Wednesday, 19 February 2025
POLITICS

ศาลสั่งจำคุก 'อานนท์ นำภา’ 2 ปี 8 เดือน ผิด ม.112 และ 116 จากคดีม็อบ 'แฮร์รี่ พอตเตอร์' รวมโทษจำคุกหกคดี 18 ปี 10 เดือน 20 วัน

(19 ธ.ค. 67) iLaw และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานคำพิพากษาศาลอาญาของอานนท์ นำภา จากการปราศรัยในการชุมนุม 'เสกคาถาผู้พิทักษ์ ปกป้องประชาธิปไตย' หรือม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์เมื่อปี 2563 ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 116 ลงโทษจำคุก 4 ปี ให้การเป็นประโยชน์เหลือ 2 ปี 8 เดือน

วันที่ 19 ธ.ค. 2567 เว็บไซต์ iLaw รายงานอ้างศาลที่พิเคราะห์ว่า การที่กล่าวทำนองว่า มีการแทรกแซงรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติมาแล้วเป็นการดูหมิ่นกษัตริย์ การเชิญชวนให้มาฟังความคิดเห็นของจำเลยไม่ได้กระทำในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การติชมโดยสุจริต  เพื่อสร้างความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่อง

เช่นเดียวกับเฟซบุ๊กศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ระบุว่า การปราศรัยทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ การกระทำของจำเลยไม่อยู่ในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ จึงเป็นความผิดตามมาตรา 112 และมาตรา 116 ให้ลงโทษบทหนักที่สุดคือมาตรา 116

คำพิพากษาล่าสุดเป็นคดีตามมาตรา 112 คดีที่ 6 ของอานนท์ นำภา ซึ่ง 5 คดีแรกอานนท์ถูกลงโทษจำคุกแล้ว 16 ปี 2 เดือน 20 วัน ทำให้รวมโทษล่าสุด 6 คดีอยู่ที่จำคุก 18 ปี 10 เดือน 20 วัน

'พิธา' ไม่หวั่นแม้ถูกตัดสิทธิ์การเมือง 10 ปี หวังกลับมาเป็นแคนดิเดตนายกฯอีกครั้ง

(19 ธ.ค. 67) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ว่าเขาคาดหวังว่าจะได้กลับมาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยอีกครั้ง หลังจากถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี

“ผมกำลังรอวันที่จะได้กลับมา ถ้าพรรคสนับสนุนและประชาชนต้องการ ผมพร้อมที่จะกลับมาเป็นผู้สมัครนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง” พิธากล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันอังคาร (17 ธ.ค.) ระหว่างเดินทางไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยโตเกียว โดยเน้นว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจส่วนตัว แต่เป็นทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับสังคมส่วนรวม

เว็บไซต์นิกเกอิเอเชียรายงานว่า ระหว่างการบรรยายที่มหาวิทยาลัยโตเกียว พิธา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Senior Research Fellow ที่ Harvard Kennedy School กล่าวว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีพรรคการเมืองในประเทศไทยถูกยุบถึง 34 พรรค และนักการเมือง 250 คนถูกตัดสิทธิทางการเมือง "การยุบพรรคและการจำกัดสิทธิทางการเมืองกลายเป็นเรื่องปกติในประเทศไทย" เขากล่าว "มันเป็นวงจรร้ายที่ควรยุติ"

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2570 พิธาแสดงความเชื่อมั่นว่าพรรคประชาชนมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เขาเน้นว่าพรรคควรจัดตั้งรัฐบาลผสมเพื่อสร้างการบริหารประเทศที่มีประสิทธิภาพ “การมีรัฐบาลที่ดีไม่ควรยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ” เขากล่าว

ในประเด็นความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พิธาเตือนว่ารัฐบาลไทยต้องระวังไม่ให้สหรัฐฯ มองไทยเป็นทางลัดสำหรับการลงทุนจากจีน โดยคาดว่าจีนอาจถูกเก็บภาษีนำเข้า 60% สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้จีนเลือกใช้เม็กซิโกหรือไทยเป็นฐานการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ

ตื่นธรรม ต้องตื่นที่ใจ มิใช่ตื่นเพราะลืมตา แต่ยังหลงวนในดงคนบาป ปั้นตัวให้ดูแตกต่างเพื่อต้มตุ๋นเงินทอง

เหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นชัดว่า 'คนไทยยุคใหม่' ขาดความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงอ่อนแอ เปราะบาง พร้อมจะโอนเอนเข้าหาการโน้มน้าวจาก 'ของปลอม' ที่คอยปักธงปล้นเงินในกระเป๋าไว้อย่างรัดกุม ด้วยเพราะรู้ใน 'จุดอ่อน' ของ 'คนหลับธรรม' จำนวนมากในสังคมไทย 

สังคมไทยยุคใหม่ เป็นสังคมแห่งการถือดีแต่ไม่มีดี อวดฉลาดแต่ก็โง่เขลาเบาปัญญา จึงพร้อมใจกันสาละวนอยู่กับการถูกหลอกลวงจากคนรูปลักษณ์ใหม่ ๆ ในวิธีการลวงล่อที่ไม่ต่างจากอดีต แต่ด้วยเพราะสังคมขาดความรู้ ขาดการลงลึกเพื่อจดจำประวัติศาสตร์ ขาดการติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างจริงจัง และไม่ชอบ 'อ่านหนังสือ' ซึ่งถือเป็นเรื่องพื้นฐานของคนในชาติที่เจริญแล้ว เมื่อชาติใดมีประชากรที่ฉลาด ชาตินั้นก็จะมีความเข้มแข็งตามมา โจรก็จะน้อยลงเป็นเงาตามตัว

แต่สังคมไทยให้ความสำคัญแต่กับเปลือกปลอม ข่าวซุบซิบเรื่องของชาวบ้าน สอดส่องแอบดูความร่ำรวยของผู้คน และการศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงหน้าตาของตัวเอง เป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยถึงน้อยมากที่จะให้เวลาหมดไปกับการ 'ศึกษาเรียนรู้' เพื่อที่จะไม่เป็นเหยื่อโจร ซึ่งแปลงโฉมมาต้มตุ๋นสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ไม่เว้นวัน ยุคนี้จึงมุ่งมาหากินกับกลุ่มคนที่ยัง 'หลับธรรม' เพราะเป็นผู้คนที่ 'หลอกง่าย' ด้วยไร้แสงสว่างทางใจแบบฝังลึก

มองมุมหนึ่งกลุ่มคนที่โอนเงินไปบริจาคให้กับ 'นักต้มตุ๋น' ไม่ว่าจะเคยเป็นมาในรูปแบบใด ก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่าน่าสงสาร เห็นใจ แต่ถ้ามองในมุมใหญ่ก็จะพบว่ายังคงเป็น 'คนกลุ่มเดิม' ที่ยังเดินหน้าให้โจรหลอกซ้ำหลอกซาก แค่โจรเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนวิธีมาดึงดูดเงินทองของเหยื่อที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง  

ตราบที่สังคมไทยยังคงหลับใหล ไม่ตื่นในรสพระธรรมคำสอนที่จริงแท้ของพระพุทธเจ้า ก็จะมองคนสะอาดเป็นคนที่สกปรก และมองคนที่ประสงค์ร้ายต่อสังคมเป็นคนที่ปรารถนาดีต่อผู้คน สมควรต้องยกย่อง สรรเสริญ และนำเงินทองไปประเคนร่วมบุญตามคำชวน โดยไม่คิดจะตั้งคำถาม หรือสงสัยเส้นสายการเดินทางของเงินอภิมหาบุญเหล่านั้นผ่านช่องทางใคร? ไปหยุดอยู่ที่ตรงไหน? และนำไปทำสิ่งใดเพื่อสังคมบ้าง? 

ที่สุดก็ไม่พ้นกลุ่มคนที่มีสติ ซึ่ง 'ตื่นธรรม' อยู่ก่อนแล้วโดยที่ไม่ต้องรอคนขึ้นมึง ขึ้นกู มาสั่งสอน ต่างลงแรงช่วยกัน “ยุติโจรในคราบนักบุญ” เสียทุกราย 

คนกลุ่มนี้นี่ต่างหาก สมควรเรียก 'คนตื่นธรรม' โดยแท้จริง

‘เอกนัฏ’ ลั่น 36 สส. รวมไทยสร้างชาติ ยังปึ้ก ยืนยันไม่ทิ้ง ‘พีระพันธุ์’ ซบพรรคโอกาสใหม่

‘เอกนัฏ’ ยัน 36 สส. รวมไทยสร้างชาติ ยังปึ้ก ไม่ทิ้ง ‘พีระพันธุ์’ ซบพรรคโอกาสใหม่ ลั่นเลือกตั้งครั้งหน้า ยังมี รทสช. พร้อมมั่นใจกวาด สส.ได้เพิ่ม

(18 ธ.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว 25 สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ เตรียมย้ายไปสังกัดพรรคโอกาสใหม่ ว่า

ตนเห็นข่าวนี้จากติ๊กต็อก เป็นเพียงข่าวลือ ยืนยันไม่ใช่ความจริง วันก่อนนายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมายืนยันแล้วและตนขอยืนยันด้วยว่า สส.ทุกคนยังอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ไปไหน วันนี้ยังเดินหน้าทำงานต่อ ที่ผ่านมาในการทำงานร่วมกับรัฐบาลก็ได้รับการตอบรับจากประชาชนที่ดี ทุกคนยังยึดในจุดยืนของพรรค

เมื่อถามว่ายืนยันใช่หรือไม่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะยังมีพรรครวมไทยสร้างชาติ นายเอกนัฏ กล่าวว่า มีแน่นอน มีแล้ว มีอยู่ มีต่อ สมาชิกทุกคนจะยังอยู่ถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ตนขอเอาตำแหน่งเลขาธิการพรรคเป็นประกัน ตนอยู่ที่นี่แล้วมีความสุข ไม่ไปไหนแน่นอน วันนี้พรรคหลอมรวมเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน และยังเชื่อมั่นใจนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ในการทำหน้าที่รัฐบาลและการทำการเมืองต่อไป

เมื่อถามว่าความสัมพันธ์ในพรรคยังเหนียวแน่นอยู่หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า เหนียวแน่นเหมือนเดิม อนาคตก็ด้วย แม้ตอนเลือกตั้งเราจะโดนปรามาส ไม่ได้ สส. แต่ก็ได้มา 36 ที่นั่ง แต่ก็โดนปล่อยข่าวว่าพรรคแตก มีปัญหา ซึ่งตนมองว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะปล่อยมาเป็นปีแล้ว แต่ยืนยันว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะยังอยู่เหมือนเดิม วันนี้นายพีระพันธุ์ ยังเดินหน้าสร้างกระแสให้พรรค ทำงานร่วมกับ สส. สร้างฐานการเมือง และเชื่อว่าเที่ยวต่อไปจะได้ สส.มากกว่าเดิม ย้ำว่าทุกคนมีกำลังใจ และไปในทิศทางเดียวกัน

‘ชูศักดิ์’ เล็งเช็กบิล ‘นักร้อง’ ปม ‘ทักษิณ’ ครอบงำพรรค เผยอยู่ระหว่างเก็บข้อมูล ส่วนจะมีใครบ้างอีกไม่นานคงได้ยินข่าว

(19 ธ.ค.67) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ส่งหนังสือเชิญนายกรัฐมนตรี ให้ไปชี้แจงกรณี นานทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบงำพรรคว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเดินทางไปชี้แจงด้วยตนเอง ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำเช่นนี้มาตลอด โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายตนเองไปชี้แจง และก็ต้องไปยกร่างคำชี้แจงแค่นั้น 

เมื่อถามย้ำว่าครั้งนี้ ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการแทนใช่หรือไม่ ชูศักดิ์ ระบุว่า ก็แน่นอน ก็ต้องมอบหมาย และท้ายที่สุดก็คงไม่ต้องไป ทำหนังสือชี้แจงไปก็ได้ ซึ่งทำแบบนี้มาตลอด  

เมื่อถามว่าหากนายกรัฐมนตรีเดินทางไปด้วยตนเอง ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะดีกว่าหรือไม่ นายชูศักดิ์ มองว่า ไม่ใช่ดีกว่า หรือไม่ดีกว่าอะไร ซึ่งประเด็นอยู่ที่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และข้อกฎหมายเป็นอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่กรณีเช่นนี้จะมอบหมายตนเอง และทำคำชี้แจงไปว่า ความจริงเป็นเช่นนี้ ที่ไม่ใช่การครอบงำ พร้อมกับนำพยานหลักฐานแนบไปด้วย  

ส่วนเห็นหนังสือจาก กกต. แล้วหรือไม่ ชูศักดิ์ ระบุว่า เห็นแล้วเมื่อวานนี้ (18 ธ.ค.67) ซึ่งเป็นเรื่องเก่า ๆ ทั้งนั้น และท้ายที่สุด กกต. ก็ใช้วิธีรวบรวมมา ซึ่งมี 4-5 เรื่อง เพื่อที่จะได้ตอบชี้แจงไปทีเดียว 

ขณะที่คำร้องต่าง ๆ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกไป ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยระบุว่าจะมีการฟ้องร้องกลับเหล่าบรรดานักร้อง ขณะนี้ดำเนินการอย่างไรแล้ว ชูศักดิ์ กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายกำลังดำเนินการอยู่ เดี๋ยวก็คงได้ยินข่าว พร้อมกับหัวเราะ  

เมื่อถามว่า อยู่ในขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐานใช่หรือไม่ หลังทักษิณ ออกมาพูดในงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยว่าจะมีการไล่เช็กบิล พวกนักร้อง ชูศักดิ์ ระบุว่า ที่ฝ่ายกฎหมายกำลังดำเนินการอยู่ ก็เป็นคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง  

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่าหลังปีใหม่จะเริ่มเช็กบิลเลยหรือไม่ ชูศักดิ์ กล่าวว่า เดี๋ยวคงได้ยินข่าว ส่วนจะกี่คนยังตอบไม่ได้ เดี๋ยวเวลานั้นก็รู้เอง พร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง 

ฝ่ายค้านมาเลเซียวิจารณ์ 'อันวาร์' ตั้ง 'ทักษิณ' นั่งที่ปรึกษาประธานอาเซียนปีหน้า ถามเหมาะสมแล้วหรือ?

(18 ธ.ค.67) เกิดความขัดแย้งในการเมืองมาเลเซียหลังจากนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมประกาศแต่งตั้ง 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีมาเลย์ในปีหน้าซึ่งเป็นช่วงที่มาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน โดยเรื่องดังกล่าวบรรดาพรรคฝ่ายค้านและนักการเมืองหลายคนตั้งคำถามว่า การแต่งตั้งครั้งนี้จะมีประโยชน์ต่ออาเซียนจริงหรือ และทำไมไม่เลือกนักการทูตหรือนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่างประเทศแทน

นายอันวาร์เปิดเผยในระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมว่า การแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษานั้นเป็นข้อเสนอจากมาเลเซีย และได้รับการตอบรับจากฝ่ายไทย โดยเขามั่นใจว่าประสบการณ์ของทักษิณจะช่วยให้มาเลเซียได้มุมมองที่มีค่าท่ามกลางวิกฤตในภูมิภาค

แม้บางฝ่ายจะมองว่าแต่งตั้งทักษิณเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในพม่าและความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่ก็มีหลายเสียงที่ตั้งคำถามถึงการเลือกนักการเมืองต่างชาติที่มีประเด็นถกเถียงหลายเรื่อง เช่น ทักษิณที่ถูกลงโทษในคดีคอร์รัปชันและใช้อำนาจโดยมิชอบในไทย

อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ โมฮัมหมัดแสดงความสงสัยเช่นกันว่าเหตุใดถึงเลือกทักษิณ ทั้งที่มีตัวเลือกอื่นๆ ที่ไม่มีปัญหาทางกฎหมาย และเน้นว่าการเลือกบุคคลที่มีข้อถกเถียงอาจจะเป็นความเสี่ยงสำหรับอันวาร์

ทักษิณซึ่งกลับไทยในปี 2023 และถูกตัดสินจำคุก 8 ปีในข้อหาคอร์รัปชัน ก่อนจะได้รับการลดโทษและทัณฑ์บน ได้รับการยอมรับในบางวงการ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน ซึ่งทำให้เขายังคงมีอิทธิพลทั้งในและต่างประเทศ ทักษิณเคยเสนอเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ในพม่า และยังคงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองไทย แม้ว่าจะหลบหนีออกจากประเทศไปหลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งผู้นำต่างชาติในตำแหน่งที่ปรึกษาอาเซียนนี้ยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ในระยะยาว

‘เพื่อไทย’ ปัดตั้ง ‘พานทองแท้’ ปธ.ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ชี้! เป็นกระบวนการปั้นข่าวหวังทำลายความเชื่อมั่นรัฐบาล

รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันไม่แต่งตั้ง 'พานทองแท้ ชินวัตร' ลูกชายทักษิณ เป็นประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ตามที่ ‘ไพศาล พืชมงคล’ โพสต์เอาไว้ ระบุเจ้าตัวไม่ได้เข้ามาร่วมรับตำแหน่งใด ๆ โวยมีขบวนการปั้นข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน

เมื่อวันที่ (17 ธ.ค. 67) จากกรณีที่นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ากลยุทธ์และแผนงานเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยระบุว่า เพื่อกุมบังเหียนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาลเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ ได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี และอยู่ดีกินดีถ้วนหน้ากัน และเปรียบว่าขนาด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาวยังเป็นถึงนายกรัฐมนตรีได้ ทำไมพี่ชายถึงจะเป็นประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไม่ได้ ตามที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียนั้น

ล่าสุด น.ส.ชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวในแพลตฟอร์ม X ว่า ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง เพราะในการประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคไม่มีมติแต่งตั้งใครหรือตำแหน่งใด ๆ เหล่านี้ ซึ่งข้อเท็จจริงนายพานทองแท้ ก็ไม่ได้เข้ามาร่วมรับตำแหน่งใด ๆ ทั้งในพรรคและในรัฐบาลเลย ช่วงนี้กระบวนการแบบนี้มีให้เห็นเยอะขึ้นเรื่อย ๆ การปั้นข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน และพยายามทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาล โชคดีว่าประเทศไทยไม่ใช่เมืองหนาว เลยไม่เหมาะกับการปั้นน้ำเป็นตัว

สำหรับนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค เกิดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2522 เป็นลูกชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เกิดที่เมืองฮันต์สวิลล์ ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เคยทำธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพ ชีแอทมู้ด และคาเฟ่ชื่อ Cafeinn ที่สยามสแควร์ ซอย 2 นำเข้าและจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ยี่ห้อ เวอร์ทู รวมทั้งสัมปทานพื้นที่โฆษณาอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน และทำธุรกิจสวนสนุก Amazing Fun Park บริเวณถนนรัชดาภิเษก ในนาม บริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด เมื่อปี 2548 กระทั่งปี 2552 นายพานทองแท้ ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี แต่ได้ปิดกิจการไปเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2567 และอาคารสถานีย่านถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้สี่แยกสุทธิสาร กำลังรีโนเวตเป็นที่ทำการแห่งใหม่ของพรรคเพื่อไทย

ปัจจุบัน นายพานทองแท้เป็นกรรมการบริษัทที่ยังดำเนินกิจการอยู่ 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท ม็อกกิ้งเบิร์ด จำกัด ประกอบธุรกิจการจัดพิมพ์จำหน่ายหรือเผยแพร่งานอื่นๆ ผ่านทางออนไลน์, บริษัท วอยซ์ ครีเอชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง บริษัท เรนด์ เพลินจิต โฮเต็ล จำกัด ประกอบธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด, บริษัท เวิร์คส์ ครีเอทีฟ จำกัด ประกอบกิจกรรมการผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ธุรกิจ, บริษัท ไวฟ์ ดิจิตอล จำกัด ประกอบธุรกิจ กิจกรรมการจัดทำโปรแกรมเว็บเพจและเครือข่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ และบริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมการผลิตรายการโทรทัศน์

ส่วนบริษัทที่เสร็จการชำระบัญชี มี 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท นิวโอ๊ค จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมการถ่ายภาพ, บริษัท มาสเตอร์ โฟน จำกัด ประกอบธุรกิจร้านขายปลีกอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม, บริษัท ฮาวคัม มีเดีย จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมของบริษัทโฆษณา, และบริษัท ฮาวคัม เอวี จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง และบริษัทที่มีสถานะเลิก ได้แก่ บริษัท โอคานิท จำกัด ประกอบธุรกิจการบริการด้านเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นหลักในร้าน

อนึ่ง เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นายพานทองแท้ นั่งรถไฟขบวนพิเศษรอยัลบอสซั่มที่ 913 เพื่อเดินทางร่วมกับ สส.พรรคเพื่อไทย ไปยังโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมกับ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาว ก่อนที่นายทักษิณจะร่วมขึ้นขบวนรถไฟที่สถานีบางบำหรุ เพราะอยู่ใกล้บ้านจันทร์ส่องหล้า จรัญสนิทวงศ์ 69

‘เปลว สีเงิน’ อ่านเกม ‘ทักษิณ’ ชี้ชัด อยากตะเพิด ‘พีระพันธุ์ – รทสชง’ พ้นรัฐบาล

(17 ธ.ค. 67) เปลว สีเงิน คอลัมนิสต์การเมืองชื่อดัง เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้เขียนบทความในคอลัมน์ ‘คนท้ายซอย’ ว่า "พีระพันธุ์-เพชรแท้"
เห็นถามเชิงเถียงกันขรมเมืองทั้งวัน ว่า.....

ตกลง "ทักษิณไล่ใคร?"

ไล่ "อนุทิน-ภูมิใจไทย" หรือไล่ "พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ" ให้พ้นจาก "พรรคร่วมรัฐบาล"?

หรือไล่มันทั้ง ๒ พรรคนั่นเลย?

ผมตอบแทนทักษิณให้ก็ได้ "อยากเฉดหัวให้มันออกไปทั้ง ๒ พรรค" นั่นแหละ

แต่ที่อยากมากกกกก ถึงขั้นไล่ได้ ไล่ให้ออกไปวันนี้-วันพรุ่งเลย คือ "พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ"!

เพราะอะไร?

๑.ไล่พรรครวมไทยสร้างชาติ ๓๕-๓๖ เสียงออกไป ก็ไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้มี "พรรคธรรมนัส" ร่วม ๒๕ เสียงเสียบเสริมอยู่แล้ว

๒.ทุกคนรู้-โลกรู้ "รวมไทยสร้างชาติ" ชาติกำเนิดคือพรรคของอดีต "นายกฯ ประยุทธ์"

พีระพันธุ์จึงมีภาพเป็นคนของ "ลุงตู่" ซึ่งเป็น "หนามปักคาใจ" ให้ทักษิณคลั่งในยิ่งนัก

๓.ขณะเดียวกัน พีระพันธุ์เป็นคนที่ชาวประชารับรู้ว่า เป็นนักการเมือง "เพื่อชาติและประชาชน" ของแท้ ๑๐๐%

พีระพันธุ์จึงเป็น "หมาเฝ้าบ้าน" โดยจิตวิญญาณ ไม่ใช่ "หมาในคอก" โดยหิวอาหารเม็ด จากมือคนคด!

๔.ด้วยคุณสมบัติ ไม่สน "อาหารเม็ด" ทำให้พีระพันธุ์ดูเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมลงให้กับใคร

ถ้าเรื่องนั้น ทำแล้ว "นักการเมืองได้-ประชาชนเสีย"!

ต่อให้เป็นนโยบายรัฐบาล.....

สั่งให้ตาย พีระพันธุ์ก็จะไม่ยอมไหลตามไปกับสิ่งไม่ถูกต้องนั้น

๕.พีระพันธุ์เป็นรัฐมนตรี "คุมพลังงาน" แล้วใครบ้างที่ไม่รู้ว่า พลังงาน "ขุมทรัพย์นับล้านล้าน" ของไทย ทุกวันนี้ อยู่ในกำมือใคร?

ชาวบ้านใช้ไฟแพงจากค่า ft ทุกวันนี้ ต้นเหตุมาจากไหน ทุกคนรู้ เว้นแต่รัฐบาลของคนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เท่านั้น ที่ไม่รู้?

พีระพันธุ์เข้าไปแก้ในดงขวากหนาม เท่ากับ "ขวางทางโจร" ที่มันกำลังปล้นประชาชนจนรวยติดอันดับ "มหาเศรษฐีโลก"

ตัวเจ้าพ่อและร่างทรงเจ้าพ่อ จึงเพิ่มแรงอยากไล่ให้พีระพันธุ์ออกไปเร็วๆ เป็น ๒ เท่า

ยิ่งเขากำลังจะขุดพลังงานในอ่าวไทยใต้เกาะกูดไปรวยแบ่งกันกับเขมรอยู่ด้วย

พีระพันธุ์และอนุทิน ดันเป็น "ไอ้เข้" เข้าไปนอนขวางทางขุดเขาอีก จึงต้องส่งสัญญาณ "กูไม่พอใจพวกมึง" แล้วนะโว้ย

แต่จังหวะและบรรยากาศที่จะไล่ทั้ง ๒ พรรค มันยังไม่ให้ ถึงแม้ล้วงประเป๋ากางเกง มี "พรรคประชาชน" ให้กระเดาะเล่นในมือก็ตาม

ที่ทำได้ทันที โดยไม่กระทบเสียงรัฐบาล ก็คือไล่รวมไทยสร้างชาติออกไป จะ "รวยแบ่งกัน" ได้สบายกว่า มีพีระพันธุ์อยู่ให้กระดากปาก ตอนซ้วบบบบ!

แต่ก็นั่นแหละ.....

ในจุดเด่นของคุณพีระพันธุ์ก็มีจุดด้อยด้วยเหมือนกัน คือในความเก่งเฉพาะตัว ที่ไม่มีใครปฏิเสธ

แต่คุณพีระพันธุ์เป็นคนปากกับใจตรงกัน รู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น บางเรื่องจึงกลายเป็นว่า คุณพีระพันธุ์ไม่รู้จัก "ถนอมน้ำใจคน"

นั่นทำให้การบริหารคนในฐานะ "หัวหน้าพรรค" มีปัญหา การใช้มาตรฐานตัวเองเป็นมาตรฐานวัดทุกคนในพรรค ทำให้รวมใจคนในพรรคให้เป็นหนึ่งไม่ได้

ห่านดิน ยังกินหญ้า ห่านฟ้า ยังกินยุง ฉันใด ลูกน้องในพรรค ก็ฉันนั้น คนเป็นหัวหน้าก็ต้องบริหารอาหาร

คนน่ะ...จริงอยู่ เป็นคนเท่ากัน แต่มันไม่เท่ากันในความสามารถด้านหน้าที่การงาน

แต่ทุกคนสามารถใช้ศักยภาพที่มีแต่ละด้าน ช่วยให้พรรคเจริญเติบใหญ่ได้

มีเงินหมื่นล้าน ก็สร้าง "กระต๊อบ" หลังเดียวไม่ได้

ถ้าไม่มีคนไปตัดไม้ไผ่ ไม่มีคนขุดดิน ไม่มีคนตัดหวาย จักตอก ไม่มีคนมุงหลังคา

ฉะนั้น คนสำคัญกว่าเงิน แต่ต้องรู้จักใช้ทั้งเงิน-ทั้งคน              

ผู้บริหารที่ "รู้จักใช้คน" เขาจะไม่มองข้ามใครเลย ขณะเดียวกัน เขาจะมองเชิงวิจัยทะลุศักยภาพแต่ละคน

แล้วดึง "คุณภาพคน" ที่ต่างกันออกมาใช้ตามลักษณะงาน ตามจังหวะ-เวลา-สถานการณ์

"ชนะ" ที่เป็น "ชัยชนะ" แท้จริง มี ๒ อย่าง คือ

ชนะขั้นสามัญ ชนะใจคนอื่น

ชนะขั้นสูงสุด ชนะใจตัวเอง!

คุณพีระพันธุ์มีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ดึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ในบทบาท "ผู้นำพรรค" ให้ถึงพร้อมเท่านั้น

ถ้าเปิดใจให้กว้างต่อมิตรสหายในเส้นทาง ทั้งที่คิดเหมือนและคิดต่างให้มากกว่านี้

คำสบประมาทที่ว่า "รวมไทยสร้างชาติ" เจ๊งแล้ว นายทุนแยกพรรคไปแล้ว

เลือกตั้งครั้งหน้า....

"รวมไทยสร้างชาติ" ใต้การนำพีระพันธุ์ ไม่ใช่พรรคต่ำสิบ แต่จะเป็นพรรคต่ำห้า มันจะกลายเป็นฝ่าตีนตบหน้าคนสบประมาททันที!

พูดถึงนายทุนน่ะ ตะแคงกระบุงแล้วเอาเท้าโกยก็ถมถืด หาไม่ยากหรอก

ที่หายาก คือ "นักการเมือง" ที่บริสุทธิ์-จริงใจ ต่อชาติบ้านเมืองและประชาชนตะหาก

คุณพีระพันธุ์ คือ ๑ ในจำนวนที่หายากนั้น

แต่การดึงศักยภาพตัวเองออกมาแสดง "ภาวะผู้นำ" ที่ทั้งคนในพรรคและนอกพรรคยอมรับ

สู่ขั้นเปล่งประกายเข้าตาสังคมชาติ ว่า คนนี้ ฝากผี-ฝากไข้ ให้เป็น "ผู้นำประเทศ" ได้ ยังไม่สาดแสงทะลุตา

ทะลุวันไหน แค่ตะแคงกระบุงไว้หน้าพรรคเฉยๆ เงินอุดหนุนมาเต็ม บอกไม่เชื่อ!

เพราะเครดิตด้านคนทำงานเอางาน "เพื่อชาติบ้านเมือง" ไม่ใช่ "เอาเงินเข้ากระเป๋า" คุณพีระพันธุ์ทำให้เห็นมาแล้ว

จำตอม่อ "โฮปเวลล์"....

ที่ตำใจ ประจานไทย ว่าเป็นประเทศบริหารด้วยนักการเมือง "โกงชาติ-ผลาญเมือง" แต่ปี ๒๕๓๓ กันได้มั้ย?

ผ่านมากี่รัฐบาล ไม่มีรัฐบาลไหนสนใจแก้ปัญหา เพราะแดกเนื้อกันหมดแล้ว ทุกรัฐบาลจึงเมิน

เอกชนฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ยกเลิกสัญญาเขา คณะอนุญาโตตุลาการให้คมนาคมและการรถไฟฯ ชดใช้ค่าเสียหาย บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ร่วม ๓ หมื่นล้านบาท!

มาถึงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์....

จะว่าไปต้องให้เครดิตและชม "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคมตอนนั้น ไม่ยอม ฮึดสู้ จนชนะ เซฟค่าโง่ให้ประเทศร่วม ๓ หมื่นล้าน

มือกฎหมายที่พลิกจากแพ้ให้กลับมาชนะ ก็คือ "คุณพีระพันธุ์" ผู้นี้แหละ

อดีตท่านเป็นผู้พิพากษา เมื่อนายกฯ ประยุทธ์มอบให้เข้าไปดูเรื่องนี้ ท่านใช้เวลาร่วม ๓ ปี ขุดเอกสารต่างๆ มาดูตามแง่มุมกฎหมาย

ก็ไปสู้ในศาล....

ปรากฏว่า จากที่แพ้-จ่ายแน่ เพราะไม่มีรัฐบาลไหนสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ชาติ เมื่อรัฐบาลประยุทธ์ โดย "รมว.ศักดิ์สยาม" สู้

ปรากฏว่า ชนะ "พลิกล็อก-พลิกโลก"

"ศาลปกครองกลาง" มีคำพิพากษา เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ชดใช้ค่าโง่โฮปเวลล์ ๒.๔ หมื่นล้านบาท

พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด

ศาลเห็นว่า "บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด" ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ "พ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด"!

เนี่ย....

ถ้าคุณพีระพันธุ์อยากได้ค่าโอเลี้ยงซักสี่ซ้าห้าพันล้าน แลกกับการไม่เป็นคานเข้าไปสอดหมูที่เขากำลังจะหามกัน

พูดได้คำเดียว "สบายมาก"!

เพราะเป็นคนไม่ชอบ "สบายมาก" นั่นแหละ จึงถูกเจ้าของคอกหมาไล่ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

คุยแล้วก็รากงอก ตั้งใจจะแตะนิดเดียว ดันเลี้ยวลงคู-ลงคลอง ที่ตั้งใจคุยเรื่อง "พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล" ก็เลยหมดเนื้อที่

เอาเป็นว่าเมื่อวาน (๑๖ ธ.ค.๖๗)" ศาลปกครองสูงสุด "มีคำสั่ง" ยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองของบิ๊กโจ๊ก

นั่นคือ "สิ้นสุดทางเลื่อนของ แมว ๙ ชีวิต" ลงแค่นี้

เป็นไปตามคำสั่ง ผบ.ตร. "พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์" และมติ "ก.พ.ค.ตร."

ที่ให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ "ออกจากราชการไว้ก่อน"!

กรณีถูกกล่าวหา "ทำผิดวินัยร้ายแรง" จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์...

เกี่ยวข้องเว็บพนันออนไลน์  BNKMASTER จนถูกดำเนินคดีอาญา

และถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐาน "สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"

และ "เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน"

ก็สู้ต่อไปนะ แพ้เป็นโจ๊ก ชนะเป็น "เทพโจ๊ก"!.

-เปลว สีเงิน

๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗

คนปลายซอย

ตั้งคณะทำงาน 4 ด้าน ‘อาหาร-ค้าลงทุน-ท่องเที่ยว-มั่นคง’ ขอบคุณมาเลเซียต้อนรับอย่างอบอุ่น กระชับความร่วมมือ 2 ประเทศ

(16 ธ.ค. 67) น.ส.ศศิกานต์ วัฒนจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation: AC) ครั้งที่ 7 ที่จัดขึ้นที่ห้องประชุม Bilik Mesyuarat Perdana ชั้น 3 ประเทศมาเลเซีย ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดย น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ เพื่อบรรลุ "สันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" และมุ่งหวังที่จะร่วมมือกันเพื่อความก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งสองชาติ

ในเวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งกรุงเทพฯ ช้ากว่ามาเลเซีย 1 ชั่วโมง) ณ เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย น.ส.แพทองธาร และ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม ได้ร่วมกันตรวจแถวกองทหารเกียรติยศในพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการในโอกาสการเดินทางเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการ (Official Visit)

ในการประชุมหารือประจำปี (AC) ครั้งที่ 7 นายกรัฐมนตรีไทยได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือของสองประเทศในหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการสนับสนุนด้านอาหารฮาลาล รวมถึงการเชื่อมโยงด้านคมนาคม พลังงาน และความมั่นคงในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวถึงการเป็นโมเดลความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ที่ส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะการค้า การศึกษา และการท่องเที่ยว โดยมาเลเซียชื่นชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทย เช่น ภูเก็ต และสนับสนุนการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองประเทศภายใต้แนวคิด "6 Countries, 1 Destination"

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า มาเลเซีย เป็นมิตรประเทศ ที่ใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์ อันดีมากอย่างยาวนาน ทั้งยังเป็นหุ้นส่วน ทางการค้า ที่ใหญ่ที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน ขณะเดียวกัน มาเลเซียยังเป็น 1 ใน10 ประเทศ ที่มีคนไทยอาศัยอยู่จำนวนมากอีกด้วย ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ทั้ง2 ประเทศ มุ่งมั่น ในการประสานความร่วมมือ ที่จะทำงานร่วมกันเพื่อสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน เพื่อความก้าวหน้าและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพลังงาน นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังได้กล่าวถึงการค้าระหว่างกัน เช่น การนำเข้ายางพาราจากไทย พร้อมทั้งลงนามบันทึกความเข้าใจด้านยางพาราระหว่างสองประเทศ

สำหรับมิติด้านความมั่นคง นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยืนยันว่า ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเป็นประเด็นภายในของไทย โดยมั่นใจว่าไทยจะสามารถสร้างสันติภาพในพื้นที่ได้ โดยการพูดคุยและพัฒนา

ทั้งสองฝ่ายยังได้กล่าวถึงการร่วมมือในด้านความมั่นคง เช่น การป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์ ยาเสพติด และการหลอกลวงทางออนไลน์ และจะร่วมกันจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และการประชุมความร่วมมือด้านความมั่นคงในปีหน้า

ทั้งนี้ สองประเทศได้ตั้งเป้าหมายการค้าระหว่างกันให้ได้ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 โดยการค้าชายแดนมีสัดส่วนถึง 30% ของการค้าทวิภาคี และเห็นควรผลักดันการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดนให้มีความสะดวกยิ่งขึ้น

ในด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถึงโครงการถนนเชื่อมด่านสะเดาใหม่และสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่จะเสร็จตามกำหนด และคาดหวังว่าจะมีโครงการทางรางเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคในอนาคต

สุดท้าย นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนในปีหน้า ซึ่งมาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน ภายใต้หัวข้อ "Inclusivity and Sustainability" ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ "Malaysia Madani" โดยเชิญนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยในโอกาสต่อไป

สส.พิมพ์ภัทราเปิดบ้านตั้งครัวช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม เผยสถานการณ์ น้ำท่วมนครศรีธรรมราช ยังวางใจไม่ได้

(16 ธ.ค. 67) พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค รวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ว่าสถานการณ์ยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากมรสุมตะวันออกยังไม่แน่นอน

“ตั้งแต่เมื่อวานซืน ปุ้ยยังลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และวันนี้ได้เปิดบ้านตั้งครัวช่วยเหลือผู้ประสบภัย เราจะอยู่เคียงข้างกันท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังไม่ปกติ” เธอกล่าว พร้อมย้ำว่าสภาพอากาศยังมีฝนตกต่อเนื่อง ส่งผลให้น้ำในคลองท่าทนและคลองท่าเชี่ยวระบายลงสู่อ่าวไทยได้ยาก เนื่องจากระดับน้ำทะเลหนุนสูงและมีสิ่งกีดขวางทางน้ำ ซึ่งทุกหน่วยงานท้องถิ่นกำลังเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่

พิมพ์ภัทรา กล่าวเพิ่มเติมว่า เช้าวันนี้ น้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง จึงได้เปิดบ้านเพื่อจัดตั้งโรงครัวช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

เธอเตือนว่า สภาพอากาศยังคงไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากแนวร่องมรสุมขยับขึ้นลงผ่านพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ชุมพรจนถึงชายแดนภาคใต้ ทำให้ดินในหลายพื้นที่อิ่มตัวจากฝนตกสะสมหลายวัน เสี่ยงต่อเหตุดินถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่เทือกเขาหลวงตั้งแต่ขนอมจนถึงทุ่งสง ซึ่งมีความเสี่ยงสูง

“พื้นที่บ้านเราที่สิชล ขนอม ท่าศาลา และนบพิตำ ซึ่งมีพื้นที่เกษตรกรรมบนเนินเขาจำนวนมาก ต้องเพิ่มความระมัดระวังสูงสุด หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที” เธอกล่าวปิดท้ายด้วยความหวังว่า “เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันค่ะ”

‘ดุสิตโพล’ ชี้!! ผลงาน 3 เดือน รัฐบาลแพทองธาร ยังประเมินไม่ได้ เห็นผลชัดเจนสุด ‘แจกเงินหมื่น’ แนะ!! ควรเร่งแก้ปัญหาค่าครองชีพ

(15 ธ.ค. 67) ‘สวนดุสิตโพล’ สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ‘3 เดือนรัฐบาลแพทองธาร’ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,162 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 10-13 ธ.ค. 2567 พบว่า

กลุ่มตัวอย่างมองจุดแข็งของรัฐบาลแพทองธาร คือ การมีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ร้อยละ 49.38 ภาพรวมผลงาน 3 เดือนของรัฐบาลยังประเมินไม่ได้ ร้อยละ 39.85 ต่ำกว่าที่คาดหวัง ร้อยละ 28.14 และยังไม่เชื่อมั่นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ร้อยละ 54.99

โดยมองว่านโยบายที่เห็นผลชัดเจนที่สุดใน 3 เดือนที่ผ่านมา คือ การแจกเงิน 10,000 บาท ร้อยละ 71.44 เรื่องที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไขโดยด่วนยังคงเป็นเรื่องการแก้ปัญหาค่าครองชีพ สร้างงาน เพิ่มรายได้ ร้อยละ 70.84

สุดท้ายสิ่งที่ประชาชนอยากฝากถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศ คือ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ร้อยละ 49.14

ศึกชิงอบจ. เดือด!! ทั่วประเทศ จับตา ‘นายใหญ่’ เดินหน้ารุกฆาต!! ฟื้นคืนพื้นที่อีสาน รักษาฐานที่มั่นภาคเหนือ ตีกิน กลาง ตะวันออก

(15 ธ.ค. 67) “ผมแพ้ผมก็ไม่เสียดาย  แต่ต้องมีการตายเกิดขึ้น  คนที่โกส่งก็ต้องตาย..”

บางถ้อยคำของเทปลับที่สะพัดจากสื่อโซเชี่ยลและสื่อหลัก  หลังการสังหารโหด ‘สจ.โต้ง’ นายชัยเมศร์  สิทธิสนิทพงศ์  ในบ้าน ‘โกทร’ สุนทร   วิลาวัลย์  นายกอบจ.ปราจันบุรี เมื่อ ค่ำวันที่ 11 ธ.ค. 2567

การตายของสจ.โต้งโยงใยให้มองเห็นได้ว่า เกมการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่กำลังจะระเบิดศึกเดือดพลั่ก..และการเมืองใหญ่หรือการเมืองระดับชาติกำลังจะประดาบทำสงครามกันครั้งใหญ่..

กรณีปราจีนบุรี..แต่เดิมมีร่องรอยชัดเจนว่า  ‘สจ.จอย’ ณภาพัช  อัญชาสาณิชมน   รองประธานสภาอบจ.ปราจีนบุรี   ภรรยาสจ.โต้ง จะได้ลงสมัครนายกอบจ.หลังจากโกทรประกาศวางมือ...แม้กระทั่งทักษิณ  ชินวัตร   ก็เปิดปากยอมรับกับนักข่าวเมื่อ 13 ธ.ค.ว่าพรรคเพื่อไทยมีการติดต่อสจ.จอยจริง  แต่เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้คงจะเปลี่ยนใจแล้ว..

มีการตั้งคำถามกึ่งเป็นคำตอบว่า...สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแผนเปลี่ยนใจให้สจ.จอยเปลี่ยนเสื้อจากภูมิใจไทยไปเป็นเพื่อไทย บวกกับบ้านเล็กบ้านน้อยที่กดดันไม่ให้ ‘โก’ หนุนคนของสจ.โต้งหรือไม่...จึงเกิดฉากสังหารเกิดขึ้น..!!??

เรื่องคดีปล่อยให้ตำรวจยุค..บิ๊กต่าย ผบ.ตร.,บิ๊กอ้อ ผช.ผบ.ตร.ที่กำลังขึ้นหม้อ  ชาวประชาให้ความเชื่อถือพิสูจน์ฝีมือกันต่อไป...แต่การล้างบางมาเฟียที่ประกาศโดย ‘นายกทับซ้อน’ นั้น  ต้องจับตาดูว่าเป็นแค่ราคาคุยหาเสียงล่วงหน้า  หรือว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ..

กลับมาโฟกัสที่การเลือกตั้งนายกอบจ./ส.อบจ.กว่า 40 จังหวัดในวันที่ 1 ก.พ.2568  ที่มีแนวโน้มว่าจะดุเดือดเลือดพล่าน...เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคมุ่งจะปักธงชัยชนะเพื่อรักษาคะแนนนิยม,รักษาบ้านใหญ่ เพื่อผลสุดท้ายนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งระดับชาติในครั้งหน้าซึ่ง โอกาสเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ปี2568-2570

ขีดเส้นใต้สิบเส้น...การที่ทักษิณพูดถึงกรณีปราจีนบุรี และการปรากฎการณ์กรณีอุดรธานี,อุบลราชธานี...บวกกับโปรแกรมที่”นายใหญ่”จะไปช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยและคนในร่มธงเพื่อไทยช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า   ถูกออกแบบ-วางแผนไว้เป็นอย่างดี..

สอดประสานกับการเดินเกม..งานใต้ดินที่ ‘นายใหญ่’ ต้องใช้บริการจาก ‘ผู้กอง’ ผู้กว้างขวางที่เพิ่งเผด็จศึกแนวรบบ้านในป่ามาสดๆ ร้อนๆ..

อันที่จริงเกมของ ‘นายใหญ่’  ก็ไม่น่าจะอ่านยาก  1) ตรึงจังหวัดสำคัญ ฟื้นคืนพื้นที่อีสานฐานที่มั่นใหญ่ไห้ได้สส.เขตที่อีสานรอบหน้าอย่างน้อยสุด 100 เสียงขึ้นไป  2)ฟื้นภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ นายกอบจ.ก๊อง-พิชัย  เลิศพงศ์อดิศร  อาจจะไม่สวมเสื้อเพื่อไทยแต่ต้องรักษาแชมป์ไว้ให้ได้เพื่อเอาสส.เพื่อไทยสมัยหน้ากลับมาให้ได้จากที่เหลืออยู่ 2 คน ให้กลับมาเป็นอย่างน้อย 8 หรือยกจังหวัด10คน..

และ3) สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเคลียร์พื้นที่ภาคกลาง(รวมภาคตะวันออก)...ถึงนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ และเครือข่ายเดินเงียบ  โดยเฉพาะแนวรบด้านตะวันออก ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา,ชลบุรี,ระยอง,จันทบุรี และตราด..เรียบร้อยหมดแล้ว..เหลือแต่ปราจีนบุรีและนครนายก  ที่ปิดจ๊อบยังไม่จบ..โดยเฉพาะที่ปราจีนบุรี  ต้องรอดูเจ้าของพื้นที่สีน้ำเงินว่าจะออกอาวุธอย่างไร แบบไหน..คงไม่ปล่อยให้สูญเสียพื้นที่อาณาเขตทางการเมืองของตัวเองไปได้ง่ายๆ

รวมความแล้วเกมที่ดูเหมือนจะไม่ยากนักสำหรับคนระดับทักษิณ  แต่เมื่อส่องกล้องมองในรายละเอียด   เกมชิงนายกอบจ.40กว่าจังหวัดต้นปีหน้าก็ใช่ว่าจะเป็นรายการเคี้ยวหมู..อุปสรรคใหญ่ที่เป็นก้างขวางคออยู่ในขณะนี้ก็คือ...พรรคประชาชนที่ปักธงส่งผู้สมัครแบบหวังผลอย่างน้อย 12 จังหวัด, พรรคภูมิใจไทย ที่ ‘ครูใหญ่’เนวิน   ชิดชอบ  ยังกบไพ่เงียบ..เปิดออกมาเมื่อไหร่ไม่ใครต่อใครก็อาจเป็นลม..เหมือนตอนเลือกตั้งสว.สภาน้ำเงิน ก็ได้..

ยิ่งนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ ออกตัวแรงในทุกๆ ด้านแม้กระทั้งกรณีกึ่งขับไล่ ด้อยค่าพรรคร่วม..ก็ใช่ว่าจะเป็นผลบวกในทุกๆเรื่องเสมอไป!!

‘พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์’ อดีตบิ๊กศรภ. โพสต์ข้อความเรื่อง ‘เกาะกูด’ ชี้!! เป็นของคนไทย ทักษิณต้องหาทางถอย ไม่ให้เสียหน้า ไม่ให้ฮุนเซนเสียใจ

(15 ธ.ค. 67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง ‘เกาะกูด สงครามที่ทักษิณ ไม่มีหนทางชนะได้’ ระบุว่า …

ประเด็นเรื่องเกาะกูดเป็นของไทยหรือไม่ นั้น ได้ข้อยุติจากคุณทักษิณเมื่อวานนั้น  ว่ารัฐบาลไทยก็เห็นด้วย ว่าเป็นของคนไทย แต่จะเห็นด้วยอย่างเดียวไม่พอ รัฐบาลไทย ยังต้องทำอีก 2 เรื่อง คือ

1.รัฐบาลไทยต้องไปพูดเรื่องอาณาเขตทางทะเลของเกาะกูด กับ กัมพูชาให้ชัดเจน ว่าของไทยอยู่ตรงไหน ของกัมพูชาอยู่ตรงไหนบ้าง

2.การพูดถึงเรื่องอาณาเขตทางทะเลให้เป็นผลสำเร็จ ทั้ง 2 ประเทศ ต้องใช้ กฎหมายฉบับเดียวกัน และต้องเป็นกฎหมายที่ถูกต้อง ทั้งประชาชน และสากลโลกยอมรับ อีกด้วย

ดังนั้นไม่ว่าฝั่งรัฐบาล จะออกมาพูดว่าเกาะกูดเป็นของไทย สักกี่ครั้ง ก็ยังไม่พอ ถ้าไม่พูดคุยด้วยกฎหมายอาณาเขตทางทะเลฉบับเดียวกันเสียก่อน

แต่ถ้าจะไปเจรจา ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายที่แตกต่างกัน โดยทางไทยยึดตามสหประชาชาติ ส่วนกัมพูชา ใช้กฎหมายที่นึกคิดเอาเอง  ดังเช่นในปัจจุบันนี้แล้ว  เมื่อเริ่มการเจรจาขึ้น กัมพูชาก็จะเกิดสิทธิ์เพิ่มขึ้นมาเองทันที โดยกัมพูชาสามารถอ้างว่า ไทยยอมรับเขตแดนทางทะเลที่กัมพูชา กำหนดขึ้นมาเอง โดยที่รัฐบาลไทยไม่ทักท้วงอะไรเลย ซึ่งจะทำให้อาณาเขตทางทะเลที่นึกขึ้นมาเองของกัมพูชา เริ่มจะถูกต้อง ขึ้นมาทันที

เรื่องนี้ในที่สุด คุณทักษิณก็รู้ดี ว่าเป็นสงครามที่ไม่มีทางชนะ เพราะคนไทยไม่ยอม ‘ถอย’ แน่นอน ดังนั้นคุณทักษิณ จะต้องเป็นฝ่ายหาทาง ‘ถอย’ ในรูปแบบไหนเท่านั้น  เพื่อ (1) ไม่ให้ตัวเองเสียหน้าต่อคนไทย และ (2) ไม่ให้ฮุนเซนเสียใจด้วย  เรื่องหลังนี่สำคัญมาก ครับ

‘อนุทิน’ ไม่ใส่ใจคำพูด ‘ทักษิณ’ เผย!! มีอะไรก็หารือ กับนายกฯ

(14 ธ.ค. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวผ่านรายการข่าวเที่ยง ทางไทยพีบีเอส ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในการสัมมนาพรรคเพื่อไทยความตอนหนึ่งตำหนิพรรคร่วมบางพรรค หนีประชุมพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ ว่าไม่น่าจะหมายถึงตน หรือ พรรคภูมิใจไทย เนื่องจากในวันดังกล่าว ตนได้เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ และไม่ทราบว่ามีการเลื่อนการประชุมเป็นวันพุธที่ 11 ธันวาคม เนื่องจากปกติ การประชุมคณะรัฐมนตรี จะประชุมทุกวันอังคาร

โดยระหว่างพบแพทย์เพื่อทำการตรวจนั้น นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์เพื่อตามให้เข้าประชุม เนื่องจากมีการพิจารณากฎหมายสำคัญ ซึ่งหลักจากตรวจเสร็จ ก็รีบเข้าประชุม ครม.ทันที อีกทั้งรัฐมนตรีหลายคนของพรรคก็เข้าร่วมประชุมในวันนั้น เว้นแต่ผู้ที่ติดภารกิจราชการ จึงไม่อยากให้เชื่อมโยงมาถึงพรรคภูมิใจไทย

เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณ พูดในลักษณะนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย รับสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพราะนางสาวแพทองธาร คือ หัวหน้ารัฐบาล

“ท่านทักษิณ พูดถึงพรรคที่ไม่เข้าร่วมประชุม ผมก็ไม่นำพาไปฟังอะไรมาก เพราะผมก็ไปร่วมประชุม” นายอนุทิน กล่าว

ส่วนจะต้องพูดคุยทำความเข้าใจกันหรือไม่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ตนพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเป็นประจำอยู่แล้ว นายกฯ แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีอะไรก็ต้องหารือนายกฯ แพทองธารอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า จะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลหลังจากนี้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาต่อกันอยู่แล้ว และจากนี้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ซึ่งการร่วมรัฐบาลต้องทำงานร่วมกันเป็นไฟต์บังคับ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ และประชาชน

เบอร์ 2 'รองเอ็ด' บุกปลุก ตากต้องเปลี่ยน คนฟังปราศรัยแน่น ศึกเลือกตั้ง อบจ.ตาก

(14 ธ.ค. 67) แรงงงแซงโค้งสนามเลือกตั้งที่น่าจับตาวันนี้คือศึกการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก เป็นสนามที่บ้านใหญ่ปะทะผู้ท้าชิงที่วันนี้รวมตัวกันฝั่งฝ่ายค้านคือพลังประชารัฐและพรรคประชาชนผนึกกำลังสู้ บ้านใหญ่ฝั่งภูมิใจไทย ฝั่งผู้ท้าชิง ‘รองเอ็ด’ พตท. อนุรักษ์ จิรจิตร ผู้สมัครหมายเลข 2 ปักธงตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ ณ สนามกีฬาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ข้างสำนักงานเทศบาลนครแม่สอด เป็นเวทีที่ 64 และเป็นเวทีสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้ง ในวันพรุ่งนี้ มีคนร่วมฟังปราศรัยเกือบ 2,000 คน  

‘รองเอ็ด’ ชูนโยบาย ตากต้องเปลี่ยน และบอกกับชาว อำเภอ แม่สอดแผ่นดินเกิด มารดาเป็นคนแม่สอด บิดาเป็นคนอำเภอเมืองตาก ช่วงเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีลงพื้นที่อำเภออุ้มผาง และอำเภอพบพระ เหมือนเรือนนอน กุมหัวใจคน 4 อำเภอไว้อย่างเหนียวแน่น และลงพื้นที่อย่างสมบุกสมบันจนคว้าใจพี่น้องชาติพันธุ์ 9 ชนเผ่า ทุกอำเภอด้วย ปฏิญญา ‘พลิกตากทั้งจังหวัด’

ไฮไลต์ก่อนปิดปราศรัยที่เป็นม็อตโต้สำคัญ คือ ‘เลิกทนอยู่แบบเดิม ตากต้องเปลี่ยน’ ถือเป็นจุดพีคสุดที่จะทำให้รองเอ็ดถือแต้มต่อในโค้งสุดท้าย และเป็นยุทธวิธีเดียว เพื่อปลุกกระแส...เดินฝ่า...ห่ากระสุน ในศึกเลือกตั้ง นายก อบจ.ตาก ครั้งนี้ ท่ามกลางเสียงสนับสนุน กึกก้อง เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์การเมืองท้องถิ่นหน้าใหม่ เพราะไม่เคยเห็นเลือกตั้งท้องถิ่นปราศรัยเยอะขนาดนี้ รวม64 เวที มีรายงานว่า คนที่มาฟังปราศรัย ที่ผ่านมาน่าจะอยู่ประมาณ 50000 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top