Thursday, 8 June 2023
POLITICS

‘ส.ว.สมชาย’ เปิดหน้าคุยทูตสหรัฐฯ แจงขบวนการใส่ร้ายสถาบัน ด้านทูตฯ รับปากส่งเรื่องต่อรัฐบาล เพื่อดำเนินการต่อไป

(5 พ.ค. 66) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

#คนไทยชักศึกเข้าบ้าน
หรือ
#สหรัฐแทรกแซงอธิปไตย

จากเอกสารที่คนไทยกลุ่มหนึ่ง อ้างกล่าวหาให้ร้ายประเทศไทย ส่งถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และวุฒิสมาชิกกลุ่มหนึ่งของสหรัฐฯ เคลื่อนไหวต่อเนื่อง จะออกมติวุฒิสภา ที่ 114 ต่อประเทศไทยนั้น (3 พ.ค.2566) คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา จึงได้เชิญเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย นายโรเบิร์ต เอฟ โกเดค และคณะ เพื่อประสานสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเท็จจริง ที่ห้องรับรองพิเศษวุฒิสภา 

ในระหว่างการหารือกัน ผมได้เสนอให้ท่านทูตสหรัฐฯ รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และยืนยันว่า มิได้เป็นไปตามที่กลุ่มบุคคลเหล่านั้นไปกล่าวหาให้ร้าย คณะกรรมาธิการของวุฒิสภาไทย ที่ติดตามการดูแลการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่พบปัญหาดังที่มีการกล่าวหา

โดยประเทศไทยนั้นให้เสรีภาพเต็มที่ ในการหาเสียงเลือกตั้งของทุกพรรคการเมือง และสื่อมวลชนสามารถสื่อข่าวสารได้อย่างเสรี ไม่มีการปิดกัั้น

คณะกรรมาธิการและสมาชิกวุฒิสภาไทยเห็นว่า ในท้ายร่างมติ 114 ที่ให้ร้ายและข่มขู่กล่าวหา สถาบันพระมหากษัตริย์ แทรกแซงการเลือกตั้งทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเลือกตั้งนั้น ไม่เป็นความจริง และทำให้วุฒิสภาฝ่ายไทยไม่สบายใจ เกรงจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์อันดี

เพราะข้อเท็จจริงแล้ว พระมหากษัตริย์ไทยทรงอยู่เหนือการเมือง มิเคยทรงยุ่งเกี่ยวในการเลือกตั้งใดๆ ตามที่มีการกล่าวหาให้ร้าย จนทำให้วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกาบางท่านเข้าใจผิด นำข้อมูลดังกล่าวไปร่างยื่นขอมติวุฒิสภา 114 (Senate Resolution 114) ที่กล่าวร้ายรุนแรงต่อประเทศไทยโดยไม่เป็นความจริง

ในประเด็นที่ 2 คือการหารือเรื่องกองทุน NED (National Endowment For Democracy) ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวการเมือง เพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 กฎหมายสูงสุดของประเทศ และยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครององค์พระประมุข เช่นเดียวกับที่สหรัฐอเมริกามีกฎหมายปกป้องประธานาธิบดี เช่นกัน 

เรื่องนี้ก่อให้เกิดความแตกแยกทางความคิดและความขัดแย้งในประเทศไทย ถือเป็นการกระทบต่ออธิปไตยของมิตรประเทศ และอาจเป็นการแทรกแซงกิจการในประเทศไทยได้ จึงขอให้ท่านทูตฯ ได้เร่งประสานงานให้รัฐบาลและรัฐสภาสหรัฐอเมริกาทราบ และแก้ไขการกระทำดังกล่าวให้ถูกต้องต่อไปโดยเร็ว

เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ตอบรับทราบ ทั้ง 2 เรื่อง และรับปากว่าจะสื่อสารไปยังรัฐบาลและวุฒิสภาสหรัฐฯ เพื่อดำเนินการต่อไป

ทัวร์ลง ‘กองทัพบก’ หลังปล่อยเพลง ‘หนักแผ่นดิน’ ช่วงใกล้เลือกตั้ง ชาวเน็ตวิจารณ์ยับ!! ทหารไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง สมควรถูกปฏิรูป

กองบัญชาการกองทัพบกเผยแพร่วิดีโอคลิปเพลง ‘หนักแผ่นดิน’ ทำชาวเน็ตทัวร์ลงด่ายับ ชี้ มาในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง หลังถูกบางพรรคการเมืองออกนโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหารพาดพิง

(5 พ.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘กองทัพบก Royal Thai Army’ ของกองบัญชาการกองทัพบก เผยแพร่วิดีโอคลิปเพลง ‘หนักแผ่นดิน’ ที่บรรเลงและขับร้องโดยกรมดุริยางค์ทหารบก หลังจากคลิปดังกล่าวเผยแพร่ออกไปราว 2 ชั่วโมง มีคนแชร์ไปกว่า 300 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม มีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นโจมตีกองทัพบกจำนวนมาก พร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมถึงได้ปล่อยเพลงนี้ออกมาในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง เพราะมีบางพรรคการเมืองออกนโยบายหาเสียงพาดพิงกองทัพ เช่น ยกเลิกเกณฑ์ทหาร

สำหรับความเห็นที่น่าสนใจ อาทิ

“ทหารที่ไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองนี่ล่ะครับ หนักแผ่นดินที่สุด”

“เฮือกสุดท้ายแล้วสินะ 555 แต่อาชีพพวกxึงอะ หนักแผ่นดินสุดแล้ว ข่าวระยำในประเทศมีแต่ข่าวพวกxึง เส้นสายใช้กันไม่หยุด คอร์รัปชันในกองทัพเท่าไหร่ จนเกิดจ่าคลั่ง เพลงนี้ร้องให้อาชีพตัวเองฟังกันนะ”

“ต้องมีท่าเต้นด้วยนะครับ ฟังเฉยๆ ไม่รู้สึกฮึกเหิมเลย”

‘ประสิทธิ์ชัย’ ฟาด ‘พิธา’ พลิกลิ้นปมกัญชา ชี้!! หลังๆ ชักแนบแน่นกับ ‘ชูวิทย์’ หลายเรื่อง

แกนนำเครือข่ายกัญชาฯ ฟาด ‘พิธา’ ไม่เหมาะเป็นผู้นำ ไม่ใช่นักประชาธิปไตย คบ ‘ชูวิทย์’ ผลักกัญชาไปเป็นเกมการเมือง ทั้งที่เคยสนับสนุนถึงขั้นรับร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ จากประชาชน และให้ตนเป็นกรรมาธิการฯ ในนามของพรรค แต่กลับเปลี่ยนจุดยืน ถึงขั้นฟ้องศาลให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด หวังเอาคืนหลัง พ.ร.บ.สุราฯ ไม่ผ่านสภาฯ เตือน!! แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะเอาแบบนี้ เพราะอีกไม่กี่วันกระแสเลือกตั้งจะจบลง จะได้เห็นความจริง

(5 พ.ค. 66) นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล แกนนำเครือข่ายประชาชนเพื่อการมีกฎหมายควบคุมกัญชาในประเทศไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘ประสิทธิ์ชัย หนูนวล’ สื่อสารถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า…

พิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อไหร่คุณจะพูดเรื่องกัญชาให้ตรงกันเสียที คนที่เป็นนักประชาธิปไตยต้องพูดความจริงและพูดให้ตรงกันในทุกวาระ ไม่ใช่พูดตอนนี้อย่างหนึ่ง พูดตอนอื่นก็พูดอีกอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่ลักษณะของผู้นำ ตนเข้าใจว่า พรรคก้าวไกล มีกระแสดี เหตุเพราะมีความชัดเจน และคนรุ่นใหม่ชอบความชัดเจน 

“ผมเจ็บปวดที่สุด วันที่พรรคก้าวไกลยื่นฟ้องศาลให้กัญชากลับไปสู่ยาเสพติด ขอย้ำว่า มันคือการฟ้องศาล พรรคก้าวไกลไม่ได้ทำแบบพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ หรือ ประชาชาติ ที่แสดงความเห็นกัญชาในเชิงนโยบายของพรรค แต่พรรคก้าวไกล เชื่อมั่นยิ่งกว่าว่ากัญชาต้องเป็นยาเสพติด นั่นคือการดำเนินการมากกว่าพรรคอื่น คือ ดำเนินการฟ้องศาลให้เป็นยาเสพติด นี่คือจุดยืนของพรรคก้าวไกล” 

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวถึงเหตุผล ทำไมภาคประชาชนถึงเจ็บปวดกับพรรคก้าวไกล กรณีกัญชา ว่า ตนเป็นกรรมาธิการ (กมธ.) พ.ร.บ.กัญชาฯ ในนามพรรคก้าวไกล ร่วมกับนายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.พรรคก้าวไกล เหตุที่ตนได้เป็น กมธ.ในนามพรรคก้าวไกล ทั้งที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ก็เพราะว่า ภาคประชาชนได้ยื่น ร่าง พ.ร.บ.กัญชา ให้พรรคก้าวไกล รับไปดำเนินการต่อในขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

“ตรงนี้แหละครับ คือ ประเด็นของความเจ็บปวด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นลองนึกตามนะครับ หากมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ประกาศอยู่เคียงข้างประชาชนมาตลอด และยินดียิ่งที่ภาคประชาชนจัดทำร่าง พ.ร.บ.กัญชา ยื่นให้กับพรรค เพราะพรรคเห็นด้วยกับหลักการที่ภาคประชาชนนำเสนอ พรรคจึงอาสานำไปดำเนินการต่อ อยู่มาวันหนึ่ง พรรคก้าวไกลประกาศว่าจะเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด และไม่ได้ประกาศเป็นแค่นโยบายพรรค แต่ยังเอากัญชาไปฟ้องศาลให้กลับไปสู่ยาเสพติดอีกด้วย

“คำถามที่สำคัญคือ หลักการ พ.ร.บ.กัญชาของประชาชน ถูกพรรคหยิบทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่ของ กมธ.พ.ร.บ.กัญชา ทำไมพรรคก้าวไกลไม่นำเสนออะไรเลย ว่าค้นพบข้อเท็จจริงใหม่ หรือ พรรคมีมติใหม่ ต้องเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด กี่เดือนที่ทำงานกันมาแต่พรรคไม่พูดเรื่องนี้เลย แถมยังมีข้อเสนอที่ก้าวหน้าไปอีก” 

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวอีกว่า เพื่อให้ชัดขึ้น ทุกคนต้องกลับไปฟังการให้สัมภาษณ์ของพิธา เรื่องกัญชา สมัยยังมีพรรคอนาคตใหม่ แล้วไปดูจุดยืนการรับร่าง พ.ร.บ.กัญชาของภาคประชาชน แล้วมาดูพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลในวันนี้ คำพูดและจุดยืนของเขาเกี่ยวกับกัญชาตรงกันหรือไม่ ดังนั้น จึงมีคำถามถึง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่ผู้นำที่คนรุ่นใหม่สนับสนุน

1.) จุดยืนของคุณเรื่องกัญชา เปลี่ยนไปตามกระแสและผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ ตลอดระยะเวลาพวกคุณไม่เคยพูดถึงกัญชาในแง่ไม่ดีเลย จนกระทั่ง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร พวกคุณจึงเริ่มมีท่าทีเกี่ยวกับกัญชาเปลี่ยนไป คิดเอาคืนทางการเมืองกับพรรค ซึ่งคาดหวังว่าจะยกมือสนับสนุน พ.ร.บ.สุรา แต่แล้วพรรคนั้นไม่ยกมือให้ในนาทีสุดท้ายใช่หรือไม่

ความพลาดหวังครั้งนี้ ทำให้พวกคุณลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง ที่นักการเมืองรุ่นก่อนเขานิยมทำกัน คือ การเอาคืนทางการเมือง และการเอาคืนนี้ต้องเลือกประเด็นที่สังคมอ่อนไหวอยู่แล้ว คือเรื่องกัญชา (อาจเพราะพวกคุณดูโพลสำรวจแล้วพบว่า จากการสำรวจคนยังกลัวกัญชา จึงใช้กระแสความกลัวนี้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อทำลายพรรคนั้น และกัญชาเริ่มกลายเป็นเหยื่อ) โดยหลังจาก พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าไม่ผ่านสภาฯ ปฏิบัติการเกี่ยวกับกัญชาของพรรคคุณเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือนับแต่บัดนั้น คำถามคือ พวกคุณเปลี่ยนเรื่องกัญชาจากหน้ามือเป็นหลังเพราะอะไร

2.) คำถามที่สำคัญคือ มีเหตุผลอะไรที่พรรคก้าวไกลจะเอากัญชากลับไปสู่ยาเสพติด ประเด็นนี้ต้องพูดกันด้วยข้อเท็จจริง และเพื่อเป็นการเทียบเคียงจุดยืนของพรรคนี้ จึงต้องยกอ้าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้ามาเปรียบเทียบ ถ้าพรรคใช้หลักการตัดสินเรื่องนี้ด้วยข้อเท็จจริง พรรคต้องแสดงข้อเท็จจริงและงานวิจัยที่มี เพื่อเปรียบเทียบโทษระหว่างกัญชากับสุราให้ชัดเจน ย้ำว่าต้องเป็นงานวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ข้อมูลจากความรู้สึก สุราทำให้เกิดอุบัติเหตุอย่างไร ทำลายสุขภาพอะไรบ้าง ประจักษ์กันมานานแล้วมิใช่หรือ ส่วนกัญชานั้นมีงานวิจัยสนับสนุนทั่วโลกนับ 100 สถาบัน ซึ่งพูดถึงกัญชาในฐานะยารักษา พรรคต้องเอาข้อมูลวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบมาแสดงโดยด่วน ถ้าจะแสดงความจริงใจว่าไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนเรื่องกัญชาเพราะการเมือง

พ่อแม่ต้องเลือกข้าง หากไม่ทำตาม ลูกพร้อมตัดขาด เกมการเมืองสุดขี้ขลาดในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย

“ถ้าแม่ตัดสินใจเลือกลุงแล้ว...แม่ก็ออกไปหาเงินใช้เองเถอะนะ”

“เมื่อพ่อแม่เป็นสลิ่ม เราเลยโทรไปบอกว่าถ้าไม่เลือกก้าวไกล เราจะไม่กลับบ้าน จะไม่โอนตังให้ด้วย”

“เราบอกพ่อแม่ว่า ถ้าไม่เลือกก้าวไกล ไม่ว่าจะปิดเทอมเล็ก เทอมใหญ่ ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา ออกพรรษา จะไม่กลับบ้าน จะนอนเฝ้าโรงเรียนอยู่นี่แหละ...ครูสาวท่านหนึ่งมาอยู่เวรที่โรงเรียน”

ข้อความที่ได้เห็นเหล่านี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เริ่มแพร่กระจายอยู่ในสังคมโซเชียลมีเดีย โดยเชื่อว่าน่าจะมาจากกระแสพรรคการเมืองหนึ่งที่ปั่นให้คนรุ่นใหม่ ออกมาทำคลิปสั้นลง tiktok/reels ซึ่งมีเนื้อหาแบบที่ว่ามาข้างต้นซ้ำไปซ้ำมา

แน่นอนว่า หากมองว่านี่คือแคมเปญ มันก็คงมีผลต่อจิตใจใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่หัวใจบอบบาง และไม่อาจต้านทานสิ่งที่ลูกหลานกำลังหยิบมาต่อรองเป็นแน่แท้

โดยแคมเปญนี้ กำลังค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปก่อความสำเร็จทางการเมือง ด้วยกลยุทธ์ที่ต้องพูดตรงๆ ว่า ‘ต่ำทราม’ ที่สุดในประวัติศาสตร์หน้าการเมืองไทย

นั่นก็เพราะ...แม้สังคมไทยจะมีความขัดแย้งทางการเมืองมากขนาดไหน คนไทยจะชื่นชอบหรือฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด แต่ก็ยังรู้ผิดชอบชั่วดี ว่าการเมืองคือการเมือง ครอบครัวคือครอบครัว เพื่อนฝูงและมิตรสหายก็คือคนที่ยากจะตัดขาด และหากจะขัดแย้งกันก็ยังอยู่ในบริบทของการเลือกข้าง ภายใต้ความชื่นชอบ เหมือนเชียร์ทีมฟุตบอลทีมโปรด

กลับกัน แคมเปญในลักษณะนี้ คือ ‘ความต่ำช้า’ ที่กำลังนำพาคนไทย ก้าวข้ามคำว่า ‘ชื่นชอบ’ ไปสู่การบังคับให้ ‘ชอบ’ และหากผู้ใดไม่ชอบ สิ่งที่จะเกิดขึ้นถัดมา คือ ‘ศัตรู’ แม้ผู้นั้นจะเป็นคนที่คุณรักแค่ไหนก็ตาม

‘อดีตทูตนริศโรจน์’ ซัด!! อเมริกันฮีโร่ ผู้พิทักษ์แห่งความวิบัติ เตือน ‘ไทย’ สนามประลองกำลังผ่านการครอบงำคนรุ่นใหม่

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 66 นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา กล่าวถึงสถานการณ์ในเมืองไทย โดยเฉพาะกับการเลือกตั้งที่จะมาถึง ว่ามีกระบวนการจากต่างชาติที่กำลังเดินเกมเพื่อให้ผลการเลือกตั้งเป็นไปอย่างที่ตนต้องการ ผ่านรายการ ‘แซ่บ หรอย อร่อย ลำ’ ว่า...

“เวลาดีเบตกันพรรคการเมืองและคนส่วนใหญ่จะไม่พูดถึงปัจจัยภายนอกที่เข้ามาแทรกแซง ซึ่งสำคัญมาก และผมมองว่าถ้ามีโอกาสก็อยากให้ไปดูคลิปของฝรั่งคนหนึ่งชื่อ ไบรอัน เบอร์เลติก เขาเคยเป็นทหารทหารอเมริกัน และผมเคยได้พูดคุยกับเขา โดย ไบรอัน เป็นคนพูดเอง ว่ามีกระบวนการนี้อยู่ เรียกว่าถ้าเป็นคนไทยด้วยกันเองพูด ก็ไม่เชื่อหรอก ต้องให้ฝรั่งมาพูด”

นายนริศโรจน์ กล่าวต่อว่า “ไบรอัน พูดว่า การเมืองไทยถูกแทรกแซง มีต่างชาติ มหาอำนาจพยายามเข้ามาแทรกแซง และเข้ามาชี้นำ เพื่อให้ผลการเลือกตั้งเป็นไปตามผลประโยชน์ที่ตัวเองต้องการ อันนี้ฝรั่งก็รู้ นักการเมืองระหว่างประเทศก็รู้ แต่ว่าเด็ก ๆ ไม่รู้ เด็ก ๆ กลายเป็นเครื่องมือ”

พร้อมได้ยกตัวอย่างเสริมว่า “ตอนที่เกิดเหตุวุ่นวายที่ฮ่องกง ที่เขาเรียกว่า ‘ฮ่องกงโมเดล’ เด็ก ๆ ที่นั่นก็เหมือนตอนนี้ ถูกปั่นหัว ซึ่งเด็กฮ่องกง (ตัวปั่น) ในยุคนั้น ต้องถูกจีนใช้ไม้แข็ง จนบางคนต้องลี้ภัยกันไปหมด เพราะป่วนกันจนเด็ก ๆ ถึงขั้นร้องเพลงชาติสหรัฐฯ โบกธงสหรัฐ เพื่อต้องการให้สหรัฐฯ เข้ามาปลดปล่อยฮ่องกง”

นายนริศโรจน์ ได้ตั้งคำถามต่อกับประเด็นนี้ด้วยว่า “แล้วคิดว่าเป็นไปได้หรือ ที่จีนจะยอม ขนาดไต้หวันจีนยังไม่ยอมเลย คือจีนเขาถือเรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญ ทุกประเทศก็เช่นกัน มันก็เหมือนกับถ้ามีใครไปบอกว่าให้ Texas แยกตัวออกมาจากสหรัฐฯ ซะ คุณคิดว่าคนอเมริกันจะคิดยังไง บทบาทของตำรวจโลก ที่ไม่ได้สร้างความชอบธรรม มันก็ยิ่งจะทำให้เกิดการแบ่งแยก และสงครามมันก็จะเกิดขึ้นตามมา”

นายนริศโรจน์ เล่าย้อนไปว่า “สมัยภัยคอมมิวนิสต์น่ากลัวมาก คอมมิวนิสต์ถูกว่าภาพเป็นปีศาจ แต่โลกมันผกผัน จากปีศาจที่เราเคยกลัว กลายเป็นไม่น่ากลัวเท่ากับ American Hero หรือ Super Marvel ต่าง ๆ ที่แสดงตัวว่าฉันคือผู้พิทักษ์โลก แต่อย่าลืมว่า ผู้พิทักษ์โลก เขาไปที่ไหนก็พินาศที่นั่น”

'อ.แก้วสรร' ถอดรหัส 'เศรษฐกิจอธิปไตยเพื่อมาตุภูมิ' ขจัดวังวน 'นักปลุกระดม-หลอกชาวชนบท-ปั่นหัวเยาวชน'

(4 พ.ค.66) นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง 'คำตอบจากรัสเซีย' มีเนื้อหาดังนี้

เลือกตั้งคราวนี้ โจทย์หลักยังเป็นเหมือนเดิมว่า 'จะเกลียดใครดี' ถ้าเกลียดอำมาตย์ เกลียดทหาร  ก็เลือกส้มหรือแดง เกลียดส้มหรือแดง ก็เลือกลุง พอยุพอหาเสียงให้เกลียดกันหนัก ๆ เข้า เลือกตั้งเสร็จ ก็ไม่พ้นลงถนนกันอีกแน่ๆ  

หีบเลือกตั้งวันที่ ๑๔ นี้ จึงมีไฟโหมในหีบเห็นอยู่ชัดๆ หลังเลือกตั้งแล้ว ก็ลุกลามกระพือเป็นความจงเกลียดจงชังเผาผลาญบ้านเมืองได้อีกครั้งไม่ยากเลย

วงจรอุบาทว์นี้ เกิดขึ้นอย่างไร ? นี่คือคำถามที่ผมหมกมุ่นหาคำตอบมาตลอด จนวันนี้หลังจากติดตามขบคิดกับเพื่อนสำนักคิดรัสเซียในวิกฤตยูเครนมาปีกว่า ก็พอจะเห็นวิธีคิดวิธีทำจากการปฏิรูปรัสเซีย โดยการนำของปูตินว่า น่าจะช่วยชี้แนะได้มากทีเดียว ดังจะขอรายงานไปโดยลำดับ ดังนี้

'เศรษฐกิจอธิปไตย'

ถาม 'เศรษฐกิจอธิปไตย' ของปูตินคือ ไม่ยอมใช้ดอลลาร์อย่างนั้นหรือ

ตอบ คือเศรษฐกิจที่ปลดแอกจากโลกาภิวัตน์ตะวันตกแล้ว เพราะรัสเซียเขาไม่ยอมเป็นแค่แหล่งน้ำมันและแร่ธาตุราคาถูกให้เศรษฐกิจตะวันตกดูดกินอีกต่อไป  เขาจึงร่วมมือกับพันธมิตร สร้างโลกการค้าใหม่ที่เสมอภาคและยุติธรรมขึ้นมาให้ได้

'เศรษฐกิจอธิปไตยเพื่อมาตุภูมิ'

ถาม ทำไมความนิยมปูตินในหมู่ชาวบ้าน จึงมั่นคงไม่ต่ำกว่า 80%  มาตลอด

ตอบ 23 ปีที่ครองตำแหน่งมา นอกจากความเชื่อถือในตัวบุคคลแล้ว ก็คือแนวคิดมาตุภูมิที่ปูตินยึดมั่นร่วมกับชาวรัสเซียอย่างเหนียวแน่น เสาเอกหนึ่งของแนวคิดนี้คือการมีอนาคตที่ดีของคนรัสเซียทุกคน ที่ปูตินอธิบายว่า

“อนาคตของตนที่ทุกคนเห็นได้” จะไม่ทำให้คนชั้นล่างและเยาวชนหงุดหงิดจนเป็นโอกาสให้ความโกรธเกลียดเข้าสิงสู่ได้ง่าย มาตุภูมิก็จะสงบสุข

ถาม ถ้าไทยเราทำ 'อนาคต' นี้ได้จริง พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล คงแลนด์สไลด์ไม่ได้แน่ๆ

ตอบ ถูกต้องครับ สองพรรคนี้หากินจากความหงุดหงิดนี้ทั้งคู่ ปูตินมองออกว่า 'มาตุภูมิ' นั้น จะมีแต่ต้นทุนทางประวัติศาสตร์เท่านั้นไม่ได้ ต้องมีความสุข ร่วมกันด้วย   

ถาม ปูติน จัดการอย่างไรให้ 'อนาคตที่เห็นได้ทุกคน' นี้เกิดขึ้น

ตอบ ผมขอตอบเป็นรายงานข่าวจาก วงรัสเซียเลยดีกว่า ลองขบคิดตามดูนะครับว่าเขาคิดเขาลงมือปฏิรูปกันอย่างไร มันเกี่ยวอะไรกับเลือกตั้งผู้ว่าทั้งประเทศ อย่างที่ธนาธรเสนอหรือไม่

“วันนี้ในด้านความคิดความรู้นั้น รัสเซียกำลังอธิบาย 'เศรษฐกิจอธิปไตย' ในประสบการณ์และความคิดของตนไปยังสำนักคิดต่าง ๆ ในฟากพันธมิตรอย่างเข้มข้นว่า

รัสเซียถือเป็นหลักก่อนว่า ทุกรัฐต้องวางเป้าของอำนาจเพื่อมวลชน มีเสาเอกสำคัญอยู่ที่ “การอยู่กินของประชาชน” เริ่มจากการสำรวจตามวิธีวิจัยและการปรึกษาหารือกับชาวบ้านที่ครอบคลุมทั่วถึง  จนสรุปได้ว่า เงินเดือนที่ชาวบ้านเขาอยู่ได้คือเท่าใด ในครอบครัวลูกสองคน ซึ่งรัสเซียวันนี้ได้คำตอบแล้วว่า อยู่ที่ ๓๐๐๐๐ – ๙๐๐๐๐ บาท

‘โบว์ ณัฏฐา’ เดือด!! ฉะพวกตีหน้าซื่อเล่าความจริงครึ่งเดียวทุกเวที แนะ หากอยากแปะป้าย ‘ตรงไปตรงมา’ ให้ตัวเอง ก็อย่าหมกเม็ดบิดเบือน

(4 พ.ค. 66) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ ‘โบว์’ นักกิจกรรมทางการเมือง โพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กและทวีตเตอร์ ระบุว่า…

ที่บางพรรคชอบพูดว่า ไม่มียุคสมัยใดมีคนโดนคดี 112 เท่าสมัยนี้ ก็อยากชวนไปดูรายละเอียดว่าคดีส่วนใหญ่มาจากที่ไหน มันมาจากกลุ่มล้มเจ้าขนาดใหญ่ที่ถูกเปิดโดยคนจากต่างประเทศ ที่คุณและกลุ่มเคลื่อนไหวที่สนับสนุนก็มีท่าทีเห็นดีเห็นงาม ทำตัวเป็นเนื้อเดียวกันตลอดเวลา แล้วไปดูข้อความในนั้นว่าเป็นยังไงกันบ้าง.. ทุกครั้งที่พูดว่าจะแก้ 112 (และเสนอแก้แบบแทบไม่เหลือโทษ) เพราะหวังดีต่อสถาบันฯ มันจึงไม่เคยฟังขึ้น ก็เท่านั้นเอง

พรรคการเมืองอื่นๆ ที่ไปพูดตามๆ กันก็ต้องรอบคอบด้วย ปัญหาการบังคับใช้เป็นส่วนหนึ่ง แต่มันมีปัญหาที่คุณก็ไม่เคยพูดถึง เพราะไม่เคยไปดูให้รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น มือหนึ่งให้ท้ายคนยั่วยุให้เกิดการละเมิดอย่างรุนแรงมากมาย อีกมือหนึ่งออกมาโวยวายถึงคดีส่วนน้อยที่ดูเหมือนมีปัญหา

‘อดีตทูตนริศโรจน์’ หวั่น!! ไทยซ้ำรอย ‘ฟิลิปปินส์’ ยุคลูกมาร์กอส ผลเลือกตั้งตรงใจชาติมหาอำนาจ รัฐบาลใหม่แข็งขืนจีน

(4 พ.ค. 66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า…

ฟิลิปปินส์ ได้ลูกอดีต ปธน.มาร์กอส มาเป็นผู้นำ ตอนนี้ฟิลิปปินส์เปลี่ยนไปซบชาติมหาอำนาจเดิมที่เคยยึดครองฟิลิปปินส์เต็มที่ ต่างจากสมัย ปธน.ดูเตอร์เต้ คนก่อนที่พยายามถ่วงดุลย์กับจีน

จึงไม่แปลกใจว่าทำไมพวก NGO กองทุนนอมินีของชาติมหาอำนาจนี้ จึงโหมทุ่มสรรพกำลังเต็มที่สำหรับศึกเลือกตั้งในไทยครั้งนี้!

หลังเลือกตั้งถ้าเป็นไปตามที่ชาติมหาอำนาจต้องการ ดุลย์อำนาจทางการเมืองเปลี่ยน และถ้ารัฐบาลชุดใหม่อยู่ใต้การครอบงำหรือบงการจากชาติมหาอำนาจ

‘ดร.หิมาลัย’ ชี้ ผู้ใหญ่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทั้งที่รู้ดีว่าอะไรทำแล้วผิดกฎหมาย

(4 พ.ค. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนายทหารชื่อดัง และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีผู้ใหญ่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยระบุว่า…

‘ดร.หิมาลัย’ แนะ หยุดใช้วาทกรรม ‘ชังชาติ’ หวั่นเด็กรุ่นใหม่ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ชี้!! ผู้ใหญ่ควรป้อนข้อมูลที่ถูกต้อง อย่าให้เด็กถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 66 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ร่วมเวทีเสวนา ‘ชังชาติ : วาทกรรมสังคม’ ซึ่งจัดโดยสภาพัฒนาเยาวชนกรุงเทพมหานคร ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) 

โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นางสาวนดา บินร่อหีม รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย, นายวรัญญู วอทอง ที่ปรึกษาของประธานสภาพัฒนาเยาวชนกรุงเทพมหานคร และนายณภณต์ เพิ่มความประเสริฐ รักษาการแทนนายกองค์การนักศึกษา มจธ. ซึ่งมี นายธารินทร์ เดชบุญช่วย รองประธานสภาพัฒนาเยาวชนกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ดำเนินการ

ภายหลังการเสวนา ดร.หิมาลัย ได้ตกผลึกเสียงสะท้อนของผู้ร่วมเสวนาและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยแสดงความเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมควรจะหยุดใช้วาทกรรม ‘ชังชาติ’ เพราะจะนำไปสู่ความแตกแยก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ไม่ควรจะใช้คำนี้กับเด็ก ๆ ที่มีความเห็นต่าง และควรหยุดนำเด็ก ๆ ไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองจนเกิดความแตกแยก และทำให้เกิดช่องว่างทางความคิด ซึ่งจะนำไปสู่การต่อต้านและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย

ทั้งนี้ ผู้ใหญ่ควรเปิดกว้างและอดทน รับฟังความคิดเห็นของเด็กรุ่นใหม่ในมุมมองแตกต่างให้มากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อใจในการกล้าพูดกล้าคุย เพราะหากมีสิ่งใดที่เด็กสะท้อนออกมาแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ถูกหรือยังเข้าใจผิดอยู่ ผู้ใหญ่จะได้ชี้แนะในสิ่งที่ถูกที่ควรได้อย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยให้เกิดเป็นความเชื่อผิด ๆ ที่จะส่งผลเสียต่อสังคมและตัวเด็กเองในอนาคต

อย่างไรก็ดี การชังชาติมีข้อดี คือ มันเห็นจุดบกพร่องก็เลยต้องพัฒนา ต้องแก้ไข ข้อเสียคือ เราจะมองไม่เห็นความดีที่เรามีอยู่เลย ผู้ใหญ่ต้องเปิดใจฟัง และร่วมเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันไปด้วยกัน เราไม่จำต้องเห็นตรงกัน เราต้องทำให้ความน่าชังในสังคมนี้มันลดลง ยังไงวันนี้เราก็ยังต้องไปต่อด้วยกัน เพราะทุกคนก็รักชาติ 

ขณะเดียวกัน ในส่วนของประเด็นที่มีเยาวชนถามในเวทีเสวนาถึงการแก้ไขมาตรา 112 นั้น ดร.หิมาลัย ให้ความเห็นว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งก่อนอื่นต้องแยกเป็น 2 ประเด็น ข้อแรก ผู้ใหญ่ที่รู้ขอบเขตกฎหมายที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ต้องอธิบายให้ความรู้กับเด็ก ๆ แทนที่จะใช้เด็กเป็นเครื่องมือ และข้อสอง ในบริบทของกฎหมาย ต้องยอมรับว่ากฎหมายแต่ละฉบับก็มีความล้าสมัย หรือไม่สมดุลอยู่แล้วในแต่ละยุคสมัย แต่กรอบของกฎหมายมีการออกแบบให้สามารถปรับแก้หรือยืดหยุ่นได้ด้วยตัวของกฎหมายนั้น ๆ อยู่แล้ว หากไม่มีการล้ำเส้นสิ่งที่ควรจะเป็น

เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่ต้องอธิบายให้เยาวชนเข้าใจ อย่าใช้เด็กเป็นเครื่องมือในทางที่ผิดหรือตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ทุกคนควรเคารพกฏหมายและกติการ่วมกันของสังคม หากจะแก้ไขให้ใช้แนวทางการแก้ไขทางรัฐสภาสามารถแก้ไขได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้แก้ไขกฏหมายไปแล้วไปหลายฉบับเนื่องจากเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย

‘อนุทิน’ เย้ย ‘ชูวิทย์’ จะตั้งศูนย์ต้านกัญชาจนกว่า ‘ภท.’ จะเป็นฝ่ายค้าน สวนกลับ!! คงอีกหลายปี ชี้ กัญชาใช้เพื่อ ศก.-การแพทย์ ใครก็ต้านไม่ได้

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 66 ที่จังหวัดนครราชสีมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เห็นด้วยกับนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ออกมาโจมตีนโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย ว่า…

“ผมได้ติดตามดูแล้ว เขาไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่อง ซึ่งเป็นการพูดถึงการจับขั้วรัฐบาล 2 พรรค เรื่องนี้เราอย่าพึ่งไปผูกมัด ผมไม่ได้มีปัญหากับ น.ส.แพทองธาร ยังแสดงความยินดีด้วยซ้ำที่ได้ลูกชาย ‘น้องธาษิณ’ จึงไม่ใช่เวลาที่เราจะมาวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร แข็งแรงมาก แค่วันสองวันก็ออกมาแล้ว ออกมากอบกู้พรรคเพื่อไทย”

ส่วนที่โซเชียลเผยแพร่ศึกวิวาทะหนู-นิด นายอนุทิน ระบุ จะหนู-นิด, หนู-หน่อย, หนู-อี๊ด, หนู-แอ๊ด ก็ไม่มีปัญหา ส่วนจะมีปัญหาในการจับคู่รัฐบาลในอนาคตหรือไม่ ตนขอย้ำว่า เคยบอกไปแล้วว่าแต่ละพรรค เขารู้ว่าคนไหนคือคนที่เคาะ เราจบประเด็นนี้ได้แล้ว เพราะการที่ตนตอบโต้นายเศรษฐา เพราะเขามาโจมตีพรรคภูมิใจไทยก่อนในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง สิ่งที่เป็นเท็จเราก็ต้องออกมาตอบโต้

'เสี่ยเฮ้ง' กร้าว!! ถึงม็อบ 'ปฏิรูปกษัตริย์ สร้างรัฐสวัสดิการ' 'แรงงานต่างชาติ' ทำผิด 112 ถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำงาน

(3 พ.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ถึงประเด็น ม็อบแรงงานต่างชาติเคลื่อนไหวเรียกร้อง ‘ปฏิรูปกษัตริย์ สร้างรัฐสวัสดิการ’ โดยระบุว่า

ย้ำและ #เตือน อีกทีนะครับ... 
ถึง ม็อบ “ปฏิรูปกษัตริย์ สร้างรัฐสวัสดิการ”

'แรงงานต่างชาติ' ทำผิด เข้าข่าย ม.112 
ถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำงาน นะครับ 

ม็อบแรงงานต่างชาติเคลื่อนไหวเรียกร้อง “ปฏิรูปกษัตริย์ สร้างรัฐสวัสดิการ” เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ทางกรมการจัดหางาน ได้เตือน ไปยังแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยทุกเชื้อชาติแล้ว

‘อดีตบิ๊ก ศรภ.’ ชี้ ‘คอนเสิร์ตอัสนี-วสันต์’ จุดรำลึกความสงบของบ้านเมือง มีทั้งวัยรุ่น-วัยเก๋า สะท้อนคนอยากได้ ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความวุ่นวาย’

(3 พ.ค. 66) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ศรภ.โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ ระบุว่า...

คอนเสิร์ต อัสนี-วสันต์ กับ การเลือกตั้ง

น่าสนใจมากครับ จากผลสะท้อนของคอนเสิร์ต ‘37 ปี อัสนีและวสันต์’ เมื่อ 29-30 เมษายนที่เพิ่งผ่านไปนี้ ณ อิมแพ็ค อารีน่า ซึ่งขายบัตรคอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการ (8 มี.ค.) เพียง 30 นาทีแรกก็ Sold Out รอบแรกหมด

จนต้องประกาศขายบัตรรอบ 2 ขึ้นในวันเดียวกัน แต่ผ่านไปเพียงแค่ 3 ชั่วโมง บัตรที่นั่งรอบ 2 ก็ Sold Out อีกเช่นกัน ราคาบัตรก็จัดว่าไม่ถูกนัก ตั้งแต่ 6 พันบาทลงไปจนถึง ที่นั่งนอกสุด ที่ดูแทบไม่เห็น ราคาก็ยัง 1,500 บาท 

อารีน่าบรรจุคนได้ทั้งหมด ประมาณ 12,000 คน แต่คราวนี้ขายตั๋วยืน ในราคา 3 พันบาท เพิ่มเข้าไปด้วย น่าจะอัดเข้าไปประมาณ 14,000 คน

ที่สำคัญ คือ กลุ่มแฟนของ อัสนี-วสันต์ นั้นส่วนใหญ่จะมีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ไม่น่าจะออกมายื้อแย่งซื้อบัตรได้ กลุ่มคนดูก็อยู่ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปเป็นหลัก มีเด็กๆ ตามมาด้วยมากพอสมควร จัดว่าเป็นกลุ่มพลังเงียบตัวจริง 

‘วิษณุ’ ชี้!! หลากโพลมีส่วนทำกระแสเปลี่ยน ยัน!! อยากเห็นรัฐบาลเสียงข้างมากตั้งแต่ต้น

(3 พ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายที่เริ่มดุเดือดมากขึ้น ว่า เป็นธรรมดาของการหาเสียงเลือกตั้งที่เหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา เมื่องวดเข้ามาต่างต้องพยายามที่จะทำอย่างไรให้ผู้คนจำเบอร์ให้ได้ จำชื่อให้ได้ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็รู้อย่างนี้จึงได้มีกฎหมายห้ามทำโพลก่อนวันเลือกตั้งช่วงโค้งสุดท้าย เนื่องจากจะมีผล เป็นธรรมดาที่อาจจะดุเดือดรุนแรงหน่อย อย่างไรก็ตาม โพลต่าง ๆ จะมีส่วนทำให้กระแสเปลี่ยนหรือไม่นั้น เชื่อว่าคงมีส่วน

ผู้สื่อข่าวถามว่า หวั่นใจอะไรหรือไม่ หลังโพลให้พรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็นพรรครัฐบาลขณะนี้นำลิ่ว นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่หวั่น ไม่เกรง เพราะไม่ใช่เรื่องของตน เป็นเรื่องของโพล เรื่องของประชาชน และโพลมีหลายโพล ทั้งเอกชน องค์กรของรัฐ ซึ่งตนไม่ทราบว่าอันไหนถูก อันไหนผิด อันไหนตรงหรือไม่ หรือเป็นเช่นนั้นหรือไม่ 

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการพูดถึงขั้วทางการเมืองบ้างแล้ว นายวิษณุ กล่าวว่า ปกติเขาจะไม่พูดกันก่อนวันเลือกตั้ง แต่ในคืนวันเลือกตั้งที่ผลออกแล้วเขาถึงจะพูดกัน และเมื่อพูดแล้วมันยังไม่แน่นอน เราเห็นการจัดตั้งรัฐบาลหลายครั้งมาแล้ว ที่ทำท่าว่าขั้วจะออกมาอย่างนี้ แต่ยังไม่ได้มีการประกาศผลเลือกตั้งออกมาอย่างเป็นทางการ เพียงแต่พอรู้บ้างแล้ว เช่น เมื่อเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 มี.ค.62 พอเช้าวันที่ 24 มี.ค.62 เมื่อรู้คะแนนเราจึงได้เห็นการจับขั้วกันเกิดขึ้นอย่างหนึ่ง แต่เมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริง ทิ้งเวลาไปอีก 1-2 เดือน กว่าจะประกาศผลการเลือกตั้งออกมาเป็นทางการ ขั้วรัฐบาลก็เปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่แค่รู้คร่าว ๆ พอรู้ได้หลังปิดหีบ 24 ชั่วโมง แต่ยังปักใจไม่ได้ การเมืองก็เป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา 

เมื่อถามว่า หากผลเลือกตั้งออกมาคะแนนสูสี แต่เลือกนายกรัฐมนตรี และตั้งรัฐบาลยังไม่ได้ จะเกิดสุญญากาศหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ในที่สุดต้องหาทางตั้งให้ได้ เพราะในรัฐธรรมนูญกำหนด ตามมาตรา 270 ว่าให้ทำอย่างไร ไม่เกิดสุญญากาศแน่ เพียงแต่อาจจะช้าหน่อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อย่างแรกที่จะต้องทำคือ เลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่ค่อยพลิกโผ เมื่อได้ประธานสภาฯ แล้ว จะมีการจับขั้วกัน นั่นค่อยว่ากันอีกที

นอกจากนี้ หลังปิดหีบเลือกตั้ง กกต.ยังมีเวลาที่จะประกาศผลภายใน 60 วัน ไทม์ไลน์เป็นแบบนี้ แต่ตนตอบไม่ถูกว่าจะได้เห็นรูปร่างหน้าตารัฐบาลใหม่เมื่อไหร่ เพราะผลยังไม่ออก คะแนนยังไม่ได้ อะไรก็ยังไม่รู้เลย และในรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าต้องหานายกฯ ได้ภายในกี่วัน แต่ในที่สุดต้องเลือกกันจนได้ ทั้งนี้ แม้จะยังไม่ได้รัฐบาลใหม่ แต่จะไม่เกิดสุญญากาศและไม่เกิดเดดล็อกแน่นอน เพราะในรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ให้รัฐบาลรักษาการทำอะไรได้หลายเรื่อง เช่น ขอใช้งบกลางก็ได้

เมื่อถามว่า มีความเป็นห่วง กกต.หรือไม่ เนื่องจากถูกโจมตีหนักในช่วงนี้ จนต้องออกมาแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อปกป้องตัวเอง นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร ไม่ได้ติดตามข่าว เมื่อถามถึงกรณีที่มีข่าวว่า มี 2 ราย ขุดเรื่องสูตรคำนวณเลือกตั้งเมื่อปี 62 ขึ้นมา ซึ่ง กกต.กำลังจับตาอยู่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนเห็นจากข่าวว่าจะมีจำเลย 2 คน ขอให้ไปถาม กกต.เอาเอง เขาอุตส่าห์บอกมานิดหน่อยแล้ว แต่เรื่องอะไรตนไม่รู้

‘อัษฎางค์’ เผย ทำไมรัฐบาลลุงไม่จัดการขั้นเด็ดขาดกับเด็กล้มเจ้า เพราะต่อให้หลงผิดแค่ไหน พ่อแม่ก็ ‘ตบตี-เข่นฆ่า’ ลูกหลานไม่ลง

(3 พ.ค.2566) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ระบุว่า...

“ทำไมรัฐบาลลุงไม่จัดการขั้นเด็ดขาดกับเด็กล้มเจ้า”

คำถามที่ได้ยินบ่อยๆ คือ ทำไมรัฐบาลไม่จัดการขั้นเด็ดขาด ผมคิดว่าคำตอบคือ …..

ลุงตู่ที่เด็กๆ เข้าใจว่า “เป็นผู้ใหญ่ที่เกรี้ยวกราด” ความจริงลุงตู่และรัฐบาล 3 ลุง ที่มีพรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายจงรักภักดี มีเมตตาต่อเด็กๆ มาก 

รัฐบาลลุงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มองเด็กๆ ที่แม้จะมีความเห็นต่าง และเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นลูกหลาน

ที่โดนคนไทยที่ขายวิญญาณให้ต่างชาติและชาติมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง ยุยง ปลุกปั่น ล้างสมอง ให้เด็กๆ เห็นผิดเป็นชอบ เห็นคนดีเป็นโจร และเห็นโจรเป็นคนดี  

ดังนั้น รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงใช้วิธีแก้ปัญหานี้อย่างละมุนละม่อมอย่างที่สุด 

ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงถึงภาพครอบครัวของเราเองทุกคน ที่เราอาจจะมีลูกที่เกเร หรือหลงผิด เราจะตบตี เข่นฆ่า ผลักไสไล่ส่ง ลูกหลานของเราด้วยวิธีหักดิบ 

หรือเราจะตั้งสติ ใจเย็น เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ให้เวลาและใช้เวลา เพื่อดึงสติให้ลูกหลานเรากลับมาสู่อ้อมอกของเรา 

ดังนั้น รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ใช้วิธีเดียวกันนั้น  

ความจริงเราตัองขอบพระคุณรัฐบาลลุง อันประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ที่ใช้ความพยายามตลอด 8 ปีที่ผ่านมา 

และขอถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ยืนอยู่ข้างคนไทย และพยายามอย่างสุดความสามารถ อย่างละมุนละม่อม เพื่อพาลูกหลานของพวกเราทุกคนกลับสู่อ้อมอกอ้อมใจของเรา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top