Friday, 19 April 2024
WORLD

'นายกฯ สิงคโปร์' แจง!! ปมทุ่มเงินผูกขาดคอนเสิร์ต ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ชี้!! เป็นผลบวกต่อ ศก.ประเทศ ไม่มีเจตนาเปิดศึกเพื่อนบ้าน ‘ไทย-ปินส์

(5 มี.ค.67) นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง แห่งสิงคโปร์ แถลงชี้แจงวันนี้ว่า การที่รัฐบาลทุ่มเงินจูงใจให้นักร้องสาวชื่อดัง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ เปิดคอนเสิร์ต The Eras Tour จำนวน 6 รอบที่สิงคโปร์เพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ได้มีเจตนาสร้างความเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้าน หลังเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นดรามาที่เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ของไทย รวมไปถึง สส.ฟิลิปปินส์บางคนที่มองว่าพฤติกรรมของสิงคโปร์ไม่ใช่สิ่งที่ ‘เพื่อนบ้านที่ดี’ ควรทำ

“หน่วยงานของเราได้เจรจาทำข้อตกลงพิเศษกับเธอ (สวิฟต์) เพื่อให้เดินทางมาสิงคโปร์ และเลือกสิงคโปร์เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตเพียงแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ลี ระบุในงานแถลงข่าว ระหว่างเดินทางไปร่วมการประชุมระดับภูมิภาคที่นครเมลเบิร์นของออสเตรเลีย

“ปรากฏว่าทุกอย่างออกมาสำเร็จราบรื่นดี ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตรตรงไหน”

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยอมรับว่าได้ทุ่มเงินจูงใจให้ สวิฟต์ จัดคอนเสิร์ตที่สิงคโปร์เพียงประเทศเดียวในอาเซียน ทว่าไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงพิเศษนี้

คำแถลงของสิงคโปร์สร้างความไม่พอใจต่อหลายๆ ประเทศในภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ของไทยออกมาแฉว่า สิงคโปร์ได้เสนอเงินพิเศษ ‘3 ล้านดอลลาร์’ หรือประมาณ 100 ล้านบาทต่อคืน และตั้งเงื่อนไขผูกขาดไม่ให้ สวิฟต์ ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ โจอี ซาลเซดา สส.ฟิลิปปินส์ ถึงกับออกมาพูดว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนบ้านที่ดีทำกัน” แถมยังยุให้กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ยื่นประท้วงด้วย

เมื่อเดือนที่แล้ว การท่องเที่ยวและกระทรวงวัฒนธรรมของสิงคโปร์ได้ออกมาอ้างถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สิงคโปร์จะได้รับจากการแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องสาวซึ่งโด่งดังและมีแฟนคลับล้นหลามทั่วโลก พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลกำลังทำงานร่วมกับ AEG Presents เพื่อดึงตัว สวิฟต์ มาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์

‘ยูทูบเบอร์สาว’ ร้อง!! ถูกเดนนรก 7 คน บุกขืนใจถึงในเต็นท์ แถมทำร้ายร่างกายสามีจนอ่วม ขณะตระเวนเที่ยวที่ ‘อินเดีย’

(5 มี.ค.67) ยูทูบเบอร์สาวชาวสเปน ได้โพสต์คลิปเล่าประสบการณ์สุดแย่ ถูกชายฉกรรจ์ 7 คนบุกรุมโทรมถึงเต็นท์ และยังทำร้ายสามีจนบาดเจ็บระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางท่องเที่ยวในอินเดีย กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญที่ทำให้สังคมแดนภารตะโกรธกริ้ว และนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้วอย่างน้อย 3 คน

หญิงสาวซึ่งถือสัญชาติบราซิล-สเปน ได้แชร์เรื่องราวลงบนอินสตาแกรมของเธอซึ่งมีผู้ติดตามหลายแสนคน เนื่องจากเธอและสามีเป็นยูทูบเบอร์สายเที่ยวซึ่งขับขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนเที่ยวหลายประเทศในเอเชีย

ตำรวจรัฐฌาร์ขัณฑ์ (Jharkhand) ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุยืนยันว่า มีการจับกุมชายต้องสงสัยได้แล้ว 3 คน และอยู่ระหว่างล่าตัวผู้กระทำผิดที่เหลืออีก 4 คน

พีทัมเบอร์ ซิงห์ เคอร์วา ผู้กำกับการตำรวจเขตดุมการ์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) ตำรวจสายตรวจไปพบนักท่องเที่ยวทั้งสองอยู่ริมถนนสายหนึ่งเมื่อค่ำวันศุกร์ที่แล้ว (1) โดยทั้งคู่มีร่องรอยเหมือนถูกทำร้ายร่างกาย จึงได้ช่วยนำส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ และต่อมาแพทย์ยืนยันว่าฝ่ายหญิงถูกรุมโทรม

เคอร์วา ระบุว่า ชายต้องสงสัย 3 คนถูกจับกุมเมื่อวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) และพนักงานสอบสวนทราบแล้วว่าอีก 4 คนที่เหลือเป็นใคร จึงคาดว่าจะได้ตัวครบทุกคน “เร็วๆ นี้”

“สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องเอาตัวพวกเขามาลงโทษขั้นสูงสุด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก” เคอร์วา กล่าว พร้อมระบุว่าเหยื่อทั้ง 2 คนจะได้รับเงินชดเชยเยียวยาสูงสุด 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ

คณะกรรมาธิการสตรีแห่งชาติอินเดียเรียกร้องให้ตำรวจตั้งข้อหารุมโทรมกับชายทั้ง 7 คน ซึ่งจะมีโทษจำคุกสูงสุด 20 ปี

ยูทูบเบอร์สาวรายนี้กล่าวผ่านคลิปวิดีโอในเพจอินสตาแกรมของเธอว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเรา ซึ่งเราหวังว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นกับใครอีก”

“ฉันถูกผู้ชาย 7 คนรุมโทรม พวกมันทุบตีและปล้นทรัพย์สินของเรา” เธอกล่าว ก่อนที่คลิปนี้จะถูกลบทิ้งไป

ต่อมาในวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) ทั้งคู่ได้โพสต์คลิปลงในเพจอินสตาแกรมร่วมซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน โดยเล่าว่า “ตำรวจกำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจับกุมพวกมัน พวกเขารู้แล้วว่าพวกมันเป็นใคร”

“เราอยากทวงความยุติธรรม ไม่ใช่แค่สำหรับเราสองคน แต่เพื่อผู้หญิงและเด็กสาวอีกหลายคนที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้มา”

ในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Antena 3 ของสเปน ยูทูบเบอร์สาวและสามีเล่าว่า ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้รุมขืนใจเธอ และทำร้ายร่างกายสามีของเธอซ้ำๆ หลายครั้ง

“พวกเขาข่มขืนฉัน ผลัดกันทำผลัดกันดูอย่างนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง”

หญิงสาวให้สัมภาษณ์ พร้อมอธิบายว่าที่เธอและสามีตัดสินใจตั้งแคมป์พักแรม ก็เพราะแถวนั้นไม่มีโรงแรมเลยสักแห่งเดียว

สถานทูตบราซิลประจำกรุงนิวเดลีให้สัมภาษณ์กับ NBC News ว่า ทางสถานทูตได้ยื่นประท้วง “การก่ออาชญากรรมสุดป่าเถื่อน” ต่อสามีภรรยาคู่นี้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเปนก็ยืนยันว่า สถานทูตประจำกรุงนิวเดลีได้ติดต่อกับผู้เสียหายทั้งสองคนและพร้อมให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลอย่างเต็มที่

ยูทูบเบอร์สาว และสามีของเธอได้แชร์คลิปประสบการณ์การเดินทางทั้งในศรีลังกาและปากีสถาน และเผยว่าเคยตั้งแคมป์มาแล้วใน 66 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่ “อันตราย”

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติอาชญากรรมแห่งชาติอินเดียพบว่า มีผู้แจ้งความคดีรุมโทรมเฉลี่ยถึง 86 กรณีต่อวันในปี 2022 ทว่าในความเป็นจริงยังมีผู้หญิงอินเดียอีกจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ แต่ไม่กล้าไปแจ้งตำรวจ เนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความเสื่อมเสียให้ครอบครัว

ครบรอบ 10 ปี เที่ยวบิน MH 370 สาบสูญ 'มาเลเซีย' เตรียมรื้อแผนค้นหาใต้ทะเลลึกอีกครั้ง

รัฐบาลมาเลเซียเตรียมพิจารณาแผนการค้นหาซากเครื่องบินโบอิ้ง 777 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH 370 ที่หายสาบสูญไปจากจอเรดาร์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2014 ขณะออกจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ มุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 ชีวิต อย่างเป็นปริศนาจนถึงวันนี้ ที่กำลังจะครบรอบ 10 ปีของเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าวก็ยังไม่สามารถหาซากเครื่องบินพบ 

ทางการมาเลเซีย เคยประสานความร่วมมือกับหลายชาติ ทั้งจีน และ ออสเตรเลีย พยายามค้นหาเครื่องบิน MH 370 มาโดยตลอด 

แต่ทว่า พื้นที่ในการค้นหากว้างขวางมากถึง 1.2 แสนตารางกิโลเมตร ครอบคลุมน่านน้ำตั้งแต่ชายฝั่งออสเตรเลียตะวันตก ไปจนถึงมหาสมุทรอินเดีย และ เอเชียกลาง และใช้เวลาสำรวจนานมากกว่า 2 ปีตั้งแต่ปี 2017 - 2019 ทุ่มเทงบประมาณถึง 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.68 พันล้านบาท) แต่ก็ยังหาเครื่องบิน MH 370 ไม่พบ ทิ้งไว้แต่เพียงความสิ้นหวังของครอบครัวผู้โดยสาร และ ลูกเรือ ที่หายสาบสูญไปพร้อมกับเที่ยวบินมรณะ 

แต่มาวันนี้ แอนโธนี โลค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้กล่าวในงานรำลึกครบรอบ 10 ปี โศกนาฏกรรมเที่ยวบิน MH 370 ว่า รัฐบาลมาเลเซียยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะค้นหา และ การค้นหาจะต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน 

พร้อมกล่าวว่า ตอนนี้กำลังพิจารณาแผนการของ บริษัทสำรวจพื้นผิวใต้ทะเลของสหรัฐอเมริกา Ocean Infinity ที่ได้ยื่นเสนอโครงการค้นหา MH 370 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ทีมสำรวจก่อนหน้าประสบความล้มเหลวไปแล้วถึง 2 ครั้ง 

รัฐมนตรี โลค กล่าวว่า ตอนนี้ โครงการครั้งใหม่ของ Ocean Infinity กำลังได้รับการพิจารณาในสภา โดยบริษัทสำรวจของสหรัฐฯ ยินดีรับประกันผลงานแบบ ‘ไม่เจอ ไม่ต้องจ่าย’ แต่ถ้าหาเจอ ทางรัฐบาลมาเลเซียถึงจะจ่ายค่าบริการสำรวจให้แก่ Ocean Infinity เป็นเงิน 70 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดหวังว่า การค้นหาครั้งใหม่จะเริ่มต้นได้ในเร็ว ๆ นี้

แต่สำหรับครอบครัว และ ญาติมิตรผู้สูญเสีย หลังจากผ่านมา 10 ปี พวกเขาคิดอย่างไรกับการติดตามหาเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ที่สาบสูญ 

ครอบครัวผู้เสียชีวิตบางกลุ่ม เรียกร้อง และ ยืนยันให้รัฐบาลมาเลเซียค้นหาเครื่องบินจนเจอ เพื่อให้เกิดความกระจ่างในกระบวนการยุติธรรม 

อาทิ นาย ไป๋ จง ชาวจีนผู้สูญเสียภรรยาจากเหตุโศกนาฏกรรม กล่าวหนักแน่นว่า ไม่ว่าจะผ่านไป 10 ปี 20 ปี หรือนานกว่านั้น ก็ยังคงต้องการคำตอบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเชื่อว่าเราจะสามารถค้นพบความจริงได้ในสักวันหนึ่ง

ในขณะที่ เกรซ นาธาน ทนายความมาเลเซียผู้สูญเสียแม่ไปกับเหตุการณ์ครั้งนั้น กล่าวว่าเธอรู้สึกยินดีที่ได้ยินว่าจะมีการเริ่มโครงการค้นหาซากเครื่องบินอีกครั้ง แต่ก็ควรอยู่ในโลกความจริง และไม่ต้องการให้รัฐบาลเสียงบประมาณเป็นพัน ๆ ล้านไปกับการพยายามค้นหาโดยเปล่าประโยชน์ 

แต่หากมองในอีกแง่หนึ่ง การผลักดันให้มีการค้นหา MH 370 จนสำเร็จก็เพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมการบิน เพราะ MH370 จะไม่ถูกทิ้งเป็นประวัติศาสตร์ แต่จะนำไปสู่อนาคตของการวางมาตรฐานความปลอดภัยในการบิน เป็นเครื่องเตือนใจที่จะทำให้ผู้ที่รับผิดชอบนึกถึงทุกครั้งก่อนนำเครื่องบินขึ้นสู่ท้องฟ้า 

ซึ่งเชื่อว่า ปริศนา MH 370 ถูกค้นพบ และ คลี่คลายได้อย่างแน่นอนในสักวันหนึ่ง

โรงเรียนในสหรัฐฯ ให้นักเรียนเลียเท้าแลกรับเงินบริจาค พอถูกวิจารณ์อย่างหนัก ก็รีบออกมาขอโทษผู้ปกครอง

เมื่อไม่นานมานี้ โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในรัฐโอคลาโฮมา สหรัฐฯ ถูกสืบสวน หลังปรากฏคลิปไวรัลเป็นภาพเด็กนักเรียนทำชาเลนจ์ ดูดและเลียเท้ากัน ภายในงานระดมทุนที่ได้รับการอนุมัติจากโรงเรียน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งโหมกระพือเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด

วิดีโอที่ก่อความไม่สบายใจดังกล่าวเป็นภาพเด็กอย่างน้อย 4 คนของโรงเรียนมัธยมเดียร์ ครีก กำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นของโรงยิมเนเซียม และจากนั้นก็ทั้งดูดและเลียเนยถั่วลิสง ที่ทาอยู่บนเท้าเปล่าของเพื่อนนักเรียน 

"เขากำลังกลืนมัน" เสียงนักเรียนรายหนึ่งพูดขึ้น ในขณะที่คนอื่น ๆ ในฉากหลังพากันส่งเสียงเชียร์ ในการแข่งขันที่แปลกประหลาดดังกล่าว

ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง มีผู้เข้าชมคลิปนี้บนสื่อสังคมออนไลน์เกือบ 50 ล้านวิว และนำมาซึ่งการเปิดสืบสวนอย่างเป็นทางการของกระทรวงศึกษาธิการรัฐโอคลาโฮมา 

"มันน่าสะอิดสะเอียนมาก เราจำเป็นต้องกำจัดสิ่งสกปรกโสโครกเหล่านี้ออกจากโรงเรียนต่าง ๆ ในโอคลาโฮมา หน่วยงานของเรากำลังทำการสืบสวน" ไรอัน วอลเตอร์ส ผู้รับผิดชอบด้านการบริหารการศึกษาสูงสุดของรัฐโอคลาโฮมากล่าว

คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี (29 ก.พ.) ณ ที่ชุมนุม Clash of Classes ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานระดมทุนนานหนึ่งสัปดาห์ของโรงเรียนมัธยมแห่งนี้

นักเรียนสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรมนี้ ในนั้นรวมถึงทัวร์นาเมนต์การแข่งขันเลียเท้า และรายงานข่าวระบุว่า บางส่วนรู้สึกสนุกกับมัน แต่ครั้งที่วิดีโอเริ่มถูกส่งต่ออย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ บรรดาผู้ปกครองก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาพบเห็น

ในตอนแรกคณะผู้บริหารโรงเรียนกล่าวชื่นชมเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมงานระดมทุน Wonderful Week of Fundraising ซึ่งรวบรวมเงินได้ 152,830.38 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักก็เริ่มคิดได้ ออกมาขอโทษองค์กรนักเรียน และพ่อแม่ผู้ปกครอง

ผู้ปกครองรายหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกว่าไม่อยากเชื่อตอนที่ได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับกิจกรรมแข่งเลียเท้าในครั้งนี้ "ตอนที่ฉันได้ยินลูกบอกในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ฉันจำเป็นต้องถามย้ำกลับไปอีกรอบ เดี๋ยวก่อน ว่าไงนะ พวกเขาให้เลียเนยถั่วลิสงออกจากเท้าเนี่ยนะ"

"ฉันสนับสนุนทุกการระดมทุนและทุกสิ่ง ๆ ที่เป็นเรื่องสนุก แต่คราวนี้ดูเหมือนว่ามันจะเลยเถิดจนเกินไป" ผู้ปกครองอีกคนกล่าว

เกมการแข่งขันที่แลกกับเงินบริจาคครั้งนี้ยังได้รับความสนใจจาก เทด ครูซ วุฒิสมาชิกรีพับลิกันเช่นกัน ซึ่งถึงขั้นประณามการแข่งขันบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่าเป็นการทำทารุณเด็ก

‘ชาวไทย’ จองเที่ยวจีนพุ่งสูง หลังเปิดศักราช 'ยุคฟรีวีซ่า' สัมพันธ์ครั้งใหญ่ ดัน ‘ธุรกิจ-วัฒนธรรม’ 2 ชาติแน่นแฟ้น

(4 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ข้อตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างจีนและไทยสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) ที่ผ่านมา ถือเป็นการเปิดศักราช ‘ยุคปลอดวีซ่า’ ระหว่างจีนและไทยซึ่งเป็นประเทศที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งนักท่องเที่ยวที่สำคัญของกันและกัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนยังคงนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และนักท่องเที่ยวชาวไทยก็เดินทางไปเที่ยวยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ในวันแรกของการดำเนินข้อตกลงยกเว้นวีซ่า ด่านตรวจคนเข้าเมืองหลายแห่งในจีนมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าประเทศแตะจุดสูงสุด โดยเมื่อวันศุกร์ (1 มี.ค.) เที่ยวบิน ดีดี3110 (DD3110) ซึ่งให้บริการโดยสายการบินนกแอร์ บินตรงจากกรุงเทพฯ สู่นครหนานหนิง ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง อู๋ซวี ในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีนอย่างราบรื่นในช่วงเที่ยง โดยในเที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารชาวไทย 56 รายที่ใช้สิทธิ์นโยบายฟรีวีซ่าได้สำเร็จในขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและเริ่มการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศจีน

นักเดินทางชาวไทยคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าการเดินทางเข้าประเทศจีนจะสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลังจากการยกเว้นวีซ่าดังกล่าว ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักธุรกิจที่เดินทางระหว่างจีนและไทยในระยะยาว

ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวของจีน พบว่าปัจจุบันมีเที่ยวบินระหว่างจีนและไทยที่ด่านหนานหนิงราว 46 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และจำนวนผู้โดยสารชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางการบินของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่จำนวนผู้โดยสารชาวไทยทั้งขาเข้าและขาออกผ่านด่านหนานหนิงคิดเป็น 2 ใน 5 ของจำนวนผู้โดยสารชาวต่างชาติทั้งหมดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยเหตุผลหลักในการเดินทางเข้าออกประเทศจีนคือการท่องเที่ยว การเยี่ยมครอบครัว และการเดินทางเพื่อธุรกิจ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ซีทริป (www.ctrip.com) ระบุว่าในวันที่ 1 มี.ค. ยอดจองผลิตภัณฑ์ของนักเดินทางชาวไทยไปยังจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 160 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2019 โดยเมืองระดับหนึ่งของจีนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางชาวไทย ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกว่างโจว ขณะเดียวกันการค้นหาและพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเมืองต่างๆ อย่างฉงชิ่งและซีอัน ของคนไทยรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมจีนสมัยนิยม อาทิ ภาพยนตร์และซีรีส์จีนในเว็บไซต์ฯ ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ จีนยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวน้ำแข็งและหิมะที่ใกล้ที่สุดของไทย โดยตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว การท่องเที่ยวธีมน้ำแข็งและหิมะในกว่างซี อวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ฮาร์บิน และภูมิภาคอื่นๆ ต่างได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเช่นไทย เป็นอย่างมาก

อ้ายหนิง ชาวไทยที่ศึกษาและทำงานในหนานหนิงมานานหลายปี ระบุว่าหลายปีที่ผ่านมาเธอได้เห็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วของจีน รวมถึงความสำเร็จในด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยหลังจากการดำเนินนโยบายยกเว้นวีซ่าร่วมกัน เธอตั้งตารอที่จะเห็นเพื่อนชาวไทยเดินทางมายังจีนและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ในจีนมากขึ้น โดยเธอระบุว่าชาวไทยที่เดินทางมายังจีน จะได้สัมผัสกับความงดงามของภูมิประเทศทางธรรมชาติของจีน และรับรู้ถึงการพัฒนาทางเทคโนโลยีของจีน อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและพลังงานใหม่ อีกทั้งจะได้ลิ้มรสชาติอาหารอร่อยๆ มากมายด้วย

อ้ายหนิง ระบุว่า พื้นที่ชมวิวและจุดให้บริการหลายแห่งในจีนได้ติดตั้งป้ายภาษาไทย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวไทย เธอแนะนำให้เพื่อนชาวไทยที่เดินทางมาจีนทำความเข้าใจในนโยบายฟรีวีซ่าและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวิธีการชำระเงินผ่านแพลตฟอร์มบนโทรศัพท์มือถือของจีน รวมถึงศึกษาแพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ เหม่ยถวน เสี่ยวหงซู เพื่อเป็นคู่มือในการเดินทาง

เหยาหัว ผู้อำนวยการสถาบันสังคมวิทยา สังกัดสถาบันสังคมศาสตร์กว่างซี ระบุว่าการยกเว้นวีซ่าร่วมกันระหว่างจีนและไทยจะช่วยเพิ่มความเจริญรุ่งเรืองด้านการท่องเที่ยว ส่งผลให้ผู้คนจากทั้งสองประเทศดำเนินการเจรจาทางธุรกิจและแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมได้สะดวกยิ่งขึ้น อันเป็นการกระชับความสัมพันธ์ฉันท์ญาติมิตรระหว่างจีนและไทย

‘มาเลเซีย’ หนุนเรียนสายอาชีพ ด้านเกษตรกรรม เพื่อลดการพึ่งพา สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ

(3 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัว เจ้าหน้าที่มาเลเซียระบุ ว่ารัฐบาลมาเลเซียตั้งเป้ากระชับและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ด้วยการเพิ่มจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาด้านเทคนิคและการอาชีวศึกษา รวมถึงผู้สำเร็จการฝึกอบรม

โมฮัมหมัด ซาบู รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและความมั่นคงอาหารของมาเลเซีย กล่าวกับผู้สื่อข่าว หลังการเปิดตัวงานแสดงสินค้าเกษตร ว่านอกเหนือจากการดึงดูดนักศึกษาให้มาเรียนด้านเกษตรกรรมกันมากขึ้นแล้ว รัฐบาลมาเลเซียยังมีเป้าหมายส่งเสริมผู้สำเร็จการศึกษาจากสาขาวิชาอื่นๆ หลากหลายแขนงให้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในภาคส่วนนี้

โมฮัมหมัด ให้ข้อมูลว่า เป้าหมายสำคัญของกระทรวงฯ ในปีนี้คือการพัฒนาอุตสาหกรรม 4 ประเภทที่มีความสำคัญ ได้แก่ ข้าวและข้าวเปลือก ไก่ เป็ดและไข่เป็ด หอมแดง และสับปะรด

สำหรับโครงการริเริ่มเกี่ยวกับข้าวที่เปิดตัวในปีนี้ ตั้งเป้าเพิ่มระดับการพึ่งพาข้าวในประเทศให้แตะอย่างน้อยร้อยละ 80 เพื่อลดการพึ่งพาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ในอีก 10 ปีข้างหน้า

อนึ่ง งานแสดงสินค้าเกษตรข้างต้นจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน โดยเป็นเวทีว่าด้วยความยั่งยืนของระบบนิเวศด้านการจัดหาอาหาร และเวทีเพื่อการนำเสนอนวัตกรรม แนวปฏิบัติ และเทคโนโลยีต่างๆ ในภาคการเกษตร

‘เจอโรนิโม’ วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาวอินเดียแดง  ผู้ยอมมอบตัว เพื่อปกป้องรักษา ชีวิตของคนทั้งเผ่า 

(3 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ของ เจอโรนิโม วีรบุรุษผู้ยอมอดกลั้นทุกอย่าง เพื่อรักษาชีวิตของคนทั้งเผ่า โดยระบุว่า ...

การตัดสินใจ "ไม่ทำสงคราม" มีความสำคัญพอๆหรือสำคัญยิ่งกว่าการตัดสินใจ "ทำสงคราม" ด้วยซ้ำ สิ่งนี้สะท้อนวุฒิภาวะของผู้นำ ที่การตัดสินใจของเขามีอนาคตของเผ่าพันธุ์หรือประเทศของตนเป็นเดิมพัน ในมุมมองของผู้นำทัพสูงสุด สงครามมีแค่สองประเภทเท่านั้น คือ "สงครามที่ไม่ทำสงคราม" กับ "สงครามที่ทำสงคราม"

เครซี่ ฮอร์ส (1840-1877) รู้จักแต่สงครามประเภทหลังเท่านั้น ชีวิตของเขาจึงต้องจบสิ้นตั้งแต่วัยฉกรรจ์

กษัตริย์พม่าพระองค์สุดท้ายก็ทรงรู้จักแต่สงครามประเภทหลังเท่านั้น จึงต้องเสียท่าแก่จักรวรรดินิยมอังกฤษ และทำให้สถาบันกษัตริย์ถึงแก่การล่มสลายในพม่าไปตลอดกาล

ขณะที่กษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีทรงมีพระปรีชาญาณและวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล จึงทรงรู้จักสงครามทั้งสองประเภท คือ "สงครามที่ไม่ทำสงคราม" กับ "สงครามที่ทำสงคราม" ทำให้สามารถนำพาบ้านเมืองรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น ... เกาะกูดยังเป็นของไทยก็เพราะเหตุนี้ด้วย

เกริ่นมาเสียยืดยาว ก็เพื่อที่จะแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักเรื่องราวของ "เจอโรนิโม" หนึ่งในสี่ของนักรบชาวพื้นเมืองอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ และสงครามทั้งสองประเภทของเขา 
ในปี ค.ศ. 1858 เจอโรนิโม (1829-1909) ผู้เป็นนักรบอาปาเช่เพิ่งเดินทางกลับจากการไปแลกเปลี่ยนสินค้าที่เม็กซิโก เขาพบว่าแม่ เมีย และลูกทั้งสามคนของเขาถูกพวกทหารสเปนชาวผิวขาวจากเม็กซิโกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน 

คนขาวเหล่านั้นกระทำกับผู้หญิง คนแก่และเด็กราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด หลังจากนั้นมา เจอโรนิโมได้สาบานกับตัวเองว่าเขาจะฆ่าคนขาวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และมันก็เป็นจริงตามนั้น

หลังจากนั้นเจอโรนิโมจะใช้ทุกโอกาสที่มีเข้าโจมตีและฆ่าทหารของกองทัพของเม็กซิโก เจอโรนิโมโดนทหารเม็กซิกันจับได้หลายครั้ง แต่เขาก็ใช้ความสามารถเฉพาะตัวหลบหนีออกมาได้ทุกครั้ง และกลับไปล้างแค้นต่อ จนคนขาวเข็ดขยาดในความเก่งกาจและโหดเหี้ยมของนักรบอาปาเช่

อาปาเช่เป็นภาษาของเผ่าชิริคาฮัว ... "อาปาเช่" มีความหมายว่า "คนปากกว้าง" 
เจอโรนิโมเป็นวีรุบุรุษผู้กล้าหาญและหัวหน้าเผ่าชิริคาฮัว อาปาเช่ ในศตวรรษที่ 19 ที่กล้าเปิดสงครามต่อสู้กับทหารอเมริกันและทหารเม็กซิโกที่พยายามขยายดินแดนล่วงล้ำเข้าไปยังดินแดนของอาปาเช่ จนรู้จักกันในชื่อของ "สงครามอาปาเช่" 

เจอโรนิโม (Geronimo) หรือโกยาทเล เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1829 ในเผ่าอาปาเช่ (Apache) สาขาเบดอนโคเฮ (Bedonkohe) ในดินแดนที่เป็นรัฐนิวเม็กซิโกในปัจจุบันนี้ 
ในเวลานั้น สหรัฐอเมริกากำลังทำสงครามกับเม็กซิโกเพื่อขยายดินแดนไปทางตะวันตก และพยายามขับไล่กวาดล้างชาวพื้นเมืองอเมริกา (อินเดียนแดง) ออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ทำให้ชาวพื้นเมืองบางส่วนต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของตนจากผู้รุกราน โดยการดักปล้นเสบียงและอาวุธจากฝ่ายอเมริกา

จุดเริ่มต้นที่ทำให้เจอโรนิโม (โกยาทเล) กลายมาเป็นนักรบนั้นเกิดขึ้นในปี 1858 ตอนเขาอายุ 29 ปี ขณะที่เขาและผู้ชายชาวอาปาเช่บางส่วนได้เดินทางไปทำการค้าขายในเมืองอยู่นั้น ปรากฏว่ามีกองทหารเม็กซิโกเข้าโจมตีค่ายของอาปาเช่และสังหารคนในค่ายจนหมด ถึงรวมถึงแม่ ภรรยาและลูก ๆ ของเจอโรนิโมด้วย จึงทำให้ชาวเผ่าอาปาเช่สาขาต่าง ๆ ได้แก่ เบดอนโคเฮ โชโกเนน (Chokonen) และเน็ดนี (Nedni) ประกาศร่วมมือกันเพื่อทำสงครามตอบโต้เม็กซิโกตั้งแต่ปี 1859 เป็นต้นมา 

ซึ่งเจอโรนิโมก็ได้เป็นหนึ่งในผู้นำของชาวอาปาเช่ในการเข้าโจมตีและปล้นสะดมชาวเม็กซิโกอย่างต่อเนื่องโดยที่รัฐบาลเม็กซิโกไม่สามารถจับกุมตัวได้ และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง พวกชาวเม็กซิโกก็ตั้งฉายาของโกยาทเลว่า “เจอโรนีโม” ซึ่งกล่าวกันว่าเกิดจากคำอุทานของทหารเม็กซิกันที่มักจะขอความกรุณาจากเซนต์เจโรม (Jerome) นั่นเอง

เจอโรนิโม คือชายผู้ไม่ยอมแพ้แก่อเมริกันชนผู้มาปล้นชิงแผ่นดินเกิด โดยอินเดียแดงบางเผ่าถึงกับถูกคนขาวฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนไม่เหลือใครสักคนเดียว

ในช่วงปลายสงคราม เหลือชาวอินเดียนแดงอยู่แค่ไม่กี่เผ่าเท่านั้น พวกเขายังคงใช้ชีวิตต่อสู้กับชาวยุโรปตลอดมา และหนึ่งจำนวนนั้นคือ เจอโรนิโม หัวหน้าเผ่าอาปาเช่ ชายที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในการปกป้องผืนแผ่นดินบ้านเกิด 

เจอโรนิโมเป็นชาวอินเดียนแดงที่สหรัฐและเม็กซิโกต้องการจับตัวมากที่สุด ต้องการขนาดยอมร่วมมือกันเพื่อออกตามล่าตัวเจอโรนิโมอย่างเร่งด่วน เพราะเจอโรนิโมเป็น 1 ในแกนนำของ 3 ชนเผ่าอย่างที่ได้รวมตัวกัน เพื่อต่อสู้ทำสงครามอาปาเช่กับสหรัฐและเม็กซิโกอย่างถึงที่สุด 

สงครามอาปาเช่นี้เริ่มต้นในปี 1859 จนถึงปี 1862 มีแกนนำหลายคนเสียชีวิตและถูกจับกุมตัว แต่มีเพียง เจอโรนิโมเท่านั้นที่ยังคงหยัดยืนเป็นแกนนำหลักของทั้ง 3 เผ่าทำสงครามอาปาเช่อย่างไม่หยุดหย่อน จนกลางปี 1862 สหรัฐและเม็กซิโกได้เสนอการทำสนธิสัญญาสันติภาพเพื่อขอสงบศึกกับทั้ง 3 เผ่าอินเดียนแดง 

หัวหน้าเผ่าทุกคนยอมรับข้อเสนอดังกล่าว แต่ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าหัวหัวหน้าเผ่าโชโกเนนจะไม่เดินทางไปทำสนธิสัญญาด้วย จะมีเพียงหัวหน้าเผ่าของเบคอนโคเฮกับหัวหน้าเผ่าเน็ดนีเดินทางไปเท่านั้น

ตัวแทนจากทั้ง 2 เผ่าออกเดินทางไปทำสนธิสัญญา และก็เป็นไปตามคาดคณะของหัวหน้าเผ่าทั้งสองที่ยกไปทำสนธิสัญญาสงบศึกได้ถูกลอบสังหารจนหมดสิ้น
จากนั้นยังกองทหารสหรัฐ-เม็กซิโกยังยกทัพไปกวาดล้างชนเผ่าอาปาเช่ต่อ
ครั้นพอทราบข่าวหัวหน้าเผ่าโชโกเนน เขาจึงฝากฝังเจอโรนิโมให้พาเด็กและสตรีหลบหนีไปก่อน ส่วนเขาได้ยกพวกเข้าต่อสู้กับทหารอเมริกันจนเสียชีวิตในสนามรบ
ทำให้เจอโรนิโมกลายเป็นหัวหน้าเผ่าของอาปาเช่เพียงคนเดียวที่เหลือรอดอยู่ในปี 1862 ตอนนั้นเจอโรนิโมอายุ 33 ปี

ภารกิจหนึ่งเดียวที่เหลือหลังจากนั้นของเจอโรนิโมในฐานะผู้นำสูงสุดของเผ่าอาปาเช่ คือต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อปกป้องชนเผ่าที่เหลือให้อยู่รอดให้จงได้ 
เจอโรนีโมต้องพาคนในเผ่าของเขาการอพยพย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อหนีการตามไล่ล่าของพวกทหารผิวขาว

เจอโรนีโมได้พยายามปกป้องชาวอาปาเช่ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดอย่างกล้าหาญ แม้จะต้องอพยพหลบหนีภัยสงครามอยู่หลายครั้ง ทำให้ฝ่ายเม็กซิโกและอเมริกาที่ต้องการจับตัวของเจอโรนีโมต้องใช้เวลาตามล่าและพบกับความสูญเสียไปไม่น้อย กว่าที่นายพลเนลสัน ไมลส์ จะนำกำลังเข้าล้อมจับชาวอาปาเช่ได้ที่สเกเลตัน แคนยอน รัฐอริโซนา เมื่อปีกันยายน ปี 1886 ขณะนั้นเจอโรนิโมอายุ 57 ปี

ถึงจะรบไม่เคยแพ้ แต่เจอโรนิโม กลับยอมมอบตัว แต่โดยดี
เจอโรนีโมจำต้องยอมให้ทหารอเมริกันจับกุมตัวเพื่อรักษาชีวิตของชาวอาปาเช่ที่เหลือทั้งหมด ... นี่คือ "สงครามที่ที่ไม่สู้สงคราม" ของเจอโรนิโม

เมื่อนายพลเนลสัน ไมลส์ ให้สัญญาลมๆ แล้งๆ ว่า จะได้กลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัวใหม่และสมาชิกในเผ่า ซึ่งถูกบังคับให้ต้องเดินทางไกลย้ายถิ่นฐานจากเขตสงวนในรัฐอริโซนาไปที่รัฐฟลอริดา อันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางของน้ำตาและความตาย 

แต่แล้วกองทัพสหรัฐก็กลืนน้ำลายตัวเอง ไม่ได้รักษาคำสัญญานั้น กลับจับวีรบุรุษผู้กล้าของอาปาเช่อย่างเจอโรนิโมไปขังคุกในฐานะเชลยสงคราม แถมยังขยันย้ายคุกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเจอโรนิโมแก่ตัวไร้พิษสงและเขี้ยวเล็บแล้วจึงถูกย้ายไปอยู่ที่ฟอร์ท ฮิลล์ รัฐโอคลาโฮมาเป็นแห่งสุดท้าย 

เจอโรนีโมได้ถูกนำตัวออกแสดงต่อสาธารณชนที่ต้องการชมหัวหน้าชาวอาปาเช่ผู้มีชื่อเสียงอยู่หลายครั้ง รวมถึงในปี 1905 เจอโรนีโม ยังได้เขียนบันทึกอัตชีวประวัติของตัวเขาเองเอาไว้เกี่ยวกับประวัติชีวิตและยุทธวิธีในการรบของเขา

เจโรนิโม ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างดีก็แค่ไปร่วมงานฉลองเล็กๆ น้อยๆ ของอินเดียนแดง ระหว่างนั้นเขาเคยปรารภหลายครั้งว่าสิ่งเดียวที่เสียใจที่สุดในชีวิตก็คือการหลงเชื่อน้ำคำของนายพลอเมริกันจนสมัครใจยอมแพ้แล้วถูกหักหลัง ทำให้ตัวเขาไม่ได้ตายในสนามรบอย่างกล้าหาญ 

สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมใจเขาไว้ได้ คือการที่เขาสามารถรักษาชีวิตของคนในเผ่าอาปาเช่ที่เหลืออยู่น้อยนิดไม่ให้ถูกกวาดล้างจนสิ้นเผ่าพันธุ์ได้ เพราะเขาเลือกที่จะไม่ต่อสู้จนตัวตายในสนามรบเอง

และแล้ววันหนึ่งในปี 1909 ขณะขี่ม้ากลับบ้าน เจอโรนิโม ผู้ชราในวัย 80 ปีก็ถูกม้าสลัดตกต้องนอนกลางดินท่ามกลางความหนาวเย็นถึงหนึ่งคืนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ แต่เจอโรนิโม ก็เสียชีวิตหลังจากนั้นด้วยโรคปอดบวม หลังจากที่ต้องอยู่ในฐานะนักโทษของอเมริกาเป็นเวลากว่า 23 ปี เป็นการปิดตำนานของนักรบผู้ปกป้องพื้นแผ่นดินชาวอินเดียนแดงคนสุดท้ายแต่เพียงเท่านี้

เครซี่ ฮอร์ส เป็นนักรบอินเดียนแดงที่ยิ่งใหญ่ เพราะไร้พ่ายก็จริง
แต่เจอโรนิโม เป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่กว่าเครซี่ ฮอร์ส อีก 
เพราะ เขา ‘ปกป้องชีวิต’ และ ‘รักษาชีวิต’ ของเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้ ด้วยการทำ ‘สงครามที่ไม่สู้สงคราม’

แถมยังสามารถเขียนบันทึกอัตชีวประวัติของตนเองให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความโหดร้ายและความยากลำบากชนิดเลือดตาแทบกระเด็นของการปกป้องแผ่นดินเกิดและการรักษาเผ่าพันธุ์

นิยามของวีรบุรุษ มี 2 แบบ วีรบุรุษระห่ำที่ไม่กลัวตาย ไม่เสียดายชีวิต กับวีรบุรุษผู้ยอมอดกลั้นทุกอย่างเพื่อความผาสุกของคนทั้งหมด

ผู้มีปัญญาย่อมรู้เองว่า วีรษรุษแบบไหนคือวีรบุรุษที่แท้จริง

ด้วยจิตคารวะ

สุวินัย ภรณวลัย

'สื่ออังกฤษ' ยก สนามบิน 'โหน่ยบ่าย' ดีที่สุดใน 'เอเชีย-อาเซียน' ส่วน 'ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ' ติดกลุ่ม 10 อันดับแย่ที่สุด

(3 มี.ค.67) เพจ 'BTimes' ได้รายงานว่า บิสสิเนส แทรเวลเลอร์ (Business Traveller) สื่อผลิตเนื้อหาและข้อมูลด้านการเดินทางและท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกจากอังกฤษมีอายุมาถึง 48 ปี และได้รับการยอมรับจากนักเดินทางและนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะนักธุรกิจและนักบริหาร เปิดเผยรายงานผลการจัดอันดับสนามบินนานาชาติดีที่สุดและแย่เลวร้ายที่สุดในทวีปเอเชียประจำปี 2023 พบว่า สนามบินนานาชาติทึ่ดีที่สุด ได้แก่ สนามบินโหน่ยบ่าย กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ขณะที่สนามบินที่แย่ที่สุด ได้แก่ สนามบินนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพ ประเทศไทย ส่วนสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ อยู่อันดับที่ 7 จากทั้งหมด 10 อันดับสนามบินนานาชาติที่แย่ที่สุด 

สำหรับสนามบินนานาชาติที่ดีที่สุด 10 อันดับในทวีปเอเชีย ปี 2023 มีดังนี้... 

อันดับ 1 สนามบินโหน่ยบ่าย (ฮานอย) เวียดนาม 6.80 คะแนน 
อันดับ 2 สนามบินชางฮี สิงคโปร์ 6.63 คะแนน 
อันดับ 3 สนามบินเช็คแลปก๊อก ฮ่องกง 6.48 คะแนน 
อันดับ 4 สนามบินฮาหมัด กาตาร์ 6.44 คะแนน 
อันดับ 5 สนามบินนาริตะ (โตเกียว) ญี่ปุ่น 6.23 คะแนน 
อันดับ 6 สนามบินฮาเนดะ (โตเกียว) ญี่ปุ่น 5.82 คะแนน 
อันดับ 7 สนามบินเกมเปโควทา (เบงกาลูรู) อินเดีย 5.56 คะแนน 
อันดับ 8 สนามบินไท่หยวน ไต้หวัน 5.29 คะแนน 
อันดับ 9 สนามบินฉัตรปตี ศิวาจี มหาราช (มุมไบ) อินเดีย 5.22 คะแนน 
และอันดับ 10 สนามบินอินทิรา คานธี (นิวเดลี) อินเดีย 4.60 คะแนน 

ทั้งนี้ สนามบินโหน่ยบ่าย (ฮานอย) เวียดนาม ที่ได้ 6.80 จาก 10 คะแนนในครั้งนี้นั้น ถูกยกย่องหลายด้านโดยเฉพาะระบบการจัดคิวผู้โดยสารที่ใช้บริการที่สนามบินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

สำหรับสนามบินนานาชาติที่เลวร้ายที่สุด 10 อันดับในทวีปเอเชีย ปี 2023 (คะแนนน้อยที่สุด คือยอดแย่ที่สุด จากคะแนนเต็ม 10) มีดังนี้...

อันดับ 1 สนามบินคูเวต คูเวต 1.69 คะแนน 
อันดับ 2 สนามบินอัลมาตี คาซัคสถาน 2.62 คะแนน 
อันดับ 3 สนามบินคิง อับดุลาซิ ซาอุดีอาระเบีย 2.72 คะแนน 
อันดับ 4 สนามบินนินอย อาคีโน ฟิลิปปินส์ 2.78 คะแนน 
อันดับ 5 สนามบินอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรต 2.88 คะแนน 
อันดับ 6 สนามบินเชนไน อินเดีย 3.00 คะแนน 
อันดับ 7 สนามบินสุวรรณภูมิ ไทย 3.25 คะแนน 
อันดับ 8 สนามบินดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต 3.36 คะแนน 
อันดับ 9 สนามบินกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย 3.36 คะแนน 
และอันดับ 10 สนามบินดอนเมือง ไทย 3.45 คะแนน

เมื่อพิจารณาเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน พบว่า สนามบินนานาชาติที่ดีที่สุดในอาเซียนยังคงเป็นของสนามบินหน่อยไบ๋ (ฮานอย) เวียดนาม ตามด้วยสนามบินชางฮี สิงคโปร์ ขณะที่สนามบินนินอย อาคีโน ฟิลิปปินส์ เป็นสนามบินที่แย่ที่สุดในอาเซียน โดยมีสนามบินดอนเมือง กรุงเทพ ประเทศไทยรั้งรองสุดท้ายของอันดับสนามบินแย่ที่สุดในอาเซียน 

สนามบินคูเวต คูเวต ที่ได้คะแนนต่ำที่สุดที่ 1.69 จาก 10 คะแนน ส่งผลเป็นสนามบินนานาชาติที่ยอดแย่ที่สุดของโลก ที่สำคัญ เป็นเพียงสนามบินเดียวในทวีปเอเชียที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่า 2 คะแนน พบว่า ผู้โดยสารแสดงความไม่พอใจอย่างมากกับกลิ่นเหม็น หรือกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาภายในสนามบิน นอกจากนี้ มีปัญหาด้านขั้นตอนการบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่องที่ช้ามาก 

ทั้งนี้ บิสสิเนส แทรเวลเลอร์ (Business Traveller) ทำการจัดอันดับรายงานดังกล่าวจากการเก็บข้อมูลโดยตรงจากการแสดงความคิดเห็นของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินจากทุกสนามบินทั่วโลกผ่านแอร์ไลน์ควอลิตึ้ดอทคอม นอกจากนี้ ยังเป็นสื่อชั้นนําสําหรับนักเดินทางเพื่อธุรกิจที่มีการผลิตเนื้อหาถึง 14 ประเทศสำคัญ ได้แก่ สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, เอเชีย-แปซิฟิก, ตะวันออกกลาง, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, เดนมาร์ก, ฮังการี, แอฟริกา, รัสเซีย, โปแลนด์, อิสราเอล และอินเดีย รวมถึงเว็บไซต์ต่างๆ

‘องค์การอนามัยโลก’ หวั่น!! ปี 2035 กว่าพันล้านคนจะป่วยเป็น 'โรคอ้วน' แนะ!! 'เพิ่มภาษีน้ำตาล-หนุนอาหารสุขภาพ' ก่อนต้องเจียดเงินมหาศาลแก้

(2 มี.ค.67) Business Tomorrow รายงานเอกสารเผยแพร่จาก Lancet จากศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย Imperial College ในลอนดอนกล่าวว่า โรคอ้วนกำลังเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่การมีน้ำหนักที่พอดีกำลังลดลงไปในทั่วโลก นาย Francesco Branca หัวหน้าแผนกสารอารหารแห่ง WHO กล่าวว่า โรคอ้วนอาจเคยเป็นปัญหาของประเทศที่ร่ำรวย แต่ตอนนี้ได้แผ่กระจายเป็นปัญหาระดับโลกเสียแล้ว

จากการเก็บข้อมูลจาก 190 ประเทศทั่วโลกของปี 2022 โรคอ้วนในผู้ใหญ่กำลังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในขณะที่เพิ่มขึ้นสี่เท่าในกลุ่มเด็กอายุ 5-19 ปีจากปี 1990 ไป 2022 ผลวิเคราะห์พบว่าเด็กหญิง เด็กชาย และผู้ใหญ่กำลังมีจำนวนผู้มีร่างกายสมส่วนลดลงไป เด็กหญิง 1 ใน 5 เด็กชายลดไป 1 ใน 3 และลดไปครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ กระนั้น ก็ยังมีคนหลักร้อยล้านคนที่ยังไม่มีอาหารเพียงพอในการกิน

ประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำกำลังประสบปัญหาคนเป็นโรคอ้วนพุ่งขึ้นสองเท่ามากขึ้นโดยเฉพาะฝั่งแคริบเบียนและตะวันออกกลาง ในแถบยุโรปบางประเทศก็เพิ่มมากขึ้น ยกเว้นสเปน ที่เริ่มมีตัวเลขโรคอ้วนที่ลดลงหรือคงที่

>> ตัวเลขสถิติที่น่าสนใจ...
- ประเทศตองกาและประเทศอเมริกันซามัวครองแชมป์ร่วมเพศชาย 81% ของประชากรชาย เป็นโรคอ้วน
- ประเทศนาอูรูและประเทศอเมริกันซามัวครองแชมป์ร่วมฝั่งหญิงที่ 70% เป็นโรคอ้วน
- สหรัฐฯ ครองอันดับ 10 ฝั่งชาย และ 36 ฝั่งหญิง

>> อ้วนครึ่งโลกในปี 2035...
ประชากรที่อายุมากกว่า 5 ปี 774 ล้านคน มีเกณฑ์ที่จะเป็นโรคอ้วนในอนาคต หรือก็คือพบได้ 1 ใน 8 คน ทาง WHO ก็มีการออกมาเรียกร้องให้เพิ่มมาตรการอย่างการเพิ่มภาษีน้ำตาลและสนับสนุนให้โรงเรียนเปลี่ยนมื้ออาหารให้เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้ สหพันธ์โรคอ้วนยังเผยอีกว่า โลกของเราจะมีคนเป็นโรคอ้วนครึ่งโลกภายในปี 2035 และส่งผลให้ต้องใช้เงินแก้ปัญหานี้กว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

'สามี พญ.ไทยในสหรัฐฯ' เดินหน้าฟ้องร้านดังเครือวอลต์ดิสนีย์ หลังเสียชีวิตเพราะแพ้อาหาร ฐานร้านประมาทเลินเล่อ

(2 มี.ค. 67) สามีของแพทย์หญิงชาวไทยในนิวยอร์ก ซึ่งเสียชีวิตไม่นาน หลังจากรับประทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งในดิสนีย์ สปริงส์ เมื่อเดือนที่แล้ว ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับวอลต์ ดีสนีย์ พาร์คส แอนด์ รีสอร์ทส ฐานประมาทเลินเล่อ ในเอกสารคำร้อง 19 หน้า ที่ยื่นในฟลอริดา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตามรายงานของสื่อมวลชนสหรัฐฯ หลายสำนัก ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (29ก.พ.)

นายเจฟฟรีย์ พิกโคโล เรียกเงินชดเชยกว่า 50,000 ดอลลาร์ ต่อเหตุเสียชีวิตที่เกิดขึ้นโดยมิชอบ (Wrongful Death) ของแพทย์หญิงกนกพร แต่งสวน แพทย์ของโรงพยาบาลนิวยอร์ก ยูนิเวอร์ซิตี แลนโกน ในแมนฮัตตัน ในคำฟ้องที่ยื่นเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ในออเรนจ์ เคาน์ตี รัฐฟลอริดา

คำฟ้องเน้นว่าแพทย์หญิงกนกพร รับประทานอาหารที่ Raglan Road Irish Pub ในดิสนีย์ สปริงส์ พร้อมกับสามีและแม่สามี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2023 ทั้งนี้แพทย์หญิงกนกพร มีอาการแพ้ถั่วและผลิตภัณฑ์นม อย่างรุนแรง จึงได้แจ้งให้บริกรทราบว่าเธอจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่ปราศจากสารก่ออาการแพ้ดังกล่าว

ในเอกสารคำฟ้องระบุว่า แพทย์หญิงกนกพรและสามี ได้สอบถามบริการเกี่ยวกับวัตถุดิบต่างๆในเมนู จากนั้นบริกรได้ไปสอบถามเชฟต่ออีกทอดว่า "อาหารที่ประกอบนั้นปราศจากสารก่ออาการแพ้หรือไม่" ก่อนที่บริกรจะกลับมาที่โต๊ะและให้คำยืนยันว่ามันไม่มีสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร สามารถรับประทานได้

ทั้งคู่ยังได้สอบถามบริกรอีกหลายครั้งว่า มีความมั่นใจใช่หรือไม่ว่าอาหารปราศจากสารก่อภูมิแพ้ ก่อนที่แพทย์หญิงกนกพร จะสั่งอาหารชุบแป้งทอด(Fritter) หอยเชลล์ และหอมทอด ในคำฟ้องได้ระบุไว้

โดยในคำฟ้องยังบอกต่ออีกว่าพออาหารมาถึงโต๊ะ มีอาหารบางจานที่มาเสิร์ฟโดยไม่มีธงจิ๋วปักอาหารว่าเป็น "เมนูปลอดสารภูมิแพ้" กระตุ้นให้แพทย์หญิงและสามีของเธอ ถามบริกรอีกรอบว่าอาหารนั้นปราศจากส่วนผสมของถั่วและผลิตภัณฑ์นมใช่หรือไม่ ซึ่งบริการก็การันตีว่ามันปราศจากสารก่ออาการแพ้

จากนั้นตอนเวลา 20.00 น. หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ แพทย์หญิงและแม่สามี แยกกันออกไปช็อปปิ้งที่ดิสนีย์ สปริงส์ ส่วน พิกโคโล เดินทางกลับห้องพร้อมกับอาหารที่รับประทานไม่หมด

ราว 45 นาทีต่อมา แพทย์หญิงกนกพร มีอาการหายใจลำบาก ตอนที่เธอเข้าไปยังแพลนเน็ต ฮอลลีวูด และล้มฟุบลงกับพื้น โดยในคำฟ้องระบุว่าเธอฉีดยาแก้แพ้ด้วยตนเอง ในระหว่างที่กำลังทุกข์ทรมานจากอาการแพ้อาหาร

แม่สามีโทรศัพท์หาแพทย์หญิง แต่ปลายสายไม่มีใครรับ จากนั้นเธอจึงเดินทางกลับไปยังโรงแรมและโทรศัพท์หาแพทย์หญิงกนกพรอีกรอบ คราวนี้มีใครบางคนรับโทรศัพท์และแจ้งให้ทราบว่าแพทย์หญิงกนกพร ถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล

สุดท้ายแล้ว แพทย์หญิงรายนี้ก็ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

ผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ พบว่าเธอเสียชีวิตจากภาวะแพ้อย่างรุนแรงเฉียบพลัน สืบเนื่องจากระดับผลิตภัณฑ์นมและถั่วที่สูงลิ่วในระบบร่างกายเธอ

คำฟ้องระบุว่า Raglan Road Irish Pub ล้มเหลวให้การศึกษา ฝึกฝนหรือสั่งให้พนักงาน รับประกันสร้างความมั่นใจว่าอาหารนั้นปราศจากสารก่อภูมิแพ้

นิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า แพทย์หญิงกนกพร มีแรงบันดาลใจในการศึกษาด้านการแพทย์ เนื่องจากภาวะอาการที่รุนแรงถึงชีวิตของเธอ และเป็นผู้ที่มีความระมัดระวังในการรับประทานอาหารนอกบ้าน ทั้งการแจ้งเตือนพนักงานเสิร์ฟเรื่องการแพ้อาหารของเธอทุกครั้ง รวมถึงการพกปากกา EpiPen หรือเครื่องฉีดอีพิเนฟรินอัตโนมัติ เพื่อรักษาอาการแพ้รุนแรงในกรณีฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา

3 สถาบันการเงินระดับโลก เชื่อมั่น!! เปิดตัวบริษัทในเซี่ยงไฮ้ หลังเปิดกว้างทางด้าน 'ธุรกิจ-การเงิน' ในระดับสูง

(1 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา สถาบันการเงินต่างประเทศอันได้แก่ อัลลิแอนซ์เบิร์นสไตน์ (AllianceBernstein) อามันดิ (Amundi) และเคเคอาร์ (KKR) ได้จัดพิธีเปิดบริษัทพร้อมกันในมหานครเซี่ยงไฮ้ของจีน

บริษัทอัลลิแอนซ์เบิร์นสไตน์ ได้จัดตั้งบริษัทกองทุนสาธารณะที่บริษัทถือครองแต่เพียงผู้เดียวในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งถือเป็นบริษัทประเภทนี้แห่งที่ 5 ในจีน ขณะที่ อามันดิ ยังได้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินหรือฟินเทค (fintech) ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งถือเป็นบริษัทฟินเทคแห่งที่ 2 ในเซี่ยงไฮ้ที่ก่อตั้งโดยนักลงทุนต่างชาติ ส่วนเคเคอาร์ บริษัทจัดการสินทรัพย์ทางเลือกชั้นนำระดับโลกได้เปิดตัวบริษัทจัดการสินทรัพย์ ณ มหานครแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

การเปิดสถาบันการเงินทั้ง 3 แห่งนี้ เป็นผลสำเร็จมาจากการเปิดกว้างทางการเงินระดับสูงและการพัฒนาคุณภาพสูงของนครเซี่ยงไฮ้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อเศรษฐกิจและตลาดจีน

เซี่ยตง รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้กล่าวในพิธีเปิดว่า การลงทุนในเซี่ยงไฮ้คือการลงทุนกับอนาคต และเซี่ยงไฮ้จะใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบที่ครอบคลุมอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาด การลงทุน และการพัฒนา พร้อมสนับสนุนให้บรรดาสถาบันการเงินมาพัฒนาธุรกิจของตนในเซี่ยงไฮ้ 

อาเจย์ คาล (Ajai Kaul) ประธานกรรมการบริหารของของอัลลิแอนซ์เบิร์นสไตน์และผู้บริหาร Client Group ประจำเอเชียแปซิฟิก และจงเสี่ยวเฟิง รองประธานบริษัทอามันดิเอเชีย แสดงความมั่นใจในอุตสาหกรรมการจัดการสินทรัพย์ของจีนในอนาคต ทั้งคู่กล่าวว่าเหล่าสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้จะใช้ประโยชน์จากประสบการณ์อันยาวนานที่สั่งสมมาจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ระดับโลก เดินหน้าสำรวจตลาดจีน และจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลาย

ค่าแรงขั้นต่ำถูกกว่าจีน 2 เท่าครึ่ง ดัน 'เวียดนาม' ขึ้นแท่นโรงงานโลกแทนจีน แถมประสิทธิภาพการผลิตสูงสุดในอาเซียน ชนะสิงคโปร์ ทิ้งห่างไทย

(1 มี.ค.67) BTimes เผย เวียดนามกำลังขึ้นแท่นโรงงานโลกแทนจีน หลังค่าแรงขั้นต่ำถูกกว่าจีน 2 เท่าครึ่ง แถมประสิทธิภาพการผลิตเวียดนามแรงสูงสุดในอาเซียนชนะสิงคโปร์และทิ้งห่างไทย และในปีหน้าก็ตั้งเป้าพัฒนาแรงงานฝีมือดีให้ได้ถึง 30% เพื่อดันประสิทธิภาพการผลิตสูงต่อเนื่องอีกด้วย

สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เปิดเผยว่าผลิตภาพ หรือผลผลิตต่อการผลิต หรือ Productivity ถือเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันของทุกประเทศ ซึ่งการเพิ่มผลิตภาพไม่ใช่เพียงการทำให้ตัวเลขอย่าง GDP หรือ Output เพิ่มขึ้น แต่เป็นการดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือเอฟดีไอ ให้ไหลเข้าในประเทศอย่างยั่งยืน

เวียดนามถือเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีการผลักดันการเพิ่มผลิตภาพอย่างจริงจังและชัดเจน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลิตภาพของประเทศเวียดนามมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ 5.1% ต่อปี ส่งผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียน ที่สำคัญอยู่สูงกว่าสิงคโปร์และไทย 

ถึงแม้แต่ในช่วงปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เวียดนามยังคงมีอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานอยู่ที่ 4.7% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เวียดนามมีอัตราการเติบโตของผลิตภาพสูง ได้แก่ แรงงานเวียดนามที่มีทักษะเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลเวียดนามเน้นการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนแรงงานมีฝีมือในประเทศเป็น 30% ภายในสิ้นปี 2568

ด้านค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าคู่แข่งนั้น เวียดนามมีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าหลายประเทศ ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ฮานอย, โฮจิมินห์ อยู่ที่ประมาณ 4,680,000 ด่งต่อเดือน หรือประมาณ 6,700 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของจีนอยู่ที่ 1,420 หยวนต่อเดือน หรือประมาณ 17,000 บาท 

ปัจจัยต่อมา คือ นโยบายสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ เวียดนามมีนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนจากต่างชาติ ทั้งการลดกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจและอุปสรรคจากการค้า การให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบ รวมถึงการเข้าร่วมเขตการค้าเสรีต่าง ๆ ซึ่งช่วยลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างประเทศ

ปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมาก อาทิ Adidas Nike IKEA Apple Foxconn Dell และ Samsung เป็นต้น ให้ความสนใจลงทุนและย้ายฐานการผลิตมาที่เวียดนามเพิ่มขึ้น จนอาจทำให้เวียดนามสามารถก้าวขึ้นมาเป็นโรงงานโลก (World Factory) แทนที่จีนซึ่งยังคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อพิจารณาจากมูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ ในปี 2565 เวียดนามได้ก้าวข้ามเกาหลีใต้ขึ้นมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ในลำดับที่ 6 มูลค่าการนำเข้า 127.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนไทยอยู่ในลำดับที่ 14 มูลค่าการนำเข้า 58.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม การผลิตแรงงานทักษะสูงที่ไม่ทันต่อความต้องการ กระทรวงแรงงาน ผู้พิการ และสวัสดิการสังคมของเวียดนามในปี 2565 รายงานว่า มีแรงงานเพียง 26% เท่านั้นที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่แรงงานที่เหลือยังขาดทักษะและไม่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้ ซึ่งองค์กรในเวียดนามถึง 57% กำลังประสบปัญหาในการสรรหาแรงงานทักษะสูงและถึงแม้เวียดนามจะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานได้อย่างต่อเนื่อง แต่ผลิตภาพแรงงานกลับยังคงต่ำกว่าหลายประเทศ 

ด้าน Productivity Databook 2023 โดย APO รายงานว่า ในปี 2564 เวียดนามมีมูลค่าผลิตภาพแรงงานต่อคนที่ 20,500 เหรียญสหรัฐ (738,000 บาท) ในขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 60,900 เหรียญสหรัฐ (2,192,400 บาท) ไทยอยู่ที่ 33,000 เหรียญสหรัฐ (1,188,000 บาท) อินโดนีเซีย 26,300 เหรียญสหรัฐ (946,800 บาท) และฟิลิปปินส์ 23,600 เหรียญสหรัฐ (849,600 บาท) ซึ่งสะท้อนว่า อัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานของเวียดนามมีความเสี่ยงที่จะถูกก้าวข้ามได้ในอนาคต หากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนมีนโยบายและมาตรการที่สามารถกระตุ้นอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงาน

สถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญส่งผลให้เวียดนามตัดสินใจผลักดันการเพิ่มผลิตภาพแรงงานเป็นแผนระดับชาติตามมตินายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งกำหนดเป้าหมายเป็น 1 ใน 3 ประเทศชั้นนำด้านอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2573 โดยเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยต่อปีเป็น 6.5% แบ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมแปรรูปและผลิต 6.5 - 7% ภาคเกษตรกรรม ป่าไม้ และประมง 7 - 7.5% และภาคบริการ 7 - 7.5% เพื่อมุ่งให้ผลิตภาพแรงงานกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืน และทำให้เวียดนามสามารถใช้โอกาสจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

‘อินฟลูฯ ดังสิงคโปร์’ โดน ‘ไต้หวัน’ ลงดาบ!! ห้ามเข้าประเทศ 5 ปี หลังจัดฉากสร้างคอนเทนต์ ‘ถูกปาไข่ใส่’ ทำภาพลักษณ์เสื่อมเสีย

(1 มี.ค.67) สเตรตส์ไทมส์ รายงานว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ไต้หวันประกาศห้ามอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวสิงคโปร์เข้าไต้หวัน หลังกุเรื่องสร้างความปั่นป่วนเพียงเพื่อทำคอนเทนต์

รายงานระบุว่าเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา น.ส.เฉิง เหว่ง อี้ หรือชื่อในวงการอินฟลูเอนเซอร์บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า ‘เคียราคิตตี้’ (KiaraaKitty) กำลังไลฟ์วิดีโอผ่านแพลตฟอร์มทวิตช์ระหว่างเที่ยวเมืองเกาสง ทางตอนใต้ของไต้หวัน อยู่ๆ ก็มีคนปาไข่ใส่ โดยคนที่ลงมือทำร้าย น.ส.เฉิง สวมชุดกระโปรง และตะโกนเป็นภาษาจีนกลางด่าทอ น.ส.เฉิง ว่าอ่อยสามีของตน

น.ส.เฉิงกล่าวว่าถูกทำร้ายเพราะทำคอนเทนต์สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งต้องสมัครเป็นสมาชิกจึงจะเข้าชมภาพวาบหวิวในแพลตฟอร์ม ‘โอนลีแฟนส์’ ได้ อินฟลูเอนเซอร์สาวให้สัมภาษณ์สื่อไต้หวันด้วยว่าไม่รู้จักคนที่ปาไข่ใส่และจะแจ้งความกับตำรวจ แต่ตำรวจเมืองเกาสงยืนยันเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ว่า น.ส.เฉิงไม่เคยเข้าแจ้งความ

ด้านหนังสือพิมพ์ไทเปไทมส์รายงานว่า ตำรวจสอบสวนพบว่าคนที่ปาไข่จริงๆ แล้วเป็นผู้ช่วยของ น.ส.เฉิง เป็นชายชาวสิงคโปร์วัย 32 ปี นามสกุลสเว่ ทั้งน.ส.เฉิงและนายสเว่ทำผิดกฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมจากการแพร่กระจายข่าวปลอม และคดีนี้ส่งถึงศาลแขวงเกาสงแล้วนอกจากนี้ตำรวจยังขอให้น.ส.เฉิงขอโทษต่อสาธารณชนที่กุเรื่องขึ้นมาด้วย

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ก.พ. น.ส.เฉิงไลฟ์สดพร้อมกับร้องไห้น้ำตานองหน้าและยอมรับว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมด จากนั้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันกล่าวว่า น.ส.เฉิงและนายสเว่ออกจากไต้หวันไปแล้ว

ก่อนศาลแขวงเกาสงตัดสินคดีและลงโทษห้ามเดินทางเข้าไต้หวัน 5 ปี พร้อมยืนยันว่าไต้หวันยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน แต่จะไม่ยอมรับการกระทำที่ผิดกฎหมาย บั่นทอนความสมานฉันท์ และความมั่นคงในสังคม

สำหรับน.ส.เฉิงนั้นเกิดในฮ่องกงเมื่อปี 2545 แต่ย้ายไปอยู่สิงคโปร์ และขึ้นชื่อเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่สร้างรายได้จากการขายสินค้าแปลกแหวกแนว เช่น น้ำที่ใช้อาบแล้วหรือชุดชั้นในใช้แล้วและโหลใส่ผายลมราคาหลายร้อยดอลลาร์สหรัฐ

‘แคว้นทรานส์นีสเตรีย’ ขอความคุ้มครองจาก ‘รัสเซีย’ อ้าง!! ถูก ‘รบ.มอลโดวา’ กดดันทางเศรษฐกิจอย่างหนัก

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ. 67) รัฐบาลท้องถิ่นแคว้นทรานส์นีสเตรีย หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี มีมติยื่นคำร้องถึงรัฐบาลมอสโก เพื่อขอความคุ้มครองพิเศษจากรัสเซีย อ้างเหตุหวั่นตกเป็นพื้นที่พิพาทแห่งใหม่จากการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากรัฐบาลมอลโดวา

‘ทรานส์นีสเตรีย’ เป็นแคว้นที่ประกาศแยกตัวออกจากประเทศมอลโดวา แต่ยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการในระดับสากล ภูมิประเทศเป็นพื้นที่แคบยาวตลอดแนวแม่น้ำนีสเตอร์ และมีชายแดนติดกับยูเครน มีรัฐบาลท้องถิ่นปกครองตนเองซึ่งส่วนใหญ่มีแนวคิดสนับสนุนรัสเซียมาตั้งแต่ยุคหลังสหภาพโซเวียต

แต่ในปัจจุบันสภาแห่งยุโรปยังถือว่าทรานส์นีสเตรีย เป็นส่วนหนึ่งของประเทศมอลโดวา เพียงแต่อยู่ภายใต้การยึดครองโดยกองทัพรัสเซีย ในขณะที่รัฐบาลมอลโดวา กำหนดให้ดินแดนแห่งนี้เป็นหน่วยปกครองดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำนีสเตอร์

แต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา สมาชิกสภาคองเกรซแห่งทรานส์นีสเตรียได้ลงมติเรียกร้องให้สภาดูมาแห่งรัสเซียพิจารณามาตรการป้องกันให้แก่ทรานส์นีสเตรีย อันเนื่องจากในทรานส์นีสเตรียมีพลเมืองรัสเซียอาศัยอยู่มากกว่า 2.2 แสนคน ที่ควรได้รับการคุ้มครองจากแรงภาวะสงครามในยูเครน และ แรงกดดันจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลมอลโดวา 

ข้อพิพาทครั้งล่าสุดระหว่างมอลโดวา และ ทรานส์นีสเตรีย มาจากนโยบายเก็บภาษีใหม่ โดยได้กำหนดให้บริษัทเอกชนในทรานส์นีสเตรียต้องเสียภาษีศุลกากรสินค้าให้กับรัฐบาลกลางมอลโดวา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นมา 

ในขณะที่ วาดิม ครานโนสเซลสกี้ ผู้นำของทรานส์นีสเตรีย ได้ออกมาทักท้วงว่าทรานส์นีสเตรียควรได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีจากข้อตกลงการค้าเสรีมอลโดวา ที่ได้เซ็นไว้ในที่ประชุมสหภาพยุโรปในปี 2013 

แต่ทั้งนี้ มอลโดวากำลังได้รับการพิจารณาเป็นประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป โดยไม่รวมเขตปกครองทรานส์นีสเตรียในข้อตกลงด้วย จึงทำให้รัฐบาลมอลโดวาจำเป็นต้องยกเลิกการผ่อนปรนภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากทรานส์นิสเตรียน ทำให้เจ้าของกิจการทรานส์นีสเตรีย มีภาระด้านภาษีเพิ่มขึ้นเพราะต้องจ่ายภาษีให้กับทั้งทรานส์นิสเตรียและมอลโดวา

อีกทั้งสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้รัฐบาลยูเครนต้องปิดชายแดนทางฝั่งทรานส์นิสเตรีย จึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทรานส์นิสเตรีย ที่ถูกกดดันทั้งจากสถานการณ์ในยูเครน และ จากรัฐบาลมอลโดวา อันเป็นเหตุให้สภาท้องถิ่นทรานส์นิสเตรีย มีมติขอความคุ้มครองจากรัฐบาลรัสเซียในวันนี้ 

สื่อรัสเซียได้อ้างอิง คำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียว่าได้ตอบรับข้อเรียกร้องของทรานส์นิสเตรียแล้ว โดยได้กล่าวว่า การปกป้องดินแดนสีเงิน (ชื่อที่รัสเซียใช้เรียกทรานส์นิสเตรีย) เป็นสิ่งที่รัสเซียให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่ารัสเซียอาจมีแผนในการผนวนดินแดนทรานส์นิสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในอนาคต

ในขณะเดียวกัน โอเลก เซเรเบรียน รองนายกรัฐมนตรีของมอลโดวา ออกมาปฏิเสธคำแถลงของรัฐบาลทรานส์นิสเตรีย ว่าเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ไม่มีสถานการณ์อันตรายใด ๆ ในภูมิภาคทรานส์นิสเตรียนที่ต้องขอการคุ้มครองพิเศษ เป็นแค่เพียงการปั่นกระแสเพื่อสร้างความตื่นตระหนกเท่านั้น

โดนัลด์ ทัสค์ นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ความตึงเครียดในทรานส์นิสเตรียเป็นอันตรายต่อภูมิภาคก็จริง แต่ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ การยั่วยุ และคุกคามจากรัสเซียนั้นมีมานานแล้ว โดยผู้นำโปแลนด์ได้ยกตัวอย่างกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่อยู่ทางภาคตะวันออกของยูเครน ที่ได้ขอการคุ้มครองพิเศษจากรัสเซียเมื่อปี 2022 เพื่อป้องกันการโจมตีจากกองทัพยูเครนเช่นกัน และต่อมาทางรัสเซียก็ได้ผนวกเอาดินแดนทางฝั่งยูเครนตะวันออกส่วนนั้นไปแล้ว

เช่นเดียวกับทางสหรัฐอเมริกา แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า สหรัฐฯ จะสนับสนุนอธิปไตย และการอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลของมอลโดวาอย่างเต็มที่ และจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของรัสเซียในทรานส์นิสเตรียอย่างใกล้ชิด ที่อาจมีเป้าหมายเชิงรุกในการทำลายเสถียรภาพและความมั่นคงของชาติสมาชิกในยุโรป

เพราะคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ หากรัสเซียจะเดินกลยุทธ์ ผนวกดินแดนทรานส์นิสเตรียเป็นของตนถาวร และจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันทั้งฝั่งยูเครน และ มอลโดวา ว่าภัยคุกคามจากรัสเซียสามารถแทรกซึมได้ไวกว่าที่คิด 

‘แบรนด์สมาร์ตโฟนจีน’ อวดเทคโนโลยีสุดล้ำ!! ใช้ ‘สายตา’ บังคับรถ อาศัยแอปฯ จับการเคลื่อนไหวสายตาในมือถือ แทนการจับพวงมาลัย

(29 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปกติแล้วเมื่อนึกถึงการขับขี่รถยนต์ ผู้คนย่อมนึกภาพการควบคุมรถโดยการใช้สองมือคอยจับหมุนพวงมาลัย ทว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่เพียงแต่ทำให้คนขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยตอนขับรถ แต่ยังสามารถใช้ ‘สายตา’ เป็นตัวควบคุมได้ด้วย

ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวพาชมวิธีการควบคุมรถด้วยเทคโนโลยีติดตามสายตาผู้ใช้ (eye tracking) ซึ่งพัฒนาโดยออเนอร์ (HONOR) ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนจีน และถูกนำมาอวดโฉมระหว่างงานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC) ประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นในเมืองบาร์เซโลนาของสเปน

ออเนอร์ติดตั้งเทคโนโลยีติดตามสายตาผู้ใช้ลงบนสมาร์ตโฟน และใช้เซนเซอร์จับภาพด้านหน้าของมือถือตรวจจับการเคลื่อนที่ของสายตา ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถออกคำสั่งให้รถสตาร์ตหรือดับเครื่องยนต์ รวมถึงออกคำสั่งให้รถเดินหน้าหรือถอยหลังได้อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top