ใจ

ผลการสำรวจยังเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเจเนอเรชันต่างๆ เกี่ยวกับความต้องการมีงานในฝันอีกด้วย โดยคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะมีงานในฝันมากกว่าคนรุ่นเก่า เช่น คนรุ่น Gen Z มีสัดส่วนสูงถึง 61% บอกว่าพวกเขามีงานในฝัน ขณะที่เมื่อเทียบกับคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ พวกเขามีงานในฝันเพียง 28% เท่านั้น

เมื่อเจาะลึกในกลุ่มวัยทำงานที่รายงานว่าตนเองมีงานในฝันนั้น พบว่ามีจำนวนราวๆ 400 คนจากกลุ่มตัวอย่างทั้งงหมด ซึ่งพวกเขาได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความใฝ่ฝันด้านอาชีพการงานที่หลากหลาย และระบุถึง ‘ชื่อตำแหน่งงาน บทบาท หรือสายงาน’ ที่ตนเองใฝ่ฝันถึงในสมัยเรียน 

สำหรับวัยทำงานกลุ่มที่รายงานว่าตนเอง ‘มีอาชีพในฝัน’ นั้น ทีมวิจัยพบด้วยว่า อาชีพในฝันของคนกลุ่มนี้มีการผสมผสานระหว่างตำแหน่งงานแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ รวมถึงชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีอุดมคติในการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และมีความสนใจในสาขาอาชีพที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

ทีมวิจัยสามารถสรุปออกมาได้เป็น 5 หมวดสาขาอาชีพในฝันของชาวอเมริกันยุคนี้ ได้แก่ 

1. การประกอบอาชีพอิสระ และการเป็นผู้ประกอบการ
หลายคนใฝ่ฝันถึงความเป็นอิสระ หวังว่าจะได้บริหารธุรกิจของตนเองหรือเป็นเจ้านายตนเอง ตั้งแต่การบริหารร้านขายเครื่องประดับ ไปจนถึงการเปิดธุรกิจทำความสะอาดหรือร้านอาหารเล็กๆ กลุ่มตัวอย่างส่วนหนึ่งรายงานว่า การได้เป็นเจ้าของธุรกิจของตนเองพร้อมสินทรัพย์หมุนเวียนเงินสดจำนวนมากซึ่งทำให้มีอิสระทางการเงิน คืออาชีพในฝันของพวกเขา

2. อาชีพที่ดูแลและช่วยเหลือผู้อื่น
ขณะเดียวกัน ก็มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมาก รายงานว่างานในฝันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องอาชีพส่วนบุคคลของพวกเขาเท่านั้น แต่อาชีพในฝันของพวกเขาสามารถเป็นงานที่ช่วยเหลือผู้อื่นไปพร้อมกันด้วย เช่น พยาบาล ครู นักสังคมสงเคราะห์ หรือสัตวแพทย์ บางคนรายงานว่า ‘อาชีพในฝันของฉันคือการช่วยเหลือเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัวและผู้ที่อาศัยอยู่ในความยากจน’ เป็นต้น

3. นักศิลปะและผู้ผลิตสื่อสร้างสรรค์
มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนไม่น้อยที่รายงานว่า พวกเขาจินตนาการถึงการใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในแวดวงศิลปะ เช่น การทำงานเป็นโปรดิวเซอร์เพลง ยูทูบเบอร์ นักออกแบบแฟชั่น หรือนักเขียนนวนิยาย ผู้ตอบแบบสอบถามรายหนึ่งมองว่า ผู้ที่ทำงานในสายงานอาชีพเหล่านี้ จะสามารถถร่วมมือกันในโครงการสร้างสรรค์ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมได้

4. งานดูแลสัตว์และงานที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ
ความรักต่อสัตว์และธรรมชาติก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน และมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนไม่น้อยที่บอกว่า งานในฝันของพวกเขาคือสายงานด้านการดูแลสัตว์ป่า ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ผู้ดูแลสวนสัตว์ สัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังไฟป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติซานตาเฟ เป็นต้น 

5. งานใดๆ ก็ตามที่ทำงานจากที่บ้านได้อย่างยืดหยุ่น
ทีมวิจัยระบุว่า มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากที่ต้องการงานที่มีความยืดหยุ่น สามารถทำงานจากระยะไกล และอยากได้งานที่มีความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงานที่ดีขึ้น อาชีพในฝันของพวกเขาส่วนใหญ่คือ การมีอาชีพมั่นคงที่สามารถทำงานที่บ้านได้ โดยมีรายได้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาชีพในฝันหมวดนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า วัยทำงานสมัยนี้เน้นย้ำความสำคัญในการทำงานอิสระและต้องการเวลาให้ครอบครัว

ท้ายที่สุดรายงานชิ้นดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าโลกการทำงานและความต้องการของแรงงานในยุคนี้เปลี่ยนไปแล้ว มีความแตกต่างจากแรงงานในยุคก่อน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่มีงานในฝันนั้น พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการทำงานที่มีความยืดหยุ่นและมีอิสระ มากกว่ายุคก่อนอย่างเห็นได้ชัด

‘รัสเซีย’ เปิดตัว!! เครื่องบินรบรุ่นใหม่ ในงาน Airshow China 2024 เมืองจูไห่

งานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติแห่งประเทศจีน หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Airshow China หรือ Zhuhai Airshow เป็นนิทรรศการการค้าการบินและอวกาศที่สำคัญของจีน มีกำหนดจัดขึ้นทุกๆ สองปีในเมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 ถือเป็นงานแสดงทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน โดยปี ค.ศ. 2024 นี้ เป็นงานแสดงทางอากาศครั้งที่ 15 ซึ่งมีกำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-17 พฤศจิกายน 2567 นี้ โดยมีผู้ร่วมแสดงสินค้าจากต่างประเทศจาก 47 ประเทศ ราว 150 ราย โดยร่วมนำเสนอเครื่องบินทางทหารและพลเรือน เทคโนโลยีอวกาศ อาวุธ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และสงครามอิเล็กทรอนิกส์ โดยไฮไลต์สำคัญของงานนี้คือเครื่องบินรบจากฝั่งรัสเซีย 

โดยเมื่อวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา รัสเซียได้เปิดตัวเครื่องบินรบสเตลท์รุ่นที่ 5 รุ่นใหม่ซึ่งเป็น เครื่องบินความเร็วเหนือเสียงที่มีความคล่องตัวสูงรุ่น SU-57E [รุ่นส่งออก] ในงาน Airshow China 2024 ณ เมืองจูไห่ของจีน โดยเครื่องบินลำนี้ได้แสดงการบินผาดโผนโดยเซอร์เกย์ บ็อกดาน (Sergey Bogdan) นักบินทดสอบฝีมือดีชาวรัสเซีย ทั้งนี้เครื่องบินขับไล่หลายบทบาท Su-57 ได้รับการออกแบบมาให้หลบเลี่ยงเรดาร์และโจมตีเป้าหมายทางอากาศและภาคพื้นดินรวมถึงฐานป้องกันภัยทางอากาศ เครื่องบินดังกล่าวพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Sukhoi «Компания „Сухой“» โดยผสมผสานความสามารถในการพรางตัว ความคล่องตัวสูง การบินแบบซูเปอร์ครูซ ระบบอากาศยานแบบบูรณาการ และความจุในการบรรทุกขนาดใหญ่ โดยเครื่องบิน Su-57 ลำแรกเข้าประจำการในกองกำลังอวกาศของรัสเซีย ในปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้นายวาดิม บาเดคกา (Vadim Badekha) ซีอีโอของบริษัท United Aircraft Corporation (UAC) เผยว่า "เครื่องบิน Su-57 ถือเป็นเครื่องบินรุ่นที่ 5 ที่ดีที่สุดในโลก และด้วยคุณลักษณะหลายประการทำให้เครื่องบินรุ่นนี้ไม่มีใครเทียบได้" เขายังกล่าวเสริมว่า "เครื่องบินรุ่นนี้ได้รับความสนใจจากพันธมิตรระยะยาวเป็นเวลานานแล้ว" และ “มีหลายคนต่อคิวรอซื้อเครื่องบินรุ่นนี้อยู่” บริษัทรัสเทค (Rostec) ซึ่งเป็นบริษัทด้านการป้องกันประเทศของรัฐบาลรัสเซีย กล่าวถึงเครื่องบิน Su-57E ว่าเป็นดาวเด่นของงานนิทรรศการที่จัดขึ้นในประเทศจีน โดยระบุว่าเครื่องบินรุ่นนี้สามารถใช้กับอาวุธนำวิถีที่มีความแม่นยำสูงได้และอุปกรณ์ตรวจจับไม่สามารถตรวจจับได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางความขัดแย้งในยูเครน ในปี  ค.ศ. 2022 บริษัทรัสเทคได้ประกาศแผนที่จะเพิ่มการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 โดยระบุว่ากองทัพอากาศรัสเซียจะได้รับเครื่องบิน Su-57 ใหม่นี้

นอกจากเครื่องบินรบ Su-57 แล้ว หน่วยงานรัสอบารอนเอ็กพอร์ต (Rosoboronexport) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลรัสเซียที่ดูแลการค้าอาวุธระหว่างประเทศซึ่งเป็นผู้ร่วมจัดงานแสดงอาวุธร่วมของรัสเซียในงานนี้ยังจัดแสดงอาวุธ ยิงจากอากาศรุ่นล่าสุด เฮลิคอปเตอร์หลากหลายรุ่น และระบบป้องกันภัยทางอากาศอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีขีปนาวุธร่อน X-69 ซึ่งเป็นขีปนาวุธร่อน โจมตีจากอากาศสู่พื้นแบบสเตลท์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ รวมถึงขีปนาวุธนำวิถียิงจากอากาศ Grom-E1 ระเบิดทางอากาศที่แก้ไขแล้ว K08BE และระเบิดทางอากาศร่อนนำวิถี UPAB-1500B-E ในงานนี้ทางรัสเซียยังได้เปิดตัวเครื่องยนต์ AL51 รุ่นที่ 5 ที่ใช้ขับเคลื่อนเครื่องบิน Su-57 รุ่นใหม่อีกด้วย ซึ่งเป็นพระเอกของงาน โดยเครื่องยนต์ AL-51 ถือเป็นความสำเร็จด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศขั้นสูงที่สุดของรัสเซียที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 เช่น Su-57

บอยโก้ นิโคลอฟ (Boyko Nikolov ) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการบินจาก BulgarianMilitary.com ให้ความเห็นเกี่ยวกับเครื่องยนต์ AL51 เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เครื่องยนต์นี้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องยนต์หลักเท่านั้นแต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของ Su-57 ในฐานะเครื่องบินขับไล่ที่ทรงพลัง คล่องแคล่ว และล่องหนได้ เป็นเครื่องบินที่ท้าทายอำนาจทางอากาศของชาติตะวันตก ในปัจจุบันได้ AL-51 ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิศวกรรมการบินของรัสเซียและทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในศักยภาพการปฏิบัติภารกิจโดยรวมของเครื่องบิน Su-57

เมื่อมองจากภายนอก เครื่องยนต์ AL-51 แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพการทำงานที่หลากหลาย โครงสร้างที่มีระบบภายนอกและท่อต่าง ๆ มากมาย แสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่จัดวางอย่างพิถีพิถันและเชื่อมโยงกัน ส่วนประกอบทุกชิ้นได้รับการออกแบบมาให้รับมือกับการจัดการความร้อนได้อย่างเหมาะสมที่สุด แรงขับ และประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ที่คาดว่าจะทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและภายใต้สภาวะกดดันสูง การออกแบบเครื่องยนต์สะท้อนถึงความสมดุลระหว่างกำลัง ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ ซึ่งแต่ละส่วนมีความจำเป็นต่อการตอบสนองความต้องการของการรบสมัยใหม่

คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของเครื่องยนต์ AL-51 ประการหนึ่ง คือความสามารถในการควบคุมทิศทางแรงขับ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้นักบินสามารถควบคุมเครื่องบินให้บินไปในทิศทางที่เกินขีดจำกัดของอากาศพลศาสตร์ทั่วไปได้ โดยเปลี่ยนทิศทางแรงขับที่เกิดจากเครื่องยนต์ คุณสมบัตินี้ทำให้ Su-57 มีข้อได้เปรียบที่ไม่มีใครเทียบได้ในการต่อสู้ทางอากาศ ช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ หลบหลีกขีปนาวุธ หลบการยิงของศัตรู และได้รับความได้เปรียบในตำแหน่งในการต่อสู้แบบประชิดตัว โดยการกำหนดทิศทางแรงขับของ AL-51 ถูกควบคุมโดยชุดการเชื่อมโยงไฮดรอลิกและกลไกที่มองเห็นได้รอบพื้นที่หัวฉีด แสดงให้เห็นถึงวิศวกรรมแม่นยำที่จำเป็นในการทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือภายใต้สภาวะอุณหภูมิสูงและความเค้นมหาศาล

เค้าโครงภายนอกของเครื่องยนต์ยังแสดงให้เห็นระบบระบายความร้อนและระบายความร้อนที่ซับซ้อนอีกด้วย ที่ระดับความสูงและความเร็วสูงเครื่องยนต์จะต้องเผชิญกับความเครียดจากความร้อนอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในโหมดการเผาไหม้ต่อเนื่อง ซึ่งอุณหภูมิอาจสูงเกินหลายพันองศาฟาเรนไฮต์ เครื่องยนต์ AL-51 ใช้วัสดุขั้นสูงและสารเคลือบทนความร้อนเพื่อทนต่ออุณหภูมิดังกล่าวร่วมกับเครือข่ายท่อระบายความร้อนและวาล์วที่ซับซ้อนซึ่งควบคุมอุณหภูมิภายใน ซึ่งระบบจัดการความร้อนนี้มีความจำเป็นต่อการรักษาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ตลอดอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับเครื่องบินรบสมัยใหม่ที่ต้องพร้อมสำหรับภารกิจหลายครั้ง โดยต้องบำรุงรักษาน้อยที่สุด AL-51 ซึ่งเป็นจุดเด่นของเครื่องยนต์รุ่นที่ 5 ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดสัญญาณอินฟราเรด [IR] ลง ซึ่งการลดการปล่อยอินฟราเรดถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับปฏิบัติการล่องหน เนื่องจากความร้อนเป็นหนึ่งในวิธีหลักที่เซ็นเซอร์ของศัตรูใช้ในการตรวจจับเครื่องบิน โดยการใช้วัสดุพิเศษและแผ่นกันความร้อน รวมถึงการปรับการไหลของไอเสียให้เหมาะสมผ่านระบบระบายความร้อนและการผสมภายใน AL-51 ช่วยลดสัญญาณความร้อนของ Su-57 ทำให้เครื่องบินมีความสามารถในการเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่มีการสู้รบซึ่งกองกำลังของศัตรูอาจใช้ขีปนาวุธติดตามอินฟราเรดขั้นสูง

โครงสร้างภายในของเครื่องยนต์ประกอบด้วยโลหะผสมที่มีความแข็งแรงสูงและวัสดุผสม ซึ่งช่วยให้เครื่องยนต์มีความทนทานในขณะที่ยังคงรักษาน้ำหนักให้เหมาะสมได้ โครงสร้างน้ำหนักเบาโดยไม่ลดทอนความแข็งแกร่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องยนต์รุ่นที่ 5 ช่วยให้ Su-57 ทำความเร็วได้สูงขึ้นและประหยัดเชื้อเพลิงได้มากขึ้น ซึ่งองค์ประกอบของ AL-51 จะช่วยลดน้ำหนักโดยรวมของเครื่องบิน ซึ่งหมายความว่าเครื่องบินสามารถบรรทุกเชื้อเพลิง อาวุธ หรืออุปกรณ์สำคัญอื่นๆ ได้มากขึ้นโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับภารกิจระยะไกล ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกปอนด์ล้วนมีความสำคัญในแง่ของการประหยัดเชื้อเพลิงและความจุของน้ำหนักบรรทุก

ข้อได้เปรียบที่สำคัญของ AL-51 คือ การผสมผสานรวมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนเครื่องบินที่ทันสมัยและระบบควบคุมเครื่องยนต์แบบดิจิทัล เครื่องยนต์ใช้หน่วยควบคุมดิจิทัลขั้นสูงซึ่งตรวจสอบพารามิเตอร์ต่างๆ เช่น การไหลของเชื้อเพลิง ปริมาณอากาศเข้า และอุณหภูมิไอเสียอย่างต่อเนื่อง

ระบบควบคุมแบบดิจิทัลนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ ทำให้เครื่องยนต์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพการบินที่เปลี่ยนแปลงได้ทันที ถือเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับนักบินที่ต้องการการควบคุมที่แม่นยำในสถานการณ์การสู้รบ นอกจากนี้ ระบบนี้ยังช่วยให้สามารถวินิจฉัยและบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ได้ ลดระยะเวลาหยุดทำงานและทำให้ Su-57 พร้อมสำหรับภารกิจ

อย่างไรก็ตามความซับซ้อนของ AL-51 ทำให้มีปัญหาบางประการ แม้ว่าเครือข่ายท่อและข้อต่อภายนอกที่หนาแน่นจะบ่งบอกถึงความซับซ้อนของเครื่องยนต์ แต่ก็ทำให้ต้องมีการบำรุงรักษามาก ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ห่างไกลหรือท้าทาย เครื่องยนต์เหล่านี้อาจต้องใช้อุปกรณ์สนับสนุนเฉพาะทางและบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งอาจจำกัดความสามารถในการใช้งานเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ที่เรียบง่ายกว่า

ในแง่ของการพรางตัว แม้ว่า AL-51 จะมีคุณสมบัติในการลดอินฟราเรดบางประการ แต่ก็อาจไม่ถึงระดับการลดอินฟราเรดที่พบในเครื่องยนต์รุ่นที่ห้าของตะวันตก เช่น F135 ที่ใช้ใน F-35 สิ่งนี้อาจทำให้ Su-57 ถูกตรวจจับได้ง่ายขึ้นในบางสถานการณ์ อย่างไรก็ตามปรัชญาการออกแบบของรัสเซียมักให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความทนทานมากกว่าความสามารถในการพรางตัวเพียงอย่างเดียว โดยสร้างสมดุลระหว่างความสามารถในการตรวจจับกับความคล่องตัวในการใช้งานที่แข็งแกร่ง

ส่วนประกอบที่โดดเด่นอย่างหนึ่งที่มองเห็นได้ใน AL-51 คือส่วนเผาไหม้ท้าย เครื่องยนต์เผาไหม้ท้ายช่วยเพิ่มแรงขับอย่างมาก ทำให้ Su-57 สามารถบินด้วยความเร็วเหนือเสียงได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องยนต์แบบดั้งเดิม ทำให้สามารถบินแบบ “ซูเปอร์ครูซ” ได้ ซูเปอร์ครูซเป็นคุณสมบัติเฉพาะของเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 เนื่องจากช่วยให้บินด้วยความเร็วสูงได้โดยไม่ต้องเสียเชื้อเพลิงจำนวนมากจากการใช้ระบบเผาไหม้ท้าย

แม้ว่า AL-51 จะทำได้เพียงบางส่วน แต่รายงานบางฉบับระบุว่าเครื่องยนต์อาจไม่ประหยัดเชื้อเพลิงเท่าเครื่องยนต์ในเครื่องบินบางรุ่นของชาติตะวันตก ซึ่งอาจจำกัดความทนทานในภารกิจบางรูปแบบ

นอกจากนี้ การออกแบบเครื่องยนต์ยังรวมถึงการทำงานซ้ำซ้อนเพื่อเพิ่มความทนทานในสถานการณ์การรบ ระบบควบคุมซ้ำซ้อนและส่วนประกอบที่ทนทานต่อความผิดพลาดหมายความว่าหากระบบใดระบบหนึ่งเสียหาย เครื่องยนต์จะยังคงทำงานต่อไป ทำให้เครื่องบินสามารถกลับฐานได้ คุณสมบัตินี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความอยู่รอดของเครื่องบินในสภาพแวดล้อมที่มีภัยคุกคามสูงซึ่งอาจเกิดความเสียหายได้

บทบาทของ AL-51 ในการเสริมศักยภาพการปฏิบัติการของ Su-57 นั้นไม่สามารถพูดเกินจริงได้ โดยเครื่องยนต์นี้รองรับความเก่งกาจของ Su-57 ในบทบาทต่างๆ ตั้งแต่ความเหนือกว่าทางอากาศและการสกัดกั้น ไปจนถึงการโจมตีภาคพื้นดินและการลาดตระเวน การผสมผสานระหว่างความเร็ว ความคล่องตัว และความสามารถในการพรางตัวของ Su-57 ทำให้ Su-57 สามารถตอบสนองภารกิจต่าง ๆ ได้หลากหลาย ซึ่งแต่ละอย่างต้องใช้คุณลักษณะเฉพาะที่ AL-51 มอบให้

โดยสรุปแล้ว เครื่องยนต์ AL-51 ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรบของ Su-57 อย่างมาก โดยทำให้ Su-57 เทียบเท่ากับเครื่องบินรบรุ่นล่าสุด แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น ความต้องการในการบำรุงรักษาที่สูงขึ้นและความสามารถในการตรวจจับอินฟราเรดที่สูงขึ้น แต่ก็มีคุณสมบัติด้านประสิทธิภาพอันทรงพลังที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัว ความเร็ว และความยืดหยุ่นในการปฏิบัติภารกิจของ Su-57

เครื่องยนต์ AL-51 ช่วยให้ Su-57 ปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพในน่านฟ้าที่มีการสู้รบ โดยมอบตัวเลือกการรบทางอากาศขั้นสูงให้กับกองทัพอากาศรัสเซีย ในขณะที่ Su-57 ยังคงพัฒนาต่อไป เทคโนโลยีในเครื่องยนต์ เช่น AL-51 ก็จะพัฒนาตามไปด้วย โดยสัญญาว่าจะมีความสามารถที่มากขึ้นสำหรับการปฏิบัติการทางอากาศของรัสเซียในอนาคต

การพัฒนาเครื่องยนต์ AL-51 สำหรับเครื่องบินขับไล่ Su-57 รุ่นที่ 5 ของรัสเซียเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายทางเทคนิคและทางการเงิน ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษปี 2000 เป็นต้นมา วิศวกรชาวรัสเซียต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายในการสร้างเครื่องยนต์ที่สามารถเร่งความเร็วได้เร็วและควบคุมแรงขับขั้นสูงได้ในขณะเดียวกันก็ต้องลดอินฟราเรดของเครื่องบินเพื่อความสามารถในการพรางตัว การบรรลุข้อกำหนดเหล่านี้ต้องใช้วัสดุทนอุณหภูมิสูงแบบใหม่และวิศวกรรมที่ล้ำสมัย ซึ่งทำได้ยากเนื่องจากงบประมาณของรัสเซียมีจำกัดและไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงบางอย่างได้ เส้นทางสู่การสร้าง AL-51 นั้นจึงดำเนินไปอย่างช้าๆ โดยระยะเวลาของเครื่องยนต์ขยายออกไปเนื่องจากวิศวกรต้องจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความทนทาน การจัดการความร้อน และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง

ข้อจำกัดทางการเงินเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากงบประมาณด้านการป้องกันประเทศของรัสเซียถูกขยายออกไปสำหรับโครงการอื่นๆ หลายโครงการ ทำให้เงินทุนสำหรับการพัฒนาเครื่องยนต์ AL-51 ไม่คงที่ โดยบางครั้งการพัฒนาก็ช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง ทำให้ความสามารถในการควบคุมแรงขับของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญต่อความคล่องตัวของเครื่องบิน Su-57 ก่อให้เกิดความท้าทายทางเทคนิคที่สำคัญ เนื่องจากรุ่นก่อนๆ ไม่สามารถทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือภายใต้สภาวะกดดันสูง

ปัญหาเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก เมื่อชาติตะวันตกคว่ำบาตร ทำให้การเข้าถึงวัสดุและอุปกรณ์เฉพาะทางมีจำกัด ส่งผลให้วิศวกรของรัสเซียต้องหาทางเลือกในประเทศ ซึ่งเพิ่มเวลาและความซับซ้อนให้กับโครงการ

ในช่วงปลายทศวรรษที่ 2010 ในที่สุด AL-51 ก็พร้อมสำหรับการผลิตในจำนวนจำกัด แม้ว่าจะยังคงเผชิญกับความท้าทายในการใช้งาน เช่น ความทนทานที่ลดลงและประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ลดลงเมื่อเทียบกับเครื่องบินของชาติตะวันตก แม้ว่าจะมีฟังก์ชันการทำงานและทรงพลัง แต่ AL-51 ก็สะท้อนถึงการประนีประนอมหลายประการอันเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและภูมิรัฐศาสตร์

ในปัจจุบันเครื่องยนต์ AL-51 ยังคงได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจากวิศวกรของรัสเซียที่พยายามจะลดช่องว่างด้านประสิทธิภาพกับคู่แข่งในระดับนานาชาติ โดยเครื่องยนต์ AL-51 ได้แสดงออกถึงความเพียรพยายามของรัสเซียในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านอวกาศในการสร้างเครื่องยนต์เครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ที่สามารถแข่งขันกับตะวันตกภายใต้เงื่อนไขที่ท้าทายได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่รับประกันต่อความมั่นคงของรัสเซียท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและตะวันตกทั้งในปัจจุบันและอนาคต 

‘โอลิมปิก ลียง’ ถูกปรับตกชั้นไปเล่น ‘ลีก เดอซ์’ หลังมีหนี้สินมหาศาล!! เกือบ 20,000 ล้านบาท

(16 พ.ย. 67) หน่วยงานกำกับดูแลวงการฟุตบอลฝรั่งเศส สั่งปรับตกชั้น โอลิมปิก ลียง สโมสรชั้นนำในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส เป็นการชั่วคราว เมื่อวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ฐานกระทำผิดกฎทางการเงินอย่างร้ายแรง

นอกจากถูกสั่งให้ลงไปเล่นใน ลีก เดอซ์ แล้ว ลียง ยังโดนห้ามซื้อ-ขายนักเตะอีกด้วย ซึ่งถ้าหากพวกเขาไม่สามารถชำระหนี้ได้หมดเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลปัจจุบัน ก็จะถูกปรับตกชั้นจากเวที ลีก เอิง อย่างเป็นทางการ 

ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่า ตอนนี้ ลียง มีหนี้สินเพิ่มจาก 458 ล้านยูโร (ประมาณ 16,946 ล้านบาท) เป็น 508 ล้านยูโร (ประมาณ 18,796 ล้านบาท) เรียบร้อย 

สำหรับ โอลิมปิก ลียง ถือเป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลเมืองน้ำหอม และประสบความสำเร็จอย่างมากช่วงต้นยุค 2000 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ ลีก เอิง ได้ถึง 7 สมัย (2000/01, 2002/03, 2003/04, 2004/05, 2005/06, 2006/07 และ 2007/08)

เมื่อไบเดนพลาด ทรัมป์อาจพลิกกระดาน ใช้การทูตฟื้นสัมพันธ์ ลดแซงชั่นเนปิดอว์

เป็นที่ทราบกันมาพอสมควรถึงการที่ชาติตะวันตกให้การช่วยเหลือกองกำลังป้องกันตนเอง (PDF)​ และกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายที่ต่อสู้กับกองทัพเมียนมาที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตมีการส่งทั้งกำลังบำรุงและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝั่งไทย

และสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีการเลือกตั้งคือการทะลักของผู้อพยพไปยังประเทศรอบข้างเมียนมาไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดียและไทย แต่ทว่าจีนกับอินเดียก็ใช้นโยบายผลักดันคนที่แห่หนีออกมาให้กลับประเทศซึ่งต่างจากไทยที่อ้าแขนรับแถมจะทำให้อยู่แบบถูกกฎหมายเสียด้วย

เอาเป็นว่าเอย่าขอไม่บ่นเรื่องนี้แต่มาเข้าเรื่องระหว่างอเมริกากับเมียนมาดีกว่า ในสมัยประธานาธิบดี โจ ไบเดน อเมริกาและชาติตะวันตกแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนชนกลุ่มน้อยทั้งทางตรงหรือทางอ้อมก็ดี เราจะเห็นได้จากคลิปที่หลุดออกมาตามสื่อโซเชียลจนบางทีก็ต้องขอบคุณคนเหล่านั้นที่ถ่ายภาพเบื้องหลังให้ชมกัน แต่การสนับสนุนทั้งกลุ่มต่อต้านรัฐบาลก็ดี ชนกลุ่มน้อยก็ดีเป็นการผลักดันให้กองทัพเมียนมาหันหน้าหาจีนและรัสเซียมากขึ้น ยิ่งจีนและอินเดียเป็นพันธมิตรแนบแน่นกับรัสเซียด้วยแล้วทำให้เส้นทางตะวันตกจากจีนสู่อินเดียหากสงครามในเมียนมาสงบลงดินแดนฝั่งนี้แทบจะเป็นของกลุ่มโลกใหม่ทั้งแถบ

ซึ่งคิดว่านี่เป็นเกมส์ที่ไบเดนก้าวพลาดมาก แต่ทรัมป์ก็น่าจะมองเห็น หากทรัมป์ยังให้การสนับสนุนสงครามต่อไป ไม่เพียงแต่เมียนมาจะยิ่งตอบโต้อย่างแข็งกร้าวกับสหรัฐมากขึ้น และถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์สงครามโลกจริงละก็ ประเทศอย่างเมียนมาจะเป็นตัวสำคัญในการสนับสนุนด้านอาหารแก่ประเทศที่เป็นพันธมิตรเขา

เอย่ามองว่าทรัมป์น่าจะใช้วิธีทางการทูตเข้าหากองทัพเมียนมา ลดหรือเลิกการแซงชั่นอันจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการทูตของ 2 ประเทศดีขึ้นด้วยเช่นกัน

เรื่องเหล่านี้อาจจะลุกลามไปถึงการเลิกสนับสนุนกลุ่มต่อต้านหรือพลิกขั้วขายกลุ่มต่อต้านให้รัฐบาลเมียนมานั้นไหมก็ไม่อาจจะทราบได้คงต้องดูต่อไป แต่ที่สำคัญคือจะเหลือทางไหนที่จะให้สหรัฐเดินเพื่อรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้มากกว่า

งานนี้ดูว่าจะมีความเป็นไปได้โดยเฉพาะการที่ทรัมป์แสดงออกในการไม่แยแสคนต่างด้าวในประเทศตนเองพร้อมไล่ออกจากสหรัฐนี่ก็เป็นการแสดงออกว่าจากนี้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาคงไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนในอดีตอีกต่อไปแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top