Thursday, 13 February 2025
NEWS

นาโอมิ โพสต์อินสตาแกรม ขอบคุณ ‘นายกฯ อิ๊งค์-ทักษิณ’ เผย!! รู้สึกตื่นเต้น ที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง ในการร่วมผลักดัน แฟชั่นไทย ก้าวไกลสู่เวทีโลก

(12 ก.พ. 68) นาโอมิ เอเลน แคมป์เบลล์ (Ms. Naomi Elaine Campbell) นางแบบชื่อดังระดับโลก โพสต์อินสตาแกรมระบุว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เยือนประเทศไทยตามคำเชิญของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

การใช้พลังแห่งแฟชั่นในเชิงวัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่ฉันให้ความสำคัญมาโดยตลอด และฉันรู้สึกยินดีที่ได้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นวิสัยทัศน์ร่วมกันกับประเทศไทย

ขอขอบคุณ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกฯ และประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย สำหรับการพูดคุยอันมีคุณค่าเกี่ยวกับการนำเสนอเสน่ห์และพรสวรรค์อันโดดเด่นของไทยบนเวทีแฟชั่นระดับโลก

ด้วยประสบการณ์ในแวดวงแฟชั่นระดับนานาชาติของฉัน ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้มีส่วนร่วมในการสร้างเส้นทางที่เอื้อให้ความคิดสร้างสรรค์ของไทยก้าวไกลสู่เวทีโลก

‘รถยนต์ฝ่าไฟแดง’ ชน!! ม.3 ข้ามทางม้าลาย หน้าโรงเรียนสวนกุหลาบ ขณะ!! ‘ไฟเขียว’ ให้คนข้ามถนน ทั้งที่คนถือธงแดง โบกธงแล้ว

เผยว่า เมื่อช่วงหลังเลิกเรียนวันนี้ ผู้ปกครองแจ้งว่าเกิดเหตุนักเรียนสวนกุหลาบ (ม.310) โดนรถที่ขับฝ่าไฟแดงคนข้าม ชนบริเวณหน้าโรงเรียน เบื้องต้นน้องขึ้นรถพยาบาลไปกับครูประจำชั้นแล้ว หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป

นักเรียนที่อยู่ในจุดเกิดเหตุให้ข้อมูลว่า ไฟเขียวให้คนข้ามถนนและคนถือธงแดงโบกธงแล้ว จังหวะนั้นน้องกำลังจะพุ่งไปขึ้นรถเมล์ แต่รถยนต์คันสีแดงกลับเร่งความเร็วฝ่าไฟแดงเข้ามาชน เพื่อนน้องหลบทัน น้องหลบไม่ทัน จุดที่ถูกชนยังอยู่บนพื้นที่ทางม้าลายคนข้ามถนน และเป็นสัญญาณไฟเขียวให้คนข้าม

และรายงานล่าสุด เมื่อเวลา 16.30 น. ตอนนี้น้องปลอดภัย มีสติ พูดคุยรู้เรื่อง กำลังรอผลเอกซเรย์ และในเวลา 18.00 น. ผลเอกซเรย์ทุกอย่างไม่มีแตกหัก รวมถึงสแกนสมองเรียบร้อย คาดว่าไม่ต้องนอน รพ. วันนี้น้องเรียนวันสุดท้าย มีสอบอีก 2 วัน ก็จบ ม.3

‘เนติวิทย์’ โอด!! ไม่รู้ว่าควรขำหรือเศร้า วัฒนธรรมการลงโทษในจุฬาฯ ที่ยังคงอยู่

(12 ก.พ. 68) จากกรณี คณะกรรมการจัดงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์ – จุฬาฯ ครั้งที่ 75 ได้ประชุมร่วมกันทั้งธรรมศาสตร์และจุฬาฯ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดงาน ที่สมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยครั้งนี้สมาคมธรรมศาสตร์ฯ เป็นเจ้าภาพ ซึ่งการแข่งขันจะมีขึ้นในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ ทั้งนี้ นับเป็นการจัดการแข่งขันฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งแรกในรอบ 5 ปี หลังจากห่างหายไปตั้งแต่ปี 2563 และกิจกรรที่เป็นไฮไลท์อย่างหนึ่งของงานครั้งนี้คือเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสีสันให้กับงานบอลประเพณีมาตลอด

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 ก.พ. นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล อดีตนายกสโมสรนิสิตจุฬา ออกมาโพสต์ข้อความ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการฝึกซ้อมของหลีดและคฑากรจุฬาฯที่ยังคงมีการลงโทษที่ไม่เหมาะสมและระบบอาวุโสที่ควรจะหมดไปได้แล้ว พร้อมวอนไปถึงผู้บริหารของมหาวิทยาลัยควรเข้ามาจัดการและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Netiwit Chotiphatphaisal’ ว่า

"ไม่รู้ว่าควรขำหรือเศร้า ช่วงนี้เดินไปศาลเจ้าแม่ฯ บ่อยๆ ลัดหน้าจาม9 ไปทะลุออกประตูตลาดสามย่าน ก็จะเห็นพวกคฑากรและหลีดซ้อมอยู่ตรงหนัาจาม9 ตลอด วันนึงน้องที่เดินไปด้วยชวนหยุดยืนดูเขาซ้อม เราก็คิดว่าคงไม่มีอะไร สักพักรุ่นพี่ก็สั่งรุ่นน้องวิดพื้น หรือกระโดด เพราะทำคฑาตก ไม่น่าเชื่อว่ามีคนกำลังยืนอยู่และพื้นที่สาธารณะด้วย เขาก็กล้าทำโทษรุ่นน้อง เลยเอากล้องขึ้นมาถ่ายคลิปเป็นหลักฐาน พวกเขาเห็นคนถ่ายคลิป (โดยเฉพาะจากตัวร้ายอย่างผม) แทนที่จะหยุดก็ยังคงใส่ทำโทษท่าทางต่างๆต่อไป เหมือนจะโชว์ให้เราเห็นด้วยซ้ำ

อีกวันนึงก็เจอพวกรุ่นพี่สั่งหลีดจุฬาฯวิ่งรอบสนามจุ๊บ 3 รอบ ท่ามกลางคนมากมาย นี่มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วหรือไง ก็เลยเดินเข้าไปถามพวกรุ่นพี่ คิดว่าพวกนี้มันต้องเด็กกว่าเราแน่ ก็เราเรียนถึง 8ปีเลยนี่ ผมบอกเขาว่าผมรหัส 59 น่ะ คุณรหัสอะไร รุ่นพี่ตอบกลับว่าผมรหัส 52 (คือเข้าจุฬาฯปี 2552) แค่นั้นผมก็อึ้งไปเลย ไม่ใช่ว่ากลัวอาวุโสอะไร แต่โอ้โหคิดเล่นๆน่ะ ยังมีคนเป็นบ้ากับมหาลัยได้มากกว่าผมอีกหรือ แหม คนก็มาด่าแต่เราเป็นมาเฟียสามย่าน หรือ เสี้ยนหนามของจุฬาฯก็ไม่รู้ (น่าให้รางวัลเชิดชูเกียรติพวกนี้จริงๆ) และอีกความคิดนึงที่ซีเรียสก็คือ ทำไมนิสิตรุ่นใหม่ถึงสยบยอมกับรุ่นพี่พวกนี้ได้ขนาดนี้ โอ้ บางคนเรียนคณะรัฐศาสตร์ด้วย โอ้ ระบบการศึกษาสิบกว่าปีที่ผ่านมา โอ้ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยสอนอะไร โอ้ human agency โอ้ human dignity นิสิตไม่ตั้งคำถามกับพวกเขาเลยหรือไงที่สั่งวิ่งสั่งลุกนั่ง จนหลายๆคนหอบกินก็ยังทำตามคำสั่งต่อไป

กลับมาอีกประเด็นเชิงเทคนิคหน่อยก็คือ หลีดจุฬาฯ คฑากร มันจะโทษรุ่นพี่พวกนี้ไปเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะระบบมันเลิกไปแล้ว 3-4 ปี และระบบมันฟังก์ชั่นนี้อยู่แล้วที่จะต้องทำตามคำสั่งอย่างเสียมิได้ เลยถูกกดดันให้ยกเลิกไปดีกว่าจะมาปรับปรุงที่ไม่มีทางเปลี่ยนได้จริงๆ

ที่มันกลับมาก็เพราะผู้บริหารจุฬาฯชุดปัจจุบันอยากให้มี (แบรนดิ้งไงล่ะ หลีดคฑากรคือแบรนด์ที่มหาลัยอยากให้สังคมรับรู้ ไม่ใช่คนอย่างพิรงรองหรือนักวิชาการเก่งๆ) ไม่งั้นมันจะซ้อมแบบนี้ได้หรือ ถ้าผมหรือใครไปขอซ้อมทำม๊อบประท้วง รปภ ไม่มาจับตาดูทุกวินาทีแล้วหรือ รวมถึงอาจไม่ให้พื้นที่ด้วย มันจะระดมรุ่นพี่กลับมาได้ยังไงถ้าไม่ถูกขอร้อง และผู้บริหารมหาลัยก็มีส่วนร่วมคัดตัวหลีดและคฑากรด้วยนี่ ผู้บริหารบางคนยิ้มแกล้มปรี่้เลยว่านี่คือการรื้อฟื้นสิ่งสำคัญที่หายไปกลับมา ดังนั้น ผู้บริหารนี่แหละที่เปิดพื้นที่อยากให้พวกนี้กลับมา และต้องรับผิดชอบด้วย

สุดท้าย ไม่อยากให้ใครสิ้นหวัง มันไม่มีอะไรเลย! ระบบมันยกเลิกไม่ยากเลย ผู้บริหารจุฬาฯบอกให้ยกเลิกได้ ออกมาพูดได้เลย อย่าลอยตัว พูดได้ไม่เอาแบบนี้แล้วในงานบอล นิสิตจุฬาฯทุกคนก็ช่วยกันผลักดันได้ เห็นลงโทษแบบนี่ก็ร้องเรียน ออกมาพูดเลย องค์กรนิสิตต่างๆก็กดดันอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้พื้นที่ในสื่อ/หรือไปร่วมคัดเลือก อาจารย์ก็บอกนิสิตให้ตั้งคำถามในห้องเรียน - ผมไม่เชื่อว่ามันยากจะเปลี่ยนจะเลิก- เพราะมันเคยยกเลิกไปแล้วด้วย - ถ้าเราไม่ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา normalization ถูกจับตาเฝ้ามองตลอด หลีดคฑากรอันแสนโหดนี่ก็จะเป็นเรื่องอดีตอีกครั้ง"

‘อรพินทร์ เพชรทัต’ เลขาฯ รมว.พลังงาน แจงด่วน!! หลังถูกแอบอ้าง!! ขอยืมเงิน ชวนลงทุน ‘หุ้น-ทองคำ’

(12 ก.พ. 68) นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความ ระบุว่า

เรียนประชาชนทุกท่าน

ขณะนี้มีบุคคล-กลุ่มบุคคลได้แอบอ้าง ปลอมแปลง Facebook-TikTok และ Line ของข้าพเจ้า นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต ทำให้ข้าพเจ้าฯ เสื่อมเสียชื่อเสียง และสร้างความเสียหาย เดือดร้อนให้กับประชาชนที่หลงเชื่อในเรื่อง ดังนี้ 

ใช้ชื่อข้าพเจ้าฯ แอบอ้างเพื่อเชิญชวนลงทุนเรื่องทองคำ หุ้น และเรื่องต่างๆ

ใช้ชื่อข้าพเจ้าฯ แอบอ้างเพื่อการขอยืมเงิน

ข้าพเจ้าฯ ขอปฏิเสธในทุกเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น 

และขอแจ้งยืนยันสื่อโซเชียลมีเดียที่เป็นของข้าพเจ้าฯ จริงในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดปรากฎตามรูปภาพด้านล่างนี้ 

รบกวนทุกท่านช่วยกันแชร์ข้อความนี้ เพื่อช่วยปกป้องประชาชนบริสุทธิ์ และช่วยกำจัดมิจฉาชีพ

นางสาวอรพินทร์ เพชรทัต

เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 

POLITICS

‘เท่าพิภพ’ สนับสนุน!! ‘นายกฯ อิ๊งค์’ แก้กฎหมาย ยกเลิกวันห้ามขาย ‘เหล้า-เบียร์’ อธิบายละเอียด มีมาตรายกเลิก แต่ต้องเหนื่อย!! ตอนคุยกับข้าราชการสายสุขภาพ

(12 ก.พ. 68) นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับกฎหมายควบคุมการจำหน่ายเเอลกอฮอล์ ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาข้อมูลการแก้กฎหมาย เรื่องการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ ในช่วงเวลา 14.00 – 17.00 น. รวมทั้งเรื่องการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระ
.
นายเท่าพิภพ ระบุว่า สนับสนุนครับ ประเทศเราต้องควบคุมเเอลกอฮอล์ด้วยการเคร่งครัดการบังคับใช้กฎหมายโดยเฉพาะเรื่องเยาวชนครับ แต่กฎหมายเราไปเข้มเรื่องอื่นออกทะเล จนทำให้กฎหมายดูไปเป็นสากลไปซะมาก ต้องแก้เเบบนายกฯ ว่าเเหละครับ
.
การศึกษาผลกระทบท่านก็ลองทำดู แต่เรื่องข้อกฎหมายผมศึกษาให้เเล้ว ไม่มีอะไรมากครับ
.
เรื่องเวลาขาย
.
1. ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2515 เรื่องเวลาขายอันนี้ต้องยกเลิก ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่กมธ.พิจารณาเสร็จ มีมาตรายกเลิกครับ
.
2. หลังจากยกเลิกตามข้อ 1 เเล้ว พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับปัจจุบัน) ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชงให้ รมต.สาธารณสุข เห็นชอบครับ ย้ำว่ารัฐมนตรีไม่มีอำนาจชงเอง คณะกรรมการจะมีข้าราชการสายหมอ สายสุขภาพเยอะหน่อย จะอนุรักษ์นิยมหน่อยครับ
.
3. ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมฯ ฉบับใหม่จะตัดอำนาจรัฐมนตรีออก เป็นอำนาจของคณะกรรมการโดยตรง ซึ่งเเม้ รมต.สาธารณสุข จะเป็นประธาน เเต่ก็จะตีโต้คัดค้านไม่เซ็นเห็นชอบได้เเบบเดิม
.
เรื่องวันพระ หรือห้ามขายออนไลน์ เป็นผลงานจากคณะกรรมการดังกล่าวด้วย
.
ข้อเสนอที่สงวนไว้เป็นเสียงข้างน้อยนั้นเห็นว่าควรยกเลิก หรือลดอำนาจการออกกฎประกาศของคณะกรรมการดังกล่าวแล้วเปลี่ยนเป็นการออกกฎกระทวงด้วยอำนาจรัฐมนตรีแทนครับ ยังไงฝากท่านนายกในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ช่วยให้ สส.ฝ่ายรัฐบาลสนับสนุน คำสงวนของผมในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยด้วยครับ
.
สิ่งนี้จะทำให้ท่านนายกได้ทำตามที่อยากทำได้ครับ ไม่งั้นถึงเเม้เป็นนายกก็จะบังคับคณะกรรมการควบคุมให้แก้เเค่เรื่องวันเวลาขายเหล้านี้บอกเลยยากครับ

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ เตือน!! ‘สภาฯ ผู้ทรงเกียรติ’ ต้องมีมติส่ง สส.ที่ถูกหมายจับ ชี้!! คดีนี้ ไม่ใช่การกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ต้องให้ตำรวจ รีบดำเนินการ

(12 ก.พ. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘สภาซ่องโจร’ ระบุว่า …

หากสภาฯมีมติไม่ส่งตัว สส.ที่ถูกหมายจับ อยากส่งคำเตือนกับผู้ทรงเกียรติ อย่าให้สภาเป็นที่หลบซ่อนคนทำผิด

ครั้งนี้ไม่ใช่คดีกลั่นแกล้งทางการเมือง ผู้กล่าวหาเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ มิได้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายใด หากต้องการรักษาชื่อเสียงสภาไทย ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดี ไปลุยไฟพิสูจน์ความจริง อย่าให้สมาชิกสภาทั้งหมดต้องแปดเปื้อน

เมื่อหนึ่งในผลิตผลของ ‘พรรคส้ม’ ล้มสถาบัน!! คือการเป็น สส. หื่นกาม กระทั่งข่มขืนหญิงสาวชาวต่างชาติ

(12 ก.พ. 68) ถ้าเป็นประเทศที่เจริญแล้วจริง ๆ หรือคุณภาพของนักการเมืองอยู่ในมาตรฐานที่สูงมากพอ หากถูกจับได้ว่ามีส่วนพัวพันในเรื่องละเมิดจริยธรรม คุณธรรม ทำให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของตนเอง รวมถึงพรรคการเมืองที่สังกัด นักการเมืองผู้นั้นจะต้องขอยุติบทบาท ลาออกจากการทำหน้าที่ทันที ไม่ต้องรอให้ใครมากดดัน หรือขับไล่

แต่เรื่องดี ๆ แบบนี้คงยากจะหาได้จาก ‘นักการเมืองขี้หมา’ ของประเทศไทยเรา 

ด้วยมาตรฐานของนักการเมืองไทย เน้นไปที่ ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’ มีมาตรฐานที่ค่อนข้างต่ำ สมัยยี่สิบปีก่อนก็ไม่ได้มีมาตรฐานสูง แต่สมัยนี้กลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน นับได้ไม่เกิน ‘นิ้วมือรวมนิ้วตีน’ ที่จะเรียกว่าเป็น ‘สส. คุณภาพ’ เข้ามาทำงานเพื่อรับใช้ประชาชนอย่างซื่อสัตย์สุจริต มีอุดมการณ์ มีความรับผิดชอบอันแรงกล้าต่อสังคมส่วนรวม 

ส่วนใหญ่เป็นได้เพียง สส. ผู้หิวกระหายอำนาจ รวมหัวกันโกงบ้านกินเมือง ทำให้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทยมีแต่ความต่ำทราม เลวร้าย ดูเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ เพราะอุดมไปด้วยกลุ่มคนที่มี DNA ในทางปลิ้นปล้อนเข้ามาอยู่รวมกันในสภาอันทรงเกียรติ 

ที่ชัดสุดคือ สส.จากพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายล้มล้างการปกครอง อ้างตนเป็น ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ ที่หมายจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ แต่พฤติกรรมแต่ละดอกที่ประชาชนจับได้ไล่ทันช่างเป็นสิ่งที่น่าอเนจอนาถใจ ตั้งแต่การแอบอ้างผลงานของคนอื่นเป็นผลงานของตัวเอง สร้างเรื่องโกหกรายวันให้ตนเองดูดี หนีการเกณฑ์ทหาร และพัวพันคดี 112 อีกไม่น้อย ยังมีคดีละเมิดทางเพศ ข่มขืนสาวชาวต่างชาติ ทำให้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทยหมดคุณค่าลงสิ้น 

สส. หื่นกาม มีพฤติกรรมชั่ว ทำผิดในเรื่องซ้ำ ๆ รายหนึ่ง เป็นผลผลิตที่น่าภาคภูมิใจของพรรคการเมืองที่เข้ามาเพื่อล้มล้างสถาบัน จึงยากที่จะเห็นนักการเมืองในพรรคนี้ก่นด่าให้เราได้ยิน ต่างพากันเงียบกริบ หันไปสายลมแสงแดดแทน 

คำกล่าวที่ว่า สส. โง่และชั่วในระดับใด ก็ให้ดูพรรคการเมืองที่สร้างจนมีตัวตน รวมถึงกลุ่มคนที่กาเลือกเข้ามา เพราะจะมีคุณสมบัติที่ไม่ต่างกัน

ECONBIZ

เอกนัฏ’ ชื่นชม!! ‘ชาวไร่อ้อย - โรงงานน้ำตาล’ ชี้!! ฮีโร่ช่วยลดฝุ่น PM2.5 หลังอ้อยเผาเหลือ 9% ดันแปรรูปสู่พลาสติกชีวภาพ ดึงเงินลงทุน 2 หมื่นล้าน

(12 ก.พ. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากที่ตนได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ขอความร่วมมือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสด งดเผาอ้อยก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว และขอความร่วมมือโรงงานน้ำตาลให้รับเฉพาะอ้อยสดเข้าหีบ โดยชะลอ ระงับ ยับยั้ง และยุติการเผาไร่อ้อย พร้อมทั้งยุติการรับอ้อยเผาเข้าหีบ ตามแนวทางมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM 2.5) ของรัฐบาลและมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 จากสถิติการรับอ้อยเข้าหีบของโรงงานน้ำตาล 58 แห่งทั่วประเทศ พบว่า ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลให้ความร่วมมือในการตัดและรับอ้อยเผาเข้าหีบต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ที่ระดับ 9% ดันอ้อยสดพุ่งกว่า 91% ส่งผลให้ฝุ่นพิษ PM2.5 ลดลง และมีส่วนช่วยให้ประชาชนได้รับอากาศบริสุทธิ์ ใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมกลางแจ้งตามปกติ

นายเอกนัฏ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ตนได้พบหารือกับนายโรเจอร์ มาร์คิโอนี่ ผู้อำนวยการธุรกิจทวีปเอเชีย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท Braskem Siam บริษัท Braskem S.A. ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกในอุตสากรรมการพลาสติกชีวภาพ มีความสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย โดยมีแผนจัดตั้งโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ ซึ่งต้องการเฉพาะวัตถุดิบเอทานอลที่ผลิตจากอ้อยที่ปลูกโดยไม่ก่อมลพิษ และปัญหาสิ่งแวดล้อม คือ จะต้องผลิตจากอ้อยตัดสดไม่เผาแปลงเท่านั้น โดยมีด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท กำลังการผลิต 2 แสนตันต่อปี โดยจะต้องใช้เอทานอล 500 ล้านลิตรต่อปี ถือเป็นโอกาสทองของประเทศไทยที่จะมีอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงในประเทศ เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อยกระดับทักษะการทำงานแรงงานไทยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังได้แลกเปลี่ยนและหารือแนวทางทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการปลูกและเก็บเกี่ยวอ้อยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการเผาอ้อย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายภาครัฐในการลดมลพิษทางอากาศและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน

“ผมขอชื่นชมและขอขอบคุณเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล ซึ่งเป็นฮีโร่ของคนไทยช่วยลดฝุ่น PM2.5 จากการร่วมมือร่วมใจผลักดันการตัดอ้อยสด ลดการเผาอ้อย ช่วยให้คนไทยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อากาศบริสุทธิ์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน การพัฒนาอ้อยสดไม่เผาให้เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับพลาสติกชีวภาพจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเกษตรกรไทย ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างยั่งยืน” นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (10) : ‘การปล่อยให้เอกชนผลิตไฟฟ้ามากขึ้น’ ทำให้ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ จริงหรือไม่!!!

(11 ก.พ. 68) “การปล่อยให้การผลิตไฟฟ้าไปอยู่ในมือของภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ” เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ นักวิชาการ NGO และสื่อบางสำนัก มักหยิบยกมากล่าวอ้างว่า มีส่วนสำคัญที่ทำให้ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ซึ่งกลับกลายเป็นความย้อนแย้งกับการเรียกร้องให้ “เพิ่มการใช้กลไกตลาดเข้าไปในระบบไฟฟ้า เพื่อทำให้เกิด ‘ตลาดซื้อขายไฟฟ้า’ อย่างเสรี” ขึ้นในประเทศไทย เพราะ ‘ตลาดซื้อขายไฟฟ้า’ อย่างเสรี ย่อมหมายถึงผู้ประกอบการเอกชนสามารถที่จะเข้ามามีบทบาทใน ‘กิจการไฟฟ้า’ มากขึ้นทั้งระบบตั้งแต่ ‘ต้นน้ำ’ ไปจนกระทั่งถึง ‘ปลายน้ำ’ 

โดยที่ มาตรา 56 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ได้ระบุเอาไว้ว่า “รัฐต้องจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามรัฐธรรมนูญ และในวรรคสอง ได้ระบุว่า “โครงสร้างหรือโครงข่ายพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ อันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ โดยความมั่นคงของรัฐนั้นจะให้เอกชนเป็นเจ้าของเกิน 51 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้” ดังนั้น แม้ว่า เอกชนจะเข้ามามีบทบาทในกิจการไฟฟ้า โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น แต่คงอยู่ในกรอบกติกาภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งมีการวางแผนและกำหนดนโยบายโดย กพช. และกำกับดูแลการประกอบกิจการโดย กกพ. มี กฟผ. ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการในส่วนของการซื้อและขายไฟฟ้า จากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 กำลังผลิตตามสัญญาของระบบที่กฟผ. รับผิดชอบดูแลบริหารจัดการคือ 51,414.30 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นของ กฟผ. 31.62% เอกชนรายใหญ่ (IPP) 38.12% เอกชนรายเล็ก (IPP) 18.13% และนำเข้าจากต่างประเทศอีก 12.13% (ในส่วนของเอกชนรายใหญ่ (IPP) รายหนึ่งคือ RATCH มีกฟผ. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่หนึ่ง (45%)

การที่ผู้ประกอบการเอกชนเข้ามามีส่วนในการผลิตไฟฟ้าเกิดจากรัฐบาลในปี พ.ศ. 2533 ได้ให้การส่งเสริมเอกชนได้เข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้า เพื่อจะเป็นการเพิ่มการแข่งขันในกิจการพลังงานไฟฟ้า ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและผู้บริโภคมีพลังงานไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอในราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังจะเป็นการลดภาระการลงทุนของรัฐและลดภาระหนี้สินของประเทศ ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กรณีของโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ซึ่งใช้ระบบพลังงานความร้อนร่วม เป็นต้น ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับบริการและคุณภาพไฟฟ้าที่ดีขึ้น เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนากิจการด้านพลังงานของประเทศ และเป็นส่วนในการช่วยพัฒนาตลาดทุนของประเทศอีกด้วย

ด้วย นโยบายลดภาระการลงทุนภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของรัฐบาลในปี พ.ศ. 2535 ทำให้มีมติ ครม. เห็นชอบเรื่องแนวทางในการดำเนินงานในอนาคตของ กฟผ. โดยกำหนดขั้นตอนและแนวทางให้เอกชนมีบทบาทมากขึ้นในกิจการไฟฟ้าของไทย ให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนในการผลิตไฟฟ้ารูปแบบของผู้ผลิตไฟฟ้าฟ้าอิสระหรือรายใหญ่ (IPP) ต้องขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. เท่านั้น และให้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) ซึ่งใช้พลังงานนอกรูปแบบ เป็นการแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าด้วย โดย กฟผ. ได้ประกาศรับซื้อไฟจากเอกชนรายใหญ่เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจะอยู่ภายใต้มติเห็นชอบของ ‘คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)’ มาจนถึงปัจจุบัน และ ‘คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)’ ทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน อันหมายถึง กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการระบบโครงข่ายพลังงาน

สภาพการณ์ที่เป็นอยู่ของ ‘กิจการไฟฟ้า’ ทั้งระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ น่าจะมีความเหมาะสมที่สุดกับบริบทของประเทศไทยแล้ว ด้วย ‘กิจการไฟฟ้า’ ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ ด้วยความเป็นกิจการรัฐวิสาหกิจจึงคงวัตถุประสงค์และความมุ่งหมายในการเป็นกิจการที่ดำเนินงานเพื่อบริการสาธารณะสำหรับประชาชนคนไทย ในอีกมิติหนึ่งที่มีความสำคัญคือ ความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งปรากฏให้เห็นในหลาย ๆ ประเทศ อาทิ ประเทศเพื่อนบ้านด้านตะวันตก ซึ่งมีปัญหาไฟฟ้าดับเป็นประจำ จนกิจการธุรกิจต่าง ๆ ต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไว้ใช้เอง หรือหลาย ๆ ประเทศในละตินอเมริกา ซึ่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจนปัจจุบัน ทั้งนี้ จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการที่จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ความต้องการไฟฟ้าในภูมิภาคอเมริกากลางและใต้จึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลให้เกิดความขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าไปทั่วทั้งภูมิภาค ตั้งแต่บราซิลที่ขาดแคลนทรัพยากรไปจนถึงเวเนซุเอลาซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันเอง ท่ามกลางความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ภูมิภาคนี้ต้องดิ้นรนกับปัญหาต่าง ๆ มากมายในการสร้างกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ บราซิลและชิลีได้ชะลอแผนการสร้างเขื่อนพลังงานน้ำแห่งใหม่เมื่อไม่นานนี้ อันเนื่องจากปัญหาสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม จนทำให้ทั้งสองประเทศต้องมองหาแหล่งพลังงานอื่นเพื่อตอบสนองความต้องการที่คาดการณ์ไว้ ในโคลอมเบียการก่อการร้ายภายในประเทศส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานการส่งและจำหน่ายไฟฟ้าในเขตชนบทหลายแห่งต้องถูกทำลายลง ภูมิภาคนี้โดยรวมจึงมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าที่สูงมาก 

ในตอนต่อไปจะได้อธิบายถึงข้อเท็จจริงในรายละเอียดให้ผู้อ่าน TST ได้พอรู้และเข้าใจในเรื่องของ “การมี ‘ไฟฟ้าสำรอง’ มากจนเกินความต้องการ จนทำให้ ‘ค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment หรือ ค่า AP)’ อันเป็นต้นทุนค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่กฟผ. ต้องจ่ายให้กับโรงไฟฟ้าเอกชน เป็นค่าความพร้อมในการเดินเครื่องเพื่อจ่ายไฟฟ้า ไม่ว่าโรงไฟฟ้าจะผลิตหรือไม่ก็ตาม ซึ่งถือเป็นเป้าหลักที่สำคัญและใหญ่ที่สุดที่นักวิชาการ NGO และสื่อบางสำนัก ได้ระบุเอาไว้ว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ว่าเป็นจริงดังที่มีการนำมาหยิบยกกล่าวอ้างหรือไม่ 

‘อัครเดช’ ประสานความร่วมมือทูตพาณิชย์รัสเซีย เร่งดัน FTA ไทย-รัสเซีย เชื่อสร้างประโยชน์การค้า 2 ประเทศ

(11 ก.พ. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า จากการที่ตนได้หารือกับนาย Yuri Lyzhin ทูตพาณิชย์ของกระทรวงพาณิชย์รัสเซีย และตัวแทนผู้ประกอบการของรัสเซีย เช่น นาย Ivan D. Ignatov จากบริษัท RUSAL และนาย Artem Asatur จากบริษัท Aluminium Association ที่ฝ่ายรัสเซียมีข้อเสนอในการจัดทำเขตการค้าเสรี(Free Trade Area) กับทางรัฐบาลไทย เพื่อส่งเสริมและยกระดับเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนในไทยของนักธุรกิจชาวรัสเซียให้มากขึ้น เนื่องด้วยเล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของประเทศไทย ซึ่งตนเห็นด้วยและได้ตอบรับกับแนวคิดดังกล่าว พร้อมตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อศึกษาร่างกฎระเบียบและข้อตกลง FTA ไทย-รัสเซียด้านอุตสาหกรรมโลหะโดยเฉพาะอลูมิเนียมเพื่อยกระดับการค้าการลงทุนของทั้ง 2 ประเทศโดยนำเสนอรัฐบาลผ่านสภาผู้แทนราษฎร

“ในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ไทยกับรัสเซียจะร่วมกันเจรจาผลักดัน FTA ไทย-รัสเซีย ให้ประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรม หลังทั้งคู่เคยพยายามผลักดันร่วมกันมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้จนถึงปัจจุบัน โดยในครั้งนี้ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมสภาผู้แทนราษฎรจะเข้ามาร่วมสนับสนุน เพื่อดำเนินการจัดทำข้อตกลง FTA ไทย-รัสเซีย ให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการ อันจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจและสร้างผลประโยชน์อันมหาศาลให้กับทุกภาคส่วนในประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการและภาคแรงงาน เพราะถ้า FTA ดำเนินการแล้วเสร็จจนมีผลบังคับใช้ ตนเชื่อว่ารัสเซียจะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นอย่างแน่นอน ในทางเดียวกันผู้ประกอบการไทยก็จะสามารถส่งสินค้าไปขายในรัสเซียได้ปริมาณมากขึ้น เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับไทยได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน” นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

LITE

13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ไทยเสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้ ฝรั่งเศส แลกกับเมืองจันทบุรี ที่ถูกยึดไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ ร.ศ. 112

วันนี้ เมื่อ 122 ปีก่อน ไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ตรงข้ามเมืองจำปาศักดิ์ และเมืองมโนไพรฝั่งให้ฝรั่งเศส แลกกับเมืองจันทบุรี ที่ฝรั่งเศสยึดไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2437)

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411-2453) การแผ่อิทธิพลของมหาอำนาจตะวันตกรุนแรง และแข็งกล้า ยิ่งกว่าสมัยใด ๆ..... มหาอำนาจตะวันตกที่คอยคุกคามไทยทางด้านตะวันออกคือ.....ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสได้ขยายอำนาจมาทางตะวันออกของแหลมอินโดจีน จนครอบครองญวนทั้งประเทศ รวมทั้งเขมรส่วนนอก ทั้งหมดด้วย แต่ความต้องการของฝรั่งเศสไม่ได้หยุดนิ่งแค่นั้น ยังมีความต้องการที่จะครอบครองดินแดนที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด ซึ่งขณะนั้นมีดินแดนบางส่วนที่อยู่ภายใต้ครอบครองของไทย การขยายตัวของฝรั่งเศส จึงสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยเรื่อยมา.......โดยเฉพาะ.. ความพยายามที่จะ แทรกแซงในดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำ โขง ในระยะแรกฝรั่งเศสได้แทรกแซงโดยวิธีการทูต แต่เมื่อเห็นว่าไม่ประสบผลสำเร็จจึงใช้นโยบายเรือปืนข่มขู่ไทย บริเวณปากแม่น้ำ ในที่สุดก็นำไปสู่วิกฤตกาลที่เรียกว่า "วิกฤตกาล ร.ศ. 112" เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2536 ผลของการรบปรากฏว่าฝ่ายไทยยอมจำนน และทำสัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2436

ตามสัญญาและอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 นี้นอกจากจะทำให้ไทยจะต้องเสียดินแดนริมฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเสียค่าปรับเป็นจำนวนมากแล้ว ฝรั่งเศสยังยึดจันทบุรีไว้เป็นหลักค้ำประกัน ตามสัญญาข้อ 6 ซึ่งระบุไว้ว่า "ฝรั่งเศสจะยึดจันทบุรีไว้จนกว่าไทยจะปฏิบัติตาม สัญญา ดังกล่าวครบถ้วน และจนกว่าจะเกิดความสงบเรียบร้อยทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำโขงในระยะ 25 กิโลเมตร"

การยึดครองจันทบุรีของกองทหารฝรั่งเศสนั้นไม่ได้ยึดทั้งเมือง แต่จะยึดเฉพาะบริเวณอันเป็นที่ตั้งของกองทหารคือค่ายทหารในเมืองจันทบุรี กับค่ายทหารที่ปากน้ำแหลมสิงห์ โดยได้เข้ายึดตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2436 เป็นต้นมา จนกระทั่งได้ถอนออกไปเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2447 ภายหลังจากการได้ลงนามในอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2446 .........ผลของสนธิสัญญาฉบับนี้..............ฝรั่งเศสจะยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี แต่จะไปยึดตราดและด้านซ้ายแทนตามพิธีสารฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2447

ฝรั่งเศส...ได้เข้าปกครองจังหวัดตราดตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2447 แต่เป็นการปกครองดินแดนแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น ปรากฏว่าฝรั่งเศสปกครองเมืองตราดมาถึง วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2450 จึงถอนทหารออกไป ทั้งนี้ หลังจากที่ไทยทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ (ลงวันที่ 23 มีนาคม 2450) ได้มีการตกลงในหลักการสำคัญคือ แลกเปลี่ยนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ กับด่านซ้าย และตราดรวมทั้งหมู่เกาะที่อยู่ภายใต้แหลมลิง (ในตำบลบางปิด อำเภอแหลมงอบในปัจจุบัน) ลงไทย อย่างไรก็ดีไทยไม่ได้รับมอบดินแดนคืนทั้งหมด เพราะเมืองประจันตคีรีเขตร (เกาะกง)ไม่ได้รับกล่าวถึงในสนธิสัญญา รวมเวลาที่เมืองตราดอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ประมาณ 3 ปี....

‘ดอกบัวสีทอง’ ในมือ ‘ลิซ่า’ ผลงานคนไทย จากแบรนด์ SARRAN จำลอง!! แสงแรกที่สะท้อนสู่ผิวน้ำ ด้วยแสงอาทิตย์ สีเหลืองทอง

(12 ก.พ. 68) ผ่านไปแล้วสำหรับการเปิดตัวนักแสดง   The White Lotus Season 3  ณ Los Angeles สหรัฐอเมริกา โดยงานนี้นอกจากนักแสดงฮอลลีวู้ดแล้ว ยังมีนักแสดงไทยชื่อดังหลายคน รวมถึง  ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’

ภายในงาน ลิซ่า ได้ปรากฏตัวในชุดเดรสสีเหลืองปักมุกสุดหรูจากแบรนด์เกาหลี MISS SOHEE พร้อมกับ ‘ดอกบัวสีทอง’ ในมือ ผลงานคนไทยจากแบรนด์ SARRAN  ซึ่งสั่งทำพิเศษสำหรับ ลิซ่า

โดย เพจ  sarranofficial  ได้เผยภาพพร้อมความหมายว่า ‘Light of Lotus แนวคิดของการออกแบบในครั้งนี้คือการจำลองแสงแรกที่สะท้อนสู่ผิวน้ำและดอกบัวสีขาวยามเช้า ด้วยแสงอาทิตย์สีเหลืองทอง แล้วดอกบัวที่กำลังเบ่งบาน บอกเล่าสู่การเดินทางและการเริ่มต้นในทุกเช้าวันใหม่’

12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 วันมาฆบูชา หนึ่งในวันสำคัญของชาวพุทธ ที่เกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการ หรือ จาตุรงคสันนิบาต

วันมาฆบูชา ย่อมาจาก “มาฆปูรณมีบูชา” หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ตกช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม) ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 3) ซึ่งวันมาฆบูชาปี 2568 ตรงกับวันที่ 12 ก.พ.

วันมาฆบูชา เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน คือ พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา คัมภีร์ปปัญจสูทนีระบุว่าครั้งนั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระภิกษุ 1,250 รูป ได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระภิกษุทั้งหมดนั้นเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระภิกษุทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต” หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4

เดิมนั้นไม่มีพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น การประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือ มีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ และมีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น ในช่วงแรก พิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป ต่อมา ความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร

ปัจจุบัน วันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์และประชาชนประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

PODCAST

‘ตำรวจลับราชวงศ์หมิง’ จุดเริ่มต้น ‘ราชวงศ์หมิง’ ล่มสลาย | THE STATES TIMES Story EP.162

ประวัติศาสตร์จีนในยุค ‘ราชวงศ์หมิง’ ได้ถือกำเนิดตำรวจลับขึ้นเพื่อใช้จัดการขุนนางฉ้อฉลและคอยปกป้ององค์จักรพรรดิ แต่กลุ่มตำรวจลับนี้เอง ที่กลับกระทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม จนต้องเกิดกลุ่มตำรวจลับใหม่ ๆ ขึ้นเพื่อใช้ปราบปราม ทว่า กลับกลายเป็นวัฏจักรอันน่าอดสู และทำให้ราชวงศ์หมิงมีอายุได้เพียง 200 ปี เท่านั้น

วันนี้ THE STATES TIMES Story ได้รวบรวมเรื่องราวของตำรวจลับแห่งราชวงศ์หมิงมาเล่าสู่กันฟัง ถ้าพร้อมแล้ว ไปฟังกัน…

ไขปริศนา 1 มกราคม: วันปีใหม่เกิดขึ้นได้อย่างไร? | THE STATES TIMES Story EP.161

ทำไมวันที่ 1 มกราคม ถึงกลายเป็นวันปีใหม่? 🎆
รู้หรือไม่ว่า วันปีใหม่มีที่มาจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งแต่ยุคบาบิโลเนีย จนถึงปฏิทินเกรกอเรียนที่เราใช้กันในปัจจุบัน 🌍
มาดูกันว่าทำไมโลกถึงเลือกวันนี้เพื่อเริ่มต้นปีใหม่!

📖 อ่านเพิ่มเติม: https://thestatestimes.com/post/2023122702

ตำนานวันปีใหม่ไทย เปลี่ยนผ่านจาก 1 เมษา สู่ 1 มกรา | THE STATES TIMES Story EP.160

รู้หรือไม่? ประเทศไทยเคยเริ่มต้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน! 
จากบทเพลง 'เถลิงศก' สู่ 'พรปีใหม่' เพลงพระราชนิพนธ์ที่คนไทยร้องรับพรกันในวันปีใหม่ทุกปี 🎶
มาร่วมย้อนรอยตำนานการเปลี่ยนแปลงวันปีใหม่ไทย ที่สะท้อนประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และน้ำพระทัยของพระมหากษัตริย์ไทย 💛

VIDEO

ป้าหมาย ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ | CONTRIBUTOR EP.30

เมืองไทยมีดี มีจุดขายที่งดงามในภาคการท่องเที่ยว แต่จะพอใจเพียงเท่านี้ พอใจเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ลูกเดียว อาจจะไม่ยั่งยืน

มิติใหม่ของการท่องเที่ยวไทย ต้องปรับประยุกต์ เพื่อสร้างการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
กระตุ้นให้เกิดความหลากหลายในแต่ละเขตแดน เมือง จังหวัด ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องร้อยห่วงโซ่ของ ‘ความยิ้มแย้ม-ความยืดหยุ่น-ไม่หย่อนยาน’ 
รวมถึงปรับแนวทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาระบบการท่องเที่ยวใต้วิธีคิดที่ทันโลก

เพราะนี่คือวาระสำคัญของอนาคตการท่องเที่ยวไทยในวันข้างหน้า 
ในวันที่ ‘หินก้อนใหญ่’ ยังกดทับ ‘หญ้าสีเขียว’ ในบางพื้นที่อยู่

ปลดล็อกร่างทอง ‘ท่องเที่ยวไทยเชิงคุณภาพ’ ไปด้วยกันกับ Contributor EP นี้ กับผู้ที่เข้าใจระบบนิเวศการท่องเที่ยวยั่งยืนแบบถ่องแท้ได้จาก... คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ถึงเวลาสร้าง ‘ไทย’ ให้เติบใหญ่ในยุคดิจิทัล l รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก

ความ ‘เท่า’ ที่ยากจะ ‘เทียม’ หากระบบการศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับที่และทิศทางไทยยังคงหลงอยู่กับนโยบาย

ประชานิยมที่คอยกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงแค่ครั้งคราว

กลับกันประเทศไทย ในวันที่เริ่มตั้งตัว ต้องหาทางตั้งทรงแบบยกแผงต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันอนาคตชาติเริ่มตั้งแต่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกภาคส่วนระบบการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และอื่นๆ ให้เกิดรากอันแข็งแกร่ง เพื่อเป็นฐานรองรับให้ ‘คนในชาติ’ กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ

Contributor EP นี้ ขอกระตุกมุมคิดคนไทยให้ร่วมมองความเจริญแห่งอนาคตที่ถูกทิศผ่านมุมคิดของ... 
รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ที่ขอเป็นตัวแทนพูดดังๆ ถึงทุกภาคส่วน ว่า…

ถึงเวลาแล้วที่ ‘ประเทศไทย’ ต้องปฏิรูป!!

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ | CONTRIBUTOR EP.28

ค่านิยม ‘ท้าทาย’ กฎหมายของคนในยุคนี้ ยุคที่ใคร ‘แหก’ กฎได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งยกย่องกันแบบผิดๆ ว่า 'เจ๋ง' และดูเก่งในสายตากลุ่มก้อนความคิดเดียวกัน ... เริ่มลุกลาม!!

แต่เมื่อ 'กฎหมาย' คือ กฎที่คนส่วนใหญ่ ทำตาม!!

ผู้ใด 'ท้าทาย' ก็ต้องพร้อมรับผิดชอบในทุกการกระทำ

และนี่คือเรื่องราวของอีกหนึ่งผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่อยากฝากบอกถึง 'นักแหกกฎ' ให้ปลดความคิดสุดระห่ำออกไปจากระบบคิด และจงเชื่อเถอะว่าชีวิตของพวกคุณจะไม่มีวันถูกหล่อเลี้ยงได้อย่างยั่งยืนผ่านคำยกย่องผิดๆ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี 

ผู้พิทักษ์ ‘สันติ’ ราษฎร์

Y WORLD

ซักด่วน !!! ใช้ผ้าขนหนูเกิน 3 วัน เหมือนเช็ดตัวด้วยโถส้วม !!! | Y WORLD EP.75

Y WORLD ตอนนี้ แค่หัวข้อก็อึ้งกันแล้วค่ะ แค่ไม่ได้ซักผ้าขนหนู 3 วัน ก็สกปรกขนาดนี้เลยหรอ ? ส่งผลอย่างไรบ้าง และควรแก้ยังไง คลิปนี้มีคำตอบค่ะ 

‘Roman Charity’ ภาพวาดที่ไม่ได้ลามก แต่คือความกตัญญู | Y WORLD EP.74

Y WORLD ตอนนี้พาคุณไปชมภาพวาดหญิงสาวกำลังป้อน ‘นม’ ของตัวเองให้ชายชรา ที่บอกเลยว่า 'เห็นครั้งแรก ก็คิดดีไม่ได้จริงๆ' แต่แท้จริงแล้ว ภาพนี้ไม่ได้เป็นสื่อลามกอนาจาร แต่คือการแสดงความกตัญญู เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามชมกันได้เลยค่ะ

ปลิดชีพ "ชาย" ขู่ฆ่า "โจ ไบเดน" แม้ไม่มี112 | Y WORLD EP.73

Y WORLD ตอนนี้จะพาคุณไปฟังเรื่องราวการ "ปกป้องผู้นำ" ของตนขั้นสุดแบบสหรัฐอเมริกา ในกรณีที่ FBI ปลิดชีพ 'ชาย’ ขู่ฆ่า 'โจ ไบเดน' แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มีกฎหมายมาตรา 112 แบบประเทศไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากใครมาหมิ่นหรือคิดร้ายผู้นำในประเทศของเขา โดนดีทันที เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปรับชมกันเลย

SPECIAL

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568

คนโกรธง่าย
โกรธแรง
เป็นคนมีกรรม
คนโกรธยาก
โกรธเบา
เป็นคนมีบุญ

สมเด็จพระญาณสังวร 
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568

สิ่งไหนที่ไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งไหนเป็นทุกข์
สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เป็นอนิจจังเป็นของไม่เที่ยง
ให้ปล่อยวางที่ใจ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นที่ใจ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนตุสฺสโก

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2568

ทำเพื่อตนเองมากไป
สังคมของเราเวลานี้
ไม่มองเพื่อนมนุษย์
ว่าเป็นมนุษย์
เหมือนเราจะมองแต่
ในแง่เขา แง่เรา

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
(ป.อ. ปยุตฺโต)

INFO & TOON

เปิด 10 อันดับ มหาวิทยาลัยเอกชน ที่มีผู้จบการศึกษามากที่สุดในปี 2567

เปิดตัวเลขสถิติ ‘มหาวิทยาลัยเอกชน’ ที่มีผู้จบการศึกษามากที่สุดในปี 2567

อันดับ 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 5,717 คน

อันดับ 2 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ทุกวิทยาเขต มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 4,784 คน

อันดับ 3 มหาวิทยาลัยเกริก มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 4,583 คน

อันดับ 4 มหาวิทยาลัยรังสิต มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 4,295 คน

อันดับ 5 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 3,399 คน

อันดับ 6 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 2,567 คน

อันดับ 7 มหาวิทยาลัยธนบุรี มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 2,178 คน

อันดับ 8 มหาวิทยาลัยปทุมธานี มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 2,177 คน

อันดับ 9 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 2,162 คน

อันดับ 10 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 2,081 คน

อันดับ 11 มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 2,035 คน

อันดับ 12 มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 1,504 คน

อันดับ 13 มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 1,438 คน

อันดับ 14 มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 1,307 คน

อันดับ 15 มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด มีผู้จบการศึกษาทั้งหมด 1,297 คน

มีสถาบันที่ไม่ส่งข้อมูล ดังนี้ มหาวิทยาลัยกรุงเทพสุวรรณภูมิ, มหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น, มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา, มหาวิทยาลัยตาปี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์, มหาวิทยาลัยพิษณุโลก, มหาวิทยาลัยฟาฏอนี, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น, มหาวิทยาลัยหาดใหญ่, วิทยาลัยเทคโนโลยีพนมวันท์, วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น, วิทยาลัยนานาชาติราฟเฟิลส์, วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย, สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน, สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ และสถาบันรัชต์ภาคย์

ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษาภาพรวมทั้งหมด คือ ปวช., ปวส. ระดับอนุปริญญา, ปริญญาตรี, ป.บัณฑิต, ปริญญาโท, ป.บัณฑิตขั้นสูง และ ปริญญาเอก

อาณาจักรธุรกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ : จากเจ้าพ่ออสังหาฯ สู่เวทีการเมือง

หากพูดถึงบุคคลที่ทรงอิทธิพลทั้งในแวดวงธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ สื่อบันเทิง และการเมือง โดนัลด์ ทรัมป์ คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก จากการเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างตึกระฟ้าในนิวยอร์ก สู่การเป็นพิธีกรเรียลลิตี้ชื่อดัง และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 และ 47 

อาณาจักรธุรกิจของทรัมป์ไม่ได้มีเพียงแค่ตึกหรูและโรงแรมระดับโลก แต่ยังขยายไปถึงคาสิโน สนามกอล์ฟ โซเชียลมีเดีย และแม้กระทั่งแบรนด์สินค้าต่าง ๆ แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่เส้นทางของเขาก็เต็มไปด้วย วิกฤติทางการเงิน การล้มละลาย และคดีความมากมาย และวันนี้เราจะพาไปเจาะลึกเส้นทางธุรกิจของเขากันค่ะ

ธนาคารที่มีสินทรัพย์เยอะที่สุดในโลก

เปิด 10 อันดับ ‘ธนาคาร’ ที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในโลก!!

COLUMNIST

‘ทรัมป์’ ปรับโครงสร้าง!! คณะที่ปรึกษาโรงเรียนนายร้อยทุกเหล่าทัพ ย้ำ!! ความแข็งแกร่งของกองทัพ ต้องมาก่อนแนวคิด Woke

(12 ก.พ. 68) ข่าวนี้ถือว่าเรื่องที่น่าสนใจมากนะครับเพราะว่า สิ่งที่ใน donald trump กำลังทำอยู่นะตอนนี้คือการล้างหน่วยงานความมั่นคงโดยเปลี่ยนรูปแบบมาให้เป็นแบบใหม่โดยการคัดเลือกบุคคลที่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่เลือกความหลากหลาย นับว่าเป็นความคิดที่ฉันฉลาดมาก

ข้าพเจ้าถือว่าเป็นจุดที่เป็นโมเดลที่น่าสนใจผู้ว่าข้าราชการหรือการเมืองก็ควรฟังเพราะโดยหลักการแล้วนะครับ
ไม่ว่าจะเลือก สส. เลือก สสร. ฯลฯ ต้องมีความเหมาะสมในสายวิชาชีพนั้นๆ
"ประชาธิปไตยที่ดี" ต้องเกิดขึ้นจาก "ความเป็นมืออาชีพ"ครับ

ความเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ หรือคณะกรรมการ กรรมาธิการต่างๆ ควรมีลักษณะเฉพาะเจาะจง มีความเป็นมืออาชีพความชำนาญ ไม่ใช่ความหลากหลายครับ 

ลองฟังข่าวนี้ดูครับ

วอชิงตัน – ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปรับโครงสร้างคณะที่ปรึกษาของโรงเรียนนายร้อยทุกเหล่าทัพของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น West Point, Annapolis, Colorado Springs และ Coast Guard พร้อมให้เหตุผลว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นไปเพื่อฟื้นฟูหลักการดั้งเดิมของกองทัพ และขจัดอิทธิพลของแนวคิดที่มุ่งเน้นความหลากหลายโดยไม่ได้คำนึงถึงประสิทธิภาพ

ทรัมป์เน้นย้ำว่า "กองทัพอเมริกันต้องกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง" โดยเขาเห็นว่าการคัดเลือกบุคลากรเพื่อดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพ ควรยึดหลักความสามารถและความเหมาะสม มากกว่าการกำหนดโควต้าตามเชื้อชาติ เพศ หรืออัตลักษณ์อื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อสมรรถนะโดยรวมขององค์กร
ยกเลิก DEI – กระทรวงกลาโหมเตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (Pentagon) กำลัง ยุตินโยบาย Diversity, Equity, Inclusion (DEI) ที่สนับสนุนการจัดสรรโควต้าให้กับกลุ่มที่หลากหลายภายในองค์กรของรัฐ ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุนมองว่าเป็นแนวทางที่ช่วยให้กองทัพมีความครอบคลุมมากขึ้น แต่ฝ่ายที่คัดค้าน โดยเฉพาะทรัมป์และผู้สนับสนุนของเขา มองว่า การแต่งตั้งบุคลากรควรยึดตามความสามารถมากกว่าการกำหนดโควต้า

รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ได้กล่าวย้ำในที่ประชุมเจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมว่า "ความแข็งแกร่งของกองทัพไม่ได้เกิดจากความแตกต่าง แต่เกิดจากความเป็นหนึ่งเดียว" พร้อมชี้ให้เห็นว่า การนำแนวคิด Woke มาใช้ในกองทัพอาจส่งผลต่อขีดความสามารถของหน่วยงานด้านความมั่นคง

นอกจากนี้ เฮกเซธยังให้การสนับสนุนการตรวจสอบหน่วยงานด้านกลาโหม โดยให้ Department of Government Efficiency (DOGE) ภายใต้การดูแลของ อีลอน มัสก์ เข้าตรวจสอบงบประมาณและประสิทธิภาพของกองทัพ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่ทรัมป์ต้องการผลักดัน

‘อีลอน มัสก์’ หั่นอิทธิพล Deep State สหรัฐฯ ปฏิบัติการรุกหนักเปลี่ยนเกมข้อมูลสู่ยุคใหม่

อีลอน มัสก์ จุดกระแสร้อนแรงอีกครั้ง หลังออกมาสนับสนุนให้ปิด Radio Free Europe/Radio Liberty (RFE/RL) และ Voice of America (VOA) ซึ่งเป็นสองสื่อที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมัสก์ให้เหตุผลว่า "ไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว ใช้งบภาษีไปปีละ 1 พันล้านดอลลาร์แบบไร้เหตุผล"

เรื่องนี้เริ่มจากโพสต์ของ ริชาร์ด เกรเนลล์ (Richard Grenell) อดีตผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติยุครัฐบาลทรัมป์ ที่โจมตี RFE/RL และ VOA ว่า "เป็นเครื่องมือของ Deep State เต็มไปด้วยอคติทางการเมืองและนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย" ซึ่งมัสก์ตอบกลับทันทีว่า "ถูกต้อง ควรปิดมันไปเลย"

RFE/RL - VOA: เครื่องมือ Deep State ที่มัสก์ต้องการโค่น ต้องเข้าใจก่อนว่า RFE/RL และ VOA ไม่ใช่แค่สื่อธรรมดา แต่มันคือ 'กระบอกเสียง' ของ Deep State สหรัฐฯ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือแทรกแซงต่างประเทศมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น

RFE/RL ก่อตั้งในปี 1950 เพื่อเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลอเมริกัน ในการต่อต้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียต

VOA ก่อตั้งในปี 1942 เพื่อตอบโต้โฆษณาชวนเชื่อของนาซีเยอรมนี และต่อมาได้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้แทรกแซงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

ทั้งสององค์กรนี้ ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลกลาง และอยู่ภายใต้ United States Agency for Global Media (USAGM) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ Deep State ใช้ควบคุมวาระข่าวสารระดับโลก

แม้ว่าสงครามเย็นจะจบไปแล้ว แต่สื่อเหล่านี้ยังคงอยู่ เพราะ Deep State ยังต้องการมีเครื่องมือที่ใช้ควบคุมข้อมูลในเวทีระหว่างประเทศ

การโค่น USAGM: ภารกิจหินที่แม้แต่ทรัมป์ยังทำไม่สำเร็จ
การจะล้มองค์กรที่อยู่ภายใต้ United States Agency for Global Media (USAGM) ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเคยมีอำนาจเต็มมือ ก็ยังไม่สามารถรื้อถอนมันได้

ทรัมป์เคยพยายามปรับโครงสร้าง USAGM ในสมัยดำรงตำแหน่ง โดยแต่งตั้ง Michael Pack เป็นผู้อำนวยการ USAGM และออกคำสั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนที่ควบคุมสื่อเหล่านี้ แต่สุดท้าย Pack กลับถูกเล่นงานจากภายใน และถูก Joe Biden ปลดออกหลังเข้ารับตำแหน่ง

การล้ม USAGM เป็นมากกว่าการปิดหน่วยงานรัฐ แต่มันหมายถึงการรื้อถอนเครื่องมือหลักของ Deep State ที่ใช้แทรกแซงโลกมาเกือบศตวรรษ นี่เป็นงานใหญ่ที่ต้องเผชิญแรงต้านมหาศาลจากนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง และเครือข่าย Deep State ภายในรัฐบาลเอง

มัสก์อาจมีอำนาจทางเทคโนโลยีและเงินทุน แต่เขาไม่มีอำนาจรัฐ ต่างจากทรัมป์ที่เป็นประธานาธิบดี ดังนั้น การผลักดันให้ปิด RFE/RL และ VOA อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามใหญ่ที่รออยู่

มัสก์กำลังลดอิทธิพล Deep State และเปลี่ยนมืออำนาจสื่อ
สิ่งที่มัสก์ทำ ไม่ใช่แค่เรื่อง 'ภาษีประชาชน' แต่มันคือ การล้างไพ่กระดานข่าวสารระดับโลก และตัดแขนตัดขาของกลุ่ม Deep State อเมริกัน

1. Deep State สูญเสียเครื่องมือสำคัญ – สื่อของรัฐบาลอเมริกันเหล่านี้ เคยเป็นช่องทางหลักในการแทรกแซงข่าวสารของประเทศอื่นๆ หากปิดตัวลง Deep State จะสูญเสียอำนาจทางข้อมูลขนาดใหญ่

2. แพลตฟอร์มใหม่จะขึ้นมาครองเวที – มัสก์เองถือครอง X (Twitter) ซึ่งกำลังกลายเป็นแหล่งข่าวหลักของประชาชนทั่วโลก นี่อาจเป็นหมากสำคัญของเขาในการเปลี่ยนอำนาจจากสื่อดั้งเดิมมาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์

3. สหรัฐฯ ยุคใหม่อาจไม่มี Deep State คุมเกมข่าวสาร – มัสก์ไม่ใช่แค่กำลังเปลี่ยนมือสื่อ แต่เขากำลังผลักดันให้สหรัฐฯ เข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบ Deep State ในการครอบงำข้อมูลอีกต่อไป

ไทยต้องเรียนรู้อะไรจากเกมนี้?
สิ่งที่มัสก์กำลังทำ สะท้อนให้เห็นว่า อเมริกาไม่ได้แค่กำลังลดบทบาทของสื่อเก่า แต่มันคือสัญญาณของ 'การเปลี่ยนอำนาจ' ภายในสหรัฐฯ เอง

1. Deep State ไม่เคยถอนกำลัง เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการ – ตั้งแต่สงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ ใช้เครื่องมือสื่อและข้อมูลเพื่อแทรกแซงประเทศต่าง ๆ มาโดยตลอด แม้ RFE/RL และ VOA จะถูกปิด แต่พวกเขาจะหาทางใช้ช่องทางอื่นแทน

2. อเมริกาจะยังแทรกแซงไทย แต่เปลี่ยนรูปแบบ – อย่าคิดว่าอเมริกาจะเลิกสนใจไทย เพียงเพราะพวกเขาปิดสื่อแบบเดิม ในอนาคต การแทรกแซงอาจมาในรูปแบบแพลตฟอร์มโซเชียล อินฟลูเอนเซอร์ หรือ AI แทน

3. ไทยต้องหยุดมองโลกสวย – อเมริกาไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อ 'ลดอำนาจ' ของตัวเอง แต่เป็น การเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เราต้องตามเกมให้ทัน

อเมริกายุคใหม่: ใครควบคุมข้อมูล ใครกำหนดวาระโลก?
อย่าคิดว่าการปิด RFE/RL และ VOA เป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่นี่คือ 'การเปลี่ยนเกมข้อมูลระดับโลก' Deep State กำลังถูกท้าทาย และพยายามปรับตัว

มัสก์กำลังสร้างระบบข่าวสารใหม่ ที่อาจอยู่ในมือของแพลตฟอร์มเอกชน
สหรัฐฯ จะยังมีบทบาทในโลก แต่ในรูปแบบใหม่

สุดท้ายแล้ว การควบคุมข้อมูลข่าวสารยังคงเป็นอำนาจสำคัญของโลกยุคปัจจุบัน อเมริกาอาจลดบทบาท Deep State แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะเลิกควบคุมข้อมูล เพียงแต่ มือที่ถือไพ่ อาจเปลี่ยนไปอยู่ในกลุ่มคนที่พร้อมเล่นเกมใหม่แทน

‘ชาวเมียวดี’ ชุมนุมต่อต้านไทย!! หลังมาตรการ ‘ตัดไฟ-ตัดน้ำมัน’ เตรียมรับมือปัญหาต่อไป ‘การลักลอบเข้าเมือง-การค้า-สาธารณสุข’

ตามที่รัฐบาลไทยใช้ปฏิบัติการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยการเน้นไปที่การตัดไฟ ตัดน้ำมันและอินเทอร์เนตนั้น เอย่ากล่าวแล้วในบทความก่อนว่าการตัดไฟนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่กลุ่มสแกมเมอร์เลย เพราะพวกนั้นไม่ได้ซื้อขายผ่านระบบที่ถูกต้องอยู่แล้วทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน คนที่เดือดร้อนคือชาวบ้านที่เมียวดีและชาวบ้านริมชายแดนที่ได้รับอานิสงส์จากการซื้อขายไฟต่างหากเป็นผู้ได้รับผลกระทบ

และนั่นก็ทำให้เหตุวันนี้เกิดขึ้น โดยวันนี้เวลา 9.00 น. ชาวเมียวดีมาชุมนุมเรียกร้องให้ปิดการค้าขายทั้งหมดทั้งสะพานและท่าข้ามต่าง ๆ จากไทยและแบนการใช้สินค้าไทยทั้งหมดเพื่อตอบโต้ที่ไทยปฏิบัติการที่ไทยจัดการสแกมเมอร์แต่ชาวบ้านเดือดร้อน

เอย่าได้กล่าวไปแล้วว่าการตัดไฟ ตัดน้ำมัน เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและจะสร้างผลเสียหายต่อไทยโดยเฉพาะการค้าชายแดน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะลุกลามเป็นกระแสการแบนสินค้าไทยในเมียนมาด้วย 

การค้าชายแดนที่ผ่านมาหากนับแค่การค้าผ่านด่านการค้าชายแดนก็มีมูลค่านับพันล้านบาทต่อเดือน โดยหากดูมูลค่าส่งออกเดือนธันวาคม อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาทไม่รวมการส่งออกตามท่าข้ามต่าง ๆ

แม้จนถึงตอนนี้จะมีรายงานว่ามีประชาชนมาชุมนุมยังไม่มากดังที่แผนที่เขาววางไว้ว่าจะมาชุมนุมถึง 3000 คนก็ตามแต่หากความเดือดร้อนนี้ยังคงอยู่ จะยิ่งสร้างความขัดแย้งอันนำผลมาสู่ปัญหาชายแดนนอกจากเรื่องการค้าแล้ว การลักลอบเข้าเมืองจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งปัญหาเรื่องสาธารณสุขที่จะกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นจะข้ามมารักษาตัวที่ไทย  แล้วใครคือผู้ได้รับผลกระทบจริง ๆ กลุ่มคอลเซนเตอร์หรือคนไทย...?

WORLD

‘BCN’ บริษัทวิจัยตลาดของญี่ปุ่น เผยข้อมูล!! แบรนด์ทีวีที่ขายดี ‘ทีวีแบรนด์จีน’ ยึดครึ่งหนึ่ง ของตลาดญี่ปุ่น ได้สำเร็จ!!

(12 ก.พ. 68) ในปีที่ผ่านมา ไฮเซนส์ (Hisense) กลายเป็นแบรนด์ทีวีที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยส่วนแบ่งตลาด 41.1% โดยแบ่งเป็น REGZA ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ไฮเซนส์เข้าซื้อจากโตชิบา คิดเป็น 25.4% และทีวีภายใต้ชื่อแบรนด์ไฮเซนส์เองอีก 15.7% ส่วน TCL ครองส่วนแบ่งตลาด 9.7% แซงหน้าแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง โซนี่ (Sony) และพานาโซนิค (Panasonic)

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีวีจีนได้รับความนิยมคือ คุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ความต้องการทีวีสมาร์ทในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไฮเซนส์และ TCL ใช้กลยุทธ์ ราคาคุ้มค่า และเทคโนโลยีล้ำสมัย ดึงดูดผู้บริโภค

ยกตัวอย่างเช่น ทีวีไฮเซนส์ขนาด 55 นิ้ว ที่จำหน่ายในญี่ปุ่น มีราคาเพียงไม่ถึง 100,000 เยน (ประมาณ 23,000 บาท) ในขณะที่ทีวีขนาดเดียวกันของพานาโซนิคราคาเกือบ สองเท่า นอกจากนี้ ผู้บริโภครุ่นใหม่ในญี่ปุ่นหันมาให้ความสนใจแบรนด์จีนมากขึ้น โดยพวกเขามักศึกษาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตก่อนตัดสินใจซื้อ

"สมัยก่อน คนญี่ปุ่นจะเลือกซื้อทีวีแบรนด์ญี่ปุ่นเป็นหลัก แต่ตอนนี้แนวคิดนั้นเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชันและราคา มากกว่าชื่อแบรนด์" พนักงานร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในโตเกียวให้สัมภาษณ์

ในอดีต ทีวีจีนมักถูกมองว่าเป็น "ของราคาถูก คุณภาพต่ำ" แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ปัจจุบันแบรนด์จีนไม่เพียงแต่ครองตลาดระดับกลางและล่าง แต่ยังเริ่มรุกตลาดทีวีระดับพรีเมียมอีกด้วย

เทรนด์ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น กำลังเกิดขึ้นในตลาดโลกเช่นกัน ซัมซุง และ LG ซึ่งเคยครองตลาดทีวีระดับไฮเอนด์ กำลังสูญเสียส่วนแบ่งให้ไฮเซนส์และ TCL

รายงานจาก Counterpoint Research ระบุว่า การเติบโตของแบรนด์จีนกำลัง "ทำลายการผูกขาด" ของแบรนด์เกาหลีใต้ในตลาดทีวีระดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะในกลุ่ม OLED, QD LCD และ MiniLED LCD

ทีวีจีนไม่ได้เป็นเพียงแค่ "ทางเลือกที่ถูกกว่า" อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป อาจเห็นแบรนด์จีนครองตลาดโลกได้มากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

‘ทรัมป์’ สั่ง!! ICE ลุยกวาดล้าง ผู้อพยพผิดกฎหมาย รวบ!! เทพีทานตะวัน โจแอน หลิว ได้ที่บอสตัน

(12 ก.พ. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ....

เมื่อหน่วยงานดูแลผู้อพยพสหรัฐ เอเคเอ ICE ลงมือกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมายตามคำสั่งทรัมป์ ซึ่งเริ่มดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง

นี่คืออีกผลงานหนึ่ง เมื่อ ICE ตรวจสอบพบผู้อพยพผิดกฎหมายชื่อดัง ฉายา “เทพีทานตะวัน“ นางสาวโจแอน หลิว หรือชื่อจีน หลิวเฉียวอัน นักกิจกรรมไต้หวัน หนึ่งในผู้ปลุกระดมมวลชนต่อต้านจีน หรือ การปฏิวัติสีดอกทานตะวัน เมื่อปี 2014

เธอเข้ามาในสหรัฐตั้งแต่ปี 2019 จนวีซ่าหมด ก็ยังไม่กลับประเทศ จนมาถูกรวบตัวที่บอสตัน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา
นางสาวโจแอน ถูกจับในข้อหาค้ายา และฉ้อโกงเพื่อหาเงินใช้ในกิจกรรมด้านการเมืองของ DPP โดยใช้นามแฝงว่า “โจโจ้” 

ย้อนไปเมื่อครั้งร่วมเคลื่อนไหวกลุ่มต่อต้านจีน นางสาวโจแอน ยังมีคดีติดตัว ในฐานะจัดหา บริการทางเพศ โดยที่ตัวเธอเองก็รับงานในตลาดบน(กลุ่มลูกค้าไฮโซ) อนึ่งผ้าโพกหัวที่เธอใช้ มีข้อความว่า “ประชาธิปไตยไม่สามารถซื้อหรือขายได้!“ (แต่การค้าบริการฯ อนุโลม?)

การประท้วงดอกทานตะวัน ในปี 2014 นั้นมีขึ้นเพื่อต่อต้านพรรค KMT ในขณะนั้นที่จะออกกฎหมายเอื้อทางเศรษฐกิจกับจีน ซึ่งว่าไปแล้วไต้หวันได้เปรียบมากมาย จากการที่การค้าส่วนใหญ่ก็ทำกับจีนอยู่แล้ว

เธอจะถูกส่งตัวกลับไต้หวัน ซึ่งอาจจะไปรับโทษต่อที่บ้านเกิด เพราะยังมีคดีเมาแล้วขับซึ่งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และคดีคุกคามทางเพศเยาวชน

‘อียิปต์’ แสดงเจตนารมณ์!! นำเสนอ ฟื้นฟู ‘ฉนวนกาซา’ เพื่อให้!! ‘ชาวปาเลสไตน์’ ยังคงอยู่ในบ้านเกิดของตน

(12 ก.พ. 68) เฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ โพสต์ข้อความระบุว่า ....

แถลงการณ์ที่เบาโหวงจาก #รัฐบาลอียิปต์ ในเรื่อง #ฉนวนกาซา 

ล่าสุด: คำชี้แจงจากกระทรวงการต่างประเทศของอียิปต์

อียิปต์แสดงเจตนารมณ์ที่จะนำเสนอวิสัยทัศน์การฟื้นฟูฉนวนกาซาเพื่อให้ชาวปาเลสไตน์ยังคงอยู่ในบ้านเกิดของตน

อียิปต์แสดงความปรารถนาที่จะร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ นำโดยประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อบรรลุสันติภาพที่ครอบคลุมและยุติธรรมในภูมิภาคโดยบรรลุ
ข้อตกลงที่ยุติธรรมสำหรับชาวปาเลสไตน์ที่ยึดมั่นในสิทธิของประชาชนในภูมิภาค

ในบริบทนี้ อียิปต์ยืนยันความตั้งใจที่จะนำเสนอวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมสำหรับการก่อสร้างฉนวนกาซาขึ้นใหม่ในลักษณะที่จะรับรองว่าชาวปาเลสไตน์ยังคงอยู่ในบ้านเกิดของตน และสอดคล้องกับสิทธิอันชอบธรรมและถูกต้องตามกฎหมายของพวกเขา

อียิปต์เน้นย้ำว่าวิสัยทัศน์ใดๆ ที่ต้องการแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์ จะต้องคำนึงถึงความจำเป็นในการหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดอันตรายต่อสันติภาพในภูมิภาค ขณะเดียวกันก็ต้องแก้ไขที่สาเหตุหลักของความขัดแย้งด้วยการยุติการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ของอิสราเอลและดำเนินการตามแนวทางสองรัฐซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่เสถียรภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างประชาชนในภูมิภาค

© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top