Saturday, 14 December 2024
POLITICS

‘อนุทิน’ สั่ง!! 'มท.' ทุกหน่วยฯ หนุนช่วยเหตุน้ำท่วมแม่สาย ย้ำ!! ภารกิจสูงสุด เน้นช่วยเหลือชีวิตประชาชนก่อน

(11 ก.ย.67) ‘นายอนุทิน ชาญวีรกูล’ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ได้มีข้อกำชับไปยังผู้บริหารทุกหน่วยงานเกี่ยวข้องของกระทรวงมหาดไทย ให้พร้อมเข้าสนับสนุนให้ความช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบความเดือดร้อนจากน้ำท่วมหนักในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย และ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการเข้าช่วยเหลือชีวิตประชาชน

ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งเชียงใหม่ และเชียงราย ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมดำเนินการตามแผนป้องกันสาธารณภัย ลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ได้มากที่สุด หลังจากที่ได้รับรายงานจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ว่าขณะนี้มีฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ทั้ง 2 จังหวัด โดยเฉพาะใน อ.แม่อาย, จ.เชียงใหม่, อ.แม่สาย, อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย และทราบว่าในส่วนของ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่นั้น ได้เกิดเหตุดินสไลด์ และมีรายงานว่ามีประชาชนเสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว 1 ราย และยังสูญหายอีก 4 ราย

"ทราบว่าขณะนี้ในพื้นที่ อ.แม่สาย มีสถานการณ์น้ำที่ค่อนข้างรุนแรง มีกรณีประชาชนติดบนหลังคาเจ้าหน้าที่ใช้เรือเข้าช่วยเหลือลำบาก ผมขอให้ส่วนงานของมหาดไทย เช่น ปภ.ที่มีอุปกรณ์เครื่องจักรที่เอื้ออำนวยพิจารณาเข้าช่วยเหลือ ประชาชนอย่างเต็มที่ จากที่ได้รับรายงาน ปภ. พร้อมเข้าช่วยเหลือแต่ต้องพิจารณาความปลอดภัยของผู้เข้าช่วยเหลือด้วย และขอกำชับให้ท่านผู้ว่าเชียงใหม่ และเชียงราย ให้ติดตามข้อมูลน้ำอย่างใกล้ชิด ในสถานการณ์ที่มีภัยพิบัติขอให้ท่านอยู่ในพื้นที่ พร้อมเป็นตัวกลางในการประสานงานกับทุกภาคส่วนเพื่อจัดการปัญหากรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น ทางด้านเหตุดินสไลด์ใน อ.แม่อาย เชียงใหม่ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสียจากภัยพิบัติในครั้งนี้ ขอย้ำให้พื้นที่ช่วยกันดูแลเรื่องการให้ข้อมูลข่าวสารแจ้งเตือนระวังอันตรายอย่าให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก" นายอนุทิน กล่าว 

สำหรับรายงานผลกระทบจากน้ำท่วมล่าสุด ปภ. รายงานว่าได้เกิด สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา มีบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 14,328 ครัวเรือน

'สส.พรรคส้ม-แม่สาย' โพสต์สร้างความเกลียดชังเจ้าหน้าที่ ทั้งที่รู้ความยากจากกระแสน้ำแรง จนท.ต้องเตรียมการให้พร้อม

(11 ก.ย. 67) จากกรณี 'หญิง-จุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม' สส.เชียงราย พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า "น้ำท่วมแม่สายอ่วม พี่น้องติดอยู่ในอาคาร เจ้าหน้าที่พร้อมช่วย แต่รอคำสั่งจากผู้บัญชาการ จะสั่งการกี่โมง?"

ทั้ง ๆ ที่ต่อมา สส.คนดังกล่าว ก็ยังกล่าวเองว่า "การทำงานครั้งนี้ค่อนข้างยากลำบาก เนื่องจากกระแสน้ำแรง การเข้าถึงจุดต่าง ๆ ต้องถูกประเมินจากทางเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างเข้มงวด มีระบบเชือกอย่างเดียวที่สามารถทำงานได้ หลายหน่วยงานกำลังระดมกำลังและยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่กันอยู่"

จากโพสต์ดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ในโลกโซเชียล โดยส่วนใหญ่มองว่า ทำไม สส.ไม่ลงพื้นที่เข้าไปช่วยเองเสียเลย ถ้าเจ้าหน้าที่เขารอคำสั่งไม่รู้เมื่อไหร่ สส.ของประชาชนก็ลงไปช่วยเองเลย ไม่ใช่ลงไปมองตาตอนน้ำลดแล้วบอกไปร่วมทุกข์ร่วมสุข

ด้านเพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ก็ได้โพสต์วิจารณ์เช่นกัน โดยระบุว่า...

#ทุกคนคะ สส.พรรคส้ม โพสต์ทำร้ายน้ำใจคนทำงานมาก ทุกหน่วยงานมีผู้บัญชาเหตุการณ์ในพื้นที่ที่ทำงานได้ทันที ไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง เพราะเป็นเหตุฉุกเฉิน 

เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเขาถูกฝึกมา ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ต้องประเมินสถานการณ์ กระแสน้ำ การลำเลียงคน ไม่ใช่เข้าพื้นที่มั่ว

สส. พรรคส้ม แต่ละคน ยิ่งกว่าลุ้นกล่องสุ่มอีก เฮ้อ 

#น้ำท่วม #น้ำท่วมเชียงราย

‘ชัยวุฒิ’ ลั่น ‘พปชร.’ พร้อมเป็นความหวังให้คนไม่เอา 'ส้ม-แดง' ชู 3 กรอบประเด็นตรวจสอบ มั่นใจ!! ทำหน้าที่ฝ่ายค้านแบบเต็มที่

(10 ก.ย. 67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กับรายการ 'สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง' ทางช่องยูทูบ 'แนวหน้าออนไลน์' ในประเด็นพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ไปต่อในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล และต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ว่า รู้สึกสนุกขึ้น เพราะเป็นฝ่ายรัฐบาลบางครั้งก็ทำอะไรไม่ได้เต็มที่ เห็นอะไรที่ขัดใจหรือไม่ถูกต้อง คราวนี้จะได้ตรวจสอบอย่างเต็มที่ เพราะตนก็มีข้อมูลอยู่ไม่น้อย แต่ไม่มีคำว่ามือใหม่ ตนเชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทุกคนพร้อมทำหน้าที่ทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าได้คุยกับ สส. ในพรรคหรือไม่? เรื่องนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว คนที่อยู่ก็คืออยู่ พร้อมเป็นฝ่ายค้าน ส่วนคนที่ไม่อยากเป็นฝ่ายค้าน กลัวเสียผลประโยชน์ ถูกดูดไปก็ไปกันหมดแล้ว เหลือแต่คนที่เป็นเนื้อแท้พร้อมจะทำงาน ส่วนเรื่องการทำงานฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน เบื้องต้นมีการคุยกัน เริ่มจากรัฐบาลแถลงนโยบายก็จะขอแบ่งเวลาอภิปราย ส่วนจะพูดประเด็นใดบ้างคงต้องหารือกัน ซึ่งหลังจากนี้ทางสภาก็คงจะมีเจ้าหน้าที่มาประสานการพูดคุยกันของวิปฝ่ายค้านต่อไป แต่ตนเข้าใจว่าขณะนี้คงรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ผู้นำฝ่ายค้านคนใหม่กันก่อน

“ยังไม่มีการตั้งวิปฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการ คือปกติเจ้าหน้าที่สภาเขาจะมานัดประชุมเรื่องเกี่ยวกับการเตรียมงานของฝ่ายค้าน เพราะอย่างวิปรัฐบาลเขามีสำนักงานเลขาธิการนายกฯ หรือ ครม. เป็นคนจัดประชุมวิปรัฐบาล แต่ขอฝ่ายค้านทางสภาจะเป็นคนจัด ณ วันนี้อาจจะยังไม่ลงตัว ยังไม่เป็นทางการเท่าไร ไม่เป็นไร ทำงานได้ไม่ต้องห่วง” นายชัยวุฒิ กล่าว

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อไปว่า พรรคพลังประชารัฐจะเป็นฝ่ายค้านอิสระ ทำงานแยกตัวกับพรรคประชาชนหรือไม่ จริง ๆ ฝ่ายค้านคืออิสระอยู่แล้ว แต่ก็ต้องคุยกัน ต้องประสานงานการแบ่งเวลาอภิปราย การลงมติว่าจะไปในทิศทางใด ส่วนการตรวจสอบรัฐบาลในการแถลงนโยบาย ประเด็นที่จะตรวจสอบ...

1.เรื่องที่พูดแล้วไม่ได้ทำ ทั้งที่เป็นนโยบายของพรรคการเมือง หรือนโยบายที่ประชาชนคาดหวัง เช่น ราคาพลังงานที่บอกว่าค่าน้ำมันและก๊าซต้องถูกลงทำไมยังทำไม่สำเร็จ หรือดิจิทัลวอลเล็ตเหตุใดยังไม่สำเร็จเสียที เป็นต้น

2.ความพร้อมของรัฐบาล ตัวบุคคลมีความเหมาะสมสามารถทำงานได้หรือไม่ เพราะอย่างที่ทราบว่ามีปัญหาและประชาชนก็รู้อยู่ 

3.ความผิดปกติของรัฐบาล ที่มีเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ 

ส่วนคำถามว่า จะได้เห็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรค อภิปรายในสภาหรือไม่ ต้องบอกว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ถนัดเรื่องอภิปราย แต่ถนัดเรื่องประสานงาน วางแผน หรือทำงานด้านยุทธศาสตร์มากกว่า 

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร คงไม่ต่างจากเดิม คือการสนับสนุนสมาชิกพรรคให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ และช่วยประสานงานกิจกรรมต่าง ๆ ให้พรรคเดินไปข้างหน้า แต่ที่จะเข้มข้นขึ้นคือการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ตนก็ขอใช้คำว่าไม่ต้องเกรงใจกัน คือมีอะไรก็พูดกันตรง ๆ เลย ส่วนที่มีการพูดกันว่า การทำงานของพรรคพลังประชารัฐอยู่นอกสภาเสียเยอะ ก็ต้องยอมรับความจริงก่อนว่าจำนวน สส. ในสภามีไม่มาก คือแบ่งคนละครึ่งกับ สส. ฝ่ายของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เฉลี่ยฝ่ายละ 20 คน คงไม่สามารถล้มรัฐบาลหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้

โดยการทำงานนอกสภา หมายถึงการที่ประชาชนหรือกลุ่มต่าง ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล รวมถึงมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตต่าง ๆ อาจส่งข้อมูลมาที่พรรค เพราะคาดหวังให้พรรคพลังประชารัฐนำไปดำเนินการต่อให้ หากไม่มีใครดำเนินการก็จะถูกปล่อยค้างอยู่อย่างนั้น ก็ต้องมีคนนำไปดำเนินการให้ถึงที่สุด แต่คงไม่ต้องถึงกับตั้งทีมรับเรื่องร้องเรียนขึ้นมา เพราะในพรรครู้กันอยู่แล้วว่าใครทำหน้าที่นี้บ้าง

ส่วนที่มีการตั้งนายไพบูลย์ นิติตะวัน มือกฎหมายมาเป็นเลขาธิการพรรคคนล่าสุด มีคำถามว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าจะทำอะไรหรือไม่ ก็เป็นอย่างที่คิด คือพรรคพลังประชารัฐจะมีบทบาทขับเคลื่อนเรื่องกฎหมายเยอะ อีกอย่างนายไพบูลย์ก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่คณะกรรมการบริหารพรรคให้ความนับถือ การทำงานก็จะราบรื่นและต่อเนื่อง ตนมองว่าเป็นผลดีต่อพรรค ส่วนนายไพบูลย์จะไปผนึกกำลังกับสมาชิกพรรคอย่าง นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ หรือไม่ ก็พูดคุยกันอยู่ แต่เชื่อว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ ไม่ถึงกับต้องมาประชุมหรือประสานกัน ใครเห็นปัญหาก็ว่าไป

โดยตนก็เป็นห่วงรัฐบาล เพราะแม้จะเป็นรัฐบาลต่อเนื่อง มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำเหมือนเดิมต่อมาจากนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีหลายอย่างประชาชนผิดหวังมาจากรัฐบาลชุดก่อน จึงคาดหวังว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยนายกฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะทำให้ดีขึ้น แต่เท่าที่ดูก็ยังไม่เห็นอะไรที่ชัดเจนว่าจะดีขึ้น แต่ที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันหนักกว่าเดิมเพราะมีเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลที่ขัดอารมณ์คน

“ทั้งการดูด สส. ไป การเอาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งความรู้สึกของคนกลุ่มหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยมาร่วม และที่หนักกว่านั้นก็คือปัญหาเรื่องจริยธรรม ซึ่งมันทำให้นักการเมืองหลายคนไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ แต่รัฐบาลนี้ก็ไปเลี่ยงกฎหมาย เลี่ยงรัฐธรรมนูญด้วยการใช้นอมินี ใช้ตัวแทนมาทำหน้าที่แทน ซึ่งอันนี้มันทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ไว้วางใจ ไม่สบายใจกับสิ่งที่รัฐบาลทำ คือพอมันเริ่มต้นไม่ดี ผมว่าการเดินหน้าให้มันได้ใจประชาชนมันก็เป็นไปได้ยาก” นายชัยวุฒิ ระบุ

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนคำถามว่าพรรคพลังประชารัฐจะมีทีเด็ดอะไรหรือไม่ เพราะสังคมก็จับตาดูอยู่ ก็ต้องรอดูกันไปก่อน คงจะเป็นการตรวจสอบรัฐบาล และเป็นหลักในการรวบรวมกลุ่มต่าง ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมาช่วยกันทำงานเพื่อตรวจสอบรัฐบาล และแก้ปัญหาให้ประชาชน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า สีส้มกับสีแดงเคยอยู่ด้วยกันมาก่อน หรือมาจากไข่ใบเดียวกัน จึงอาจไม่ได้ค้านกันทุกเรื่อง บางเรื่องที่เห็นด้วยเหมือนกันก็ไม่ได้ค้าน แต่พรรคพลังประชารัฐไม่ได้มาจากไข่ใบเดียวกับส้มหรือแดง ชัดเจนว่าตรงข้ามกันแน่นอนเรื่องอุดมการณ์ และการทำงาน

อย่างพรรคการเมืองสีส้ม เวลาค้านก็เหมือนนักมวยเต้นฟุตเวิร์กวน ๆ แล้วออกหมัดแย็บ แต่ไม่มีหมัดน็อก อย่างเรื่องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องชั้น 14 ไม่มีการพูดถึง ในขณะที่พูดเรื่องทหารไม่ยุติธรรมบ้าง นักการเมืองเก่าไม่ดีบ้าง มันสะท้อนเรื่องการมีอยู่จริงของดีลลับระหว่างส้มกับแดง จึงต้องมีพรรคพลังประชารัฐเป็นหลักในการต่อสู้จริง ๆ ไม่มีดีลลับ ตนมองว่าเรื่องนี้เป็นความคาดหวังของประชาชนที่ไม่ไว้วางใจทั้งพรรคส้มและนายทักษิณ ซึ่งพลังนี้กำลังก่อตัวขึ้น 

“วันนี้คนมีส้ม-แดง และคนที่ไม่เอาส้มกับแดง แล้วผมเชื่อว่าส้มกับแดงเขาแตะมือกัน เพราะผมก็เคยวิเคราะห์การเมืองว่าถ้ารัฐบาลนี้มีปัญหามาก โดนร้องเรียน ไปไม่รอด เขายุบสภาปุ๊บ! เลือกตั้งรอบหน้าผมก็มีความเชื่อว่าส้มกับแดงพร้อมจะรวมกันแน่นอน ถามว่าส้มจะรวมกับพลังประชารัฐไหม? เป็นไปไม่ได้เพราะเราปกป้องสถาบันฯ จะรวมกับส้มได้อย่างไร และแดงก็ชัดเจนกับเราแล้วว่าไม่เอากัน มันก็เห็นอยู่แล้ว รัฐบาลหน้าหลังเลือกตั้งก็คือเป็นส้มกับแดงรวมกัน ซึ่งเขาก็พร้อมจะยุบสภาเพื่อรักษาความได้เปรียบทางการเมืองอย่างแน่นอน” นายชัยวุฒิ กล่าว

อุทาหรณ์!! จุดจบ 'สามนิ้ว' โดนคดี 112 ติดคุกยาวๆ ไร้คนเยี่ยมดูแล แม้แต่คนเคยปลุกปั่น วันนี้ก็เมิน

เวลาผมเขียนบทความในเรื่องที่เกี่ยวกับ 'บาปบุญคุณโทษ' ที่ใครสักคนกระทำเลว ๆ ต่อสถาบันเบื้องสูง ไม่ว่าจะด้วยตัวเอง, รับงานใครมา, ถูกหลอกใช้ หรือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความเลวทรามอีกที เหล่านี้จะได้รับ 'กรรมสนอง' อย่างรวดเร็วและไม่ต้องรอถึงชาติหน้า มีให้เห็นมาแล้วนับไม่ถ้วน 

แต่ก็มักจะมีพวก 'ส้มสามนิ้ว' เข้ามาเยาะเย้ย ถากถาง เสียดสีผมว่าเป็น 'พวกหัวเก่า' เชื่อในสิ่งที่งมงาย ดีแต่บ้าบอยกยอว่า 'สถาบัน' นั้นศักดิ์สิทธิ์ ใครทำร้ายก็จะโดนเล่นงานให้ต้องพบวิบากกรรม

สิ่งที่ผมเขียน ผมเขียนมาจากประสบการณ์ตรงในชีวิต ผ่านการพบเห็นกับสองตามาตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา เขียนมาจากการที่มีพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านอบรมสั่งสอน และเตือนสติไว้อย่างหนัก ๆ ว่า จะล้อเล่นกับอะไรก็ได้ แต่ 'อย่าล้อเล่นกับสถาบัน' อย่านำสถาบันไปลบหลู่ดูหมิ่น หรือคิดล้มล้างทำลาย ด้วยสถาบันเบื้องสูงไม่ใช่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่คือราก คือฐาน คือหลายองค์ประกอบของผู้คนชั้นสูงในอดีต ยังรวมถึงเหล่านักรบที่รักชาติยิ่งชีพ รักและยอมตายเพื่อพระมหากษัตริย์ไทย 'แผ่นดินทอง' จึงรอดปลอดภัยจากอุ้งมือฝรั่งมาเป็น 'แผ่นดินไทย' ที่งามสง่าอย่างเช่นทุกวันนี้ 

คงมีแต่ 'คนเสียสติ' และต้องมีระดับของความอกตัญญูสูงปี๊ดชนิดที่ 'สัตว์เดรัจฉาน' ยังเรียกพี่เท่านั้น ที่นอกจากจะไม่ตอบแทน กลับคิดร้าย จ้องทำลายสิ่งที่มีส่วนสำคัญให้ 'ไทยเป็นไทย' 

แท้ที่จริง การไม่คิดปกป้องดูแล ไม่ใส่ใจไยดี อยากแค่ใช้ชีวิตทำมาหากินไปวัน ๆ ก็ยังจะดีกว่ากลุ่มคนที่ 'ชูสามนิ้ว' ที่ตั้งใจเซาะกร่อนสถาบัน จนต้องโดนคดี 112 จนนับไม่ถ้วน

เพราะความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่ตั้ง คนไทยรุ่นต่อรุ่น จึงส่งต่อแนวทางในการรักษาไว้ซึ่งสถาบันเบื้องสูง ให้เป็น 'ศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ' เสมือนเป็นเสาหลักของความมั่นคงที่คนไทยต้องปกปักรักษาไว้ตราบนาน เราจึงต้องมีกฎหมายเพื่อปกป้องสถาบัน ใครก็ตามที่คิดร้าย ทำลาย ก็หนีไม่พ้นต้องโดนคดี  

ดังเช่นวันนี้ กลุ่มคน 'สามนิ้ว' ที่ถูกปลุกปั่นจากพรรคการเมืองที่คิดล้มล้างการปกครอง ต้องติดคุกกันระนาว พรรคการเมืองที่อยู่เบื้องหลังตีตัวออกห่าง ปล่อยลอยแพ 'คนสามนิ้ว' ให้หมดอนาคตอยู่ในคุกโดยลำพัง 

แต่จงเชื่อเถิด ใครที่คิดร้ายต่อสถาบัน ไม่นานก็จะเกมตาม ๆ กันไป 

‘สุชาติ’ ยกย่อง ‘ภูมิธรรม’ มุ่งมั่นทำเพื่อชาติบ้านเมือง ยก!! เป็นคนดี-มีวิสัยทัศน์-เป็นผู้นำ ยินดีนั่งกลาโหม

(10 ก.ย. 67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุผ่านแฟนเพจ ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ เผยความประทับใจที่ได้ร่วมงานกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อครั้งนายภูมิธรรมดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ 

โดยระบุว่า “ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ผมได้อยู่ใต้ร่มเงา ‘พี่อ้วน ภูมิธรรม’ ซึ่งเป็นเจ้ากระทรวงพาณิชย์ ผมมีเพียงความรู้สึกประทับใจในบทบาทการทำงาน ที่พี่ทำไว้เป็นแบบอย่าง เป็นต้นแบบการทุ่มเทกำลังแรงใจ เพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ ทำให้พี่อ้วนเป็นเจ้ากระทรวงที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง และผมขอแสดงความยินดีกับการไปดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ครับ…

‘เฮ้ง’ สุชาติ ชมกลิ่น”

'ปิยบุตร' อบรม 'พรรคส้ม' ทำการเมืองแบบโดดเดี่ยวตัวเอง หากปี 2570 ได้เสียงไม่ถึงครึ่งสภาอีก จะเป็นรัฐบาลได้อย่างไร

(10 ก.ย. 67) ขณะนี้กลุ่มชาวเน็ต ได้แชร์คลิปความเห็นทางการเมืองของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตสส.บัญชีรายชื่อ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่พูดในช่องสื่อออนไลน์แห่งหนึ่ง ถึงการเมืองในระบบรัฐสภา และวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกล (ปัจจุบันชื่อพรรคประชาชน) กรณีการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมีความยาว 2 นาที

โดยในคลิปมีเนื้อหาดังนี้ "...เราก็ต้องยอมรับ นี่ผมเตือน เดี๋ยวคนจะบอกว่าผมพูดเหมือนนางแบก ต้องยืนยันว่าระบบรัฐสภาทั่วโลก ไม่ได้หมายความว่าพรรคที่ได้ที่ 1 จะต้องเป็นรัฐบาลเสมอไป มันอยู่ที่คุณตั้งได้หรือตั้งไม่ได้ อย่างนายกฯ นิวซีแลนด์ ผมเข้าใจว่าเขาก็ไม่ได้ที่ 1 แต่เขาตั้งได้ เพราะระบบรัฐสภา คือการรวมเสียงข้างมากในสภา…

“ก้าวไกลมีความชอบธรรมสูงที่สุดในการตั้งรัฐบาลก่อน เพราะคุณได้ที่ 1 ตามธรรมเนียม แต่พอตั้งไม่ได้ หาไม่ได้ แล้วอีกข้างหนึ่งหาได้ แม้จะมี สว.พิเรนทร์โผล่มาด้วย ก็ว่ากันไป แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่ระบบรัฐสภา ต้องยึดว่า พรรคที่ได้ที่ 1 อาจจะไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ได้ ถ้าคุณรวมเสียงไม่ได้…

“ดังนั้น เวลาเราบอกว่า ก้าวไกลชนะแล้วไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็มันรวมไม่ได้ แม้จะมีรัฐธรรมนูญที่พิการ เพราะมี สว. แต่ก็เหมือนกัน ผมพูดถึงการเลือกตั้ง 2570 ที่ไม่มี สว. มาโหวตนายกฯ แล้ว เกิดวันนั้นก้าวไกล (ปัจจุบันชื่อพรรคประชาชน) ได้ 200 กว่า แล้วคุณตั้งไม่ได้อีกจะทำยังไง…

“คุณมั่นใจได้ยังไงว่าครั้งหน้าคุณจะเกิน 250 ถ้ามันไม่ถึง คุณจะเดินการเมืองเพื่อมัดตัวเองตั้งแต่วันนี้ทำไม พูดในมุมของคนที่ชอบการปฏิวัติ ไม่ชอบระบบพ่อปกครองลูกในระบบรัฐสภา แต่ชวนให้คิดว่า ถ้าคุณอยากเป็นรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้ โครงสร้างแบบนี้ ที่คุณยังไปไม่ถึงครึ่งหนึ่ง คุณจะทำยังไง…

“ถ้าคุณล่อตั้งแต่วันนี้ ผมนึกไม่ออกเลยว่างวดหน้าจะเป็นยังไง จะคุยกับใครได้ มันคือเล่นการเมืองแบบโดดเดี่ยวตัวเองออกมา ถ้าคุณเล่นแบบนี้ คุณต้องเลิกคิดเรื่องนี้แล้ว พูดง่าย ๆ คุณเป็นรบทุกสนาม เพื่อการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ แต่ถ้ายังเชื่อว่า 2570 กำลังยังไม่พอ เราได้แค่นี้ ต้องคิดอีกมุมหนึ่ง ถ้าอยากเป็นรัฐบาล"

10 นโยบายเร่งด่วน ‘รัฐบาลแพทองธาร’ ทำทันที พบ!! ‘SPR’ ของ ‘พีระพันธุ์’ ถูกบรรจุวาระเร่งด่วน

(9 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 12-13 กันยายน 2567 รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นที่เรียบร้อย แถลงนโยบายคณะรัฐมนตรีต่อที่ประชุมรัฐสภา โดยมีการเปิดเผยนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลจะดำเนินการทันที ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์รัฐสภา ดังนี้…

นโยบายที่ 1 รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ภายใต้ปรัชญาที่จะไม่ขัดต่อวินัยทางการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ของผู้มีภาระหนี้สิน ควบคู่กับการเพิ่มความรู้ทางการเงินและส่งเสริมการออมในรูปแบบใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย โดยจะดำเนินนโยบายผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์

นโยบายที่ 2 รัฐบาลจะดูแลและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติ โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาหนี้ของ SMEs เช่น การพักหนี้ การจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อประคับประคองให้กลับมาเป็นกลไกที่แข็งแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

นโยบายที่ 3 รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค ปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ควบคู่กับการเร่งรัดจัดทำปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) รวมทั้งการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน พร้อมทั้งผลักดันการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ (Mass Transit) และการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับนโยบาย ‘ค่าโดยสารราคาเดียว’ ตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าเดินทาง

นโยบายที่ 4 รัฐบาลจะสร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษี ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50 ของ GDP เพื่อนำไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค รวมทั้งอุดหนุนค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานของประชาชน พร้อมทั้งจะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

นโยบายที่ 5 รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก และผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐ ที่มุ่งการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน พร้อมเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน และการประกอบอาชีพ

นโยบายที่ 6 รัฐบาลจะยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย โดยใช้แนวคิด ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ นำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Agri-Tech) เช่น เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และเทคโนโลยีด้านอาหาร (Food Tech) มาใช้พัฒนาอาชีพด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงการคว้าโอกาสในตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งอาหารฮาลาล และฟื้นนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของโลกด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร รวมทั้งเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรก

นโยบายที่ 7 รัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการสานต่อความสำเร็จในการปรับโครงสร้างการตรวจลงตราทั้งหมดของประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า เช่น กลุ่มผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล (Digital Nomad) ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 1.892 ล้านล้านบาท ในปี 2566 โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว 

นโยบายที่ 8 รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด การค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ตลอดจนการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด การฝึกอาชีพ การศึกษา และการฟื้นฟูสภาพทางสังคม รวมทั้งมีระบบติดตามดูแลช่วยเหลือเพื่อไม่ให้กลับไปสู่วงจรยาเสพติดอีก เพื่อคืนคนคุณภาพกลับสู่สังคม 

นโยบายที่ 9 รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างกลไกการร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์

นโยบายที่ 10 รัฐบาลจะส่งเสริมพัฒนาศักยภาพ และจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่สำคัญ ได้แก่ คนพิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ เพื่อให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐได้โดยสะดวกตามที่กฎหมายบัญญัติ

'กัณวีร์' วอน!! สังคมเปิดใจ ปมปิดศูนย์เรียนรู้ลูกแรงงานเมียนมา หวั่น!! กระทบเด็กอีก 2 หมื่นคน เข้าไม่ถึงสิทธิการศึกษา

(9 ก.ย. 67) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงเหตุการณ์การปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ฯ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานจัดการศึกษาให้เด็กเคลื่อนย้ายถิ่นฐานจากประเทศเมียนมาใน จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีเด็กมากกว่าพันคน แต่ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ไม่ได้จดทะเบียนเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาตินั้น กำลังถูกพูดถึงในแวดวงการศึกษา วงกฎหมาย คนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม และสังคมในวงกว้างโดยทั่วไป

นายกัณวีร์ กล่าวว่า กรณีนี้มีความคิดแตกต่างหลากหลาย หากมองในมุมกฎหมายแล้ว ถ้าไม่จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายที่มีอยู่ ต้องมีความผิดและ มีโทษปิด ปรับ ดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้องทุกคน

“แต่หากมองมุมกว้าง ๆ ขอให้ทุกคนเปิดใจในเรื่องดังกล่าวจากเหตุการณ์ การ ‘ร้องเพลงชาติพม่า’ กันก่อนนะครับ มองให้ดีครับ ตามข่าวที่ออกมา มีศูนย์การศึกษาอย่างนี้ที่ดูแลเด็ก ๆ ซึ่งเป็นลูก ๆ ของแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยจากเมียนมาทั้งหมด 63 แห่งทั่วไทย ที่ดูแลเด็ก ๆ ทั้งหมดเกือบสองหมื่นคน และยังมีอีกส่วนมากที่ยังไม่ได้เข้าระบบ และในขณะเดียวกันระบบการศึกษาของไทยก็ไม่สามารถโอบรัดเด็กจำนวนหลายหมื่นคนที่ยังมีพื้นฐานที่แตกต่างกับเด็กไทยเข้าระบบด้วยเช่นกัน” นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ กล่าวว่า มีเด็กที่เป็นลูกของแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยจากเมียนมา ที่เรียนอยู่ในศูนย์การเรียนรู้ 63 แห่ง มีจำนวนกว่า 2 หมื่นคน หากเจ้าหน้าที่ตามไล่ปิด แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ตนเองจึงขอตั้งคำถามว่า ยิ่งปิด จะยิ่งหายไปหรือไม่ ปิดแล้วใครได้ประโยชน์ เด็กประมาณ 2 หมื่นคน หรือสังคมไทยจะได้ประโยชน์อะไร ปิดแล้วหากเด็ก ๆ สองหมื่นคนนี้เดินทางกลับประเทศต้นกำเนิดไม่ได้ สามารถเข้าสถานศึกษาในไทยได้ไหมหากเข้าไม่ได้ พวกเขาจะเป็นกลุ่มคนที่มีคุณภาพอย่างไร แล้วหากต้องอยู่ในไทยอีกหลายสิบปีหรือตลอดไป และไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ เขาจะเป็นอะไรในสังคมไทย จะส่งผลที่ดีต่อสังคมไทยหรือไม่ หากพวกเขายังไงก็ต้องอยู่ในสังคมไทย เอาพวกเขาเข้ามาเป็นประชากรที่มีคุณภาพของไทยดีกว่าหรือไม่

“เราต้องเริ่มตอบคำถามทีละคำถามด้วยใจที่เปิดกว้างครับ แล้วเราจะเห็นคำตอบที่ปลายทางด้วยตัวคำตอบในแต่ละคำถามมันเอง โดยปราศจากอคติใด ๆ ครับ ต้องถือโอกาสนี้ในการจัดระบบศูนย์การศึกษาต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งระบบไปเลยครับ หากเค้าไปไหนไม่ได้ ทำให้ถูกต้องเข้าระบบ ตรวจสอบ และสนับสนุนตามนโยบายการศึกษาของเรา ผู้ปกครองพวกเค้าที่เป็นแรงงานข้ามชาติต้องนำบุตรเข้าระบบอย่างถูกต้องและต้องไม่เป็นภาระให้ใครอีกต่อไป ยืนด้วยขาตัวเอง” นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ กล่าวว่า เหมือนหลาย ๆ เรื่องที่มีอยู่ในไทยมาอย่างยาวนานแต่เราเอามาอยู่ใต้พรมตลอดเวลาเป็นหลายทศวรรษ ทำให้เกิดการกวาดล้างเป็นเทศกาล แต่ไม่เคยหายไปอย่างมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบคือ กลุ่มเปราะบางที่ควรจะมีการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ ที่มีประสิทธิภาพและสร้างประสิทธิผลได้มากกว่านี้ และพวกเขาจะกลับมาช่วยพัฒนาสังคมที่พวกเค้าเข้ามาอยู่อย่างสร้างสรรค์

“ตามที่ผมได้พูดไว้เสมอครับ เปลี่ยนภาระ ให้เป็นพลัง จะตามเรื่องนี้ให้ติดอีกเรื่องหนึ่งครับ ถึงแม้จะมีเสียงเดียวในสภาฯ แต่จะพยายามทำให้เต็มที่ครับผม” นายกัณวีร์ กล่าว

เปิดเหตุผล!! ทำไมเลือกตั้งท้องถิ่น 'ส้ม' มักปราชัย สวนทางเลือกตั้งใหญ่ เพราะท้องถิ่นต้องวัดกันตัวต่อตัว ส่วนเวทีใหญ่พรรคอื่นตัดแต้มกันเอง

(9 ก.ย. 67) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ ระบุว่า...

มีเพื่อนถามผมว่าทำไม พรรคสีส้มถึงชนะการเลือกตั้งใหญ่ แต่เลือกตั้งย่อย ๆ ที่ไหน ก็มักจะไม่ชนะ

ผมก็เล่าให้ฟังว่า สมัยผมเรียนที่เกาหลีนั้น มีการเลือกตั้งผู้นำประเทศครั้งหนึ่ง ซึ่งเบอร์ ๑ นั้น เป็นผู้สืบทอดอำนาจจากผู้นำคนเก่าที่ใครต่อใครก็ไม่ชอบหน้า

เรียกว่างานนี้ดูยังไง ๆ ฝ่ายค้านที่มีตัวหลัก ๆ สองคนนั้น ส่งคนไหนมาแข่งก็ชนะแบเบอร์แน่ ๆ

แต่ก็ไม่รู้ฝ่ายค้านสองคนนั้นเอาความมั่นใจมาจากไหน ที่ดันแย่งกันลงแข่งทั้งคู่ เป็นผู้สมัคร เบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ โดยต่างก็มั่นใจว่าตนจะได้ชัยชนะแน่นอน

ผลก็ออกมาอย่างที่ผมคาดเอาไว้ คือคะแนนเบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ นั้น ถ้าเอามารวมกันก็ชนะเบอร์ ๑ แบบไม่ต้องลุ้น

แต่ผลสรุปแล้ว เบอร์ ๑ ได้เป็นผู้นำประเทศ เพราะคะแนนแยกของทั้งเบอร์ ๒ และเบอร์ ๓ ที่ดันแข่งกันเองนั้น สู้คะแนนที่ไม่ต้องแข่งกับใครของเบอร์ ๑ ไม่ได้ทั้งคู่

การเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมาของประเทศเรานั้น ขณะที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ยังเล่นการเมืองแบบเดิม ๆ ส่งผู้แข่งขันไปแย่งคะแนนกันเหมือนเดิม ๆ และ เห็นหน้าก็รู้ว่า คงไม่มีเกมการเมืองใหม่ ๆ อะไรให้เล่นเลยนั้น

พรรคสีส้มเขามีฐานเสียงหลักของเขาที่อยากลองพรรคการเมืองใหม่ที่ไม่เหมือนการเมืองเดิม ๆ ไม่เคยต้องแย่งกับใคร และก็ไม่ได้มีพรรคไหนลงไปเเข่งขันแย่งฐานเสียงดังกล่าวนั้นตรง ๆ เลย

นั้นก็คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ พรรคสีส้มได้คะแนนมากกกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ มัวแต่ตัดคะแนนกันเอง จนไปไม่เป็นกันสักพรรค

ส่วนในการแข่งขันการเมืองย่อยไม่ว่าจะเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้ง อบจ. อะไรต่อมิอะไรนั้น

พรรคส้มมักเจอคู่แข่งแบบตัวต่อตัว ซึ่งคะแนนของส้มนั้น จริง ๆ ก็ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ เมื่อไม่มีการตัดคะแนนกันให้วุ่นวาย

พรรคส้มก็มักจะปราชัยด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้

ผมไม่ได้เชี่ยวทางการเมืองขนาดจะสอนใครว่า  พรรคการเมืองควรจะรวมพลังกันในการเลือกตั้งใหญ่ หรือ ควรจะมีพรรคการเมืองใหม่มาเบียดแย่งคะแนนจากฐานเสียงของพรรคส้ม

แต่ถ้าถามว่า ทำไม พรรคน้อยใหญ่ไม่ชนะพรรคส้มในการเลือกตั้งใหญ่คราวที่แล้ว

ก็จะหาเหตุผลได้ประมาณนี้นะครับ

‘อัครเดช’ เชื่อ!! นโยบาย ‘พลังงาน-อุตสาหกรรม’ ตอบโจทย์ประชาชน ฝากฝ่ายค้าน!! อภิปรายให้สร้างสรรค์ เพื่อส่งผลดี ‘ด้านการค้า-การลงทุน’

(8 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ว่า

ในวันที่ 12-13 กันยายน 2567 นี้จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

ลำดับแรกพรรครวมไทยสร้างชาติ เชื่อมั่นอย่างยิ่งในนโยบายของรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับในกระทรวงพลังงานภายใต้การกำกับของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นั้นนโยบายหลักในการ ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ โครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน ราคาก๊าซ และค่าไฟฟ้า ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้แถลงถึงความคืบหน้าเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลาไม่นานนับจากนี้ 

ลำดับต่อมาในส่วนของการอภิปรายการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ของคณะรัฐมนตรีนั้น เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกสภาผู้แทนราฎรในส่วนของฝ่ายค้านจะอภิปรายตรงข้อบังคับที่มีข้อเสนอแนะสำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ดังเช่นที่ได้อภิปรายในช่วงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ที่ไม่มีการประท้วงมากนัก

และตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการอภิปรายในครั้งนี้จะไม่ใช้เวทีของรัฐสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรี

หากการอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์แล้ว ตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการใช้กลไกของรัฐสภาเพื่อสร้างบรรยากาศการเมืองที่ดี จะส่งผลด้านดีในด้านอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน เป็นต้น

ท้ายที่สุดตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทุกกระทรวงโดยเฉพาะใน 2 กระทรวง ได้แก่กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม การแถลงนโยบายจะเป็นไปอย่างชัดเจนและสามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน

‘สำนักวิจัยซูเปอร์โพล’ เผย!! ประชาชนมั่นใจ ‘รัฐบาลแพทองธาร’ จะอยู่ครบเทอม พร้อมคาดหวัง!! การฟื้นฟูเศรษฐกิจ-แก้ปัญหาปากท้อง-ยาเสพติด-ดูแลสาธารณสุข

(8 ก.ย. 67)  สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง รัฐบาลใหม่ ครม.ใหม่ ในความเห็นประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 2,078 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 6 – 7 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา

เมื่อถามความเห็นของประชาชนต่อ รัฐบาลใหม่ คณะรัฐมนตรีใหม่ของนางสาว แพทองธาร ชินวัตร แบ่งออกตามกลุ่มคนเคยเลือกพรรคการเมือง พบว่า กลุ่มคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.2 เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 18.8 ไม่เห็นด้วย และเมื่อวิเคราะห์ความเห็นของกลุ่มคนเคยเลือกพรรคอื่นพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.6 ไม่เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 24.4 เห็นด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อนายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร ในด้านต่างๆ พบจุดแข็งของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เคยอยู่ในความนิยมของประชาชนมาช้านานอันดับแรกหรือร้อยละ 42.6 ได้แก่ เชื่อมั่นด้านสาธารณสุข ดูแลสุขภาพของประชาชน รองลงมาอันดับที่สอง หรือร้อยละ 33.7 ที่เกิดจากการรณรงค์จุดกระแสใหม่ของพรรคเพื่อไทย ได้แก่ เชื่อมั่นด้าน ซอฟต์พาวเวอร์ ฟื้นฟูการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและอื่น ๆ อันดับที่สาม หรือร้อยละ 33.2 ได้แก่ ด้าน เชื่อมั่นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ อันดับที่ สี่ หรือร้อยละ 25.3 ได้แก่ เชื่อมั่นด้าน การแก้ไขปัญหายาเสพติด และอันดับที่ห้า หรือร้อยละ 23.9 ได้แก่ เชื่อมั่นด้าน การแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ ตามลำดับ

ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.0 ค่อนข้างเชื่อมั่นถึงเชื่อมั่นมากที่สุดว่า รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่ครบเทอม ในขณะที่ร้อยละ 38.0 ไม่ค่อยเชื่อมั่นถึงไม่เชื่อมั่นเลย

รายงานของซูเปอร์โพลเกี่ยวกับความเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลใหม่และคณะรัฐมนตรีใหม่นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของมุมมองจากกลุ่มผู้เลือกพรรคเพื่อไทยเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เลือกพรรคอื่นๆ ความนิยมและความเชื่อมั่นในนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยที่ยังคงมีอยู่สะท้อนถึงความคาดหวังในหลายๆ ด้านที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลใหม่นี้ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่าความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อการอยู่ครบเทอมของรัฐบาลนี้มีมากกว่าความไม่เชื่อมั่น สิ่งนี้อาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายและการตัดสินใจของรัฐบาลในอนาคตเพื่อรักษาความนิยมและตอบสนองความคาดหวังของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง

รายงานของซูเปอร์โพล ยังระบุด้วยว่าผลสำรวจครั้งนี้สามารถช่วยให้นักการเมืองและนักวิเคราะห์นโยบายมองเห็นแนวโน้มและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ในหลายมิติ ได้แก่

1.ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลใหม่ ด้วยสัดส่วนของตัวอย่างที่ให้การสนับสนุนที่สูงจากกลุ่มที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทยและการมีสัดส่วนความเชื่อมั่นที่ค่อนข้างสูงว่ารัฐบาลจะอยู่ครบเทอม แสดงให้เห็นว่ามีฐานเสียงที่มั่นคงและความคาดหวังที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลนี้อยู่ในระดับสูง สิ่งนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลสามารถใช้เป็นกลไกในการผลักดันนโยบายหรือโครงการใหม่ๆ ได้

2. ด้านที่ประชาชนเชื่อมั่น การที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นในด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นหลัก นักการเมืองและรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายในสองด้านนี้เป็นพิเศษ การลงทุนในโครงการสาธารณสุขและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอาจช่วยรักษาความนิยมและสร้างความเชื่อมั่นได้

3. การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยความเชื่อมั่นที่ต่ำในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและปัญหาความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ แก๊งมิจฉาชีพ คอลเซ็นเตอร์ รัฐบาลใหม่อาจจำเป็นต้องพิจารณาเพิ่มความพยายามและทรัพยากรในด้านเหล่านี้ เพื่อตอบสนองและสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนให้มากขึ้น

4.ผลกระทบต่อการเมืองไทย ความแข็งแกร่งของฐานเสียงและความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลนี้อาจนำไปสู่ความมั่นคงในระยะสั้นถึงระยะกลาง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องระมัดระวังในการตอบสนองความคาดหวังของประชาชนในทุกกลุ่ม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและเพิ่มศักยภาพในการอยู่รอดตลอดเทอมการบริหาร

การตีความผลสำรวจทางการเมืองครั้งนี้จึงต้องพิจารณาทั้งความนิยมและจุดอ่อนเพื่อวางแผนกลยุทธ์ทางการเมืองและการบริหารที่เหมาะสม รวมทั้งต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นตามสถานการณ์ทางการเมืองที่รวดเร็วและไม่คาดคิดได้

‘ดร.อานนท์’ เย้ย!! ‘ด้อมส้ม’ เลือกคนโง่ ได้ ‘ผู้แทน’ ที่อ่านตัวเลขไม่เป็น ชี้!! คนที่เลือกมาโง่ยิ่งกว่า เป็นประชาชนชาวไทย ที่มีปัญหาด้านคุณภาพ

(7 ก.ย.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ... 

ผมรู้สึกว่า คุณภาพประชาชนชาวไทย มีปัญหาอย่างยิ่ง เพราะเลือกสส. พรรคประชาชนมามากที่สุด

แต่สส. พรรคประชาชน แค่อ่านตัวเลข ยังอ่านผิดอ่านถูก ไม่ว่าจะเป็นธิษะณา ชุณหะวัณ และ บุญเลิศ แสงพันธุ์ ถ้าดูคนไม่ออกเลือกคนอ่านตัวเลข อ่านหนังสือไม่แตกฉานขนาดนี้ แปลได้ชัดเจนว่า คนเลือกมา โง่ยิ่งกว่า สส.ที่พวกเขาเลือกมาเสียอีก

ทั้งธิษะณา ชุณหะวัณ และ บุญเลิศ แสงพันธุ์ จากพรรคส้ม อ่านตัวเลข ยังไม่แตกฉานทั้งคู่ จะตลกไปถึงไหน ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นะ ประชาชนชาวไทยเสียงข้างมาก เลือก สส. ไว้แสดงตลกให้ดู คลายเครียด

‘ปราชญ์ สามสี’ ฟาดใส่!! ฝ่ายค้าน กรณีอภิปรายเบี้ยเลี้ยงทหาร ในสภาผู้แทนราษฎร ชี้!! เป็นเรื่องเล็กภายในองค์กร ควรใช้เวลาพิจารณานโยบาย ที่กระทบต่อคนทั้งประเทศ

(7 ก.ย.67)  เพจเฟซบุ๊ก 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า...

อันนี้จริง....การนำเรื่องอาหารและเบี้ยเลี้ยงของทหารเกณฑ์มาอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเป็นการแสดงออกถึงความไร้ประสิทธิภาพอย่างร้ายแรงของการใช้เวลาในสภา การที่ผู้แทนเลือกใช้เวลามาพูดถึงปัญหาภายในกรมทหารที่ควรได้รับการแก้ไขในระดับองค์กรทหารเอง มันสะท้อนถึงการละเลยหน้าที่ที่แท้จริงของสภา ซึ่งควรจะเป็นเวทีสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและการพิจารณานโยบายที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ

นี่คือการกระทำที่แสดงถึงการใช้สภาอย่างเสียเปล่าและไม่เกิดประโยชน์ สภาไม่ใช่ที่สำหรับการมาวิพากษ์เรื่องเล็กน้อยหรือปัญหาภายในองค์กรเล็ก ๆ การนำประเด็นเช่นเรื่องอาหารและเบี้ยเลี้ยงของทหารเกณฑ์มาเป็นหัวข้ออภิปราย แทนที่จะพูดถึงนโยบายที่มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม มันทำให้สภากลายเป็นเวทีสำหรับปัญหาที่ไม่สมควรได้รับการอภิปรายในระดับชาติ

หากผู้แทนยังคงดึงประเด็นเล็กน้อยเช่นนี้มาถกเถียงในสภา นั่นไม่เพียงแต่เป็นการทำให้เวลาของสภาหมดเปลืองไปอย่างไม่คุ้มค่า แต่ยังเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบที่แท้จริง ซึ่งควรจะมุ่งเน้นไปที่การทำงานของรัฐบาล ความอ่อนแอในการจัดลำดับความสำคัญของผู้แทนเหล่านี้ จะเป็นบ่อนทำลายสภาและเสื่อมเสียต่อประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด

โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นดังนี้

- มันแสดงให้เห็นว่าผู้แทนพวกนี้ พุ่งเป้าดิสเครดิตหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างทหารเท่านั้น มันรับงานขององค์กรต่างประเทศมาเล่นงานเฉพาะหน่วยงานดูจากการกระทำหลาย ๆ ครั้งของพวกเขา ทำให้เราคิดแบบนี้ได้

จะอภิปรายเรื่องราคาถาดหลุมที่แพงเกินจริง ก็อภิปรายไป แล้วก็ไปตามจับตามเล่นงานถ้ามีการทุจริตเรื่องอาหารไม่ได้คุณภาพ ถ้ามีการทุจริตก็ไปควานหาคนทำผิดมาให้ได้แบบที่ฝ่ายค้านควรทำ

แต่การแตกประเด็นยิบย่อยเรื่องคุณภาพอาหาร ออกไปในโลกโซเชียลแบบนี้ ที่ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหนมันคือการดิสเครดิตเพราะไม่เคยจัดการกับคนทุจริตได้ อย่างโรงเรียนที่ทุจริตเรื่องค่าอาหารเด็กก็ยังตามจับคนทุจริตอย่างผอ.โรงเรียนได้

- เป้าหมายของมันก็คือ เปิดประเด็น ‘ทำลาย’ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ แล้ว ‘สื่อ’ จะนำไปขยายต่อเอง มันไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่านี้ เหมาะ หรือไม่เหมาะ ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง ไม่สน! เพราะเรื่องมันไปอยู่ในพื้นที่สื่อสามกีบหมดแล้ว พวกกองเชียร์สมองตื้น ๆ ก็พร้อมจะเชื่อและด่า สร้างเป็นกระแสต่อไป

- เอาจริงนะ ที่ทำไปนั่นน่ะ ก็แค่ไม่อยากถูกประชาชนมองว่า ทำงานไม่สมกับตำแหน่งที่เป็น เพราะไม่ยอมไปตรวจสอบรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องให้ต้องตรวจสอบเยอะแยะ แต่จะมานั่งตากแอร์เย็น ๆ ในสภาเฉย ๆ ก็กลัวถูกตำหนิจากประชาชน จึงหาเรื่องไร้สาระมาอภิปรายเพื่อจะบอกประชาชนว่า นี่ไงทำงานแล้วนะ

-สภาทุกวันนี้เหมือนโรงถ่ายละครกันไปทุกวันผมเลยไม่เห็นประโยชน์ที่จะดู

- มีอะไร ที่เกี่ยวกับ ปชช. บ้างหรือยัง สองวันกับเรื่องของทหารเนี่ย อะไรนักหนา

- ข้าว สส. มื้อละพัน..... ทำงานคุ้มค่าข้าวมาก

- เล่นเรื่องถาดหลุม บอกว่าแพงไป พอไปรู้ราคาต้นทุนจริง ก็วนไปเล่นว่าใช้ถาดใหญ่และดีขนาดนี้ทำไม พอพลาธิการทหารบกชี้แจง ก็ไปเล่นว่าอาหารไม่มีคุณภาพต่ออีก.....ฝ่ายค้านคุณภาพตรงไหนเนี่ย...!!!

นอกจากนี้ เพจ 'ปราชญ์ สามสี' ยังได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกว่า พรรคประชาชน (ปชน.) วิจารณ์กองทัพจัดซื้อถาดหลุมทหาร ราคาห้าร้อยทำเป็นบ่น แต่กลับขายเข็มหมุดปักอก ชิ้นละพัน ทำเงียบ สส.เล่นบท จเร เสียเวลาสภามาก ๆ

'สหายใหญ่' บนเก้าอี้เสนาบดีกลาโหม 'อดีต' บอก 'อนาคต' อะไรควรไม่ควรทำ

ถ้าจะเอ่ยนามอดีตนักศึกษา ปัญญาชนที่เข้าป่าจับปืน ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในห้วงปี 2519-2525 เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลภายใต้ธงทฤษฎีของ พคท.ในขณะนั้นว่า "อำนาจรัฐได้มาด้วยกระบอกปืน" แต่สุดท้ายต้องคืนรังกลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) และมีโอกาสเข้าสู่วงการการเมือง มีบทบาท มีชื่อเสียง...ก็ต้องบอกว่ามีหลายสิบหรือนับร้อย...

หาได้มีเฉพาะ ภูมิธรรม เวชยชัย 'บิ๊กอ้วน' หรือ 'สหายใหญ่' รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่กำลังเป็นตำบลกระสุนตกอยู่ในขณะนี้ไม่...

ขอเอ่ยชื่อ 'บิ๊กเนม' อดีตสหาย ที่ออกจากป่าเมื่อ 40-50 ปีก่อน สู่สภาหรือเป็นเสนาบดีพอเป็นตัวอย่างสักจำนวนหนึ่ง....

มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา, ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตรมต., พินิจ จารุสมบัติ อดีตสส./รมต., จาตุรนต์ ฉายแสง สส./อดีตรมต., นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรมต., ประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสว., อดิษร เพียงเกษ สส./อดีตรมต., ประพันธ์  คูณมี อดีตสว., นพ.เหวง จิราการ อดีตสส., ศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรองประธานสภาฯ, นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตสว./รมต. ฯลฯ

คนเหล่านี้ก็เหมือนกับนักศึกษา ประชาชนอีก 2-3,000 คนที่หนีกระเจิงหลังการล้อมปราบในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ไปร่วมกับ พคท. โดย หงา  คาราวาน, อ.ธีรยุทธ บุญมี, ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ฯลฯ ก็อยู่ในชะตากรรมนี้...ก่อนที่ทั้งหมดจะพบว่า พคท. ก็ไม่ใช่ทางออกของประเทศ...

การทำสงครามประชาชนระหว่าง พคท.กับ รัฐบาลนับแต่วันเสียงปืนแตก 7 ส.ค.2508 จนถึงวันที่นักศึกษาประชาชนถั่งโถมโหมแรงไฟ...ในห้วงเวลาดังกล่าว ปิดฉากลงด้วยต้นทุนค่าใช้จ่ายที่แสนแพง ทั้งชีวิตเลือดเนื้อของทั้งสองฝ่าย และความขัดแย้งแตกแยกของสังคมไทย...
 
โชคดีที่ประเทศไทยในห้วงเวลาดังกล่าวมี ในหลวง ร.9 ที่มีพระราชวิสัยทัศน์อันลุ่มลึกยาวไกลดังที่ได้พระราชทานให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีว่า...การที่พระองค์ทรงพระกรณียกิจทั้งปวงไม่ได้เป็นการต่อสู้กับ พคท. หากแต่สู้กับความยากจนของคนไทยทั้งหมด หากแก้ปัญหาได้คนไทยเหล่านั้นก็จะได้ประโยชน์ด้วย...

และปี 2523-2525 เรายังมีความโชคดีที่มาถูกที่ถูกเวลา คือ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ( และ 65/2525) ว่าด้วยการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ คนที่ 16 เป็นผู้ลงนาม...แม้เป็นเพียงคำสั่งสำนักนายกฯ แต่พลานุภาพมากล้น ช่วยหยุดความขัดแย้งและการหลั่งเลือดล้มตาย...

กรณีของ 'สหายใหญ่' ที่โดนอดีตทหารหาญบางส่วนต่อต้าน คงไม่ได้ต่อต้านไม่ให้เป็นรัฐมนตรี แต่ติดใจที่ทำไมต้องมานั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม แต่ 'สหายใหญ่' ก็พยายามชี้แจงแล้วทำนองว่า เหตุการณ์ในอดีตร่วม 50 ปีก็ให้มันผ่านพ้นไป วันนี้ตนเข้าใจและมั่นใจในการอยู่ร่วมกับกองทัพและช่วยกันพัฒนา...

วิเคราะห์และมองแบบไม่สลับซับซ้อน มองโลกในแง่ดี ก็ต้องเชื่อไว้ก่อนว่าสหายใหญ่คงรู้โจทย์ดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ นั่งกินกาแฟกับอดีตรมว.หลาโหม สุทิน คลังแสง สักสองถ้วยก็มองทะลุแล้ว...

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.คุณเปลว สีเงิน เจ้าสำนักไทยโพสต์ ก็เขียนบทความยาวเกี่ยวกับเรื่องบิ๊กอ๊วน...แต่บทสรุปอยู่ตรงชื่อเรื่องว่า 'เก้าอี้กห.นั่งได้ -แต่อย่าซน'

ทีมงานบิ๊กอ้วนและตัวบิ๊กอ้วน ควรหาอ่านเป็นเครื่องเตือนใจ...และถ้าเป็นไปได้ช่วยสำเนาไปให้คนชื่อ 'ทักษิณ' อ่านด้วย...เพราะจะว่าไปป๋าเปลวแกไม่ได้ระแวงคนชื่อภูมิธรรม แต่แกไม่ไว้ใจทักษิณ...

เดิมทีวันนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' ตั้งใจจะวิเคราะห์ประเด็นโผทหาร...เผือกร้อนในมือ 'บิ๊กอ้วน' แท้ ๆ แต่นำร่องซะยืดย้วย...ขอยกเรื่องโผทหารไปตอนหน้าล่ะกัน

‘รวมไทยสร้างชาติ’ จัดเสวนา ‘มายาธิปไตย 2475’ ณ ม.กรุงเทพธนบุรี แลกเปลี่ยนความรู้-มุมมองประวัติศาสตร์ 2475 ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67)  รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเปิดกิจกรรมเสวนา ‘มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น’ และรับชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ณ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 

โดยมี ผศ.ดร.เสงี่ยม บุษบาบาน รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ, ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ดร.ธนพันธุ์ พลูชอบ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ, ร.ต.อ.หญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ นายฤกษ์อารี นานา อดีต ผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ และนายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ อดีต ผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยนักศึกษา ประชาชนร่วมงานจำนวนมาก

กิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ทั้งจากมุมมองของนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้

นอกจากนี้ยังเป็นการร่วมไขความจริง ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 นั้น เป็นความหวังในการสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มองว่าเป็นเพียงภาพลวงตาหรือความฝันที่ไม่สามารถตอบโจทย์การเมืองการปกครองของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง

หวังว่าการเสวนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดี ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองและเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อประโยชน์ของสังคมและการเมืองของเราต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top