Friday, 19 April 2024
WORLD

วิเคราะห์ 'จีน-สหรัฐฯ' วัดพลัง ‘รถยนต์บินได้’ คลื่นลูกใหม่โลกยานยนต์ ลุ้นได้ใช้ปี 2025

แม้จะยังถกเถียงว่ารถยนต์สันดาปจะหมดไป รถยนต์ไฟฟ้าจะมา หรือรถยนต์ไฮโดรเจนจะยั่งยืนกว่า? แต่ยังไม่ทันที่คำถามนี้จะหาข้อสรุปได้ก็ได้เกิดคลื่นลูกใหม่ที่กำลังเริ่มต้นก่อตัวขึ้นกับ ‘รถยนต์บินได้’ เมื่อคำนิยามของการเดินทางบนท้องถนนอาจรวมถึงถนนล่องหนเหนือหัวเราอย่างอากาศเสียแล้ว?

(4 เม.ย. 67) Business Tomorrow รายงานว่า ก่อนหน้านี้ 'อเลฟ แอโรนอติก' (Alef Aeronautic) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัปภายใต้ร่มเงาของสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ของเจ้าของบริษัทรถยนต์ดังอย่างเทสล่าอย่างอีลอน มัสก์ เพิ่งมีการเปิดจองรถยนต์บินได้อย่าง อเลฟ โมเดลเอ (Alef Model A) เมื่อต้นมีนาคมที่ผ่านมาไปถึง 2,850 คันแล้ว โดยโมเดลเอจะมีราคาเพียง 300,000 ดอลลาร์ หรือราว 11 ล้านบาท ราคาพอ ๆ กับซุปเปอร์คาร์หนึ่งคันได้เลยในบ้านเรา

แต่ในเวลาไม่นาน คู่แข่งคู่กัดในประเทศจีนอย่าง เสี่ยวเผิง (Xpeng) คู่แข่งสำคัญเทสล่าได้แจ้งบริษัทลูกอย่าง 'แอร็อต' (AeroHT) ได้ออกรายงานว่าบัดนี้ ‘รถยนต์บินได้’ ของพวกเขาได้รับการประตรารับรองจากสำนักงานการบินพลเรือนของจีนตอนกลางและตอนใต้ของจีน นั่นหมายความว่าอีกไม่นาน เสี่ยวเผิงจะผลิตรถยนต์บินได้ออกตามมาติด ๆ กับของฝั่งอเมริกา

และนี่อาจจะไม่ใช่การรอคอยที่เนิ่นนานอะไรมาก ทางฝั่งสหรัฐฯ อย่างอเลฟพร้อมส่งมอบโมเดลเอและพร้อมออกวิ่ง (และบิน) ได้ในปี 2025 หรือภายใน 1 ปีหน้า ส่วนทางเสี่ยวเผิง หากไม่มีข้อติดขัดอะไร จะมีการส่งมอบแอร็อตถึงมือลูกค้าภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025

ทั้งนี้ หากลองดูสเปคคร่าว ๆ จากเจ้าสองโมเดลจากสองขั้วบนโลกนี้จะพบว่า...

📌 อเลฟ โมเดลเอ (Alef Model A) จาก อเลฟ แอโรนอติก

- ที่นั่ง 4 ที่นั่ง
- ตัวถังหุ้มใบพัดหมุนสำหรับบินด้านในตัวรถและช่วยให้มีลมหมุนเวียนข้างในรถยนต์
- ใช้ใบพัดทั้ง 8 ใบทั้งหน้าและหลังในการบิน
- โหมดรถจะมีความเร็ว 37-54 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- โหมดบินมีความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

📌 เอ็กซ์ทรีเอฟ (X3-F) จาก แอร็อต

- ที่นั่ง 4 - 5 ที่นั่ง
- แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือโมดูลภาคพื้นดินและทางอากาศ
- เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 6 ล้อ ขับเคลื่อนทั้งหกล้อ
- ยังไม่เปิดเผยความเร็วทั้งสองโหมด
- โหมดการบินจะต้องประกอบโมดูลบิน มีใบพัด 6 ใบรวมถึงท่อไอพ่น 2 ท่อ

นอกจากสองฝั่งจากสหรัฐฯ และจีนแล้ว ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่มองไปในการพัฒนารถยนต์บินได้อย่าง Joby Aviation จากสหรัฐฯ ซึ่งก็ได้มีการร่วมมือกับทางเกาหลีใต้อย่างยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี SK Telecom ที่คาดว่าจะออกบินแท็กซี่นี้ได้ช่วงปี 2025 และ Lilium จากเยอรมันที่กำลังพัฒนาแท็กซี่แบบบินได้ 

เห็นท่าอย่างนี้ ไม่พ้นปีหน้า ก็คงจะได้ยลโฉมรถบนฟ้าแบบที่เคยเห็นในภาพยนตร์แน่นอน

เมื่อไทยกำลังกลายเป็นประเทศ NATO เต็มตัว หากยังไม่หยุดตามรอย ‘ฮิตเลอร์-เซเลนสกี’

จริงหรือที่ไทยเรากำลังจะกลายเป็นประเทศ NATO 

อันที่จริงประเทศไทยของเรามีสถานะเป็น ‘ชาติพันธมิตรหลักนอกกลุ่มนาโต’ (Major Non-NATO Ally: MNNA) ตั้งแต่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) โดยในระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของ George W. Bush ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ได้ประกาศให้ไทยมีสถานะดังกล่าว 

แต่การได้รับสถานะดังกล่าวนี้ ไม่ได้หมายถึงการมีหลักประกันด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศร่วมกันเช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ มีกับประเทศสมาชิก NATO แต่อย่างใด เป็นเพียงการแสดงให้เห็นถึงความสําคัญที่สหรัฐฯ ให้ความสัมพันธ์ในลักษณะพันธมิตรกับประเทศไทยในช่วงศตวรรษที่ 21 อันมาจากการที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรได้ส่งทหารไทยไปร่วมปฏิบัติการทั้งในอัฟกานิสถาน (กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน) และอิรัก (กองกำลังเฉพาะกิจปฏิบัติการเพื่อมนุษยธรรม 976 ไทย/อิรัก)

สำหรับ NATO เป็นชื่อย่อที่เรียกกันโดยทั่วไปของ ‘องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ’ (North Atlantic Treaty Organization: NATO) ซี่งก่อตั้งเมื่อ 4 เมษายน พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) โดย สหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ ในยุโรปรวม 12 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, เบลเยียม, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, ไอซ์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์ และโปรตุเกส ที่ได้ร่วมกันลงนามในสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (The North Atlantic Treaty) ก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือ ‘นาโต’ ขึ้นในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมในปีเดียวกัน 

วัตถุประสงค์เริ่มแรกก่อตั้ง คือ เพื่อจัดตั้งระบบพันธมิตรทางทหารในการถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ (อดีตสหภาพโซเวียต) และให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกในกรณีที่ประเทศสมาชิกถูกคุกคามจากภายนอก ตลอดจนส่งเสริมความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ 

ปัจจุบัน NATO ประกอบด้วย 34 ชาติสมาชิก โดยได้ปฏิบัติการออกนอกเขตพื้นที่ของชาติสมาชิกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอัฟกานิสถาน, ลิเบีย และมีแผนที่จะเปิดสำนักงานติดต่อของ NATO ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นภายในปีนี้

ย้อนกลับมาที่ไทย ความหมายของ NATO ที่ไทยกำลังเป็นอยู่ในที่นี้นั้น มิได้หมายถึง NATO หรือ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือแต่อย่างใด หากแต่ความหมายของ NATO ที่ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่หมุดหมายดังกล่าวก็คือ NATO ที่ย่อมาจากคำว่า No Action, Talk Only ซึ่งแปลเป็นไทยว่า ‘ไม่ทำอะไรสักอย่าง เอาแต่พูดอย่างเดียว’ 

ด้วยเพราะผู้คนในสังคมไทยยุคนี้ส่วนหนึ่งมีความเชื่อถือศรัทธาในบรรดานักพูด นักแซะ ซึ่งมาแต่มีเพียงประสบการณ์เป็นนักคิด (ผิด ๆ ถูก ๆ) นักพูด (เอามัน เอาฮา เอาสนุก) แต่ไม่เคยทำงานอะไรในภาคปฏิบัติให้เห็นผลสำเร็จอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเลย เรื่องราวเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วมากมายหลายครั้งบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น Adolf Hitler ที่สามารถยุยงปลุกปั่นพลเมืองชาวเยอรมันที่มีคุณภาพในลำดับต้น ๆ ของโลกให้ต้องหลงใหล คลั่งไคล้ ชนิดที่โงหัวไม่ขึ้น ตั้งแต่การสร้างพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน (พรรค NAZI) ทั้งการปลูกฝังเด็ก ๆ เยอรมันในยุคนั้นให้เป็น ‘ยุวชนฮิตเลอร์’ (Hitler Youth หรือ Hitlerjugend) และพาเยอรมันเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งพ่ายแพ้ เยอรมันเสียหายย่อยยับและต้องถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศคือ เยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก ต้องใช้เวลารอคอยยาวนานกว่า 40 ปี (ค.ศ. 1949-1990) ก่อนที่จะสามารถกลับมาร่วมเป็นชาติเดียวได้อีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1990 

แม้แต่ ยูเครน ในปัจจุบันที่ถูกชาติตะวันตกหลอก ด้วยการเอา ‘โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี’ (Volodymyr Zelenskyy) ผู้มีอาชีพนักแสดงตลกและเจ้าของบริษัทโปรดักชัน Kvartal 95 ซึ่งผลิตภาพยนตร์ การ์ตูน และรายการทีวี รวมถึงซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Servant of the People ซึ่ง Zelenskyy เองรับบทเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ระดับมัธยมปลาย และในบทตัวเขาก็ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครนด้วย 

ซีรีส์ดังกล่าวซึ่งได้ออกอากาศตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2019 ได้รับความนิยมอย่างมาก จนกระทั่ง Servant of the People พรรคการเมืองชื่อเดียวกับซีรีส์นี้ ก็ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม 2018 โดยพนักงานของ Kvartal 95 

ความนิยมในตัวเขาจากบทบาท รวมถึงซีรีส์โทรทัศน์เรื่องนี้ ทำให้ชาติมหาอำนาจตะวันตก นำเขามาเป็นหุ่นเชิดและเครื่องมือกระทั่งกลายเป็นประธานาธิบดียูเครนจริง ๆ หากแต่ประธานาธิบดีในภาพยนตร์โทรทัศน์กับโลกแห่งความเป็นจริงแตกต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว เมื่อเขาดึงดันที่จะท้าทายกับรัสเซียจนเกิดสงครามยื้อเยื้อ และกำลังทำให้ยูเครนต้องพินาศย่อยยับ จนไม่อาจที่จะฟื้นคืนสภาพของบ้านเมืองที่เสียหายอย่างหนักภายใน 10-20 ปีนี้ได้ อีกทั้งต้องกลายเป็นลูกหนี้ต่างชาติจนไม่น่าจะใช้คืนได้ในอีกไม่ต่ำกว่า 50 ปีข้างหน้า

เหล่านี้คือ ตัวอย่างของนักการเมืองที่นำพาประเทศชาติไปสู่ความเป็นประเทศ NATO: No Action, Talk Only ของแท้ที่มีให้เห็น 

ดังนั้นพอหันมามองสังคมไทยในยุคนี้ ยุคที่ไทยเต็มไปด้วยกลุ่มชนที่มีความรู้ มีตรรกะ มีเหตุผล มีความสามารถในการพินิจพิจารณาใคร่ครวญในข้อเท็จจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หากแต่กลับมาตกหลุมในกับดักของเหล่าบรรดานักสังคมศาสตร์ ซึ่งถนัดแต่การปั้นแต่งคำ สร้างวาทกรรมที่บ่มเพาะความแตกแยก เกิดเป็นบรรทัดฐานความเชื่อในเรื่องผิด ๆ ว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และทำให้สังคมเชื่อว่า สิ่งที่ถูกต้องดีงามกลายเป็นเรื่องผิด ๆ ล้าสมัย ฯลฯ 

ท้ายสุดก็หนักถึงขั้นพยายามอย่างหนัก เพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงของบ้านเมือง โดยเฉพาะสถาบันหลักที่สำคัญของชาติ ซึ่งหากวันนี้คนไทยยังคงเป็น ‘ไทยเฉย’ ไม่พูด ไม่ทำ เป็นพวก NTNA : No Talk, No Action ในที่สุดแล้วประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ซึ่งเหล่าชาติมหาอำนาจตะวันตกกำลังจ้องเล็งที่จะเข้ามามีบทบาทในการชี้นำและครอบงำรัฐบาลบ้านเรา ให้ตั้งอยู่ในตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ตามที่พวกเขาต้องการในหมุดภูมิภาคนี้ ประเทศชาติอันเป็นที่รักของเราก็จะกลายเป็นประเทศ NATO: No Action, Talk Only ไปจริง ๆ 

ถึงเวลานั้นแล้วก็คงยากเกินกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้อีก 

‘ญี่ปุ่น’ เสนอแผนฆ่า ‘กวางนารา’ ในเขตกันชน แก้ปัญหา ‘กวางอดอยาก-บุกรุกฟาร์มเกษตรกร’

(3 เม.ย.67) กวางแห่งนารา เมืองท่องเที่ยวชื่อดังของภูมิภาคคันไซในประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองมายาวนานในฐานะผู้ส่งสารจากสวรรค์ และเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สัญลักษณ์ประจำเมือง แต่จังหวัดนาราวางแผนที่จะขยายพื้นที่ที่สามารถกำจัดได้

ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันสัปดาห์ที่ผ่านมา โอกิมาสะ มุราคามิ ประธานคณะกรรมการที่กำลังศึกษาแผนการคุ้มครองและการจัดการกวาง ได้นำเสนอแผนการอนุญาตให้กวางถูกฆ่าได้ใน ‘เขตกันชน’

ในขณะที่กวางป่าได้รับการคุ้มครองภายในและรอบ ๆ สวนนารา จำนวนประมาณ 180 ตัวถูกฆ่าทุกปีในเขตควบคุม และนอกพื้นที่คุ้มครอง เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างความเสียหายต่อพืชผลของเกษตรกร

ที่ผ่านมา เมืองนาราแบ่งพื้นที่ดูแลกวางออกเป็น 3 เขต ได้แก่ เขตคุ้มครอง เขตกันชน และเขตควบคุม ซึ่งระหว่างพื้นที่เขตคุ้มครองกับเขตควบคุม มีเขตกันชนซึ่งกวางไม่สามารถฆ่าได้ แต่จะถูกจับทั้งเป็น แล้วนำไปเลี้ยงไว้ในบริเวณที่มีรั้วกั้นภายในสวนนารา

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดสมาชิกคณะกรรมการจะพิจารณาเงื่อนไขและมาตรฐานในการอนุญาตให้กวางถูกคัดแยกในเขตกันชน โดยเชื่อว่าจะได้รับความเข้าใจจากสาธารณชนเกี่ยวกับนโยบายใหม่นี้ หากได้รับการอธิบายอย่างละเอียด

เพราะขณะนี้กวางที่จับได้ประมาณ 270 ตัวกำลังได้รับการดูแลในพื้นที่รั้วโดยมูลนิธิอนุรักษ์กวางนารา โดยสัตวแพทย์ของมูลนิธิได้แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วว่า กวางหลายตัวในศูนย์แห่งนี้ผอมแห้งหรือตายลงเนื่องจากขาดอาหาร

เมื่อปลายปีที่แล้ว มาโกโตะ ยามาชิตะ ผู้ว่าราชการเมืองนารากล่าวว่า จังหวัดไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการขยายพื้นที่ที่สามารถกำจัดกวางได้ เพื่อลดจำนวนกวางที่ถูกเลี้ยงไว้

ตำนานเล่าว่าเทพแห่งศาลเจ้าคะสุงะ ไทฉะ ซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะนารา มีกวางศักดิ์สิทธิ์เป็นพาหนะ กวางในพื้นที่เดิมของเมืองนารา จึงถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติและได้รับการคุ้มครองมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1957

ชาว X ลือสนั่น!! มือเผาอัลกุรอาน เป็นศพในนอร์เวย์ ด้านชาวเน็ตสงสัย หรือเก็บตัวเงียบรอเผาคัมภีร์ออกสื่ออีกครั้ง

ข่าวลือสนั่นโลกโซเชียลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คือข่าวการเสียชีวิตของ นาย ซาลวัน โมมิกา ชายชาวอิรัก ผู้ลี้ภัยในสวีเดน ที่ก่อเหตุหยามหัวใจชาวโลกอิสลามด้วยการประท้วง เผาคัมภีร์อัลกุรอานออกสื่อ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านศาสนาอิสลาม และเชิดชูสิทธิเสรีภาพทางการพูด 

แต่เมื่อวันอังคาร (2 เม.ย.67) ที่ผ่านมาสำนักข่าวในโซเชียลต่างออกมาแชร์ข้อมูลว่า พบนายซาลวัน โมมิกา เสียชีวิตแล้วในประเทศนอร์เวย์ ที่เขาเพิ่งทำเรื่องลี้ภัยจากสวีเดน เนื่องจากถูกกดดันจากทางการสวีเดนที่กำลังดำเนินการเนรเทศเขาออกนอกประเทศจากการเคลื่อนไหวที่สร้างความโกรธแค้นจากสังคมอิสลามอย่างมากเป็นวงกว้าง 

แม้ในตอนนี้ยังไม่มีข่าวยืนยันอย่างเป็นทางการจากนอร์เวย์ว่า นาย ซาลวัน โมมิกา เสียชีวิตจริงตามข่าวหรือไม่ แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จากเจ้าตัว ทั้งการปรากฏตัวในที่สาธารณะ และ ในโซเชียล เพื่อเป็นการสยบข่าวลือว่าตัวเขายังมีชีวิตอยู่แต่อย่างใด 

ดังนั้น การหายตัวไปของ ซาลวัน โมมิกา มือเผาอัลกุรอาน ยังคงเป็นปริศนา

ซาลวัน โมมิกา ปัจจุบันวัย 37 ปี เป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลามชาวอิรัก แต่เดิมระบุว่าตนเป็นชาวคริสเตียน เนื่องจากเกิดในครอบครัวชาวคริสต์ในอิรัก ต่อมาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกองกำลังติดอาวุธ Popular Mobilization Forces ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอิหร่าน เพื่อต่อต้านกลุ่มก่อการร้าย ISIS และต้านอิทธิพลของสหรัฐฯ ในพื้นที่ 

แต่ทว่า ซาลวัน โมมิกา มีทัศนคติที่ต่อต้านศาสนาอิสลามอย่างรุนแรง ทำให้เขาอยู่ในอิรักไม่ได้ ในปี 2018 จึงทำเรื่องลี้ภัยมาอยู่ในสวีเดน และประกาศตนเป็นนักเสรีนิยมผู้ไร้ศาสนา แต่สื่อหลายสำนักให้คำจำกัดความเขาว่าเป็นกลุ่มต่อต้านอิสลามหัวรุนแรง 

เหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อของนาย ซาลวัน โมมิกา กลายเป็นที่รู้จักอย่างมาก คือการเผาคัมภีร์อัลกุรอาน หน้าสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในกรุงสตอกโฮล์ม เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2566 สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวมุสลิมทั้งในสวีเดน และทั่วโลก จนถึงกับมีการรวมกลุ่มประท้วงที่หน้าสถานทูตสวีเดนในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสวีเดนส่งตัวนาย ซาลวัน โมมิกา กลับมาลงโทษในข้อหาดูหมิ่นศาสนา 

แต่นั่นไม่อาจหยุดการกระทำของซาลวัน โมมิกา ได้ เขาได้เผาคัมภีร์อัลกุรอาน โชว์ออกสื่ออีกหลายครั้ง รวมทั้งแสดงการดูหมิ่นด้วยการเหยียบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม ฉีก ทำลายหนังสือ หรือละเลงเนื้อเบคอนลงบนอัลกุรอาน  

ถึงแม้ว่าสวีเดนจะเป็นประเทศเสรี แต่ก็ใช่ว่าชาวสวีเดนจะเห็นชอบกับสิ่งที่ซาลวัน โมมิกา ทำ ที่แสดงถึงการคุกคามศรัทธาและความเชื่อของคนอื่น อีกทั้งยังสร้างความวุ่นวาย ชักศึกเข้าบ้าน ที่ทำให้ชาวสวีเดนส่วนใหญ่รู้สึกไม่สบายใจ เป็นผลให้รัฐบาลสวีเดนเพิกถอนสิทธิ์ผู้ลี้ภัยของเขาในเวลาต่อมา และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาส่งตัวนาย ซาลวัน โมมิกา ไปยังประเทศที่ 3 ที่ไม่ใช่อิรัก 

ซึ่งล่าสุด ซาลวัน โมมิกา เพิ่งออกมาโพสต์ใน X เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 67 ที่ผ่านมาว่าตัวเขาได้เดินทางออกจากสวีเดน ไปลี้ภัยในประเทศนอร์เวย์เรียบร้อยแล้ว โดยได้ยื่นคำร้องขอสิทธิ์คุ้มครองผู้ลี้ภัยที่นั่น เนื่องจากรัฐบาลสวีเดนไม่ต้อนรับผู้ลี้ภัยที่เป็นนักปรัชญา และ นักคิดผู้มีปัญญา แต่กลับไปรับผู้ลี้ภัยที่เป็นผู้ก่อการร้ายแทน อีกทั้งกล่าวหารัฐบาลสวีเดนที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของชาวสวีเดนที่แท้จริง และยืนยันจะเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านอุดมการณ์อิสลามต่อไป แม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

ซึ่งนั้นเป็นความเคลื่อนไหวในโซเชียลครั้งสุดท้าย ก่อนจะมีข่าวลือสะพัดว่าพบตัวนาย ซาลวัน โมมิกา กลายเป็นศพซะแล้ว ในนอร์เวย์ 

แต่เรื่องทั้งหมดยังคงเป็นเพียงข่าวลือ เมื่อสื่อต่างประเทศได้สอบถามไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ สำนักงานตำรวจในนอร์เวย์ ก็ยังไม่พบข้อมูลผู้เสียชีวิตที่มีชื่อว่า ซาลวัน โมมิกา แต่อย่างใด 

ดังนั้น ข่าวลือของชาว X อาจเป็นเพียงการเล่นตลกในเทศกาลวันโกหก หรือเป็นการสาปส่งล่วงหน้า ในช่วง ซาลวัน โมมิกา ยังต้องเก็บตัวเงียบเพื่อรอการพิจารณาคำร้องขอลี้ภัยในนอร์เวย์ หรือเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง จนกว่าจะพร้อมเผาคัมภีร์ออกสื่ออีกครั้ง 

‘จีน’ ยินดีช่วยเหลือ ‘ไต้หวัน’ หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว พร้อมเห็นใจเพื่อนร่วมชาติที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้

(3 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จูเฟิ่งเหลียน โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันแห่งคณะรัฐมนตรีจีน เปิดเผยว่าแผ่นดินใหญ่กำลังติดตามเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.3 ตามมาตราแมกนิจูด และสถานการณ์ภัยพิบัติในไต้หวันอย่างใกล้ชิด และยินดีจัดสรรความช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ

จูเฟิ่งเหลียน กล่าวว่า แผ่นดินใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวในไต้หวันเป็นอย่างมาก และขอแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมชาติชาวไต้หวันที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้อย่างจริงใจ

อนึ่ง ศูนย์เครือข่ายแผ่นดินไหวแห่งประเทศจีนรายงานการเกิดเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.3 ตามมาตราแมกนิจูด บริเวณน่านน้ำใกล้กับเมืองฮวาเหลียนบนเกาะไต้หวัน ตอน 07.58 น. ของวันพุธ (3 เม.ย.) ตามเวลาปักกิ่ง ซึ่งเกิดอาฟเตอร์ช็อกหรือแผ่นดินไหวตามอีกหลายครั้งด้วย

ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ ‘อิสราเอล’ หลังลาก ‘อิหร่าน’ เข้ามาอยู่ในวงสงคราม


ถ้อยแถลงประณามการโจมตีอันโหดร้ายของอิสราเอลต่อสถานเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ณ กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย ของกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน

กลายเป็นประเด็นลุกลามขึ้นมาในโลกทันที หลังจากกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ได้ประณามการโจมตีด้วยขีปนาวุธของ ‘รัฐบาลอิสราเอล’ อย่างผิดกฎหมายที่อาคารส่วนกงสุลของสถานทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในกรุงดามัสกัส ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงที่สุด ในตอนเย็นของวันจันทร์ที่ 1 เมษายน 2024

นั่นก็เพราะการโจมตีแบบกำหนดเป้าหมายในสถานที่ทางการทูตแห่งนี้ ซึ่งมีที่ปรึกษาทางทหารด้านต่อต้านการก่อการร้ายของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านหลายคนพักอาศัยอยู่ โดยทุกคนนั้นยังได้รับความคุ้มครองทางการทูต ภายหลังกำลังเข้าร่วมพิธีละศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ในอาคารดังกล่าว

ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การโจมตีที่น่ารังเกียจและน่าอับอายนี้ จะเป็นการละเมิดเอกสิทธิและความคุ้มกันของเจ้าหน้าที่ทางการทูตและสถานที่ โดยเฉพาะสถานทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านในกรุงดามัสกัส และละเมิดกฎระเบียบระหว่างประเทศอย่างชัดเจน รวมถึงอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม ค.ศ. 1973 การลงโทษอาชญากรรมที่กระทำต่อบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองระหว่างประเทศ รวมถึงตัวแทนทางการทูต และกฎบัตรสหประชาชาติ 

ฉะนั้น รัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศทั้งหลาย จึงสมควรต้องออกแสดงความไม่พอใจและประณามการกระทำอันชั่วร้ายที่เป็นการรุกรานและการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศครั้งนี้ โดยคาดหวังว่าสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและเลขาธิการสหประชาชาติ ที่น่าจะต้องรีบออกมาตอบสนองอย่างรวดเร็วกับการกระทำของอิสราเอล ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ หากวิเคราะห์การโจมตีของอิสราเอลในครั้งนี้ กำลังสะท้อนให้เห็นถึงความสิ้นหวัง ทำอะไรไม่ถูก และความงุนงงทางยุทธศาสตร์ของอิสราเอล อันเป็นผลจากความล้มเหลวทางการทหาร การเมือง และศีลธรรมในฉนวนกาซา หลังจากหกเดือนของสงครามอาชญากรรมอันโหดร้าย ล้วนล้มเหลวในการบรรลุชัยชนะใดๆ ต่อขบวนการต่อต้าน ตลอดจนประเทศปาเลสไตน์ที่อดทนและยืดหยุ่น

ย้อนกลับไป อิสราเอล ล้มเหลวในการยุติความกล้าหาญของชาวปาเลสไตน์ และเริ่มหันไปใช้กลยุทธ์ที่น่าอับอาย อย่างการสังหารหมู่ สตรี เด็ก และพลเรือนชาวปาเลสไตน์ ที่ถูกปลิดชีพไปแล้วหลายหมื่นคน ภายใต้ความล้มเหลวในการพยายามขยายขอบเขตสงครามที่อันตรายและไม่ฉลาด จนเริ่มกลายเป็นการทำลายสันติภาพในภูมิภาค โดยมีประเทศอื่นร่วมเป็นเหยื่อ 

อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน คงไม่เหมือนปาเลสไตน์ และมีความเป็นไปได้ที่ต่อจากนี้จะทำให้ผู้รุกราน (อิสราเอล) กลายเป็นเป็ดง่อยและต้องเสียใจกับอาชญากรรมครั้งล่าสุดอย่างถึงที่สุด เพื่อตอบโต้อาชญากรรมที่ชั่วร้ายนี้

นั่นก็เพราะการกระทำของผู้นำแห่งอิสราเอลในครั้งนี้ กำลังกระตุกปฏิบัติการพายุอัลอักซอ และความแน่วแน่อย่างกล้าหาญของประเทศปาเลสไตน์ที่ถูกกดขี่แต่ทรงอำนาจในฉนวนกาซาในช่วงหกปีที่ผ่านมา ภายใต้แรงหนุนแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ที่อาจทำให้ปาเลสไตน์ไม่มีวันถอยแม้แต่ก้าวเดียวต่อจากนี้...ซวยแล้ว!!

‘เกาหลีใต้’ สร้าง ‘ดวงอาทิตย์เทียม’ ได้สำเร็จ ร้อนกว่าดวงอาทิตย์จริง 7 เท่า นาน 48 วินาที

(3 เม.ย. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความ เกาหลีใต้สร้าง ‘ดวงอาทิตย์เทียม’ ร้อนกว่าดวงอาทิตย์จริง 7 เท่า ระบุข้อความว่า…

“นับเป็นครั้งแรกที่เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันโทคามัค แอดวานซ์ รีเสิร์ซ (Tokamak Advanced Research หรือ KSTAR) หรือชื่อที่รู้จักในวงการเทคโนโลยีพลังงานว่า ดวงอาทิตย์เทียมของเกาหลีใต้ (Korean Artificial Sun) พัฒนาโดยสถาบัน Korea Institute of Fusion Energy (KFE) ในประเทศเกาหลีใต้ สามารถสร้างอุณหภูมิได้สูงถึง 100 ล้านองศาเซลเซียส หรือก็คือร้อนกว่าแกนกลางดวงอาทิตย์ที่มีอุณหภูมิประมาณ 15 ล้านองศาเซลเซียสประมาณ 7 เท่า และสามารถคงอุณหภูมินี้ไว้ได้นาน 48 วินาที ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นในการทดสอบระหว่างเดือนธันวาคม 2023 - กุมภาพันธ์ 2024”

และระบุเพิ่มเติมว่า “นอกจากจะสามารถสร้างอุณหภูมิได้มหาศาลแล้ว ยังสามารถอยู่ในโหมดการจำกัดสูง (High Confinement Mode) หรือโหมด H ซึ่งเป็นขั้นที่พลาสมาเสถียร ได้นานกว่า 100 วินาที ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของ KSTAR เพราะเมื่อในปี 2021 ศักยภาพของ KSTAR สามารถสร้างอุณหภูมิสูงเพียง 1 ล้านองศาเซลเซียส และอยู่ในโหมดการจำกัดสูงได้เป็นเวลา 30 วินาทีเท่านั้น”

แม้ว่าจะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาและขนาดใหญ่เท่ากับดวงอาทิตย์ แต่ด้วยกระบวนการสร้างพลังงานภายในที่อาศัยปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้ออกมาได้ความร้อนในระดับเดียวกันกับดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะดวงนี้ เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันนี้จึงเสมอเหมือนเป็นดวงอาทิตย์เทียมนั่งเอง
ดังนั้นผลลัพธ์ในการทดลองของ KSTAR ครั้งนี้ ก็จะถือเป็นข้อมูลล้ำค่าให้โครงการอื่น ๆ นำไปศึกษาและพัฒนาเพิ่มเติม เช่น โครงการเครื่องปฏิกรณ์ทดลองเทอร์โมนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ ( International Thermonuclear Experimental Reactor หรือ ITER) ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ระดับนานาชาติมูลค่า 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.82 แสนล้านบาท โครงการนี้ตั้งอยู่ในประเทศฝรั่งเศส แต่มีหลายประเทศร่วมพัฒนา เช่น เกาหลีใต้ จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และรัสเซีย

‘ไต้หวัน’ เผชิญ 'แผ่นดินไหว' รุนแรง 7.3 แมกนิจูด ด้าน ‘จีน’ ออกประกาศเฝ้าระวัง 'สึนามิ' ระดับสูงสุด

(3 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ศูนย์เครือข่ายแผ่นดินไหวแห่งประเทศจีน รายงานเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.3 ตามมาตราแมกนิจูด บริเวณน่านน้ำใกล้กับเมืองฮวาเหลียนบนเกาะไต้หวัน ตอน 07.58 น. วันนี้ตามเวลาของปักกิ่ง

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า จุดศูนย์กลางการสั่นไหวอยู่ที่ละติจูด 23.81 องศาเหนือ และลองจิจูด 121.74 องศาตะวันออก ณ ความลึก 12 กิโลเมตร

กลุ่มผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวในเมืองไทเปเผชิญการสั่นสะเทือนรุนแรง โดยอาคารสั่นไหวอย่างต่อเนื่องนานมากกว่าหนึ่งนาที และลิฟต์ของอะพาร์ตเมนต์ของกลุ่มผู้สื่อข่าวถูกระงับการใช้งาน

สื่อท้องถิ่นรายงานว่า หลายพื้นที่ของไต้หวันสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหว ด้านระบบรถไฟใต้ดินของไต้หวันระงับการเดินรถนาน 40-60 นาที

ด้านหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาของไต้หวัน ระบุว่า เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.2 ตามมาตราแมกนิจูด ตอน 07.58 น. ของวันนี้ (3 เม.ย.) ณ ความลึก 15.5 กิโลเมตร โดยจุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากตอนใต้-ตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐบาลอำเภอฮวาเหลียนราว 25 กิโลเมตร และความรุนแรงสูงสุดอยู่ที่ 6 ตามมาตราแมกนิจูดในอำเภอฮวาเหลียน

หลังจากนั้นเกิดอาฟเตอร์ช็อกหรือแผ่นดินไหวตาม โดยศูนย์ฯ รายงานว่าแผ่นดินไหวอีก 2 ครั้ง ขนาด 6.0 และ 5.9 ตามมาตราแมกนิจูด เกิดขึ้นภายในราว 40 นาที และจุดศูนย์กลางการสั่นไหวอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน

ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของจีนประกาศเตือนภัยสึนามิ ระดับสีแดง หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวข้างต้น ระบุว่าน่านน้ำโดยรอบจุดศูนย์กลางการสั่นไหวอาจเผชิญสึนามิ ซึ่งจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อพื้นที่ชายฝั่งที่ครอบคลุมทางตะวันออกของไทเปและฮวาเหลียน

สำหรับระบบเตือนภัยสึนามิของจีนแบ่งเป็น 4 ระดับ 4 สี โดยสีแดงหมายถึงความรุนแรงสูงสุด

‘นร.วัย 12’ กราดยิงโรงเรียนในฟินแลนด์ ดับสลด 1 ศพ บาดเจ็บสาหัส 2 ราย

(3 เม.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจฟินแลนด์ยืนยันว่าเหตุกราดยิงโรงเรียนใกล้กรุงเฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ เมื่อวานนี้ (2 เม.ย. 67) ส่งผลให้มีเด็กนักเรียนเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 2 ราย ซึ่งเด็กที่เสียชีวิต บาดเจ็บ รวมถึงผู้ต้องสงสัยก่อเหตุต่างเป็นนักเรียนวัย 12 ปีในโรงเรียนเดียวกัน

รายงานระบุว่านักเรียนผู้ต้องสงสัยถูกตำรวจควบคุมตัวได้บริเวณใกล้โรงเรียนภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุ และพบว่าเขาพกอาวุธปืนไว้กับตัว ด้านเพทเทรี ออร์โพ นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ และรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ได้ออกมาแสดงความตกใจและหวาดหวั่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว

ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่าสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นคนก่อเหตุกราดยิงที่โรงเรียน ได้อย่างไม่เกิดเหตุรุนแรง ที่ย่าน Siltamaki ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปไกลพอสมควร ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัยและยึดอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุกราดยิงได้แล้ว

ตำรวจฟินแลนด์เผยด้วยว่า ขณะนี้ไม่มีผู้ต้องสงสัยคนอื่นที่ร่วมก่อเหตุกราดยิงในครั้งนี้ และเนื่องจากเด็กที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมทั้งมือปืนที่ก่อเหตุยังเป็นเด็ก อายุเพียง 12 ปีและเรียนที่โรงเรียนนี้ จึงไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ 

ในขณะที่ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุกราดยิง ได้ยอมรับระหว่างถูกตำรวจสอบปากคำในเบื้องต้น และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งตัวไปให้อยู่ในความดูแลของหน่วยงานประชาสงเคราะห์ เนื่องจากเขายังเด็กเกินไปที่จะควบคุมตัวในห้องขัง

อนึ่ง เหตุกราดยิงครั้งนี้เกิดขึ้นที่โรงเรียนเวียร์โตลา (Viertola) ในเมืองวานตา ซึ่งมีนักเรียนประมาณ 800 คน และมีเจ้าหน้าที่ 90 คน

‘กงสุลใหญ่ฯ ฟูกูโอกะ’ เตือนภัยคนไทย หลังแผ่นดินไหวไต้หวัน แนะ!! ปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการญี่ปุ่นอย่างเคร่งครัด

(3 เม.ย.67) สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ ประกาศเตือนภัยสึนามิ ระบุว่า ด้วยวันนี้ (วันพุธที่ 3 เมษายน 2567) เวลาประมาณ 09.02 น. (เวลาท้องถิ่นในญี่ปุ่น) เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.5 แมกนิจูด ที่ไต้หวัน โดยพบแรงสั่นสะเทือนสูงสุดระดับ 4 ที่เกาะโยนากูนิ (ใกล้กับไต้หวัน) กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นได้ออกประกาศเตือนภัยสึนามิ ในเกาะโอกินาวะ เกาะมิยาโกจิมะ หมู่เกาะยาเอยามะ โดยขอให้ประชาชนอพยพทันที คาดการณฺ์ว่า คลื่นอาจสูงถึง 3 เมตร และอาจจะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในบางพื้นที่ 

ในการนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียง โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการท้องถิ่นอย่างเคร่งครัด จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกเตือนภัย และติดตามข่าวสารของทางการญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด

กรณีฉุกเฉินสามารถติดต่อสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน  090-9572-1515 หรือ 090-2585-3027

‘เรือเหาะแคปซูล’ แบบมีคนขับ ‘ฝีมือจีน’ บินเที่ยวแรกสำเร็จ หลังพัฒนาขึ้นมาเอง ชี้!! สมรรถนะครบครัน พร้อมลุยต่อยอด

เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัทอุตสาหกรรมการบินแห่งประเทศจีน (AVIC) ระบุว่า เรือเหาะพลเรือนแบบมีมนุษย์ควบคุม เอเอส700 (AS700) ซึ่งพัฒนาขึ้นเองของจีน ประสบความสำเร็จในการขึ้นบินเที่ยวแรกจากสนามบินจิงเหมิน จางเหอในมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน ก่อนลงจอดที่สนามบินแห่งหนึ่งในเมืองจิงโจวในเวลา 1 ชั่วโมง 46 นาที โดยมีกำหนดส่งมอบลำแรกภายในสิ้นปีนี้

ด้าน หลินหง นักบินผู้ควบคุม กล่าวว่า เที่ยวบินแรกดำเนินไปอย่างราบรื่นตามแผน เอเอส700 มีความคล่องตัวที่ดี มีศักยภาพการขึ้นบิน-ลงจอดในแนวดิ่งในพื้นที่แคบ อีกทั้งคล่องตัวและยืดหยุ่นมากกว่าเรือเหาะประเภทอื่น ๆ

ด้าน โจวเหลย หัวหน้าผู้ออกแบบโครงการเรือเหาะลำนี้ เผยว่า เที่ยวบินดังกล่าวตรวจสอบการสื่อสารบนเที่ยวบิน การบรรทุกอุปกรณ์ ตลอดจนศักยภาพการขึ้นบิน-ลงจอดของเอเอส700 อย่างครบถ้วน ซึ่งวางรากฐานสำหรับเที่ยวบินระยะไกลและยาวนานขึ้นในอนาคต

บริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อเรือเหาะรุ่นนี้จำนวน 18 ลำแล้ว หลังจากเอเอส700 ได้รับใบรับรองแบบในจีนเมื่อปี 2023 โดยลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในแวดวงภาคการท่องเที่ยวชมวิวในระดับต่ำ

ทีมพัฒนาเรือเหาะเอเอส700 วางแผนปรับปรุงอากาศยานลำนี้เพิ่มเติมเพื่อขยายสถานการณ์การใช้งานให้ครอบคลุมการช่วยเหลือฉุกเฉิน บริการสาธารณะในเมือง และด้านอื่น ๆ

เรือเหาะแบบมีมนุษย์ควบคุมประเภทแคปซูลเดี่ยว มีน้ำหนักขึ้นบินสูงสุด 4,150 กิโลกรัม พิสัยการบินสูงสุด 700 กิโลเมตร ระยะเวลาการบินสูงสุด 10 ชั่วโมง และความจุสูงสุด 10 คน (รวมนักบิน)

‘ราชวงศ์ญี่ปุ่น’ เปิดบัญชี IG อย่างเป็นทางการ หวังสื่อสารกับ ‘คนรุ่นใหม่’ ให้เข้าใจสิ่งที่ทำ

(1 เม.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน บัญชีอินสตาแกรม ‘สำนักพระราชวังอิมพีเรียล’ หรือ The Imperial Household Agency (@kunaicho_jp) ของ ราชวงศ์ญี่ปุ่น เปิดให้สาธารณะเข้ามีส่วนร่วมได้แล้วในวันนี้ (1 เม.ย.) โดยมีผู้ติดตามแล้วกว่า 200,000 คน (ข้อมูล ณ เวลา 14.55 น. วันที่ 1 เม.ย.67) ซึ่งโฆษกสำนักพระราชวังยืนยันว่า การเล่นโซเชียลมีเดียก็ด้วยหวังให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจถึงสิ่งที่ราชวงศ์ทำ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โพสต์มีเพียงข้อความบรรยายง่าย ๆ ว่าสมเด็จพระจักรพรรดิทรงทำอะไรบ้าง อาทิ ให้ทูตานุทูตเข้าเฝ้าไปจนถึงทรงชื่นชมต้นบอนไซ โดยมีการคัดกรองความเห็นไว้แล้ว บัญชีนี้ไม่ได้ติดตามยูสเซอร์รายอื่นและยังไม่เข้าร่วมในอินสตาแกรมสตอรี

อย่างไรก็ตาม ท่าทีดังกล่าวก็สร้างความประหลาดใจให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก อาทิ

“สำนักพระราชวังอิมพีเรียลเล่นอินสตาแกรม! ฉันคิดว่านี่มันมุกวันเมษาหน้าโง่” ผู้ใช้ X คนหนึ่งแสดงความคิดเห็นเมื่อทราบข่าว

“ตอนที่ฉันได้ยินว่าสำนักพระราชวังมีบัญชีอินสตาแกรม ฉันรีบเช็กข้อมูล แต่พระจักรพรรดิคงไม่โพสต์มื้อเที่ยงวันนี้ หรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ” ผู้ใช้อีกคนที่ให้ความคิดเห็น ขณะที่หลายคนแซวว่า ดีแล้วที่ราชวงศ์เลือกเล่นอินสตาแกรมที่มี ‘อารยะ’ มากกว่า X หรืออดีตทวิตเตอร์

ทั้งนี้ ราชวงศ์อื่น ๆ เล่นโซเชียลมีเดียมานานแล้วรวมถึงราชวงศ์อังกฤษ ที่เมื่อเร็ว ๆ นี้เพิ่งเจอข่าวลือและทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับแคเธอริน เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ที่ทรงตกแต่งภาพทางการที่วังเผยแพร่เนื่องในโอกาสวันแม่ และภายหลังพระองค์ทรงเปิดเผยว่าทรงได้รับการวินิจฉัยประชวรมะเร็ง

'จีน' วัดพลังเจ้าเวหา คลอดเครื่องบินพาณิชย์ Made in China  ไม่หวั่น 'Airbus-Boeing' แม้ตอนนี้จะยังช่วงชิงส่วนแบ่งยาก

จีนเปิดตัวเครื่องบินพาณิชย์ Made in China แท้ ๆ รุ่น C919 ของบริษัท COMAC (Commercial Aircraft Corporation of China) ผู้พัฒนาอากาศยานเชิงพาณิชย์ของรัฐบาลจีน ในงาน Singapore Airshow 2024 ที่ผ่านมา เป็นงานจัดแสดงอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ที่จะจัดขึ้นทุก ๆ 2 ปี และปีนี้เป็นการจัดงานครั้งแรกหลังผ่านพ้นวิกฤติการระบาด Covid-19 

โดยจีนได้ส่ง เครื่องบินพาณิชย์ของ COMAC รุ่น C919 มาจัดแสดงในงานนี้ด้วย เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการพัฒนาเครื่องบินขนส่งพาณิชย์ของจีน ที่พร้อมตีตลาดคู่แข่งยักษ์ใหญ่ตลอดกาลอย่าง บริษัท Airbus ในรุ่นขายดี A320 และ Boeing ในรุ่น 737 MAX 

COMAC - C919 เป็นเครื่องบินลำตัวแคบ ระยะบินใกล้ถึงปานกลาง ในระยะทางไม่เกิน 3,600 ไมล์ (5,644 กิโลเมตร) สามารถจุผู้โดยสารได้ถึง 192 คน เหมาะกับเที่ยวบินระยะสั้น ภายในประเทศ ซึ่งได้รับการรับรองการใช้งานอย่างเป็นทางการจากสำนักงานการบินพลเรือนของจีนแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2022 

ปัจจุบัน เครื่องบินรุ่น C919 เริ่มให้บริการผู้โดยสารแล้วโดยสายการบิน China Eastern เมื่อเดือนพฤษภาคม 2023 นอกจากนี้ยังมีสายการบินทิเบต แอร์ไลน์ ที่ได้สั่งซื้อเครื่องบิน C919 แล้วจำนวน 40 ลำแล้วเช่นกัน

ถึงแม้ว่า ปัจจุบันตลาดเครื่องบินพาณิชย์ COMAC จะยังคงจำกัดอยู่ในประเทศจีน แต่การเปิดตัวเครื่องรุ่น C919 ในงาน Singapore Air Show ในปีนี้เป็นครั้งแรก เป็นการประกาศถึงความพร้อมของจีน ที่ต้องการตีตลาดเครื่องบินพาณิชย์ ที่เคยมีบริษัทยักษ์ใหญ่ผูกขาดอยู่เพียง 2 บริษัทคือ Airbus และ Boeing โดยจีนเล็งไปที่ตลาดที่ธุรกิจการบินกำลังกลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลัง Covid-19 และอยู่ไม่ห่างจากจีนมากนั้น นั้นก็คือ ย่านอาเซียน

แม้นักวิเคราะห์ด้านธุรกิจการบินมองว่า เครื่องบินพาณิชย์สัญชาติจีนยังแข่งขัน แย่งชิงส่วนแบ่งของ 2 เจ้าตลาดโลกได้ยากมากในเวลานี้ แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยในอนาคต เมื่อดูจากผลตอบรับในงาน Singapore Air Show เครื่องบินจีนได้รับความสนใจอย่างมาก การออกแบบตัวเครื่องทำได้ดี บินได้นิ่ง และเงียบ 

ส่วนด้านเทคนิค ภายในตัวเครื่อง C919 กว่าครึ่งยังใช้เครื่องยนต์นำเข้าของ CFM International บริษัทผู้พัฒนาเครื่องยนต์อากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีศักยภาพเทียบชั้นได้กับเครื่องยนต์ของ Airbus และ Boeing เช่นกัน 

และด้วยสถานการณ์ของเครื่องบิน Boeing 737 Max 9 ที่ถูกสั่งห้ามบินในสหรัฐฯ หลังเกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคกับเครื่องของสายการบิน Alaska Airlines ที่เป็นรุ่นคู่แข่งโดยตรงของ C919 ก็ถือเป็นโอกาสการเข้าทำตลาดของเครื่องบินน้องใหม่สัญชาติจีนลำนี้ 

และหลังจากงาน Singapore Air Show แล้ว COMAC วางแผนที่จะลุยตลาดต่อในประเทศเวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และ ไทย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความใกล้ชิดทางการค้ากับจีน และมีนักท่องเที่ยวจีนนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าตลาดการบินในย่านนี้จะโตขึ้นได้อีกอย่างรวดเร็ว 

แต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ COMAC ไม่ได้ต้องการขายเครื่องบินราคาถูก เพื่อตัดราคาในท้องตลาด โดย C919 ตั้งราคาไว้ที่ลำละ 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแทบไม่ต่างจากราคาเครื่องบินของ Airbus หรือ Boeing ในรุ่นใกล้เคียงกันเลย เพียงแต่สิ่งที่ COMAC คำนึงในตอนนี้คือ คุณภาพการให้บริการแบบจัดเต็ม ระบบซ่อมบำรุง ฝึกอบรม และอื่น ๆ ที่มาในแพ็กเกจ พร้อมข้อเสนอราคาพิเศษเมื่อซื้อล็อตใหญ่ตั้งแต่ 40 ลำขึ้นไป อีกทั้งยังเป็นการทดลองเปิดตลาดต่างประเทศ ที่ทางจีนไม่ได้คาดหวังในการทำกำไรทันทีในรุ่นนี้ 

และหากพิจารณาจากโอกาสในการเติบโตของเครื่องบินจีน ประเทศที่มีธุรกิจการบินในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกรองจากสหรัฐฯ รัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าที่จะพัฒนาเครื่องยนต์พาณิชย์ของตัวเอง เพื่อลดการพึ่งพาเครื่องยนต์จากประเทศตะวันตกอย่างจริงจัง และเชื่อมั่นว่าจะสามารถยกระดับเทคโนโลยีด้านการบินของตนให้สามารถแข่งขันกับเครื่องบินของชาติตะวันตกได้อย่างทัดเทียมกันในอนาคตอันใกล้ อย่างที่จีนเคยทำได้ในตลาดสินค้าเทคโนโลยีอื่น ๆ มาแล้ว 

ดังนั้น อนาคตธุรกิจเครื่องบินพาณิชย์ของจีนนั้น คงไม่จบแค่บทเดียว แต่ต้องจับตามองกันต่อในระยะยาว ถ้าจีนไม่ถอดใจไปเสียก่อน

สตรีในนิวยอร์ก ผวา!! ตกเป็นเป้าชกหน้าแบบไม่รู้เหตุผล ตอกย้ำความกังวลด้านอาชญากรรมในมหานครแห่งนี้ 

ผู้หญิงหลายคนทำวิดีโอลงบน TikTok เล่าว่าพวกเธอโดนทำร้ายร่างกาย ถูกคนร้ายชกใบหน้าโดยไม่เลือก ระหว่างที่กำลังเดินอยู่บนท้องถนนในนิวยอร์ก ซิตี และจนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบเหตุผลว่าทำไม เหตุการณ์ต่อเนื่องที่โหมกระพือความกังวลเกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรมในมหานครของสหรัฐฯ แห่งนี้

เรื่องราวผู้หญิงถูกชกโดยไม่มีที่มาที่ไปถูกเปิดโปงออกมาเป็นครั้งแรกโดย ‘ฮัลลีย์ เคท’ ติ๊กต็อกสาววัย 23 ปี ที่พักอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก โดยเธอโพสต์วิดีโอหนึ่งในวันที่ 25 มีนาคม และตอนนี้กลายเป็นคลิปไวรัล ซึ่งกล่าวอ้างว่าเธอถูกชกที่ใบหน้าขณะเดินอยู่บนท้องถนน "ฉันกำลังเดินอยู่ และผู้ชายคนหนึ่งก็เข้ามาชกเข้าที่ใบหน้าฉัน โอ้พระเจ้า มันเจ็บมาก ฉันไม่สามารถพูดได้เลย"

ในวิดีโอต่อมา เคทให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เธอกำลังมัวแต่มองโทรศัพท์ตอนที่ชายคนหนึ่งจูงสุนัขมา แล้วชกหรือไม่ก็ศอกเข้าใบหน้าของเธอ ทำให้เธอล้มฟุบไปกองกับพื้นและศีรษะของเธอกระแทกเข้ากับทางเท้า ทั้งนี้ เคท เล่าว่าเธอต้องการรักษาตัวเป็นการด่วนและเข้าแจ้งความเรื่องนี้กับตำรวจ

กรมตำรวจนิวยอร์ก ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อเหยื่อ ยืนยันกับบิสเนสอินไซเดอร์ ว่า ได้รับแจ้งความเหตุทำร้ายร่างกายจากผู้หญิงวัย 23 ปีรายหนึ่ง ซึ่งถูกทำร้ายบริเวณใบหน้าและศีรษะ จากนั้นก็ร่วงไปกองกับพื้นและได้รับบาดเจ็บ

เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยต่อว่า ชายวัย 40 ปีคนหนึ่งชื่อว่า ‘สกีโบกี สโตรา’ ถูกจับกุมและตั้งข้อหาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม และเวลานี้ยังอยู่ระหว่างการสืบสวน

นับตั้งแต่เรื่องราวของ เคท ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ ได้ปรากฏวิดีโอของสาวติ๊กต็อกอีกคน ที่เผยแพร่ก่อนหน้านั้นหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเธอเผยว่าเธอถูกชกบนท้องถนนในนิวยอร์ก ซิตี เช่นกัน

โอลิเวีย แบรนด์ เผยว่า ชายคนหนึ่งเดินตรงเข้าหาเธอ ในเขตโนลิตา/โซโหของนิวยอร์ก และกล่าว "ขอโทษ" ก่อนชกเข้าที่ใบหน้าของเธอ พร้อมบอกว่าเธอได้แจ้งความกับตำรวจเรียบร้อยแล้ว

ในเรื่องนี้ กรมตำรวจนิวยอร์กยืนยันเช่นกันว่าได้รับแจ้งความผู้หญิงวัย 25 ปีคนหนึ่งถูกชกในวันที่ 17 มีนาคม บริเวณใกล้เคียงถนนเคนแมร์ตัดกับถนนมัลเบอร์รี และได้รับแจ้งความในฐานะคดีคุกคาม

นอกจากนี้ ผู้หญิงอีกคนใช้ชื่อบนสื่อสังคมออนไลน์ Malous228 เปิดเผยว่าเธอถูกชกเข้าที่ใบหน้าแบบไม่เลือกหน้า โดยชายคนหนึ่ง ในย่านไทม์ส สแควร์ โดยในวิดีโอที่เธอโพสต์นั้นพบเห็นชายคนหนึ่งที่เธออ้างว่าเป็นคนทำร้ายเธอกำลังเดินหนีไป

เธอบอกว่าเธอออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเอง หลังพบเห็นคลิปไวรัลของผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ประสบพบเจอเหตุโจมตีแบบเดียวกัน

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ก่อเหตุชกหน้าผู้หญิงนั้น เป็นชายคนเดียวกันหรือเป็นฝีมือของหลายคน ที่ลงมือเล่นงานเหยื่อแบบสุ่ม ๆ

‘มากายลา โตนินาโต’ สาวติ๊กต็อกอีกคนโพสต์วิดีโอภาพที่เธอมีบาดแผลบริเวณใบหน้าอย่างชัดเจน เล่าว่าเธอถูกชกแบบไม่เลือกหน้าเช่นกัน ตอนที่เธอกำลังเดินออกจากมหาวิทยาลัยเดอะนิวสคูล

ส่วนผู้หญิงรายที่ 5 ‘เซเลนา พิกานับ’ เปิดเผยผ่านติ๊กต็อกเช่นกันว่า เธอถูกชายคนหนึ่งถูกชกในย่านโซโห ขณะที่เหยื่อรายที่ 6 ‘ไกเซม เซอร์มาลี’ สาวครีเอตคอนเทนต์วัย 27 ปี ที่พักอาศัยอยู่ในเยอรมนี ให้สัมภาษณ์กับเดอะการ์เดียน ว่าเธอถูกชกบนท้องถนนในเขตโซโห ระหว่างที่เดินทางมาทำงานที่เมืองแห่งนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์

โตนินาโต กล่าวว่านับตั้งแต่เธอเผยแพร่เรื่องราวของตนบนสื่อสังคมออนไลน์ มีผู้หญิงหลายคนได้ติดต่อเข้ามาเล่าเรื่องราวให้ฟังว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้พวกเธอเองก็ถูกชกโดยไม่เลือกหน้าในนิวยอร์ก ซิตี เช่นกัน

เหตุการณ์ชกหน้าโดยไม่เลือกหน้าเหล่านี้ กำลังสร้างความไม่สบายใจแก่บรรดาผู้หญิงในนิวยอร์ก ซิตี เป็นอย่างมาก โดยหลายคนโพสต์ข้อความบนสื่อสังคมออนไลน์ แสดงความหวาดกลัวว่าจะถูกชกและเตือนคนอื่น ๆ ให้อยู่ในความระแวดระวัง

เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลต่อปัญหาอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นในมหานครแห่งนี้ ตามหลังมีรายงานเกี่ยวกับเหตุโจมตีไม่เลือกหน้าในระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน และหนึ่งในนั้นถึงขั้นทำให้เหยื่อถึงแก่ความตาย

‘โซเชียลมาเลฯ’ ถาม!! ‘เหตุใด? น้ำมันในไทยแพง แต่อาหารถูก’ ตอบ!! เพราะไทยทำเกษตร-ผลิตอาหารเอง-ต้นทุนขนส่งทางถนนต่ำ

(1 เม.ย. 67) เพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ โพสต์ข้อความเรื่อง ‘ไวรัสในมาเลเซีย เกี่ยวกับค่าน้ำมันและอาหารในประเทศไทย’ โดยระบุว่า…

“ไวรัล ในมาเลเซีย 🇲🇾

**คำถาม ราคาน้ำมันในประเทศไทย ‘แพง’ แต่ทำไม อาหารถึง ‘ถูก’.......? อธิบายหน่อย

✍️จากความเห็นส่วนใหญ่ 

1.ประเทศไทย ประสบผลสำเร็จเรื่องการเกษตร ผู้ส่งออกอาหาร และวัตถุดิบ มาเลเซียต้องนำเข้า แม้แต่อาหารสัตว์ **ไทยมีพื้นที่ลุ่ม ปลูกอาหารได้ทั้งปี

2.มาเลเซีย แบ่งเป็น 2 ฝั่ง ผู้ผลิต +ต้นทุนการขนส่งไปอีกฝั่ง 

3.มาเลเซีย เสียค่าผ่านทางถนน - ไทยฟรี เมื่อคำนวนระยะจ่ายแล้วไม่ต่างกันเท่าไหร่ 

4.ในช่วงปี 2000 มาเลเซีย มุ่งเน้นไปที่ อุตสาหกรรมไฮเทค จนลืมสานต่ออุตสาหกรรมการเกษตร  ทำให้ภาคผลิตการเกษตรลดลงอย่างมาก

✍️#คุณมีความเห็นอย่างไร”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top