Thursday, 19 June 2025
WORLD

จีนส่งออกไปสหรัฐฯ ดิ่งหนักสุดรอบ 5 ปี ค้ากับยุโรป-อาเซียนพุ่งแทนที่ โตแตะแสนล้านดอลล์

(10 มิ.ย. 68) การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤษภาคม 2025 ลดลงถึง 34.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020 ขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐฯ ก็ลดลงกว่า 18% ส่งผลให้ดุลการค้าของจีนกับสหรัฐฯ หดตัวลง 41.55% เหลือ 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้การค้ากับสหรัฐฯ จะลดลง แต่จีนยังคงรักษาการเติบโตของการส่งออกโดยรวมได้ที่ 4.8% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย ขณะที่การนำเข้าลดลง 3.4% จากภาวะอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อนแอ

การค้ากับสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว ทำให้จีนเร่งปรับทิศทางการส่งออกไปยังตลาดอื่น โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 15% สหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น 12% และแอฟริกาเพิ่มขึ้นกว่า 33% ส่งผลให้ดุลการค้ารวมของจีนในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า แตะ 103,200 ล้านดอลลาร์

ภายใต้แรงตึงเครียดทางการค้า จีนและสหรัฐฯ ยังคงใช้มาตรการภาษีตอบโต้ แม้สหรัฐฯ จะลดภาษีสินค้าจีนจาก 145% เหลือ 51.1% แต่จีนยังเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ อยู่ที่ 32.6% การปรับเปลี่ยนทิศทางการค้าครั้งนี้สะท้อนยุทธศาสตร์ของจีนที่พึ่งพาตลาดทางเลือกในช่วงวิกฤต

ขณะที่สหรัฐฯ ถอยห่างจากจีน แต่ยุโรปกลับเดินเกมตรงข้าม โดยเพิ่มการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง บริษัทในยุโรปไม่ได้ถูกกดดันให้กระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนเท่ากับฝั่งสหรัฐฯ ทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับยุโรปยังแน่นแฟ้น ส่งผลให้จีนสามารถชดเชยการส่งออกที่หายไปจากตลาดสหรัฐฯ ได้บางส่วน

ชีวิตจริงของผู้ออกข้อสอบ ‘เกาเข่าจีน’ ต้องตัดขาดจากโลก นาน 1 เดือนเต็ม

(10 มิ.ย. 68) ก่อนการสอบ “เกาเข่า” หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยของจีนจะเริ่มขึ้นในแต่ละปี ซึ่งมีกลุ่มคนสำคัญที่ต้อง “หายตัวไปจากโลก” นานถึงหนึ่งเดือนเต็ม และไม่ใช่อาชญากร แต่คือ “ผู้ออกข้อสอบ” ซึ่งต้องรับหน้าที่สำคัญในการออกข้อสอบให้เป็นธรรม ปลอดการรั่วไหล ยุติธรรมที่สุดสำหรับนักเรียนหลายสิบล้านคนทั่วประเทศ พวกเขาเหล่านี้ต้องเซ็นสัญญารักษาความลับ และถูกนำตัวไปกักบริเวณทันทีแบบลับๆ

ในช่วงกักตัว ผู้ออกข้อสอบจะถูกยึดโทรศัพท์ ห้ามใช้คอมพิวเตอร์ และตัดขาดจากอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง แม้แต่ครอบครัวก็ไม่สามารถติดต่อได้ พวกเขาอาจบอกได้เพียงว่า “ไปทำงานนอกสถานที่” เพื่อปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริง ความเงียบงันและการตัดขาดนี้เป็นมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อสอบ ซึ่งถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ของจีน โดยที่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยเกิดข้อสอบรั่วแม้แต่ครั้งเดียว

ผู้ออกข้อสอบต้องทำงานภายใต้การจับตาของกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง ร่างข้อสอบผิดพลาดเล็กน้อยก็ต้องเผาทิ้งทันที พวกเขายังต้องเตรียมข้อสอบ 2 ชุด ทั้งชุดจริงและชุดสำรอง โดยแม้แต่ตัวผู้ออกข้อสอบเองก็ไม่รู้ว่าจะเลือกใช้ชุดไหน การมีระบบสำรองเช่นนี้ทำให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น โรคระบาด หรือเหตุฉุกเฉินได้ทันท่วงที

เพื่อหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน มีข้อห้ามชัดเจนว่า ผู้ออกข้อสอบจะต้องไม่มีญาติหรือบุตรหลานที่สอบเกาเข่าในปีเดียวกัน และห้ามสอนนักเรียนระดับ ม.6 โดยเด็ดขาด บางคนถึงขั้นถอนตัวจากหน้าที่ออกข้อสอบด้วยตนเอง เช่น ศาสตราจารย์รายหนึ่งที่ขอยกเลิกการเป็นผู้ออกข้อสอบ เนื่องจากบุตรชายจะเข้าร่วมสอบในปีนั้น ข้อมูลยังเผยว่า กว่า 90% ของผู้ออกข้อสอบต้องยอมถูกโยกย้ายตำแหน่งชั่วคราว เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ

แม้ผู้ออกข้อสอบจะดูเหมือนมีอำนาจในการกำหนดอนาคตของนักเรียน แต่พวกเขาเองก็ต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพของข้อสอบ หากข้อสอบยากเกินไปจนคะแนนเฉลี่ยต่ำลง กระทรวงศึกษาธิการจะเรียกทีมออกข้อสอบมาหารือทันที เช่นในปี 2021 ที่ข้อสอบคณิตศาสตร์บางมณฑลยากเกินไป ทีมออกข้อสอบต้องออกมาขอโทษต่อสาธารณชน และแนวข้อสอบก็ถูกปรับในปีถัดมา เพื่อความสมดุล

เบื้องหลังข้อสอบที่ยุติธรรม คือการเสียสละเสรีภาพ ความสะดวกสบาย และแม้แต่โอกาสในหน้าที่การงานของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ยอม “หายตัวไป” เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเริ่มต้นอย่างเท่าเทียม ผู้ออกข้อสอบไม่ได้แข่งขันเพื่อชื่อเสียงหรือผลตอบแทน แต่คือผู้พิทักษ์ “ความฝัน” ที่ซ่อนอยู่ในกระดาษคำตอบของนักเรียนจีนทุกคน

นักท่องเที่ยวสาวตุรกี โวยถูกจ้อง-ตามไม่เลิก เปรียบเหมือนถูกฝูง ‘ยุงตอม’ ตลอดเวลาในอินเดีย

(10 มิ.ย. 68) นักท่องเที่ยวหญิงชาวตุรกีชื่อ “อายเซ่ ชาห์” จุดกระแสถกเถียงในอินเดีย หลังโพสต์วิดีโอวิจารณ์พฤติกรรมของชาวอินเดียที่จ้องมองและเดินตามเธอระหว่างท่องเที่ยว โดยเปรียบว่ารู้สึกเหมือน “ถูกยุงตอม” สร้างเสียงฮือฮาและวิพากษ์บนแพลตฟอร์ม X

ในคลิปที่อัดในย่านชานด์นี โชว์ก กรุงนิวเดลี ชาห์ระบุว่าเธอเจอเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันในเมืองมุมไบและชัยปุระ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง โดยรายงานจาก National Crime Records Bureau ของอินเดีย ปี 2022 เผยว่ามีคดีข่มขืนเกิดขึ้นถึง 31,516 คดี หรือเฉลี่ย 86 คดีต่อวัน

นักวิชาการในนิวเดลีให้ความเห็นว่า พฤติกรรมการจ้องมองอาจสะท้อนช่องว่างด้านวัฒนธรรม แต่ยอมรับว่าเป็นพฤติกรรมที่สร้างความอึดอัดให้กับชาวต่างชาติ ปัญหายังซ้ำเติมจากการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอและทัศนคติทางเพศที่ฝังลึกในสังคม

ขณะที่โพสต์ของอายเซ่สร้างความแตกแยกในความคิดเห็น บางคนมองว่าเป็นการเหมารวมและเหยียดชาติพันธุ์ แต่บางคนสนับสนุนว่าเธอมีสิทธิ์พูดถึงความรู้สึกไม่ปลอดภัยจากประสบการณ์ตรง กลายเป็นประเด็นในโซเชียลแนะนำให้รัฐบาลอินเดียเร่งปรับปรุงภาพลักษณ์ และมาตรการดูแลนักท่องเที่ยวอย่างเร่งด่วน

ซีอีโอ Telegram โวย ‘ฝรั่งเศส’ ละเมิดเสรีภาพ อึ้ง!! ‘อเมริกา’ ล้วงข้อมูลโดยไม่ต้องแจ้งผู้ใช้??

เมื่อวันที่ (9 มิ.ย. 68) ที่ผ่านมา ทัคเกอร์ คาร์ลสัน (Tucker Carlson) นักข่าวชาวอเมริกัน เผยแพร่บทสัมภาษณ์ล่าสุดกับ พาเวล ดูรอฟ (Pavel Durov) ผู้ก่อตั้ง Telegram ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองเคยพูดคุยกันในเดือนเมษายน 2024 เพียง 4 เดือนให้หลัง ดูรอฟก็ถูกตำรวจฝรั่งเศสจับกุมในปารีส ด้วยข้อหาหนักหลายรายการ เช่น เพิกเฉยต่อคำขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ สนับสนุนการกระจายซอฟต์แวร์แฮ็กและภาพลามกเด็ก รวมถึงฟอกเงินผิดกฎหมาย

ดูรอฟ ระบุว่า การสอบสวนในฝรั่งเศสยังไม่สิ้นสุด และหากเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี อาจยืดเยื้อนานถึง 2 ปี ขณะนี้เขาได้รับการปล่อยตัว แต่ยังต้องขออนุญาตหากต้องการเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการเดินทางไปเยี่ยมลูกในดูไบ และมารดาที่ป่วยหนัก เขาเล่าว่าถูกจับกุมที่สนามบินและถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจนาน 4 วัน พร้อมล่ามชาวรัสเซียที่อพยพมาอยู่ฝรั่งเศสช่วยแปลระหว่างการสอบสวน

ล่ามคนดังกล่าวเล่าให้ดูรอฟฟังหลังทำหน้าที่ต่อเนื่องภายใต้แรงกดดันของเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสเป็นเวลา 2 วัน ว่า เธอเคยคิดว่าการออกจากรัสเซียมาฝรั่งเศสจะทำให้ได้พบกับเสรีภาพที่แท้จริง เพราะเชื่อในชื่อเสียงของฝรั่งเศสในฐานะดินแดนแห่งเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน แต่เมื่อได้สัมผัสด้วยตัวเองกับกระบวนการยุติธรรมฝรั่งเศส กลับไม่ใช่อย่างที่เธอคิด

ดูรอฟวิจารณ์การจับกุมว่า “น่าประหลาดใจมาก” เพราะ Telegram ไม่เคยเพิกเฉยต่อคำร้องขอที่ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมแย้งว่าฝรั่งเศสไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติ เช่น การค้นหาช่องทางติดต่อผ่าน Google ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เขาย้ำว่า Telegram ไม่ได้สนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมาย และการพุ่งเป้ามายังแพลตฟอร์มระดับโลกที่มีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคน เป็นการทำร้ายภาพลักษณ์ของฝรั่งเศสเอง

นอกจากนี้ ดูรอฟยังเปิดเผยเหตุผลที่ไม่ย้ายทีมพัฒนา Telegram ไปยังสหรัฐฯ โดยระบุว่า ในฝรั่งเศสและอดีตสหภาพโซเวียต ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “gag order” หรือคำสั่งลับจากรัฐที่สามารถบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีเปิดทางให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานโดยไม่ต้องแจ้งเจ้าของบัญชี หรือแม้แต่ไม่ต้องให้เขารู้ตัว เขาเชื่อว่าสิ่งนี้ละเมิดความเป็นส่วนตัวขั้นพื้นฐาน และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาไม่ตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ในอเมริกา

มหาวิทยาลัยญี่ปุ่น 87 แห่ง ยื่นมือช่วย นักศึกษาต่างชาติที่ถูกแบนในสหรัฐฯ

(10 มิ.ย. 68) มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นจำนวน 87 แห่งเตรียมมาตรการช่วยเหลือนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐอเมริกา หลังจากคำสั่งห้ามมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดรับนักศึกษาต่างชาติของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตามการเปิดเผยของกระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่นและองค์การบริการนักเรียนญี่ปุ่นเมื่อวันศุกร์

โดยในส่วนของผู้มีสิทธิ์รับความช่วยเหลือและรูปแบบการช่วยเหลือจะแตกต่างกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัย โดยมหาวิทยาลัยโทโฮคุประกาศรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีสำหรับบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่ประสบปัญหาการเรียนต่อ โดยจะรับเข้าเป็นนักศึกษาไม่ประจำ (nondegree) และยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษา รวมถึงค่าลงทะเบียน

นอกจากนี้ หลายมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นพร้อมเปิดรับนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ ไม่จำกัดสัญชาติหรือสถาบันที่กำลังศึกษาอยู่ ทั้งในฐานะนักศึกษาเต็มเวลา หรือนักศึกษาเฉพาะกิจ นอกจากนี้ บางแห่งยังเสนอการยกเว้นค่าเล่าเรียนและจัดที่พักในหอพักให้อีกด้วย

ทั้งนี้ องค์การบริการนักเรียนญี่ปุ่นระบุว่า ยังมีอีก 5 มหาวิทยาลัยที่อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการช่วยเหลือ และจะมีการอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่องต่อไป

เด็กอัจฉริยะ GPA 4.42 เขียนโค้ดระดับประเทศ Google จีบตั้งแต่อายุ 13 แต่มหาลัยชั้นนำสหรัฐเมิน

(9 มิ.ย. 68) สแตนลีย์ จง (Stanley Zhong) นักเรียนมัธยมปลายจากสหรัฐฯ ที่มีโปรไฟล์ระดับ 'สุดยอด' ทั้ง GPA 4.42, คะแนน SAT 1590 และผลงานด้านการเขียนโค้ดระดับประเทศ สร้างความตกตะลึงให้กับชาวเน็ตเมื่อเขาเปิดเผยว่าถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยชั้นนำถึง 15 จาก 18 แห่งที่ยื่นสมัคร รวมถึง MIT, Stanford, UC Berkeley และ Carnegie Mellon

แม้จะมีดีกรีเข้ารอบสูงสุดในการแข่งขันเขียนโปรแกรมระดับประเทศ และได้รับข้อเสนองานจาก Google ตั้งแต่ยังไม่จบมัธยม (13 ขวบ) แต่ สแตนลีย์ จง กลับไม่ได้รับการตอบรับจากสถาบันการศึกษาชั้นนำ สร้างคำถามว่า “เกณฑ์คัดเลือกนักศึกษายุคนี้” มองข้ามความสามารถที่แท้จริงไปหรือไม่

สังคมออนไลน์ตั้งข้อสังเกตว่ากระบวนการรับนักศึกษาอาจให้น้ำหนักกับประเด็นความหลากหลายหรือสมดุลทางสังคมมากกว่าความสามารถเชิงวิชาการ อีกด้านหนึ่งก็มีกระแสไม่พอใจจากกลุ่มนักเรียนอเมริกันที่ชี้ว่า ที่นั่งในมหาวิทยาลัยบางส่วนถูกแทนที่โดยผู้อพยพผิดกฎหมายที่ได้รับสิทธิ์เรียนฟรีและเงินช่วยเหลือจากรัฐ

แม้ถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่นักเรียนเชื้อสายจีนรายนี้เลือกเดินหน้าตามเส้นทางของตนเอง เขาตอบรับข้อเสนอจาก Google และเริ่มต้นทำงานเต็มเวลาในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ กลายเป็นภาพสะท้อนว่าระบบการศึกษาอาจกำลัง 'ไม่ตอบโจทย์' คนเก่ง และตั้งคำถามต่อความยุติธรรมของการคัดเลือกในระดับอุดมศึกษาอีกครั้ง

วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ชี้ ‘เซเลนสกี’ รู้ดีว่ากำลังแพ้ แต่พยายามดึง ‘นาโต้’ เข้าร่วมสงครามกับรัสเซีย

(9 มิ.ย. 68) ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ตระหนักดีว่ากำลังพ่ายแพ้ในสงคราม และพยายามดึงนาโต้ (NATO) เข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งกับรัสเซีย ตามคำกล่าวของวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ทอมมี ทับเบอร์วิลล์ (Tommy Tubberville) 

ทับเบอร์วิลล์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสถานี WABC ว่า “ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีข้อสงสัย เซเลนสกีไม่สามารถชนะสงครามนี้ได้ด้วยตัวเอง เขารู้ดีว่าเขากำลังแพ้” พร้อมเสริมว่าการโจมตีสนามบินทหารรัสเซียในต้นเดือนมิถุนายนเป็นการยกระดับความขัดแย้งโดยเจตนา

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน กระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยว่าเคียฟได้ใช้โดรน FPV โจมตีสนามบินในภูมิภาคมูร์มันสค์, อีร์คุตสค์, อิวาโนโว, ริยาซาน และอามูร์ ซึ่งการโจมตีในบางพื้นที่ถูกต่อต้านไว้ได้ทั้งหมด

กระทรวงฯ ระบุว่า สนามบินในภูมิภาคมูร์มันสค์ และอีร์คุตสค์เกิดเพลิงไหม้แต่ได้ควบคุมไฟได้แล้ว และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตในหมู่เจ้าหน้าที่จากการโจมตีครั้งนี้

‘รัฐบาลกัมพูชา’ ปัดข้อกล่าวหา..เป็นภัยคุกคามโลก ยันไม่เกี่ยวขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ

(9 มิ.ย. 68) รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาจากรายงานของสื่อตะวันตกที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะธุรกิจหลอกลวงออนไลน์ การค้ามนุษย์ และการฟอกเงิน พร้อมยืนยันว่าไม่มีนโยบายสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมาย และถือว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่มีแรงจูงใจทางการเมือง

รายงานจาก Humanity Research Consultancy (HRC) และหนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษ อ้างว่ามีเครือข่ายหลอกลวงออนไลน์ในกัมพูชาซึ่งสร้างรายได้มหาศาล คิดเป็นกว่า 60% ของ GDP โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล รวมถึงผู้ใกล้ชิดพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) มีบทบาทเอื้อประโยชน์ให้เครือข่ายเหล่านี้ดำเนินกิจการอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองสีหนุวิลล์

กระทรวงมหาดไทยของกัมพูชาระบุว่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้ไม่มีมูลความจริง และไม่สอดคล้องกับความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งที่ผ่านมากัมพูชาได้ดำเนินการจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก รวมถึงมีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรนานาชาติในการสืบสวนและกวาดล้างเครือข่ายผิดกฎหมาย

กัมพูชายืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน ไม่เคยสนับสนุนหรือละเลยต่อการกระทำผิด และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายเพื่อยกระดับมาตรการปราบปรามอาชญากรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเรียกร้องให้สื่อระหว่างประเทศรายงานข่าวอย่างเป็นธรรมและอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง

สื่อนอกแฉ ‘สภากาชาดกัมพูชา’ รับเงินมิจฉาชีพ ‘เจ้าพ่อ-แก๊งต้มตุ๋น’ แห่บริจาค ใช้เป็นเครื่องมือสร้างภาพ

(9 มิ.ย. 68) เว็บไซต์ Commsrisk รายงานการตรวจสอบจาก Radio Free Asia (RFA) โดยพบว่ามีผู้บริจาคให้สภากาชาดกัมพูชากว่า 7.2 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ (scam compounds) และกิจกรรมการค้ามนุษย์ ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สภากาชาดกัมพูชา (CRC) ยังเป็นสมาชิกของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC)

รายงาน RFA เปิดเผยว่า CRC ได้เผยแพร่คำขอบคุณต่อผู้บริจาคผ่านช่องทางออนไลน์หลายครั้ง ซึ่งมีทั้งเจ้าพ่อธุรกิจ นักพนัน กาสิโน ไปจนถึงกลุ่มต้มตุ๋นออนไลน์ เช่น Huang Le Casino และคอมปะนีที่พัวพันกับการใช้แรงงาน ซึ่งสร้างความกังวลในระดับนานาชาติว่าการบริจาคที่ดู 'ถูกกฎหมาย' จริงแล้วเป็นเครื่องมือเพื่อฟอกภาพลักษณ์ของแก๊งมืด

นักวิจารณ์ เช่น เจคอบ ซิมส์ (Jacob Sims) จาก RFA ระบุว่า การกุศลในลักษณะนี้กลายเป็น “กลไกของระบบอุปถัมภ์เชิงนิเวศการเมือง” (elite patronage) โดยช่วยให้บุคคลและองค์กรที่มีฉากหลังไม่ชอบธรรม ได้ความชอบธรรมและความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลกัมพูชาผ่าน CRC 

แม้จะมีข้อกังวลจากสื่อต่างชาติและองค์กรตรวจสอบ แต่ CRC ยังคงดำเนินกิจกรรมสาธารณะ เช่น แจกถุงยังชีพดูแลผู้ประสบภัยน้ำท่วม และมีบทบาทในการประสานงานด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ชนบท โดยไม่ปรากฏว่ามีมาตรการหรือการสอบสวนจาก IFRC หรือหน่วยงานอิสระที่เข้มงวดตามมา

กระนั้น รายงานจาก Commsrisk ชี้ชัดว่าการบริจาคเงินผ่าน CRC อาจเป็น “กลยุทธ์ฟอกภาพลักษณ์” สำหรับกลุ่มธุรกิจมืด การค้ามนุษย์ และแก๊งไซเบอร์ โดยสร้างตัวตนให้กับรัฐบาลกัมพูชาในการดึงดูดทุนและความร่วมมือจากชาติตะวันตก แม้จะมีข้อครหาเรื่องจริยธรรมอย่างต่อเนื่อง 

แม้สหรัฐฯ ไม่ส่งขีปนาวุธ 20,000 ลูกให้ยูเครน เชื่อใกล้บีบรัสเซียหยุดยิงได้

(9 มิ.ย. 68) โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เปิดเผยในการสัมภาษณ์กับ ABC News ว่าสหรัฐฯ ได้ยกเลิกแผนส่งมอบขีปนาวุธต่อต้านโดรนจำนวน 20,000 ลูก ตามที่เคยรับปากไว้กับยูเครนในสมัยรัฐบาลโจ ไบเดน โดยอ้างว่าขีปนาวุธดังกล่าวถูกส่งไปยังกองกำลังอเมริกันในตะวันออกกลางแทน ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ยูเครนต้องต่อกรกับฝูงโดรนชนิดชาเฮด (Shahed) ที่รัสเซียนำมาใช้โจมตีอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้เหตุการณ์นี้จะถูกมองว่าเป็นอุปสรรคทางยุทธศาสตร์ แต่เซเลนสกียืนยันว่าเขาไม่ได้วิตกกังวลต่อการเปลี่ยนท่าทีของสหรัฐฯ และเขาเชื่อว่าตอนนี้ยูเครนอยู่ในจุดที่สามารถชนะรัสเซียได้ พร้อมกล่าวชัดเจนว่า “เรากำลังเข้าใกล้จุดที่เราแทบจะบังคับให้รัสเซียหยุดสงคราม หรืออย่างน้อยก็หยุดยิงชั่วคราว”

ผู้นำยูเครนยังอธิบายว่า กำลังมองเห็นผลจากปฏิบัติการทางทหารที่เจาะลึกเข้าไปภายในดินแดนรัสเซีย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความตื่นตระหนกและรู้ซึ้งถึง “ศักยภาพแท้จริง” ของยูเครน ขณะที่เขาเน้นว่าโมเมนตัมนี้ช่วยให้เกิดแรงกดดันทางจิตใจต่อกองกำลังรัสเซีย

สำหรับเบื้องหลังการเปลี่ยนเส้นทางส่งมอบขีปนาวุธครั้งนี้ มีรายงานจาก Wall Street Journal และ Kyiv Independent ว่าเป็นคำสั่งจากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากอิหร่านและกลุ่มฮูตีในเยเมน แต่เซเลนสกียังเรียกร้องให้สหรัฐฯ กลับมาส่งมอบยุทโธปกรณ์ครบถ้วน พร้อมขยายความร่วมมือหลากหลายด้านเพื่อช่วยเร่งจุดจบของสงครามและผลักดันให้รัสเซียยอมเจรจาหยุดยิงถาวร

‘อีลอน มัสก์’ วิวาทเดือด ‘รมว.คลัง’ กลางทำเนียบขาว หลังถูกกดดันเรื่องล้มเหลวลดงบฯ 1 ล้านล้านดอลล์

(9 มิ.ย. 68) สตีฟ แบนอน อดีตหัวหน้ากลยุทธ์ทำเนียบขาวในยุครัฐบาลทรัมป์ เผยว่าอีลอน มัสก์ หัวหน้าหน่วยงานปรับลดงบประมาณรัฐบาลกลาง (DOGE) ได้มีปากเสียงอย่างรุนแรงกับสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จนถึงขั้นเกิดการปะทะกันในทำเนียบขาว 

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการเดินจากห้องทำงานประธานาธิบดีไปยังบริเวณนอกห้องของหัวหน้าคณะทำงานซูซี ไวลส์ โดยมัสก์ถูกกล่าวหาว่าผลักเบสเซนต์ หลังโดนตั้งคำถามถึงความล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายการลดงบประมาณรัฐบาลกลางตามที่เคยสัญญาไว้

เบสเซนต์กล่าวหาว่ามัสก์เคยให้คำมั่นว่าจะลดรายจ่ายภาครัฐลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ทำได้จริงเพียงแค่ประมาณ 1 แสนล้าน และยังไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ว่า เกิดการประหยัดลงจริงหรือไม่ ซึ่งแบนอนกล่าวว่า 

“มัสก์รู้สึกอ่อนไหวกับประเด็นนี้อย่างมากและนั่นนำไปสู่การกระทบกระทั่งอย่างเปิดเผย โดยมีเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวหลายรายอยู่ในเหตุการณ์ แม้หลังเหตุการณ์ ประธานาธิบดีทรัมป์จะออกมาสนับสนุนเบสเซนต์อย่างชัดเจน แต่เบสเซนต์เองก็ไม่มีท่าทีโกรธเคืองส่วนตัว และยังกล่าวชื่นชมผลงานบางส่วนของมัสก์ในภายหลัง”

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปลายวาระการทำงาน 5 เดือนของมัสก์ในตำแหน่ง “พนักงานพิเศษของรัฐบาล” ซึ่งเขาได้รับมอบหมายให้ทำการตัดลดงบประมาณและยุบหน่วยงานภาครัฐที่ไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ผลงานของเขากลับถูกวิจารณ์อย่างหนักจากทั้งสาธารณชนและรัฐสภา รวมถึงการฟ้องร้องจากกลุ่มสิทธิพลเมืองเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของประชาชนโดยไม่ได้รับความยินยอม นอกจากนี้ ความนิยมส่วนบุคคลของมัสก์ก็ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ของ Tesla และ SpaceX เองก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย

แม้มีกระแสข่าวลือว่ามัสก์ถูกลดบทบาทในรัฐบาลจากกรณีการเข้าถึงข้อมูลลับด้านความมั่นคงและข้อกล่าวหาเรื่องการใช้สารเสพติดระหว่างการหาเสียง แต่ในการแถลงข่าวร่วมกับทรัมป์หลังประกาศลาออก มัสก์กลับกล่าวติดตลกถึงรอยฟกช้ำใต้ตาว่าเกิดจากการเล่นกับลูกชายวัย 5 ขวบ ไม่เกี่ยวกับเหตุวิวาทในทำเนียบขาว 

ด้านโฆษกทำเนียบขาวระบุเพียงว่า “ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติในการทำงานตามนโยบายที่มีเอเนอร์จี้” และทุกฝ่ายยังคงปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนตามเจตนารมณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์

‘ทรัมป์’ โพสต์!! ชมเชย ‘กองกำลังป้องกันประเทศ’ ที่โชว์ผลงาน!! สลายม็อบในแอลเอ อย่างเหี้ยมหาญ

(8 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

#ทรัมป์ ปธน. #สหรัฐฯ โพสต์ข้อความชมเชย #กองกำลังป้องกันประเทศ (National Guard) ที่สลายม็อบใน #แอลเอ อย่างเหี้ยมหาญ ว่า

“กองกำลังป้องกันประเทศทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมในลอสแองเจลิส หลังจากเกิดความรุนแรง การปะทะ และความไม่สงบเป็นเวลาสองวัน เรามีผู้ว่าการรัฐ (นิวส์คัม) และนายกเทศมนตรี (บาสส์) ที่ไร้ความสามารถ ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว (แค่ดูวิธีที่พวกเขาจัดการกับไฟป่า และตอนนี้การอนุญาตที่ล่าช้ามากของพวกเขา ใบอนุญาตของรัฐบาลกลางเสร็จสมบูรณ์แล้ว!) ไม่สามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้”

“การประท้วงของฝ่ายซ้ายสุดโต่งเหล่านี้ โดยผู้ยุยงและมักเป็นผู้ก่อปัญหาที่ได้รับค่าจ้าง รัฐบาลจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น และจากนี้ไป จะไม่อนุญาตให้สวมหน้ากากในการประท้วง คนเหล่านี้ต้องปกปิดอะไร และทำไม???”

“ขอบคุณกองกำลังป้องกันประเทศอีกครั้งสำหรับงานที่ทำได้ดีเยี่ยม"

‘สหรัฐอเมริกา’ เตือน!! ‘เซเลนสกี’ การตอบโต้ของรัสเซีย ยังไม่หยุดแค่นี้

(8 มิ.ย. 68) การยิงขีปนาวุธถล่มเคียฟเมื่อวันศุกร์ยังไม่ใช่การตอบโต้ที่แท้จริง นั่นเป็นเพียงการ "อุ่นเครื่อง" ของรัสเซียก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก

เจ้าหน้าที่สหรัฐคาดว่าจะมีการโจมตีด้วยขีปนาวุธ โดรน และการตอบโต้ที่รุนแรงยิ่งกว่านั้น โดยจะมุ่งเป้าไปที่ศูนย์ข่าวกรองและระบบการป้องกันของยูเครน

สหรัฐยังคาดการณ์ไปถึงการโจมตีเป้าหมายที่เป็นสัญลักษณ์ของยูเครน ซึ่งอาจจะเป็นอาคารของรัฐบาล เพราะจะเป็นการสื่สารจากรัสเซียได้อย่างตรงไปตรงมาว่า "ไม่มีที่ใดปลอดภัยอีกต่อไปในยูเครน"

ขณะที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ เผยว่าเครื่องบินรบของรัสเซียถูกทำลายมากกว่า 10 ลำ จากการโจมตีของโดรนยูเครน 117 ลำ

เทรนด์โลกออนไลน์ นักศึกษาจีนจบใหม่ ตลกร้ายที่อาจดูขำแต่น้ำตาตกใน จุดเปลี่ยนขาลง ของระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม ผลิตบัณฑิต ล้นตลาดแรงงาน

(8 มิ.ย. 68) เข้าสู่ฤดูรับปริญญาของจีน ซึ่งตรงกับช่วงเดือน มิ.ย. - ก.ค. ของทุกปี เป็นช่วงที่จะได้เห็นคอนเทนท์รับปริญญาของนักศึกษาจบใหม่มากมายบนสื่อโซเชียล เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ บนโลก การรับปริญญาเป็นเรื่องที่น่ายินดี สำหรับตัวนักศึกษาจบใหม่เอง หรือจากคนรอบตัวที่แห่แสดงความยินดีในรูปแบบต่าง ๆ กลายเป็นเทรนด์บนโลกโซเชียลมากมายที่สะท้อนสังคมในยุคปัจจุบัน

ยกตัวอย่างเช่นคลิปไวรัลของนักศึกษาจบใหม่ที่ทำคลิปขอบคุณ ChatGPT ที่ช่วยเขาในการทำการบ้าน ที่ถ้าหากผมเป็นนายจ้างหรือเจ้าของบริษัท ก็คงจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าเด็กยุคนี้ใช้ ChatGPT จนเรียนสามารถเรียนจบได้ ถ้างั้นแทนที่เราจะจ่ายเงินจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ เราจ่ายเงินค่า subscribtion รายเดือนให้ ChatGPT ทำงานให้ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ถูกกว่า เร็วกว่า ฟังก์ชั่นกว่า เพราะหากจ้างเด็กจบใหม่ในยุคนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาก็จะใช้ ChatGPT ทำงานให้อยู่ดี

แม้จะเป็นแค่มุกตลก แต่ว่ากันว่ามุกตลกนั้นสะท้อนภาพสังคมในแต่ละยุคสมัยได้เช่นกัน 

ในกรณีที่ยกตัวอย่างตามข้างต้นนี้ สะท้อนภาพเศรษฐกิจสังคมยุคใหม่ และการแทนที่มนุษย์โดย AI 

นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายเทรนด์คอนเทนท์รับปริญญาบนโลกโซเชียล ทั้งในจีนและทั่วโลก ที่สะท้อนสภาพสังคมและปัญหาที่แก้ได้ยาก ยังมีอีกหลายเทรนด์ที่ยังเป็นไวรัลอย่างต่อเนื่องอีกมากมาย….

“To truly laugh, you must be able to take your pain, and play with it.”
“เพื่อที่จะหัวเราะได้อย่างแท้จริง คุณต้องกล้าเอาความเจ็บปวดของคุณมาเล่นกับมันให้ได้”
— Charlie Chaplin

"毕业快乐!欢迎加入美团。"  
“ยินดีด้วยที่เรียนจบ ยินดีต้อนรับสู่เหม่ยถวน (Meituan)”

— หนึ่งในคำโปรยจากวิดีโอสั้นใน Douyin (Tiktok ของจีน) ที่ถูกแชร์นับล้านครั้ง

เนื้อหาในวิดีโอความยาวไม่ถึง 30 วินาที เป็นภาพนักศึกษาจีนหนุ่มคนหนึ่งเดินออกจากพิธีรับปริญญาในชุดครุย เขาหยุดกลางถนน ถอดชุดครุยออก ก่อนจะเผยให้เห็นเสื้อของแพลตฟอร์มส่งอาหาร “Meituan - เหม่ยถวน” อยู่ข้างใน ใส่หมวกกันน็อก หิ้วกระเป๋าส่งของ แล้วหันมายิ้มกล้องพร้อมพูดออกมาว่า “หางานได้แล้ว!”

เทรนด์ดังกล่าวถูกเรียกว่าเทรนด์ “毕业即失业 - เรียนจบแต่ตกงาน” ซึ่งมักปรากฏในรูปแบบของวิดีโอเปลี่ยนชุดครุยเป็นชุดไรเดอร์ พนักงานร้านสะดวกซื้อ หรือแรงงาน Gig economy อื่น ๆ นี่เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงในจีน และจะเป็นกรณีหลักในการวิเคราะห์ของบทความนี้ 

คลิปเหล่านี้ไม่ได้แค่เป็นไวรัล แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ผู้ชมใช้ในการระบาย เช่นคอมเมนต์ทำนองว่า “ฉันก็จบจากมหาวิทยาลัย 985 (คล้าย ๆ กับ Ivy League ในสหรัฐฯ) เหมือนกัน ตอนนี้ส่งอาหารอยู่” คอนเทนท์ในเทรนด์นี้ค่อนข้างหลากหลาย มีผู้คนนำมาดัดแปลงรูปแบบการตัดต่อ ใส่เพลง และวิธีเล่า และไม่ได้มีแค่อาชีพส่งอาหาร ยังมีอาชีพอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นส่วนหนึ่งของคอนเทนท์ในเทรนด์ ตัวอย่างเช่นกรณีหนุ่มเรียนจบมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 ของจีน (จากการจัดอันดับในปี 2024) แต่กลับต้องเป็นคนขายเต้าหู้เหม็น

ซึ่งจริง ๆ เทรนด์การทำคลิปประมาณนี้ก็ฮิตมาถึงที่ไทย ผมเห็นคลิปคนไทยถอดชุดครุยแล้วสวมแจ็กเก็ตแอปสั่งอาหารสีเขียว บ้างก็ขายหมูปิ้ง บ้างก็ใส่ชุดพนักงาน 7-11 แตกต่างกันไป

วิดีโอเหล่านี้ กลายเป็นพื้นที่ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เสียงหัวเราะเป็นเกราะป้องกันความเจ็บปวด และเป็นการสะท้อนปัญหาที่ฝังรากลึกในโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนยุคใหม่ ความตลกกลายเป็นสื่อกลางในการสะท้อนความสิ้นหวัง — หรืออย่างที่นักแสดงตลกชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งอย่าง Charlie Chaplin เคยกล่าวเอาไว้ว่า “To truly laugh, you must be able to take your pain, and play with it. – เพื่อที่จะหัวเราะได้อย่างแท้จริง คุณต้องกล้าเอาความเจ็บปวดของคุณมาเล่นกับมันให้ได้”

หรืออีกหนึ่งเทรนด์ไวรัลที่เรียกว่า “孔乙己文学” (วรรณกรรมข่งอี้จี๋) ซึ่งกลายเป็นคำฮิตในโลกออนไลน์จีนในช่วงปี 2023–2024 โดยพูดถึงตัวละคร “ข่งอี้จี๋” จากเรื่องสั้นของหลู่ซิ่น ซึ่งเป็นชายมีการศึกษา แต่ยากจน ถูกสังคมเย้ยหยัน และไร้ที่ยืน เปรียบเทียบคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา แต่ไม่สามารถหางานที่เหมาะสมได้ 

โดยเยาวชนส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นเพราะโครงสร้างสังคมไม่เปิดทางให้พวกเขา และพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองให้เป็นเรื่องตลกและนำมาทำเป็นคอนเทนท์ประชดสังคม

เทรนด์นี้คือการที่เยาวชนนำเอาเรื่องราวชีวิตของตัวเองมาเขียนเล่าในแบบวรรณกรรม โดยดัดแปลงจากเรื่อง “ข่งอี้จี๋” ใช้ภาษาแบบกวี แต่เล่าให้เป็นเรื่องราวของตัวเอง ใช้ตัวเองเป็นตัวละครหลัก บอกเล่าถึงการเรียนอย่างหนักตั้งแต่เด็กจนจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่สามารถหางานทำได้ ชีวิตมีอุปสรรคมากมาย ทำได้แค่เกาะพ่อแม่กิน แม้ต้องทนได้ยินคำดูถูกจากป้าข้างบ้าน

บางคนเอามาอัดคลิป ลงเสียง ตัดต่อเป็นเรื่องเป็นราว แต่งเป็นเพลงแร็พแสดงความเข้าอกเข้าใจ “ข่งอี้จี่” กลายเป็นสีสันช่วงวันรับปริญญาในปีที่แล้วไป….

“We were poor, but we didn’t know it. Then I got a degree, and I was broke — now I knew it.”
“เราเคยยากจนตอนเด็ก ๆ แต่เราไม่รู้ตัว หลังจากนั้นผมก็ได้ใบปริญญา ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมมันจน”
—Chris Rock

ในอดีต ใบปริญญาถือเป็น "ตั๋วทอง" สู่อนาคตที่มั่นคง โดยเฉพาะในสังคมจีนที่ให้คุณค่ากับการศึกษาอย่างสูง แต่ในยุคที่มหาวิทยาลัยขยายจำนวนรับนักศึกษาอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “การศึกษาสำหรับทุกคน” แต่ในทางกลับกัน ตลาดแรงงานไม่สามารถดูดซับผู้สำเร็จการศึกษาได้เท่าทัน ทำให้การศึกษากลายเป็นสินค้าที่ล้นตลาด

จากรายงาน 2023 China College Graduates Employment Competitiveness Report ของ Tencent Research Institute ระบุว่า ในปี 2023 จีนมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาจำนวน 11.58 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่อัตราการว่างงานในกลุ่มเยาวชนอายุ 16–24 ปีพุ่งสูงถึง 21.3% ในเดือนมิถุนายน 2023 การสำรวจยังพบว่า 64% ของนักศึกษาจีนต้องการทำงานในภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ชี้ให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่สนใจอาชีพที่ให้ความมั่นคง มากกว่าอาชีพที่ให้ความมั่งคั่งแต่การแข่งขันสูง

ซึ่งหากมองให้สอดคล้องกับยุคสมัยนั้น สองตัวแปรสำคัญที่ควรนำมาตั้งคำถามเพื่อศึกษาปัญหาปัญหานี้ คือเรื่องระบบการศึกษา และกระแสความต้องการของตลาดแรงงาน

ประเด็นคน “จบปริญญา” แต่ทำงาน “รายได้ต่ำ” หรือการที่ผู้สำเร็จการศึกษาจำนวนมากต้องประกอบอาชีพที่ไม่ได้สอดคล้องกับสาขาที่เรียนมา ไม่ใช่เพราะขาดความสามารถ แต่เพราะตลาดแรงงานมีข้อจำกัดในการรองรับทักษะและความหลากหลายของแรงงานในยุคเปลี่ยนผ่าน ในขณะเดียวกัน ระบบการศึกษาเองก็ไม่ได้ผลิตบุคคลากรที่ตรงกับความต้องการตลาดเสมอไป

รายงานของ Tencent Research Institute ระบุถึงความคาดหวังของบัณฑิตรุ่นใหม่ว่าบัณฑิตระดับปริญญา บัณฑิตระดับปริญญาตรีคาดหวังเงินเดือนเริ่มต้นเฉลี่ย 10,792 หยวน (ประมาณ 50,000 บาท) ต่อเดือน

ในรายงานยังระบุอีกว่า ความต้องการบัณฑิตระดับปริญญาเอกเพิ่มขึ้น 202.1% และปริญญาโทเพิ่มขึ้น 142.6% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม ความต้องการสำหรับบัณฑิตระดับอนุปริญญาหรือต่ำกว่าลดลงเกือบ 40% 

ส่วนความต้องการบัณฑิตระดับปริญญาตรีในตำแหน่งงานใหม่เพิ่มขึ้นจาก 28.8% ในปี 2021 เป็น 42.9% ในปี 2023 ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มที่ตลาดแรงงานยังคงให้ความสำคัญกับบัณฑิตระดับปริญญาตรี

หากเป็นยุคสมัยก่อน สาขาอย่างเช่น วรรณกรรม ปรัชญา ประวัติศาสตร์ การจัดการ ภาษาศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นสาย Social/Humanities ผู้ที่จบสาขาเหล่านี้อาจถูกมองว่าเป็นปัญญาชน หารายได้ได้มากกว่าชนชั้นแรงงาน แต่ในปัจจุบัน คนที่เรียนจบจากสายสังคม แม้จะมีความรู้รอบด้าน มีทักษะการสื่อสารที่แข็งแรง แต่ขาดทักษะและความเชี่ยวชาญในการสร้างหรือผลิตสินค้าตลาดใหม่หรือและบริการด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงในปัจจุบัน

เมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลในตลาดแรงงานของจีน จะพบว่าสาขาที่มีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่องคือสาย STEAM ได้แก่ Science, Technology, Engineering, Arts และ Mathematics โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science), เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech), วิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Automation)

จากรายงานของ Tencent ยังมีการระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เสนอเงินเดือนระดับเริ่มต้นให้กับนักศึกษาจบใหม่ในสาย Data Science สูงถึง 20,000 หยวนต่อเดือน ในขณะที่สาย Humanities ได้เริ่มต้นเฉลี่ยเพียง 6,000–8,000 หยวน แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของตลาดแรงงาน โดยมีความต้องการสูงในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะที่สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มีความต้องการลดลง

ผลกระทบของความไม่สมหวังทางวิชาชีพของเหล่าเด็กจบใหม่ กลายเป็นกระแสที่คนรุ่นใหม่เริ่มลดแรงจูงใจในการแสวงหาความก้าวหน้า และเข้าสู่โหมด "躺平" (นอนราบ) หมายถึง การใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หลีกเลี่ยงการแข่งขัน ไม่พยายามไล่ตามมาตรฐานความสำเร็จตามระบบ เช่น ไม่ซื้อบ้าน ไม่แต่งงาน ไม่ทำงานหนัก หรือโหมด "摆烂" (ปล่อยให้พัง) ซึ่งเป็นการยอมแพ้แบบประชดตัวเอง คือแม้รู้ว่าทุกอย่างกำลังแย่ ก็ไม่พยายามจะแก้ไขอีกแล้ว คล้าย ๆ กับการ “ปล่อยวางแบบขมขื่น”

"They say follow your dreams. So I went back to bed."
"เขาบอกให้ทำตามความฝัน… งั้นฉันก็เลยกลับไปนอนต่อ"
— Some viral Internet meme

ในทางทฤษฎี คำถามสำหรับตลาดแรงงานในวันนี้คือ : เป็นเพราะ “เศรษฐกิจไม่ดี” หรือ “เทคโนโลยีแย่งงาน” ที่ทำให้ความต้องการนักศึกษาจบใหม่ในตลาดแรงงานลดลง ?

คำตอบคือ : ทั้งสองอย่างผสมกัน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

แน่นอนว่าปัญหาในภาพรวมเกิดขึ้นจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัว และความล้ำหน้าของเทคโนโลยีที่สามารถแทนที่แรงงานบางประเภทได้แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องของโครงสร้างตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วมากในปัจจุบัน เราอาจอาจเลือกเรียนในคณะหรือสาขาที่คิดว่ามีความสำคัญและหาเงินได้ แต่ภายใน 4 ปีที่เรียนนั้น เกิดนวัตกรรมใหม่ที่ส่งผลต่อตลาด ทำให้คณะหรือสาขาที่เลือกเรียนไปมีความสำคัญน้อยลง ความรู้จากการเรียน 4 ปีที่ผ่านมาอาจไม่สำคัญอีกต่อไป ในจุดนี้ เป็นสิ่งที่ต้องนำไปตั้งคำถามต่อกับระบบการศึกษาที่ผลิตบุคคลากรป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน

อีกหนึ่งคำถามสำคัญ : “เรียนจบแล้วหางานไม่ได้” – แล้วการระบบศึกษายังสำคัญอยู่หรือไม่ ?

คำตอบคือ : ยังสำคัญอยู่ แต่ไม่ใช่ในแบบเดิม 

กล่าวคือ ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อ “ได้ใบปริญญา” แต่ต้องเรียนเพื่อ “พัฒนาทักษะ + ความสามารถที่ตลาดต้องการ”

แม้ระบบการเรียนเพื่อ “ได้ใบปริญญา” ซึ่งเน้นวิชาการ ท่องจำ และการวัดผลตามระบบ จะเคยตอบโจทย์ในอดีต เพราะด้วยโครงสร้างทางสังคม จำนวนคนเรียนสูงยังไม่มาก คนมีปริญญาจึง “มีค่าหายาก” ในจังหวะที่ เศรษฐกิจขยายตัว สร้างตำแหน่งงานใหม่ ต้องการคนมีความรู้จำนวนมาก

แต่ในปัจจุบัน เกิด “academic inflation” การมีใบปริญญากลายเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ เขาก็มีกัน ในขณะที่เศรษฐกิจก็ชะลอตัว ตำแหน่งงานลดลง เทคโนโลยีก้าวหน้า แต่การแข่งขันก็ยังสูง ทำให้ตลาดต้องการคนที่ “ทำได้จริง” ไม่ใช่แค่ “สอบได้ดี”

สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่ “คุณค่าของความรู้” แต่คือ “วิธีเรียนรู้” และ “สิ่งที่ต้องรู้” ที่จะต้องเน้นภาคปฏิบัติมากขึ้น ที่สำคัญ คือต้องไม่สอนให้เด็กเป็น “เครื่องมือของระบบเดิม”

ในส่วนนี้ รัฐบาลจีนพยายามใช้นโยบายปฏิรูปการศึกษาด้วยแนวคิด Key Competencies-Based Education Reform และ TVET Reform สนับสนุนให้นักศึกษาได้มีโอกาสฝึกงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มประสบการณ์ในสนามจริง ทั้งยังส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะข้ามสาย เพื่อรับมือกับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงความต้องการทางทักษะอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ให้เด็กมีความสามารถในการแก้ปัญหาใหม่ ๆ พร้อมปรับตัวกับอาชีพที่ยังไม่เคยมีในโลกวันนี้

อีกหนึ่งคำถามที่สำคัญคือ ประเทศไทยสามารถถอดบทเรียนจากเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง ? เพราะจริง ๆ แล้วทั่วโลก รวมถึงเราเองก็เผชิญกับปัญหาในลักษณะที่คล้ายกัน อาจต่างกันในเชิงบริบท แต่ในเมื่อใจความสำคัญของระบบการศึกษาคือการสร้างบุคคลากรที่มี “ทักษะ” (skill) แล้วทักษะไหนสำคัญที่สุด ระหว่าง “ทักษะแข็ง” (hard skills) ที่เน้นความสามารถเชิงเทคนิค หรือ “ทักษะอ่อน” (soft skills) ที่เน้นความสามารถทางสังคมและการสื่อสาร ?

ส่วนตัวผม ไม่ว่าจะทักษะไหนก็สำคัญทั้งนั้น แต่ในวันนี้ มีอีกหนึ่งทักษะที่ต้องบรรจุเพิ่มเข้าไปใน capacity ของคนรุ่นใหม่ นั่นก็คือ “ทักษะระดับเหนือ” หรือ “ทักษะกรอบใหญ่” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Meta Skills” ซึ่งนอกจากจะเน้นเรื่องการเรียนรู้ด้วยตนเอง ยังต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความล้มเหลว การรู้จักตัวเอง การรู้จุดแข็ง จุดอ่อน สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ รวมถึงความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์ใหม่ ความสามารถและเจตจำนงในการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life long learning) และความเชื่อว่าความสามารถสามารถพัฒนาได้ (Lifelong Learning)

โดยสรุป แม้ว่าวิดีโอแนวไวรัลที่เปลี่ยนจากชุดครุยเป็นเสื้อไรเดอร์จะดูขบขันในแวบแรก แต่มันสะท้อนเสียงเงียบของคนรุ่นใหม่ที่ตั้งคำถามถึงระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ความหวังที่เคยผูกไว้กับการเรียนสูงเริ่มสั่นคลอน กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จีนเองก็จำเป็นต้องปฏิรูปหลักสูตร ส่งเสริมความยืดหยุ่นในการแนะแนวอาชีพ 

ที่สำคัญ คือต้องสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคม โดยลดทัศนคติแบบ “มีปริญญา = ประสบความสำเร็จ” และให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในสนามจริงที่เป็นที่ต้องการในปัจจุบัน

"The only thing that interferes with my learning is my education."
"สิ่งเดียวที่ขัดขวางการเรียนรู้ของฉันคือการศึกษา"
— Albert Einstein

สหรัฐฯ ส่งทีมตรวจสอบบัญชีถึงเคียฟ ตรวจการใช้งบช่วย ‘ยูเครน’ ทุกดอลลาร์

(7 มิ.ย. 68) ทีมผู้ตรวจสอบบัญชีจากสหรัฐฯ ได้เดินทางถึงกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เพื่อดำเนินการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินช่วยเหลือด้านการทหารและมนุษยธรรมที่สหรัฐฯ มอบให้ยูเครนอย่างต่อเนื่อง โดยพวกเขาวางแผนจะพักอยู่ในเคียฟจนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้

การตรวจสอบนี้มีเป้าหมายเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบว่าการใช้จ่ายเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ สำนักงานผู้ตรวจการทั่วไปของ USAID ได้ดำเนินการตรวจสอบและให้คำแนะนำเกี่ยวกับความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ต่อยูเครน

นอกจากนี้ สำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐฯ (GAO) ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการกำกับดูแลความช่วยเหลือที่มอบให้ยูเครน โดยระบุว่าจำเป็นต้องมีการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายอย่างเข้มงวด

การดำเนินการตรวจสอบดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการรับรองว่าความช่วยเหลือที่มอบให้ยูเครนถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เพื่อสนับสนุนความพยายามของยูเครนในการรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top