Wednesday, 22 January 2025
WORLD

ญี่ปุ่นเจอไข้หวัดใหญ่ระบาดหนัก ป่วยทะลุ 300,000 ราย สูงสุดรอบ 25 ปี

(10 ม.ค.68) ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ญี่ปุ่นประสบกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นการระบาดที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลเทียบเคียงกันตามรายงานจากหน่วยงานสาธารณสุขเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

การวิเคราะห์ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น ที่เก็บจากคลินิกการแพทย์กว่า 5,000 แห่ง แสดงให้เห็นว่าในช่วงระหว่างวันที่ 23-29 ธันวาคม มีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ถึง 317,812 คน

ตัวเลขนี้สูงกว่าสามเท่าของ 104,612 คนที่พบในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023 และเป็นจำนวนสูงสุดในรอบสัปดาห์ตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในปี 1999 กระทรวงฯ กล่าว

การระบาดของไข้หวัดใหญ่มักจะเพิ่มขึ้นในฤดูหนาวในญี่ปุ่นและในประเทศอื่น ๆ แต่บางประเทศได้เห็นการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยอย่างรวดเร็วในช่วงหลัง รวมถึงฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร

ออสเตรเลียรายงานว่ามีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการมากกว่า 350,000 คนในปีที่แล้ว ซึ่งมากกว่าค่าสูงสุดเดิมที่ 313,615 คนในปี 2019 ตามข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังโรคของประเทศนั้น

รัสเซียซัดทรัมป์เล็งฮุบกรีนแลนด์ แต่ยังมองเป็นแค่ 'วาทกรรม' ไร้จริงจัง

(10 ม.ค.68) นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน เผยว่ารัสเซียกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ แสดงความสนใจในเขตปกครองตนเองกรีนแลนด์ของเดนมาร์ก โดยระบุว่าเรื่องนี้ยังคงอยู่ในระดับวาทกรรม แต่รัสเซียย้ำความมุ่งมั่นในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในพื้นที่ พร้อมเรียกร้องให้รับฟังเสียงของชาวกรีนแลนด์  

เปสคอฟยังกล่าวว่า รัสเซียมีบทบาทในภูมิภาคอาร์กติกมาอย่างยาวนาน และยืนยันว่าจะยังคงอยู่ต่อไป  

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเมตเต เฟรเดอริกเซน ผู้นำเดนมาร์ก ได้เรียกประชุมแกนนำพรรคการเมืองและสมาชิกรัฐสภาจากกรีนแลนด์ เพื่อหารือเกี่ยวกับท่าทีของทรัมป์ แม้มีรายงานการติดต่อไปยังทรัมป์ แต่รัฐบาลเดนมาร์กยืนยันว่าไม่มีการสนทนาโดยตรงระหว่างเฟรเดอริกเซนกับว่าที่ผู้นำสหรัฐ  

ทั้งนี้ สหรัฐมีฐานทัพถาวรในกรีนแลนด์ตั้งแต่ช่วงสงครามเย็น และทรัมป์เคยแสดงความต้องการครอบครองกรีนแลนด์เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2562 แต่ก็ถูกปฏิเสธโดยรัฐบาลเดนมาร์กอย่างชัดเจน

นักวิทย์จีนพัฒนาธงชาติ โบกสะบัดได้ใน 'อวกาศ' ผืนแรกบนดวงจันทร์

(10 ม.ค.68) ทีมนักวิจัยของจีนจากกรุงปักกิ่งและมณฑลอันฮุยทางตะวันออกของจีนกำลังร่วมกันสำรวจความเป็นไปได้ของแนวคิดในการประดิษฐ์ธงชาติที่สามารถโบกสะบัดในสภาพแวดล้อมไร้อากาศบนดวงจันทร์ และพัฒนาอุปกรณ์บรรทุก (payload) สำหรับภารกิจฉางเอ๋อ-7 (Chang’e-7) ณ ห้องปฏิบัติการสำรวจห้วงอวกาศลึก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนระดับชั้นประถมในนครฉางซา มณฑลหูหนานทางตอนกลางของจีน

จางเทียนจู้ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเทคโนโลยีแห่งอนาคตของห้องปฏิบัติการฯ เผยว่าอุปกรณ์บรรทุกนี้ ซึ่งเป็นโครงการเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จะถูกส่งไปพร้อมกับยานสำรวจฉางเอ๋อ-7 สู่ซีกใต้ของดวงจันทร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ปฏิกิริยาของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในการทำให้ธงสามารถโบกสะบัดบนดวงจันทร์ได้

จางอธิบายว่าสภาพแวดล้อมที่ไร้ชั้นบรรยากาศบนดวงจันทร์เป็นตัวทำให้เกิดภาวะสุญญากาศ ซึ่งทำให้ธงสะบัดได้ยากไม่เหมือนบนพื้นโลก ทว่าเหล่านักเรียนเสนอให้เราออกแบบสายควบคุมระบบปิดบนผืนธง ซึ่งจะทำให้กระแสไฟฟ้าสามารถไหลผ่านได้สองทาง และปฏิกิริยาระหว่างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจะทำให้ธงสะบัดได้

มีการคาดการณ์ว่าโครงการนี้จะเสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจางระบุว่าหากทำสำเร็จ ธงนี้จะเป็นธงผืนแรกที่ได้ไปโบกสะบัดอยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์ และแผนริเริ่มดังกล่าวจะช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าใจความพยายามด้านอวกาศของจีนมากขึ้น พร้อมจุดประกายความสนใจและความกระตือรือร้นสำหรับอาชีพในภาคการบินและอวกาศในอนาคต

อนึ่ง ภารกิจฉางเอ๋อ-6 (Chang’e-6) ของจีนได้นำตัวอย่างจากด้านไกลของดวงจันทร์กลับมาเป็นครั้งแรกสำเร็จลุล่วงในปี 2024

สำหรับปี 2025 การพัฒนาภารกิจต่อไปอย่างฉางเอ๋อ-7 และฉางเอ๋อ-8 (Chang’e-8) ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการสำรวจดวงจันทร์ของจีน ระยะที่ 4 กำลังคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยภารกิจฉางเอ๋อ-7 มีกำหนดการปล่อยสู่ห้วงอวกาศในราวปี 2026 เพื่อค้นหาหลักฐานน้ำหรือน้ำแข็งบริเวณซีกใต้ของดวงจันทร์

นอกจากนั้น ทีมนักวิจัยกำลังพัฒนากระบวนการตรวจสอบสำหรับภารกิจฉางเอ๋อ-8 และโครงการสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติ โดยมีกำหนดการปล่อยยานฉางเอ๋อ-8 ในราวปี 2028 เพื่อดำเนินการทดลองโดยใช้ทรัพยากรบนดวงจันทร์

จางกล่าวอีกว่าภายในปี 2035 คาดว่าภารกิจฉางเอ๋อ-7 และฉางเอ๋อ-8 จะประกอบด้วยแบบจำลองพื้นฐานของโครงการสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติ ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำหรับวิศวกร ห้องปฏิบัติการสำหรับนักวิทยาศาสตร์ ตลอดจนแหล่งบ่มเพาะผู้มีความสามารถด้านห้วงอวกาศลึกในระดับนานาชาติ

อินเดียแห่แย่งเข้าวัดฟรี เสียชีวิต 6 เจ็บ 35

เหตุการณ์เศร้าสลดเกิดขึ้นใกล้วัดศรีเวงกเฏศวรสวามี หรือ วัดติรุปติ หนึ่งในวัดฮินดูที่มีผู้ศรัทธาเข้ามาสักการะมากที่สุดในอินเดีย โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 ราย และบาดเจ็บอีก 35 ราย เหตุจากการเบียดเสียดเพื่อแย่งรับบัตรเข้าชมวัดฟรี  

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 8 มกราคม ที่รัฐอานธรประเทศ ทางตอนใต้ของอินเดีย ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลมงคลระหว่างวันที่ 10-19 มกราคม ที่ผู้ศรัทธานิยมเข้าวัดเพื่อสักการะองค์เทพ  

เจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำเขต เอส เวงกเฏศวร เปิดเผยว่า ขณะเปิดประตูประชาชนราว 2,500 คนต่างแห่กันเข้าไปจนเกิดความชุลมุน มีผู้ล้มลงและถูกเหยียบตามมา โดยเจ้าหน้าที่กำลังเร่งสอบสวนเหตุการณ์เพื่อหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม  

เหตุสลดนี้เกิดขึ้นบริเวณด้านนอกโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ใช้เป็นจุดแจกบัตรเข้าชมวัด ซึ่งอยู่ห่างจากตัววัดเพียงไม่กี่กิโลเมตร โดยตามกำหนดการ การแจกบัตรฟรีจะเริ่มในวันพฤหัสบดี ทั้งนี้ บัตรเข้าชมวัดปกติจะมีราคาประมาณ 300 รูปี หรือราว 3.50 ดอลลาร์สหรัฐ และจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์  

จากวิดีโอของสำนักข่าว ANI แสดงให้เห็นภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพยายามควบคุมฝูงชนที่แออัดอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ระบุว่า การเบียดเสียดเริ่มจากกลุ่มคนที่อยู่หน้าสุดผลักดันแถวด้านหลัง ซึ่งนำไปสู่การล้มและเหยียบกันจนเกิดความสูญเสีย  

สำหรับผู้บาดเจ็บ 35 ราย ขณะนี้มี 12 รายที่ยังต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ติรุมลาติรุปตีเทวัสถานัม (TTD) ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารจัดการวัด ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง  

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ยังได้โพสต์ข้อความแสดงความเสียใจผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยระบุว่า “ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย และขอส่งกำลังใจให้ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้”

ไฟป่าแอลเอโหมหนัก!! เผาวอดย่านฮอลลีวูดฮิลส์-ร้านอาหารไทยชื่อดัง คร่าชีวิตแล้ว 5 อเมริกันนับแสนรายอพยพ

ตามรายงานจากเว็บไซต์ USA Today และ CNN (9 ม.ค.68) สถานการณ์ไฟป่าในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ยังคงทวีความรุนแรง เนื่องจากลมแรงทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว จนถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 5 คน และคาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันหลายร้อยหลังคาเรือนถูกไฟเผาทำลาย และมีประชาชนกว่า 100,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่

กรมดับเพลิงแคลิฟอร์เนียเปิดเผยว่า ไฟป่าครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในไฟป่าที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของลอสแอนเจลิส โดยไฟป่าพาลิเซดส์ (Palisades Fire) ได้ทำลายพื้นที่กว่า 15,800 เอเคอร์ (ประมาณ 39,974 ไร่) และยังไม่สามารถควบคุมได้ โดยได้เผาบ้านเรือนมากกว่า 1,000 หลัง

ร้านอาหารไทยชื่อดัง 'ชลดาไทยลองบีช' (Cholada Thai Cuisine Long Beach) ซึ่งมีสาขาหลักในเมืองมาลิบู ก็ถูกไฟป่าเผาทำลายจนไม่เหลือซาก นับเป็นการสิ้นสุดตำนานของร้านอาหารที่เปิดให้บริการมายาวนานกว่า 25 ปีตั้งแต่ปี 1999 เจ้าของร้านโพสต์คลิปวิดีโอเหตุการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมข้อความว่า "เรารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องประกาศว่า ร้านอาหารของเราถูกไฟป่าพาลิเซดส์เผาทำลาย ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก"

ขณะที่นครลอสแองเจลิสกำลังเผชิญกับไฟป่าหลายจุด โดยไฟได้ลุกลามไปยังฮอลลีวูดฮิลส์ (Hollywood Hills) เมื่อวันที่ 8 มกราคม ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 คน และบ้านเรือนอีกหลายร้อยหลังถูกเผาผลาญ เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังในการดับไฟและใช้น้ำอย่างเต็มที่

ประชาชนกว่า 100,000 คนได้รับคำสั่งให้อพยพ หลังจากที่สภาพอากาศแห้งแล้งและลมแรงทำให้การควบคุมไฟทำได้ยาก ไฟยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นในวันที่ 7 มกราคม

คริสติน ครอว์ลีย์ หัวหน้าสำนักงานดับเพลิงท้องถิ่นระบุว่า มีไฟป่าเพิ่มขึ้นอีกจุดในฮอลลีวูดฮิลส์ในช่วงค่ำวันที่ 8 มกราคม ทำให้ต้องอพยพประชาชนเพิ่ม และขณะนี้มีไฟป่าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง 6 จุดในเทศมณฑลลอสแองเจลิส

ไฟป่า 5 จุดยังคงอยู่ในภาวะควบคุมไม่ได้ รวมถึงไฟป่าขนาดใหญ่ในฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเมืองที่ยังคงลุกลามต่อไป

ไฟป่าที่ฮอลลีวูดฮิลส์ซึ่งได้รับการตั้งชื่อว่า Sunset Fire ได้ลุกลามเป็น 2 เท่าภายในไม่กี่นาที ขยายพื้นที่เป็น 20 เอเคอร์ ข้อมูลจาก Cal Fire ระบุ

สำนักงานดับเพลิงลอสแองเจลิสได้ออกคำสั่งอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ Hollywood Boulevard, Mulholland Drive, Freeway 101, และ Laurel Canyon Boulevard ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในวงการบันเทิง

ผลกระทบจากไฟป่าทำให้การประกาศผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถูกเลื่อนออกไป 2 วัน เนื่องจากการประสบปัญหาจากเหตุการณ์ไฟป่า

ไฟป่าในย่าน Pacific Palisades ได้เผาพื้นที่กว่า 15,832 เอเคอร์ รวมถึงบ้านเรือนหลายร้อยหลัง ในขณะที่ไฟป่า Eaton ที่บริเวณเชิงเขาซานเกเบรียล ได้ทำลายพื้นที่ไปแล้ว 10,600 เอเคอร์ และมีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 5 คน

คาดว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากไฟป่านี้อาจสูงถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เกือบ 1 ล้านหลังคาเรือนในลอสแองเจลิสประสบปัญหาขัดข้องไฟฟ้าจากเหตุการณ์นี้ และทางการสั่งปิดโรงเรียนในพื้นที่จนถึงวันที่ 9 มกราคม

นักวิชาการชี้แผนยึดกรีนแลนด์-คลองปานามา โอกาสทองจีนได้แต้มต่อครองใจนานาชาติ

(9 ม.ค. 68) ว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ดูเหมือนต้องการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ด้วยการออกมาเผยความต้องกรของตนในการควบคุมกรีนแลนด์ ปานามา และแคนาดา ซึ่งถือเป็นแนวคิดการปรับแผนที่ของซีกโลกตะวันตกแบบใหม่อย่างแท้จริง

ชอว์น นาริน ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซนต์โธมัสในแคนาดากล่าวกับ Sputnik  

"กรณีของกรีนแลนด์กลาวว่า กรีนแลนด์เป็นความหลงใหลที่แปลกประหลาดของเขาในอดีต ผมคิดว่าสำหรับเขา กรีนแลนด์เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติล้วน ๆ" นารินอธิบาย โดยชี้ว่าความหมกมุ่นนี้อาจเกี่ยวข้องกับการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนในเรื่องแร่หายากและเส้นทางลอจิสติกส์ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ 

นารินชี้ว่า แม้สหรัฐจะครอบครองกรีนแลนด์ได้จริง เพื่อหวังควบคุมห่วงโซอุปทาน แต่ก็ไม่สามารถแซงหน้าจีนในด้านนี้ได้ ในฐานะที่จีนเป็นชาติที่ควบคุมห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการแปรรูปทั้งหมด โดยเฉพาะในด้านทรัพยากรธรรมชาติที่ทรัมป์หวังได้จากกรีนแลนด์
 
ขณะที่คลองปานามา ทรัมป์เคยอ้างเหตุผลในการทวงคืนคลองปานามา โดยว่าพื้นที่แห่งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของจีน ทำให้เก็บค่าผ่านทางอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งชอว์น นาริน กล่าวว่า "ไร้สาระสิ้นดี" นารินตอบโต้ "มันไม่มีความแตกต่างอะไรเลยต่อสหรัฐฯ ว่าจะควบคุมคลองนี้หรือไม่ ไม่มีใครพยายามขัดขวางการเดินเรือของอเมริกาผ่านคลองนี้"  

ขณะที่ประเด็นแคนาดาจากการที่ทรัมป์ต้องการให้แคนาดา กลายเป็นมลรัฐที่ 51 ของสหรัฐ พร้อมกับการขู่เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม ได้สร้างความกังวลให้ชาวแคนาดา นารินกล่าวว่าคำพูดดังกล่าวเป็นเรื่อง "ไร้สาระ" และเปรียบเสมือนการขู่กรรโชก  

"คุณไม่ต้องการให้คนที่ไม่มีเสถียรภาพและคาดเดาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ เพราะมันสร้างความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองในความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นผู้ใหญ่" เขาเน้นย้ำ  

ในขณะที่ทรัมป์มองว่าจีนเป็นคู่แข่งสำคัญระดับโลกของสหรัฐฯ และพยายามโดดเดี่ยวจีน นารินชี้ว่า กลยุทธ์ในการเปลี่ยนแผนที่โลกเหล่านี้อาจผลักดันให้ประเทศอื่น ๆ เข้าใกล้ปักกิ่งมากขึ้น  

"จีนมีความน่าเชื่อถือและคาดการณ์ได้มากกว่าทรัมป์" เขากล่าว "นโยบายของปักกิ่งตรงไปตรงมา จีนละเมิดกฎหมายนานาชาติน้อยกว่าสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงการแทรกแซง และใช้วิธีการทางเศรษฐกิจในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ พร้อมเน้นย้ำถึงผลประโยชน์ร่วมกันเสมอ"  

ดาราฮอลลีวูดหนีตายบ้านถูกเผาวอด งานประกาศผู้เข้าชิงออสการ์ถูกเลื่อน

(9 ม.ค.68) ดาราฮอลลีวูดหลายคนต้องอพยพหนีไฟป่าที่กำลังโหมไหม้รุนแรงรอบเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่กว่า 12,000 เอเคอร์ในย่านแปซิฟิกพาลิเซดส์ ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองชายหาดซานตาโมนิกากับมาลิบู ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าดาราและคนดังหลายคน

ตามรายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ ไฟป่าครั้งนี้ได้เผาผลาญบ้านของปารีส ฮิลตัน และทำให้เธอออกมาโพสต์ข้อความในอินสตาแกรมว่า “การที่ต้องมานั่งดูข่าวและเห็นบ้านของเราถูกไฟเผาในมาลิบู เป็นสิ่งที่ไม่มีใครควรต้องเจอ” พร้อมส่งกำลังใจให้กับทุกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าครั้งนี้

ไฟป่าครั้งนี้ยังส่งผลกระทบต่อวงการบันเทิงในฮอลลีวูด โดยงานประกาศรางวัล Critics Choice Awards ที่จะมีขึ้นในสุดสัปดาห์นี้ถูกเลื่อนออกไป 2 สัปดาห์ และการประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ก็ถูกเลื่อนออกไป 2 วันเช่นกัน

ไฟป่าครั้งนี้เกิดจากกระแสลมแรงและแห้ง รวมถึงถนนหนทางที่คับแคบ ทำให้การอพยพเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยมีรายงานว่า เจมี ลี เคอร์ติส นักแสดงรางวัลออสการ์ได้โพสต์ข้อความในอินสตาแกรมว่าเธอปลอดภัยดี แต่ชุมชนของเธออาจถูกไฟไหม้

แปซิฟิกพาลิเซดส์เป็นพื้นที่ที่มีราคาบ้านเฉลี่ยสูงถึง 4.5 ล้านดอลลาร์ และเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เกตตีวิลลา นอกจากนี้ยังมีไฟป่าในหลายจุดรอบเมือง ทำให้การถ่ายทำภาพยนตร์ในบางพื้นที่ถูกยกเลิก รวมถึงรายการโทรทัศน์หลายรายการที่ต้องหยุดถ่ายทำ

มาร์ก แฮมิลล์ นักแสดงจาก 'สตาร์วอร์' ได้โพสต์ว่าเหตุการณ์ไฟป่าครั้งนี้เป็น 'เลวร้ายที่สุด' นับตั้งแต่ปี 2536 และเขาได้อพยพออกจากบ้านในมาลิบูเมื่อเย็นวันอังคาร (7 ม.ค.) พร้อมกับภรรยาและสุนัข ขณะเดินทางบนทางหลวงเลียบชายฝั่งแปซิฟิก พบไฟไหม้เล็กน้อยทั้งสองข้างทาง

ผู้นำเม็กซิโกสวนทรัมป์ เสนอเปลี่ยนชื่อ 'อเมริกาเหนือ' เป็น ‘เม็กซิกัน อเมริกา’ ยกประวัติศาสตร์บางรัฐในสหรัฐฯ เคยเป็นของเม็กซิโก

(9 ม.ค.68) ประธานาธิบดีคลอเดีย ไชน์บาว์มแห่งเม็กซิโกออกแถลงการณ์ตอบโต้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเสนอว่าภูมิภาคอเมริกาเหนือควรกลับไปใช้ชื่อดั้งเดิมว่า 'เม็กซิกัน อเมริกา' หลังทรัมป์แสดงความเห็นอยากเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา'

การแถลงข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม โดยไชน์บาว์มย้ำว่า รัฐบาลเม็กซิโกคาดหวังความสัมพันธ์เชิงบวกกับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมนี้ อย่างไรก็ตาม ไชน์บาว์มใช้โอกาสนี้วิจารณ์แนวคิดของทรัมป์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนชื่อ พร้อมชูแผนที่โบราณจากศตวรรษที่ 17 เพื่อสนับสนุนข้อเสนอของเธอ

ไชน์บาว์มกล่าวว่า 'อ่าวเม็กซิโก' ได้รับการยอมรับในระดับสากลโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) และการเปลี่ยนชื่อดังกล่าวอาจก่อให้เกิดข้อโต้แย้งในวงกว้าง นอกจากนี้ เธอยังระบุว่าภูมิภาคอเมริกาเหนือ รวมถึงบางส่วนของอเมริกากลาง มีชื่อดั้งเดิมว่า 'เม็กซิกัน อเมริกา' ดังนั้น เธอจึงเสนอให้ทุกประเทศในบริเวณนี้กลับมาใช้ชื่อนี้ร่วมกัน เพื่อสะท้อนประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม

แถลงการณ์ของไชน์บาว์มมีขึ้นเพื่อตอบโต้คำพูดของทรัมป์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น 'อ่าวอเมริกา' พร้อมทั้งวิจารณ์เม็กซิโกว่าเป็นประเทศที่ถูกครอบงำโดยขบวนการค้ายาเสพติด ไชน์บาว์มตอบกลับว่า “เม็กซิโกคือประเทศประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุด” และปฏิเสธคำกล่าวหาดังกล่าว

ทรัมป์ยังขู่ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกถึง 25% และขึ้นบัญชีดำแก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโกให้เป็น 'กลุ่มก่อการร้าย' ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ไชน์บาว์มมองว่าเป็นการบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย

'สิงคโปร์-มาเลเซีย' ผุดแผนปั้น 'ยะโฮร์' ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ หวังเป็นศูนย์กลางการค้า-เทคโนโลยี แบบ 'เซินเจิ้น'

(8 ม.ค.68) สิงคโปร์และมาเลเซียประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ ด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่ที่มีขนาดใหญ่ถึง 3,500 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าสิงคโปร์ถึง 4 เท่า และใหญ่กว่าเซินเจิ้น 2 เท่า โดยตั้งเป้าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทะลุ 9 แสนล้านบาทต่อปี พร้อมทั้งสร้างงานนับแสนตำแหน่ง  

เขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่นี้มีเป้าหมายดึงดูดโครงการลงทุนกว่า 50 โครงการในช่วง 5 ปีแรก และเพิ่มเป็น 100 โครงการภายใน 10 ปีแรก ทั้งนี้ การร่วมมือดังกล่าวคาดว่าจะช่วยสร้างอาชีพนับแสนตำแหน่ง พร้อมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9 แสนล้านบาทต่อปี ภายในปี 2030  

พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่นี้จะตั้งอยู่บริเวณพรมแดนรัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย เชื่อมต่อกับสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันมีผู้สัญจรผ่านพรมแดนกว่า 3 แสนรายต่อวัน ทำเลดังกล่าวถูกมองว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน  

ความร่วมมือดังกล่าวถูกพูดถึงมาหลายปี โดยแผนเดิมคือการลงนามข้อตกลงตั้งแต่ปี 2024 แต่เนื่องจากนายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง ของสิงคโปร์ ติดโควิดในช่วงนั้น จึงเลื่อนมาเริ่มต้นในเดือนมกราคม ปี 2025  

นี่ไม่ใช่ความร่วมมือครั้งแรกระหว่างสองประเทศ ก่อนหน้านี้ สิงคโปร์และมาเลเซียเคยพยายามพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงมูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่โครงการดังกล่าวต้องชะลอไปเนื่องจากปัญหาทางการเงินและการจัดการ  

แม้จะมีความคืบหน้า แต่ยังคงมีประเด็นที่ต้องแก้ไข เช่น การจัดการเรื่องภาษีที่แตกต่างกัน (ภาษีเงินได้นิติบุคคลของสิงคโปร์อยู่ที่ 17% ขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 24%) รวมถึงปัญหาด้านระบบอนุญาตข้ามพรมแดน การนำยานยนต์เข้าสู่พื้นที่ และความแตกต่างในขั้นตอนดิจิทัล เช่น สิงคโปร์มีระบบ QR-code สำหรับข้ามแดนที่พัฒนาไปไกลกว่ามาเลเซีย  

ถึงแม้จะมีอุปสรรค แต่ทั้งสองประเทศยังคงเดินหน้าพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ โดยคาดว่าแรงจูงใจด้านภาษีและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยผลักดันให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จในอนาคต

ค้นพบลิเทียมแหล่งใหม่ ทะยานสู่เบอร์ 2 มหาอำนาจลิเทียมโลก

(8 ม.ค. 68) จีนสร้างความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการสำรวจแร่ลิเทียม ส่งผลให้ปริมาณสำรองลิเทียมเพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 16.5% ของปริมาณสำรองโลก พร้อมขยับอันดับจากที่ 6 ขึ้นสู่อันดับ 2 ของโลก

กรมสำรวจธรณีวิทยาจีนเผยว่า หนึ่งในความสำเร็จสำคัญคือการค้นพบแหล่งแร่ลิเทียมชนิดสปอดูมีนขนาดใหญ่ที่ทอดยาวถึง 2,800 กิโลเมตรในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ นอกจากนี้ การสำรวจทะเลสาบเกลือบนที่ราบสูงชิงไห่-ซีจ้าง ยังทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นฐานสำรองลิเทียมจากทะเลสาบเกลือใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก

ลิเทียมมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน การสื่อสารเคลื่อนที่ และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ โดยจีนยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการสกัดลิเทียมจากเลพิโดไลต์ แร่ที่มีปริมาณลิเทียมสูงแต่สกัดได้ยาก

ผู้เชี่ยวชาญมองว่าความก้าวหน้าเหล่านี้จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างความสมดุลในตลาดลิเทียมโลกได้ในอนาคต

สิงคโปร์ให้อำนาจตำรวจ คุมบัญชีปชช.สกัดสแกมเมอร์

(8 ม.ค. 68) สิงคโปร์สร้างความฮือฮาในวงการกฎหมายโลกด้วยการผ่านกฎหมายใหม่ที่มอบอำนาจให้ตำรวจควบคุมบัญชีธนาคารของบุคคล หากพบหลักฐานชัดเจนว่าบุคคลนั้นกำลังตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง โดยกฎหมายดังกล่าวผ่านการอนุมัติเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2025 และถือว่าเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลกที่มีมาตรการเช่นนี้  

ภายใต้กฎหมายใหม่นี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานสืบสวนอาชญากรรมทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ สามารถออกคำสั่งหยุดการทำธุรกรรมทางการเงินได้ทันที หากพบหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าผู้ถือบัญชีกำลังจะโอนเงินให้กับกลุ่มผู้หลอกลวง แม้ว่าเจ้าของบัญชีจะเต็มใจโอนเงินด้วยตัวเองก็ตาม  

สำหรับบุคคลที่ถูกสั่งจำกัดตามกฎหมายนี้ จะถูกระงับการใช้งานบัญชีธนาคาร การเข้าถึงตู้เอทีเอ็ม และวงเงินสินเชื่อ โดยยังคงอนุญาตให้ถอนเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้เพียง 30 วัน และสามารถต่ออายุได้สูงสุด 5 ครั้ง  
“เป้าหมายหลักของกฎหมายนี้คือการให้ตำรวจมีเวลามากขึ้นในการโน้มน้าวและแจ้งเตือนเหยื่อว่ากำลังถูกหลอกลวง รวมถึงขอความช่วยเหลือจากสมาชิกในครอบครัวของเหยื่อ”  

ทั้งนี้ คำสั่งควบคุมจะถูกใช้ก็ต่อเมื่อไม่มีวิธีอื่นที่สามารถป้องกันเหยื่อได้ ซุนยังยกตัวอย่างกรณีหญิงวัย 64 ปีที่สูญเสียเงิน 400,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ให้กับผู้หลอกลวงที่อ้างว่าเป็นคนรัก  

ซุนเปิดเผยว่ามาตรการป้องกันในปัจจุบันไม่สามารถจัดการปัญหาหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก 86% ของกรณีหลอกลวงมาจากการที่เหยื่อโอนเงินด้วยตัวเอง และคิดเป็น 94% ของความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายนปีที่ผ่านมา  

ยูจีน ตัน นักวิเคราะห์การเมืองและศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ กล่าวว่า  
“นี่เป็นกฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองสถานการณ์เฉพาะของสิงคโปร์ และยังไม่พบประเทศอื่นที่มีกฎหมายลักษณะเดียวกัน” 

แม้จะมีความกังวลว่ากฎหมายอาจเป็นการล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคล แต่เขาเชื่อว่ารัฐบาลสิงคโปร์มองว่าการหลอกลวงเป็นภัยคุกคามทางสังคมที่สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวาง  

จามัส ลิม ส.ส.ฝ่ายค้านจากพรรคแรงงานแสดงความกังวลว่ากฎหมายนี้อาจแทรกแซงสิทธิในการทำธุรกรรมส่วนบุคคล แต่ยังคงสนับสนุนเนื่องจากเห็นถึงปัญหาการหลอกลวงที่ทวีความรุนแรงขึ้น  

ข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยระบุว่าในปี 2023 สิงคโปร์สูญเสียเงินกว่า 650 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จากกรณีหลอกลวง และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปี 2024 พร้อมกับมูลค่าความเสียหายที่อาจเพิ่มขึ้น 40%  

ยูจีน ตัน เสริมว่า  “ปัญหาหลอกลวงกำลังอยู่ในจุดวิกฤติ หากยังไม่ถึงจุดนั้นแล้ว”  การออกกฎหมายใหม่นี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสิงคโปร์ในการปกป้องประชาชนจากกลุ่มมิจฉาชีพ แม้จะเป็นการดำเนินการที่เข้มงวดและไม่เคยมีมาก่อนในโลก

Tencent-CATL ยืนยันไม่เกี่ยวกิจกรรมทหาร หลังกลาโหมสหรัฐฯ ขึ้นบันชีดำ 2 เทคฯ ยักษ์ใหญ่จีน

เทนเซ็นต์ (Tencent) บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่และคอนเทมโพรารี แอมเพอเร็กซ์ เทคโนโลยี จำกัด หรือซีเอทีแอล (CATL) ผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำของจีน ออกมาโต้แย้งกรณีถูกรวมอยู่ในรายชื่อบัญชีดำของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ด้วยข้ออ้างว่าบริษัททั้งสองแห่งให้การช่วยเหลือกองทัพจีน

วันอังคาร (7 ม.ค. 68) เทนเซ็นต์เผยกับสำนักข่าวซินหัวของจีนว่าการรวมเอาเทนเซ็นต์ไว้ในรายชื่อบัญชีดำเป็นความผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด บริษัทฯ ปฏิเสธและยืนยันว่าเทนเซ็นต์ไม่ใช่บริษัทหรือซัพพลายเออร์ทางการทหาร โดยแม้ว่าการขึ้นบัญชีดำครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเทนเซ็นต์ แต่บริษัทฯ จะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ เพื่อแก้ไข “ความเข้าใจผิด” ครั้งนี้

ด้านซีเอทีแอลเรียกการขึ้นบัญชีดำครั้งนี้ว่าเป็นความผิดพลาดเนื่องจากบริษัทฯ ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทหาร

ซีเอทีแอลเผยว่าการถูกขึ้นบัญชีดำไม่ได้จำกัดบริษัทฯ จากการทำธุรกิจกับหน่วยงานอื่นนอกเหนือจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และคาดว่าจะไม่มีผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจของซีเอทีแอล

ซีเอทีแอลทิ้งท้ายว่าจะเดินหน้าหารือร่วมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อจัดการปัญหานี้ ซึ่งรวมถึงการดำเนินการทางกฎหมายหากจำเป็น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นโดยรวม

'ทรัมป์' ส่งลูกชายเยือนกรีนแลนด์ เชื่อหวังฮุบน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติ

(8 ม.ค.68) โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ บุตรชายของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เดินทางเยือนกรุงนุก เมืองหลวงของกรีนแลนด์ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หนึ่งวันหลังจากบิดาของเขากล่าวย้ำถึงความสนใจในเกาะกึ่งปกครองตนเองแห่งนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของเดนมาร์ก

รายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า ทรัมป์ จูเนียร์ ใช้เครื่องบินส่วนตัวเดินทางไปยังกรุงนุก โดยใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ราว 4-5 ชั่วโมงโดยไม่มีการเข้าพบเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นแต่อย่างใด เกาะแห่งนี้มีประชากรราว 57,000 คน และเป็นจุดหมายที่เขาเผยว่าตั้งใจจะเยี่ยมชมตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา

ทรัมป์ จูเนียร์ โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X พร้อมวิดีโอจากห้องนักบิน ขณะเครื่องบินกำลังลงจอดบนดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะว่า “กรีนแลนด์กำลังร้อน... แต่หนาวมาก!” เขาเสริมว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นการมาเยือนในฐานะนักท่องเที่ยว และพ่อของเขาก็ฝากคำทักทายมายังชาวกรีนแลนด์ด้วย

ความสนใจของทรัมป์ต่อกรีนแลนด์สร้างความฮือฮา เนื่องจากเขาเคยกล่าวไว้ว่า การที่สหรัฐเข้าควบคุมเกาะแห่งนี้เป็นสิ่งที่ “จำเป็นอย่างยิ่ง” พร้อมโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียว่า “ทำให้กรีนแลนด์ยิ่งใหญ่อีกครั้ง!” แนวคิดดังกล่าวถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายต่างประเทศที่ไม่ยึดติดกับกรอบทางการทูตแบบดั้งเดิม

ด้านนายกฯ เมตต์ เฟรเดอริกสัน ของเดนมาร์ก ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า เธอไม่เห็นด้วยกับการต่อสู้กับพันธมิตรใกล้ชิดอย่างสหรัฐ และย้ำว่า “กรีนแลนด์ไม่ได้มีไว้ขาย” 

นายกฯ มิวต์ เอเกเด ของกรีนแลนด์เองก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่า อนาคตของกรีนแลนด์ขึ้นอยู่กับชาวกรีนแลนด์ และการแสดงความคิดเห็นจากต่างชาติไม่ควรทำให้ดินแดนแห่งนี้เปลี่ยนทิศทางการพัฒนาของตัวเอง

กรีนแลนด์ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของกองทัพสหรัฐ และยังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แร่ธาตุ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงพึ่งพาการประมงและการสนับสนุนจากเดนมาร์กเป็นหลัก

สมาชิกสภาจากกรีนแลนด์ อาจา เคมนิตซ์ กล่าวชัดเจนว่า เธอไม่ต้องการให้เกาะแห่งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความทะเยอทะยานทางการเมืองของทรัมป์ พร้อมย้ำถึงความสำคัญของการปกป้องดินแดนนี้จากอิทธิพลภายนอก

การเดินทางของทรัมป์ จูเนียร์ แม้จะถูกระบุว่าเป็นเพียงการเยือนส่วนตัว แต่ก็ยิ่งทำให้กรีนแลนด์กลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงในเวทีการเมืองโลก

ผู้นำคนต่อไปใครจะมาแทน 'จัสติน ทรูโด นายกฯใหม่แคนาดา เปลี่ยนแค่หน้าหรือพลิกแนวทาง

(8 ม.ค.68) จัสติน ทรูโด ผู้เป็นนายกแคนาดา มานานเกือบ 10 ปี ประกาศลาออกท่ามกลางกระแสโกรธเกรี้ยวจากประชาชนแคนาดา ตลอดจนขาดเสียงสนับสนุนจากภายในพรรค และเรตติ้งที่ตกต่ำ ได้กลายเป็นที่จับตาว่า ใครจะเข้ามาแทนที่ทรูโดในฐานะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา หนึ่งในชาติที่มีประเด็นข้อถกเถียงทางภูมิรัฐศาสตร์มากที่สุด ตั้งแต่ระดับเพื่อนบ้านอย่างสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงท่าทีของแคนาดาต่อความขัดแย้งในยูเครน

สำนักข่าวสปุตนิกได้รวบรวมตัวเต็งที่น่าจับตามอง ในฐานะผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา

คริสเทีย ฟรีแลนด์ จากพรรคลิเบอรัล เป็นหนึ่งในผู้ที่คาดว่าจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคลิเบอรัลคนใหม่แทนที่นายทรูโด โดยนางฟรีแลนด์ เคยเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีต รมว.การคลังของทรูโด อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของเธอมีประวัติที่ชวนให้ถกเถียง เนื่องจากเธอเป็นหลานสาวของอดีตเจ้าหน้าที่นาซีเชื้อสายยูเครน โดยที่ผ่านมาฟรีแลนด์มีส่วนช่วยกระตุ้นการคว่ำบาตรรัสเซียของตะวันตกและเป็นผู้สนับสนุนยูเครนอย่างแข็งขัน ซึ่งช่วยเสริมสร้างการสนับสนุนจากแคนาดาต่อรัฐบาลเคียฟ

โดมินิค เลอบล็อง รัฐมนตรีกระทรวงการคลังคนปัจจุบันของแคนาดา ผู้สนับสนุนแนวทางของทรูโดในการให้ความช่วยเหลือยูเครนอย่างเด็ดขาด ในเดือนที่แล้วเขาผลักดันให้ส่งอาวุธที่ถูกห้ามใช้ในแคนาดาไปยังรัฐบาลเซเลนสกี้

มาร์ค คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางแคนาดา ผู้ที่ในปี 2022 เคยออกมาตำหนิว่าความขัดแย้งในยูเครนเกิดขึ้นเพราะรัสเซีย โดยนายคาร์นีย์เป็นนักการธนาคารและผู้แทนพิเศษด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ แต่กลับมีแนวคิดขัดแย้งเพราะเขาสนับสนุนให้เพิ่มการลงทุนในพลังงานฟอสซิล ซึ่งจะเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม

เมลานี โจลี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เธอเองก็มีบทบาทในการระดมทุนจากภาษีของชาวแคนาดาไปช่วยยูเครนด้วยเงินช่วยเหลือทางทหารมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

และสุดท้าย นางอนิตา อานันด์ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมของแคนาดา ผู้สนับสนุนยูเครนอย่างเปิดเผย เธอรีบวิจารณ์การกระทำของรัสเซียในความขัดแย้งยูเครน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสนใจการกระทำที่โหดร้ายเช่นเดียวกันจากฝ่ายรัฐบาลเคียฟที่กระทำต่อทหารฝ่ายรัสเซีย

ทั้งนี้ ใครจะเป็นผู้นำคนถัดไปของแคนาดา และพวกเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญได้ดีขึ้นหรือไม่ 

ทรัมป์ปิ๊งไอเดีย เปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' เผยฟังไพเราะดี แย้มแผนขยายดินแดนปานามา-กรีนแลนด์

(8 ม.ค.68) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สร้างกระแสฮือฮาอีกครั้งเมื่อวันอังคาร (7 ม.ค.) ด้วยการประกาศแผนเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' โดยถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เขาเสนอเพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของสหรัฐฯ ก่อนเข้ารับตำแหน่งในปลายเดือนนี้ 

พร้อมกันนั้น ทรัมป์ยังเปิดเผยถึงความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารหรือมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อครอบครอง 'คลองปานามา' และ 'กรีนแลนด์' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์การขยายดินแดนที่เขาพยายามผลักดันตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พ.ย.  

ทรัมป์ยังกล่าวถึงแนวคิดการผนวก 'แคนาดา' ให้กลายเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐฯ พร้อมระบุว่าจะกดดันพันธมิตรในองค์การนาโต (NATO) ให้เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม และย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก'  

แม้ยังมีเวลาอีกสองสัปดาห์ก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ทรัมป์ได้เริ่มร่างนโยบายต่างประเทศเชิงรุก โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักการทางการทูตหรือความกังวลจากประเทศพันธมิตร  

เมื่อถูกถามในงานแถลงข่าวที่รีสอร์ตในฟลอริดา ว่าจะรับประกันได้หรือไม่ว่าจะไม่ใช้กำลังทหารหรือมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อยึดคลองปานามาและกรีนแลนด์ ทรัมป์ตอบว่า  

“ผมรับประกันไม่ได้ แต่สิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเรา”  

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังวิจารณ์การที่สหรัฐฯ ต้องสนับสนุนแคนาดาโดยไม่ได้รับผลตอบแทน พร้อมกล่าวถึงเส้นพรมแดนระหว่างสองประเทศว่าเป็นเพียง 'เส้นที่ใครบางคนขีดขึ้นมา'  

เขายังขู่จะตั้งกำแพงภาษีกับเดนมาร์ก หากเดนมาร์กไม่ยอมขายกรีนแลนด์ให้สหรัฐฯ โดยอ้างว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ ขณะที่ก่อนการแถลงการณ์ ดอน จูเนียร์ บุตรชายของทรัมป์ได้เดินทางเยือนกรีนแลนด์เป็นการส่วนตัว  

ด้านเดนมาร์กแสดงจุดยืนชัดเจน โดยเมตเต เฟรเดอริกเซน นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก ย้ำว่า 'กรีนแลนด์' ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองในราชอาณาจักรเดนมาร์ก ไม่ได้มีไว้ขาย  

“การใช้มาตรการทางการเงินมาต่อสู้กันไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม เมื่อเรายังเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนที่ใกล้ชิด” เฟรเดอริกเซนกล่าวเพื่อตอบโต้แถลงการณ์ของทรัมป์ในคืนวันอังคารที่ผ่านมา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top