Tuesday, 10 September 2024
POLITICS

'อัครเดช' จี้!! ตำรวจเร่งกวาดล้างมาเฟีย 'เงินกู้-ยาเสพติด' บ้านโป่ง ลั่น!! หากปล่อยเรื้อรัง ไม่พ้น 'ลักทรัพย์-ชิงทรัพย์' ลุกลาม

(7 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเขตอำเภอบ้านโป่ง เพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในเรื่องอาชญากรรม ซึ่งทำให้ชาวบ้านหวาดผวาอย่างหนัก หลังจากเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา มีเพจดังในโซเชียลมีเดียได้ลงข่าวเจ้าหนี้ปล่อยเงินกู้นอกระบบได้ทําร้ายร่างกายลูกหนี้และเครือข่าย 

จากเหตุการณ์นี้ จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจ โดยเฉพาะท่านผู้บัญชาการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้ลงไปเร่งรัดจัดการคดีนี้ พร้อมกับเร่งปราบปรามการปล่อยเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาอาชญากรรมที่สร้างความหวาดกลัวให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จนเกิดเป็นข่าวดังในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชน ในเขตอําเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ว่า ขณะนี้เกิดปัญหายาเสพติดระบาดอย่างหนักในพื้นที่ จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจได้เร่งรัดปราบปราม เพราะต้องยอมรับว่า ในช่วงนี้ยาเสพหนักเพิ่มปริมาณขึ้นเยอะมาก จากเดิมที่เคยลงลงพื้นที่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยปรากฏว่าพี่น้องประชาชนเข้ามาร้องเรียนเรื่องยาเสพติดเลย แต่ช่วงนี้คงเยอะเป็นพิเศษจนชาวบ้านเริ่มทนไม่ไหว จึงได้เข้ามาร้องเรียนในขณะที่ลงพื้นที่

และแน่นอนว่า เมื่อมียาเสพติดระบาด ยังส่งผลให้มีปัญหาเรื่องการลักทรัพย์และชิงทรัพย์เพิ่มขึ้นด้วยเช่น ซึ่งเมื่อไม่กี่วันนี้ที่ผ่านมา เกิดเหตุกระชากกระเป๋า โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นใต้สะพานโคกหม้อ ถนนทรงพล เขตตําบลปากแรต อําเภอบ้านโป่ง และยังมีปัญหาการลักทรัพย์สินทางราชการโดยเฉพาะสายไฟฟ้าส่องสว่าง ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน แต่ทว่ายังไม่ได้รับการจัดการอย่างจริงจัง ดังนั้น จึงขอให้ทางผู้บัญชาการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ลงไปเร่งดําเนินการให้ด้วย

นอกจากนั้น ในเขตอําเภอบ้านโป่ง ยังมีการจราจรหนาแน่น และมีการปิดถนนบางช่วงเพื่อทําการก่อสร้าง จึงอยากจะขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจ เข้ามาช่วยอํานวยการจราจร เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่า เจ้าหน้าที่ตํารวจไม่ค่อยเพียงพอ จึงขอให้ทางผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดราชบุรีได้เร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ตํารวจจราจรที่มีจํากัด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้ด้วย

“ขณะเดียวกัน ยังได้รับการร้องเรียนจากนายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลห้วยกระบอก ตําบลกรับใหญ่ว่า มีไฟฟ้าตกในเขตเทศบาลตําบลห้วยกระบอกบ่อยครั้ง ขอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้เร่งรัดดําเนินการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตกในพื้นที่ให้ด้วย” นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

‘หมออ๋อง’ พร้อมรักษามารยาท ยุติหน้าที่บนบัลลังก์ หากคำตัดสินคดี ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ ออกมาเป็นลบ

(7 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล บ่ายวันนี้ว่า ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ อยากเห็นสภาฯ เข้มเเข็ง และไม่อยากเห็นสภานิติบัญญัติถูกแทรกแซงจากองค์กรอื่น

หากผลออกมาเป็นคุณ ก็จะยินดีมาก ไม่ใช่เพียงกับพรรคก้าวไกลอย่างเดียว แต่รวมถึงสภาฯ ด้วยที่จะดำเนินการกันต่อไปได้ และมองว่าการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะเป็นบรรทัดฐานว่าตกลงแล้วสิทธิหรืออำนาจของผู้แทนราษฎรในการเสนอกฎหมายนั้น จะมีใครมายับยั้งหรือบั่นทอนอำนาจนี้ได้หรือไม่

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าเนื้อหาคำวินิจฉัยนั้นสำคัญมาก ว่าการอธิบายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขั้นตอนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือสิทธิของสภาฯ นั้นเป็นสิ่งที่ตนรอฟังอยู่ว่าคำตัดสินนั้นจะเป็นคุณหรือโทษ

เมื่อถามว่าการอ่านคำวินิจฉัยศาลนั้น ตรงกับช่วงเวลาที่นายปดิพัทธ์ นั่งเป็นประธานการประชุมในเวลา 15.00 น. หากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นลบจะทำอย่างไร นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ไม่มีผลกระทบใดๆ กับการทำงาน

หากคำตัดสินออกมาไม่เป็นคุณ และมีการตัดสิทธิ์จริง ตนต้องรักษามารยาท ยุติปฏิบัติหน้าที่บนบัลลังก์ แต่หน้าที่ของนักการเมืองของตนยังคงอยู่

‘เพจก้าวไกล’ เปิดภาพ 'ก้าวไกลในเลนส์กล้อง' ประมวลรูปที่คุณอาจไม่เคยเห็น ในระยะเวลาทำงาน 4 ปี

(7 ส.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘พรรคก้าวไกล - Move Forward Party’ โพสต์ภาพ พร้อมเนื้อหาในหัวข้อ ‘ก้าวไกลในเลนส์กล้อง : ประมวลรูปที่คุณอาจไม่เคยเห็น จากช่างภาพผู้ติดตามการทำงานของพรรค’ โดยระบุว่า...

4 ปีของพรรคก้าวไกล เป็นเรื่องราวของผู้คนและการเดินทางที่ไม่รู้จบ และผู้ที่จะเก็บบันทึกเส้นทางของพวกเขาได้เป็นชิ้นเป็นอันที่สุด ก็คือบรรดาช่างภาพที่ติดตามการทำงานของพรรคก้าวไกล เราติดต่อไปยังช่างภาพเหล่านั้นเพื่อขอภาพถ่ายที่พวกเขาประทับใจ ขบขัน หรือเป็นแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งแกนนำ ทีมงาน สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนจากทั่วสารทิศ

ขอเชิญชม ‘ก้าวไกล’ จากวิวไฟน์เดอร์ของคนทำงานตัวจริงและเรื่องราวที่คุณอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน

‘ช่อ พรรณิการ์’ ชี้!! 18 ทูตต่างชาติ รู้มารยาททางการทูตดี ฟาก ‘รัชดา’ โต้กลับ รู้มารยาท แต่ก็ต้องใช้อยู่บนพื้นฐานความเข้าใจบริบททางสังคมนั้นๆ ด้วย

(6 ส.ค. 67) จากรายการ ‘กรรมกรข่าว คุยนอกจอ’ ดำเนินรายการโดย ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ ได้สัมภาษณ์ ‘ช่อ-พรรณิการ์ วานิช’ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และอดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และต่อสายสนทนาสดกับ ‘รัชดา ธนาดิเรก’ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ถึงกรณี ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล มีภาพถ่ายร่วมกับทูตต่างประเทศ และมีข้อมูลว่าจะเชิญทูตจำนวน 18 ประเทศมาร่วมฟังการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรค 

โดยในบางช่วงบางตอน ช่อ-พรรณิการ์ ได้กล่าวถึงประเด็นการมีมารยาททางการทูตว่า “ในเรื่องความรู้อันเกี่ยวกับมารยาททางการทูต ดิฉันเชื่อว่าบรรดาทูต 18 ประเทศมีไม่น้อยกว่าคุณรัชดาหรอก และมีมากกว่าดิฉันแน่นอน…

“ดิฉันก็ไม่คิดว่าดิฉันมีความรู้เรื่องมารยาท หรือวิธีการอันนุ่มนวลในการดําเนินการระหว่างประเทศเทียบเท่ากับทูต 18 ประเทศนี้ เพราะนั่นเป็นอาชีพของเขา ไม่ใช่อาชีพของดิฉัน เพราะฉะนั้นดิฉันว่าเรื่องมารยาท ทุกคนโดยเฉพาะคนที่เขาเป็นเอกอัครราชทูตของประเทศ ที่เป็นประเทศชนชั้นนําระดับโลกเขาทราบ…

“คุณสรยุทธ คุณไบร์ท เป็นนักข่าวก็ย่อมรู้เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพนักข่าว ดิฉันเป็นนักการเมืองก็รู้เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพของนักการเมือง นักการทูตย่อมรู้จรรยาบรรณวิชาชีพของนักการทูต อนุสัญญากรุงเวียนนาทุกคนก็ต้องอ่านว่าหน้าที่ทางการทูตมันมีอะไรบ้าง”

ต่อมาทางด้าน ‘รัชดา ธนาดิเรก’ ก็ได้กล่าวตอบกลับระหว่างสนทนากันว่า “ประเด็นที่คุณช่อบอกว่าทูตเจ้าหน้าที่ทูต 18 ประเทศ เขารู้ดีอยู่แล้วว่ามารยาททางการทูตคืออะไร ความรู้ที่ใช้บนอคติ ใช้บนฐานความคิดของเขาเพียงด้านเดียว ไม่เอามาประยุกต์ใช้กับบริบทสังคมไทย วัฒนธรรมไทย กฎหมายไทย อันนี้ดิฉันก็ไม่เชื่อว่าความรู้ในเรื่องมารยาทจะสามารถนํามาใช้ได้อย่างถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ…

ประเด็นมันอยู่ที่ว่าวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญกําลังวินิจฉัยว่าพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล ที่ศาลท่านเคยวินิจฉัยไปแล้วว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทําลายสถาบัน ซึ่งอันนั้นคือสถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตย ศาลกําลังจะวินิจฉัยในทางใดทางหนึ่ง ไม่มีใครรู้ แต่ท่านเคยวินิจฉัยไปแล้วว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทําลาย ดังนั้นจึงจําเป็นที่จะต้องมีการวินิจฉัย ทําไมต่างชาติไม่เข้าใจในเรื่องตรงนี้ พฤติกรรมที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมันเซาะกร่อนบ่อนทําลายเสาหลักของประชาธิปไตย…

“แล้ววันนี้ศาลรัฐธรรมนูญคืออํานาจตุลาการเป็นอํานาจอธิปไตย เรากําลังจะใช้ คุณมายุ่งอะไร ดิฉันย้ำไม่ใช่ปฏิเสธสิทธิในการเห็นต่างของชาติอื่น ๆ เห็นต่างได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องมาแสดงออกในสถานการณ์วันนี้ แบบนี้ โพสต์เช่นนี้ อันนี้แย่หนักเข้าไปใหญ่ คุณจะเอาข้อมูลที่คุณได้รับทราบจากการพูดคุยกับนักการเมือง และไปประเมินสถานการณ์กับรัฐบาลของคุณ ทําได้ เป็นสิ่งที่ต้องทําอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่มาโพสต์ว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญกําลังจะวินิจฉัย ใช้อํานาจศาลตัดสินคดีที่มันเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นวิกฤติ อันนี้มันไม่ใช่เรื่องจะต้องทํา”

'ดร.หิมาลัย' เปิดงาน 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' สะท้อนอีกแง่มุมประวัติศาสตร์ 2475 ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

(6 ส.ค. 67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นประธานการเปิดกิจกรรมเสวนา 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' และรับชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ณ ห้องประชุมชั้น 12 อาคารศรีศรัทธา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยมีตัวแทนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ อาทิ ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง อัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ / นายภัทรพล แก้วสกุณี อดีตผู้สมัคร สส.เขต 6 จ.ปทุมธานี พรรครวมไทยสร้างชาติ / น.ส.พัชรนันท์ โกศลสมบัตินนท์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม.พรรครวมไทยสร้างชาติ / นาย อิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม.พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และนักศึกษาประชาชนร่วมงานจำนวนมาก

โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ได้กล่าวเปิดงานว่า วันนี้เราจะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ทั้งจากมุมมองของนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้

"เรามาร่วมไขความจริงกันอีกครั้งว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 นั้น เป็นความหวังในการสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มองว่าเป็นเพียงภาพลวงตาหรือความฝันที่ไม่สามารถตอบโจทย์การเมืองการปกครองของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง...

"หวังว่าการเสวนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดี ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองและเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อประโยชน์ของสังคมและการเมืองของเราต่อไป"

สำหรับการเสวนาในหัวข้อ 'มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น' นั้นได้มีวิทยากรร่วมในการบรรยายจำนวน 5 ท่าน ซึ่งล้วนแต่แสดงความคิดเห็นในหลากหลายแง่มุม ได้แก่...

นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ แอนิเมชัน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ได้พูดถึงวัตถุประสงค์ของการดำเนินการสร้างภาพยนตร์ดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันด้านประวัติศาสตร์ และยังแก้ไขความเข้าใจผิดให้กับบุคคลในประวัติศาสตร์ รวมถึงความพยายามที่จะถ่ายทอดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2475 ที่ผ่านการศึกษาและค้นคว้าแจกแหล่งข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือและบิดเบือน 

ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้กล่าวถึง ความสำคัญในการจัดการกับประวัติศาสตร์ที่จะทำให้ชี้นำอนาคตของสังคมได้ จึงมีการพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ผ่านการให้ความจริงเพียงครึ่งเดียวในฐานะประชาชนจะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน และในอีกด้านหนึ่งบรรดาผู้ก่อการต่างยอมรับความผิดพลาดของตนเองที่ก่อในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นสามารถนำมาเป็นบทเรียนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความแตกแยก แม้จะมีอุดมการณ์และความเห็นต่างทางการเมืองของแต่ละกลุ่มบุคคลก็ตาม

ด้านนายจิตรากร ตันโห นิสิตปริญญาโท สาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อสังเกตถึงการพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองของรัชกาลที่ 7 ที่พยายามประนีประนอมกับทุกกลุ่มอำนาจในสังคม และไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรแต่อย่างใด รวมการตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใด ในหลวงรัชกาลที่ 7 จึงได้ทรงร่างรัฐธรรมนูญไว้ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติในปี 2475 อีกด้วย

ขณะที่ นางสาวปัณฑา สิริกุล ผู้เขียนบทภาพยนตร์แอนิเมชัน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ได้เล่าถึงเส้นเรื่องของประวัติศาสตร์และตั้งข้อสังเกตถึงบางช่วงบางตอนของประวัติศาสตร์ที่ไม่ปรากฏในตำราและหนังสือใด ๆ โดยเฉพาะการฉ้อโกง และดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างทางการเมืองของคณะราษฎร ประกอบกับการนำข้อมูลของศาลพิเศษของหลวงพิบูลสงครามมาเป็นข้อมูลประกอบในหนังสือซึ่งขาดความน่าเชื่อถือ เพราะจากการสืบค้นและตรวจสอบข้อมูลพบว่า การให้การภายในศาลพิเศษนั้น ล้วนเต็มไปด้วยคำให้การเท็จเป็นจำนวนมาก 

ด้าน นายฤกษ์อารี นานา อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตนักเรียนไทยในฝรั่งเศส ได้ให้ข้อสังเกตถึงการปฏิวัติของประเทศฝรั่งเศสหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ได้เริ่มต้นจากที่ประชาชนต้องการล้มล้างระบอบกษัตริย์ แต่มาจากการเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาความอดอยาก เรียกร้องให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่หลายปัจจัยนำไปสู่การล้มล้างระบอบกษัตริย์ที่สุด และต้องใช้ระยะเวลานานนับร้อยปีหลังการปฏิวัติประเทศถึงเป็นรูปเป็นร่างอย่างทุกวันนี้

‘นายกฯ’ ลั่น!! ไม่มีใครมีสิทธิไปก้าวก่ายตุลาการ ชี้!! ทุกคนและตนเองก็อยู่ใต้ความยุติธรรมเดียวกัน

(6 ส.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล หารือกับทูต 18 ประเทศ ถึงคดียุบพรรค จนหลายฝ่ายกังวลว่าจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่ ว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่าตนไม่ทราบว่ามีการคุยกันในเรื่องนี้หรือไม่ เพราะมีการพบกันแต่ไม่ทราบเนื้อหาว่ามีการพูดคุยอะไรกันบ้าง แต่กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ส่วนตัวคิดว่าทั้ง 18 ประเทศ ระบบยุติธรรมและระบบบริหารแยกกันชัดเจน ฝ่ายบริหารไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายกับกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว และกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยก็เป็นกลางและเป็นสากล ได้รับการยอมรับจากทุก ๆ ฝ่ายอยู่แล้ว

“ผมคงพูดแทนท่านอื่นไม่ได้ แต่ส่วนตัวของผมมีความเคารพกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ซึ่งผู้สื่อข่าวทุกคนก็คงทราบ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของผมเอง ผมเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าหากมีประเด็นหรือมีผู้ร้องเรียน ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องแจ้งไปที่ระบบยุติธรรมและคอยการตัดสิน อย่างของผมเองก็ได้แจ้งไปแล้วว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ยื่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็คอยวันตัดสินคือวันที่ 14 ส.ค. และผมก็ไม่ได้มีการไปพูดคุยอะไรกับใครทั้งสิ้น และประเทศของเราก็เป็นเอกราช แต่ก็ต้องให้เกียรติทางนั้นเขาเหมือนกัน ผมไม่ทราบว่ารายละเอียดการพูดคุยสนทนามีเรื่องอะไรบ้าง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะเดียวกันก็มีความกังวลเนื้อหาในหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศที่ชี้แจงต่อองค์การสหประชาชาติ (UN) เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรงเกี่ยวกับคดียุบพรรคก้าวไกล นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องเรียนอย่างนี้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกันในเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศก็ต้องมีการชี้แจงไปยัง UN ส่วนของการแปลก็คงต้องขอให้กระทรวงการต่างประเทศมาชี้แจงดีกว่าว่าแปลไปว่าอะไร แต่จุดยืนของเรา เราไม่ก้าวก่ายระบบตุลาการอยู่แล้ว และเราก็จะไม่ยอมให้ใครมาก้าวก่ายระบบตุลาการของเรา และเชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศจะมีการแถลงชี้แจงในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้

เมื่อถามว่าหลายฝ่ายเป็นห่วงสถานการณ์ โดยเฉพาะในวันที่ 7 ส.ค. ที่จะมีการตัดสินคดีของพรรคก้าวไกล ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนตนไม่ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคง และมั่นใจว่าทุกคนตั้งอยู่บนความสงบและยอมรับคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว และความจริงแล้วเราก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

‘อนุทิน’ ไม่ขอแสดงความคิดเห็น คดี ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ ลั่น!! ไม่ควรก้าวล่วงศาล เชื่อ!! ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

(6 ส.ค. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเดือนสิงหาคม มองเรื่องนี้อย่างไรเพราะมีทั้งคดียุบพรรคก้าวไกลและคดีของนายกฯ ว่า เรื่องที่เกี่ยวกับศาล คำพิพากษา เราต้องไม่ให้ความเห็นอะไรเลย เพราะพูดไปพูดมาเดี๋ยวจะไปก้าวล่วง อันนี้วุ่นเลย ละเมิดอำนาจของศาล มันไม่ได้ 

เมื่อถามว่าในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความเป็นห่วงที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ได้เชิญทูต 18 ประเทศมาร่วมสังเกตการณ์ จะเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ โดยนายอนุทินร้อง “อู๊ยย อย่าไปถามอย่างนั้น ทูตเชิญท่านมั้ง ไม่ใช่ท่านเชิญทูต”

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่านายพิธาได้เชิญทูตมาจับตาคดียุบพรรค นายอนุทินกล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ์ ถ้ามาได้ เหมือนสมัยก่อนที่มีการเชิญทูต มาที่สถานีตำรวจเพื่อสังเกตการณ์ ตนจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็มีทูตไป  ตนว่าดีเสียอีก จะได้เกิดความมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอน มีความยุติธรรม 

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ จะทำให้ถูกมองว่าต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “แหม แค่คนมาจ้องแค่นี้ แล้วบอกว่าแทรกแซง ก็คงไม่ใช่”

ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าเดี๋ยวจะเหมือนสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง นายอนุทินกล่าวว่า “จำไม่ได้ เกิดไม่ทัน”

ส่วนกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาระบุว่าพรรคร่วมรัฐบาลมีความพยายามจะดึง สส.พรรคก้าวไกลไปร่วมพรรค นายอนุทินกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่พรรคตน ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย”

'รัดเกล้า' แนะ!! 'ปิยบุตร' ลดความหมกมุ่น-จับผิด 'ลุงตู่' พูดคุย 'นายกฯ-รทสช.' ชี้!! ผู้ใหญ่เขาคุยกันเรื่องประเทศชาติ ไม่ว่างฝักใฝ่ในพรรคการเมือง

(6 ส.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

#หมกมุ่น #ฝักใฝ่ในพรรคการเมือง

จากกรณีที่ คุณ #ปิยบุตรแสงกนกกุล ออกมาแสดงความเห็น กรณีการไปร่วมงานศพคุณแม่ของ ท่านนายกเศรษฐา ทวีสิน โดยท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี ซึ่งในระหว่างการเข้าร่วมพิธีนั้น ผู้นำทั้งสองท่านมีพูดคุยทักทายกัน และท่านประยุทธ์เองก็ได้ทักทายหลายคนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพราะแต่เดิมเคยสังกัดอยู่ในพรรคดังกล่าวจึงมีความคุ้นเคยกันดี รวมถึงมีการบอกให้คนใน รทสช. ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลว่าให้ช่วยนายกฯ อย่างตั้งใจ เนเน่ขอตอบกลับดังนี้...

1. ตาม #มารยาท ในสังคม การเจอคนที่รู้จักกัน การทักทายกัน ถ้าไม่คุยอะไรกันเลยสิแปลก ซึ่งโดยปกติแล้ว สิ่งที่ผู้ใหญ่ของบ้าน ของเมืองจะคุยกัน ก็ต้องเป็นเรื่องสารทุกข์สุกดิบของประเทศ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร...ถ้าจะมีอะไรที่แปลก ก็คงที่คุณปิยบุตรตีความว่าการทักทายเช่นนี้คือการ "ฝักใฝ่ในพรรคการเมือง" นั่นแหละค่ะที่ #แปลก

2. คล้าย ๆ ข้อแรก...ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านประยุทธ์เคยเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งแม้ว่าตอนนี้ #ท่านไม่ใช่สมาชิกแล้ว ท่านไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเลยตั้งแต่ท่านเป็นองคมนตรี การทักทายกันและบอกให้ รทสช. ช่วยท่านนายกทำงาน ก็ไม่ได้แปลกอะไร และก็เป็นกลางทางการเมืองด้วยค่ะ จริง ๆ แล้ว ระหว่างเดิน ท่านก็เจอคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็น รทสช. ท่านก็พูดเหมือนกัน นัยคือฝากฝังให้ทุกคนดูแลประเทศด้วยบทบาทหน้าที่ของตัวเอง สิ่งนี้ก็ไม่แปลกอะไรนะคะ...ถ้าจะมีอะไรที่แปลก ก็คงที่คุณปิยบุตรตีความว่าการทักทายเช่นนี้คือการ "ฝักใฝ่ในพรรคการเมือง" นั่นแหละค่ะที่ #แปลก

3. ท่านนายกเศรษฐาเพิ่งสูญเสียมารดาไป ซึ่งในระหว่างห้วงเวลาของการสูญเสียนี้ ท่านยังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีให้กับคนไทยอย่างเข้มแข็ง การที่คนระดับองคมนตรีจะร่วมไว้อาลัย ร่วมให้กำลังใจ เป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็น #ไมตรีจิต ที่สวยงามที่สุด ไม่ได้แปลกอะไรเลย...ซึ่งจริงๆ ในระบอบประชาธิปไตยที่เราอยู่นี้ การมีภราดรภาพต่อกัน การเห็นความเป็นพี่น้องกันสำคัญเหนือความแตกต่างทางการเมืองเป็นสิ่งที่ควรจะมี ตัวเนเน่เองก็อยากเห็นคุณปิยบุตรแสดงถึงวุฒิภาวะและเป็นแบบอย่างของการเมืองสร้างสรรค์บ้างนะคะ... คุณใช้โอกาสนี้ในการตีความทางการเมือง มันเหมาะสมแล้วเหรอคะ?

ที่แปลกใจคือ คนที่มีคนจำนวนหนึ่งนับถือเป็น ‘อาจารย์’ อย่างคุณปิยบุตร กลับมี #ตรรกะวิบัติ แยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือกาลเทศะ อะไรควรไม่ควรทำค่ะ ก่อนหน้านี้เนเน่ก็มองว่าคุณเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง...วันนี้ ทั้งแปลกใจและผิดหวังจริง ๆ ค่ะ

...แต่เอาจริง ๆ พอเห็นอย่างนี้แล้วก็ไม่แปลกใจที่พรรคที่คุณปิยบุตรคอยเห็นด้วยเออออห่อหมกมีตรรกะผิดเพี้ยนเหมือนกัน ที่ผ่านมา ‘สนับสนุนคนฝ่าฝืนกฎหมาย ม.112’ แต่แล้วก็ออกมาระดมกระแสว่า ‘กฎหมายสิผิด ศาลสิผิด คนทำผิดคือคนถูกรังแก’

สุดท้ายนี้ การที่คุณมานั่งจับผิดผู้ใหญ่ทั้ง 2 ท่าน มานั่งอ้างรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 12 ซะยืดยาว คุณทำเพื่ออะไร หากเป็นห่วงท่านประยุทธ์ เกรงว่าท่านจะทำผิดกฎหมาย ก็ขอขอบคุณในความหวังดี แต่คุณเอาเวลาไปให้กำลังใจ ‘พรรคการเมือง’ ที่คุณ ‘ฝักใฝ่’ ที่ตอนนี้อนาคตแขวนอยู่บนเส้นด้าย...จะดีกว่าไหมคะ?

หมายเหตุ: เป็นความเห็นส่วนตัวของเนเน่ไม่เกี่ยวข้องกับ คณะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติหรือคณะโฆษกรัฐบาลแต่อย่างใด 

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ขอทุกฝ่าย 'หยุดชี้นำ-กดดันศาล' ปมยุบก้าวไกล ลั่น!! ต้องเคารพต่อคำพิพากษาของศาล เพื่อให้สังคมเดินหน้าไปได้

(6 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีวันนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ของพรรคก้าวไกล ว่า...

สำหรับกรณีการอ่านคำพิพากษาในคดียุบพรรคก้าวไกลนั้นตนขอเรียกร้องต่อทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง บุคคล และองค์กรต่าง ๆ ให้ทุกฝ่ายหยุดให้ความเห็นในการชี้นำ หรือกดดันต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากในการพิจารณาตัดสินคดีในศาลล้วนเป็นไปตามข้อกฎหมาย ประกอบกับพยานหลักฐาน การใช้ดุลยพินิจของศาลล้วนไม่เกินกว่าขอบเขตกฎหมาย การกดดัน หรือชี้นำศาลนั้น มีแต่จะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมขึ้น 

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า ไม่ว่าคำพิพากษาจะเป็นเช่นใด ตนขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลในทุกกรณีโดยไม่มีเงื่อนไขเพราะเมื่อมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นคำตัดสินของศาลย่อมชี้ขาด และระงับข้อพิพาทดังกล่าว กรณีการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน 

"หากทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลแล้ว เชื่อว่าสังคมไทยจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้" นายอัครเดช กล่าว

‘สว.พันธุ์ใหม่’ ยุติล่าชื่อค้าน ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ เหตุ!! ไม่น่ามีใครเห็นด้วย ขอปล่อยตามกระบวนการ

(6 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. เปิดเผยว่า กลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ จะไม่ล่ารายชื่อร่างแถลงการณ์ แสดงจุดยืนและความเห็นต่อกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย คดียุบพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในวันที่ 7 สิงหาคมแล้ว เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า หากทำวันนี้ (6 ส.ค.) คงไม่ทันเวลา เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย วันพรุ่งนี้ (7 ส.ค.) แล้ว

น.ส.นันทนา กล่าวว่า อีกทั้งเดิมที่จะมีการหารือ ในที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมหลังแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด และศาลปกครอง แต่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเสียก่อน จึงไม่สามารถหยิบยกขึ้นหารือกับที่ประชุมได้

น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า เมื่อดูบรรยากาศแล้ว ก็คงไม่มีใครเห็นด้วย จึงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ และเห็นว่านานาประเทศก็ออกมาพูดแสดงความเห็นเรื่องนี้แล้ว นอกจากนี้ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ใช่หน้าที่ของ สว. ตนจึงคิดว่าการเป็น สว.ทำอะไรได้บ้าง

มือเศรษฐกิจรุ่นใหม่ ดีกรี วิศวะ-เศรษฐศาสตร์-บริหาร อ๊อกซฟอร์ด

นาทีนี้ สื่อดังหลายสำนักตีข่าวไปในทางเดียวกันว่า คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ทำหนังสือถึงนายกฯ แสดงเจตจำนงว่า สำหรับโควตารัฐมนตรีของพรรค รทสช.ที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่งนั้น หากมีการปรับ ครม.พรรคขอเสนอชื่อของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า คุณขิงได้ทำผลงานในการเลือกตั้ง และงานสภาฯ ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด 

ถ้าข่าวนี้เป็นจริง ถือว่ารัฐบาลจะได้ รัฐมนตรี ที่เป็นคนรุ่นใหม่และมีคุณภาพคนหนึ่งมาร่วมทำงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมากเลยทีเดียว

สำหรับ 'ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' นักการเมืองหนุ่มไฟแรงวัยแค่ 38 ปี ตำแหน่งปัจจุบันเป็นเลขาธิการพรรค 'รวมไทยสร้างชาติ' จนถูกเรียกติดปากว่า 'เลขาขิง' มีดีกรีเป็นหนุ่มนักเรียนนอก จบปริญญาตรี ควบปริญญาโท ปริญญาตรี ควบปริญญาโทใน 2 สาขา EEM (Engineering, Economics and Management)จาก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด (University of Oxford) ประเทศอังกฤษ ซึ่งมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก ตามการจัดอันดับปีล่าสุด 2024 ของ Times Higher Education (THE) World University Ranking

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงเส้นทางการเมืองของ 'เอกนัฏ' จะพบว่า เจ้าตัวเป็นคนที่ชอบติดตามการเมือง มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักการเมืองตั้งแต่เด็กชั้นประถม พูดง่าย ๆ คือ หากเปรียบชีวิตการเมือง ก็เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในสายเลือดไปแล้ว เพราะตอนเป็นเด็ก เจ้าตัวชอบไปยืนเกาะข้างเวทีปราศรัย ชอบคุยแต่เรื่องการเมืองกับแม่ และนั่นจึงเป็นเหตุผลตัดสินใจไปศึกษาต่อที่ 'อ๊อกซฟอร์ด' ประเทศอังกฤษ เพราะเป็นสถาบันที่ผลิตนักการเมืองมาเยอะ 

หลักจากเรียนจบ 'เอกนัฏ' เข้ามาสู่เส้นทางการเมืองเต็มตัว จากคำชักชวน ของ 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปรียบเป็นรุ่นพี่ที่จบจากสถาบันเดียวกัน (อ๊อกซฟอร์ด) ชวนให้มาช่วยงานที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลขณะนั้น และเข้าไปช่วยงานรัฐบาลในตำแหน่ง เลขานุการส่วนตัวของ 'สุเทพ เทือกสุบรรณ' รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง

เอกนัฏ เล่าว่า สมัยที่เข้าไปช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์ ทำทุกหน้าที่ ประสานงานทั้งคนในพรรค ทั้งคนในรัฐบาล และงานความมั่นคง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการเมือง กระทั่งเมื่อปี 2554 ลงสมัครรับเลือกตั้ง และชนะการเลือกตั้ง มีโอกาสได้เป็น สส.กทม. เขตทวีวัฒนา เมื่อตอนอายุ 25 ปี ถือว่าเป็น สส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในสภาขณะนั้น 

สำหรับการปักธงการเมืองไปกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น เพราะเขามองว่าพรรคนี้ มุ่งมั่นที่จะให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ เช่น ตนเองได้มาเป็นเลขาธิการพรรค ดังนั้นจะพิสูจน์ฝีมือทำให้ได้ เปิดพื้นที่ให้กับทุกคน ไม่แบ่งเพศ ไม่แบ่งรุ่น เอาคนที่ประสงค์ดีมาทำงาน มองการเมืองคือการแข่งขัน เพื่อเอาชนะใจของประชาชน แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตต้องสู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง  

เอกนัฏ เล่าอีกว่า ที่มาที่ไปของพรรค 'รวมไทยสร้างชาติ' เกิดจากการรวมกลุ่มของผู้ที่มีอุดมการณ์เดียวกันต้องการให้มีพรรคการเมือง มีการเปลี่ยนแปลง ใกล้ชิดประชาชน มีความยืดหยุ่นตอบสนองความต้องการประชาชน เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ยึดติดกับความแย้ง ในอดีต ไม่เอาความขัดแย้งมาเป็นอุปสรรคในการทำงาน จึงเป็นที่มาในการตั้งพรรค 

ส่วนชื่อ 'รวมไทยสร้างชาติ' เกิดจาก 'นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' หัวหน้าพรรค เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่เคยได้ยินประโยคนี้บ่อย ๆ และคำว่า 'รวมไทยสร้างชาติ' มีทั้งความหมายและฟังแล้วติดหู จึงนำมาตั้งเป็นชื่อพรรค    

เมื่อพูดถึง 'นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' ก็อดไม่ได้ที่ต้องขยายความช่วงหนึ่งของ รทสช. ที่มีกระแสข่าวว่าเกิดปัญหาภายในพรรค ซึ่งเรื่องนี้ เอกนัฏ ย้ำชัดอีกรอบ ว่า...

"สําหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ ท่านหัวหน้าพรรคพีระพันธุ์กับผมยืนยันมาตลอดว่า คนสําคัญที่สุด ก็คือ โหวตเตอร์ของพรรค ไม่มีใครสำคัญกว่าประชาชนอีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีกรณีที่พยายามสั่นสะเทือนความมั่นคงของพรรค โดยเอาประเด็นมาโยง เราก็ต้องเรียนตรง ๆ ว่ามันไม่มีอะไรเชื่อมมาถึงปัญหาในพรรคเลย เพราะพรรคก็ต้องเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังดีเช่นเดิม โทรหากันเช่นเดิม...

"...ฉะนั้นกับกระแสที่เกิดขึ้น ผมจึงมองว่าไร้สาระมาก และจริง ๆ แล้ว ตัวผมเองก็เป็นแฟนคลับส่วนตัวของท่านด้วย แต่ก็ดันมีการจับแพะชนแกะกันเก่ง ถึงขนาดที่ว่า ผมไปนั่งคุยกับท่านหัวหน้าพีระพันธุ์ ด้วยระยะเวลาประมาณชั่วโมงนึง ก็เสี้ยมกันออกมาว่า หัวหน้ากับผมแตกกัน มันไร้สาระมาก ... ถามหน่อยว่าผมไปที่ทําเนียบ ต้องพูดคุยข้อราชการกับท่านหัวหน้า จะให้ผมคุยกี่นาที ถึงจะไม่ประเด็นหรือไม่เกิดสัญญาณความขัดแย้ง เพราะในความเป็นจริง เราคุยกันตลอดครับเราคุยกันตลอดไม่ใช่แค่ที่ทําเนียบ ผมกับท่านมีการโทรศัพท์ปรึกษากันแทบทั้งวัน เพื่อตกผลึกประเด็นต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว"

เอกนัฏ กล่าวอีกว่า "ท่านหัวหน้ากับผมร่วมกันสร้างรวมไทยสร้างชาติมากันสองคนตั้งแต่ไม่มีอะไร แล้วผมเองก็เป็นแฟนคลับส่วนตัวของท่านด้วย ฉะนั้นเมื่อช่วงแรกที่ผมพูดตลอดเหมือนเสื่อผืนหมอนไป วันนั้นก็มีกันอยู่สองคน แล้วเมื่อมีคนเห็นความตั้งใจของเรา ก็มาร่วมงานอยู่เป็นจํานวนมาก จนเราสร้างระบบรากฐานให้พรรคได้อย่างมั่นคงถึงตอนนี้...

"หัวหน้ากับผมมีความตั้งใจมีความแน่วแน่ที่จะไม่ทําให้ประชาชนต้องผิดหวัง โดยการทำงานของเราสองคน เป็นการทำงานแบบแบ่งหน้าที่กัน ท่านหัวหน้าซึ่งเป็นผู้นํา ก็ต้องสร้างกระแสให้กับพรรค สร้างความเชื่อมั่นให้กับพรรค ส่วนผมก็เป็นแม่บ้านคอยเก็บกวาด คอยดูแลเอาใจใส่ สส. และเรื่องของประเด็นภายในต่าง ๆ เราแบ่งหน้าที่กันตามที่ประสาชาวบ้านเรียกว่า 'แบ่งบทกันเล่น'"

เมื่อถามว่า รทสช. ยังต้องมี 'บิ๊กตู่-ท่านพีและขิง เอกนัฏ' อยู่ด้วยกันแน่นอน? เอกนัฏ ยืนยันว่า "แน่นอนครับ ไม่ว่าวันไหนก็อยู่ด้วยกันครับ ถ้ามีหัวหน้าพีระพันธุ์ ก็ต้องมีเลขาฯ เอกนัฏ ที่ผมกล่าวเช่นนี้ เพราะท่านหัวหน้าเป็นคนดีมาก ท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็มีความแน่วแน่ในการทํางาน ผมเชื่อว่าประเทศจะได้ประโยชน์จากการมีผู้นําแบบท่านพีระพันธุ์ อย่างบทบาทของท่านในกระทรวงพลังงานวันนี้ ท่านกำลังทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราทุกคนต่างก็ให้กําลังใจแล้วก็ซัพพอร์ตท่านเต็มที่"

เมื่อถามถึงบริบทของคำว่า 'นักการเมือง'? เอกนัฏ มักพูดเสมอว่า ไม่อยากให้มองว่า อาชีพนักการเมืองมีแต่คนเลว ไม่ควรดูถูกอาชีพนักการเมือง ขอให้คนรุ่นใหม่ปรับมุมมอง อยากให้คนรุ่นใหม่สนใจอาชีพการเมือง เข้ามาลองทำอาชีพนี้ ช่วยทำการเมืองให้สร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้คนดีๆ มีความสามารถ เข้ามาช่วยทำการเมืองให้มันดี ตามที่ใจเราต้องการ แล้วมาช่วยกันพัฒนาประเทศ เชื่อว่าคนรุ่นใหม่สามารถแยกแยะ เหตุและผลตามข้อเท็จจริงได้

สำหรับคติประจำใจในการทำงานการเมืองของ 'เอกนัฏ' นั้น เจ้าตัวบอกว่า ต้อง 'ขยัน-อึด-อดทน' ซึ่งแม้จะเป็นคำที่ฟังดูแล้วพื้น ๆ แต่มีความหมายใช้เตือนตัวเองอยู่ตลอดในการทำอาชีพนักการเมือง   

>> ขยัน คือ ทำแค่นี้ยังไม่พอ ต้องให้มากกว่าเดิม ต้องทำให้ละเอียดมากกว่านี้  
>> อึด คือ ต้องแข็งแรง แข็งแกร่ง ไม่ว่าเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนต้องก้าวต่อไปให้ได้
>> อดทน คือ อาชีพนักการเมือง ต้องรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถูกคำสบประมาท ถูกคำด่าทอ สาดเสียเทเสีย แต่ต้องผ่านไปให้ได้เพื่อนำไปปรับปรุงตัวเอง

ก็คงต้องรอติดตามกันต่อไปว่า ในห้วงเวลาจากนี้ ชื่อของ 'เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' จะถูกบรรจุเข้าสู่ทำเนียบรัฐมนตรีเลือดใหม่ของรัฐบาลนี้เมื่อใด และหากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็คงต้องแสดงความยินดีล่วงหน้ามา ณ ที่นี้

ปูด 'ลุงป้อม' เตรียมดัน 'สามารถ' นั่งหัวหน้าพรรคพลังมหาชน ปั้นเกมรบตามทฤษฎีแตกแบงก์พัน รวมพลังรุ่นใหม่สู้ก้าวไกล

(5 ส.ค. 67) นายบุญรวี ยมจินดา หัวหน้าพรรครวมใจไทย (ร.จ.ท.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เตรียมตั้งพรรคคู่ขนานชื่อว่าพรรคพลังมหาชน โดยจะให้นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าพรรค เตรียมพร้อมที่จะสู้กับพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ซึ่งเป็นพรรคสำรองที่พรรคก้าวไกลไปเทกโอเวอร์มา หากในวันพุธที่ 7 ส.ค.ศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคก้าวไกล

นายบุญรวี กล่าวต่อว่า เรื่องของพรรคพลังประชารัฐหรือ พล.อ.ประวิตร เป็นเรื่องสำคัญของการเมืองในระยะนี้ ตอนนี้ พล.อ.ประวิตรไม่อยู่ไปดูกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศฝรั่งเศส ก็เกิดศึกภายในพรรคระหว่างซีก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค กับนายสามารถ คนสนิทของพล.อ.ประวิตร จึงเป็นที่มาว่าจะมีการตั้งพรรครองรับคนรุ่นใหม่ที่นายสามารถ จะประสานเข้ามาร่วมพรรค ส่วนพล.อ.ประวิตร ก็จะอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐต่อไป

“พล.ประวิตร มองว่านายสามารถ คือคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และจะนำพาคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงานกับพรรคใหม่ได้แบบที่พานายวัน อยู่บำรุง อดีต สส.พรรคเพื่อไทยเข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ จึงทำให้เกิดทฤษฎีแตกแบงก์พันของ พล.อ.ประวิตร โดยหวังว่าจะเป็นพรรคตัวแทนของคนรุ่นใหม่เพื่อไปแข่งกับพรรคก้าวไกล ท่ามกลางกระแสข่าวว่านายทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ของพรรคเพื่อไทย เตรียมเขี่ยพรรคพลังประชารัฐของพล.อ.ประวิตร พ้นจากพรรคร่วมรัฐบาล”ซึ่งความเป็นจริงแล้วนายทักษิณ ชินวัตร รู้ดีว่าถ้าเขี่ยพลังประชารัฐออกจากรัฐบาลนั้นจะยิ่งทำให้บ้านเมืองวุ่นวายถึงขั้นอาจมีการรัฐประหารอีกครั้งก็เป็นได้

‘นายกฯ’ สั่ง ‘สทนช.’ ทำแผนบริหารจัดการน้ำ 3 ปี จ่อชงครม.ภายในเดือนนี้ ยัน!! ไม่ซ้ำรอยน้ำท่วมปี 54

(5 ส.ค. 67) ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) ชั้น 3 อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทาน ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำ โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน และคณะผู้บริหาร จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

เมื่อมาถึงนายกฯ รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ จากอธิบดีกรมชลประทาน โดยภาพรวมสถานการณ์ฝนในปีนี้ ณ ขณะนี้อยู่ที่ 56% ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วในช่วงเดียวกันที่ 4% ขณะที่นายกฯ กำชับให้ทางกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง และคาดการณ์ว่าจะเกิดน้ำท่วมให้ดูแลลงรายละเอียดเป็นรายอำเภอ 

นอกจากนี้อธิบดีกรมชลประทาน ยังรายงานถึงสถานการณ์ที่เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก มีการระบายน้ำ ตั้งแต่วันที่ 1-5 ส.ค.ในระดับคงที่ แต่เนื่องจากมีฝนตกลงมาท้ายเขื่อนจำนวนมาก จึงทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม แต่ขณะนี้ได้ปิดการระบายน้ำที่เขื่อนขุนด่านปราการชลแล้ว

ภายหลังการรับฟังบรรยายสรุป นายกฯ ได้กำชับนายอนุทินว่า อยากฝากเรื่องของแม่น้ำโก-ลก จ.นราธิวาส หลังจากลงพื้นที่ร่วมกับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พบว่าจำเป็นจะต้องมีการขุดลอกคลองเพื่อไม่ให้คลองตื้นเขินและระบายน้ำได้เร็วขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังพอมีเวลาอยู่ เนื่องจากฤดูฝนของภาคใต้จะมาช้ากว่าภาคอื่น ๆ ประมาณ พ.ย. 

ขณะที่นายอนุทิน รายงานว่า เรื่องนี้มีแผนและอยู่ในแนวของผังเมือง ซึ่งกรมโยธาธิการจะประสานไปทางมาเลเซีย ทั้งนี้นายกฯ ยังได้เน้นย้ำ และกำชับอีกว่า ให้ดำเนินการโดยเร็วแม้ฝนจะมาช้าก็ตาม จะต้องดำเนินการให้เสร็จก่อนฝนจะมา เพราะทางมาเลเซียเดือดร้อน เนื่องจากมีพื้นที่ต่ำกว่าประเทศไทย แต่ฝ่ายเราก็เดือดร้อนด้วยเช่นกัน อย่างปีที่แล้วก็เกิดปัญหาน้ำท่วมที่ จ.นราธิวาส หากดำเนินการตรงนี้ได้ก็จะบรรเทาความเดือดร้อนลงไปได้

จากนั้นนายกฯ เป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำ พร้อมมอบนโยบายว่า เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วปัญหาเรื่องน้ำเราเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยต้องเผชิญทุกปี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง และน้ำไม่ได้คุณภาพ ซึ่งตนมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหานี้โดยเร่งด่วน เพราะส่งผลต่อความเสียหายอย่างหาค่ามิได้ต่อประชาชนคนไทยทุกคน ตนได้มอบหมายให้กระทรวงและหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องน้ำบูรณาการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะทำแผนงานและโครงการที่สามารถเร่งรัดดำเนินการในระยะเวลา 3 ปี และตลอดจนการพิจารณาโครงการสำคัญระยะยาว เพื่อให้น้ำถึงไร่นา น้ำสะอาดทุกหมู่บ้าน แก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ขอเน้นการเสริมประสิทธิภาพของโครงการที่มีอยู่เดิมให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ก่อนพิจารณาก่อสร้างโครงข่ายการบริหารจัดการน้ำ และระบบการกระจายน้ำเพิ่มเติมเพื่อการใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นไปได้อย่างเหมาะสม โดยในช่วงฤดูฝนนี้ตนมอบหมายให้กรมชลประทานและสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA นำเสนอพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากและแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

จากนั้น เวลา 10.08 น. นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำ ว่า ปัญหาเรื่องน้ำเป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศไทยที่จะต้องแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นภายในรัฐบาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำ น้ำดื่ม น้ำใช้น้ำบริโภค ตนได้มอบหมายให้หน่วยงานเรื่องน้ำเร่งทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดทำแผนงานด้านน้ำระยะ 3 ปี และแผนงานสำคัญระยะยาวเพื่อให้ “น้ำถึงไร่นา น้ำสะอาดทุกหมู่บ้าน แก้ปัญหาภัยพิบัติด้านน้ำ” อย่างยั่งยืน 

ซึ่งตนเน้นย้ำให้ปรับปรุงโครงการที่มีอยู่เดิมให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ตลอดจนก่อสร้างโครงข่ายการบริหารจัดการน้ำเพิ่มเติม โดยพิจารณาถึงความเร่งด่วนและความเหมาะสมในการใช้จ่ายงบประมาณเป็นสำคัญ โดยที่ประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำได้พิจารณาและเห็นชอบแผน 3 ปี ด้านทรัพยากรน้ำและโครงการสำคัญ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำกินน้ำใช้ ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ตลอดจนภัยพิบัติด้านน้ำอื่น ๆ ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับประชาชน 6.22 ล้านครัวเรือน มีพื้นที่รับประโยชน์ 24.19 ล้านไร่ โดยประกอบด้วยแผนงาน 5 ด้าน ดังนี้ 1.การเพิ่มน้ำอุปโภคบริโภค 2.การปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเดิมและพัฒนาระบบกระจายน้ำ 3.การพัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝน 4.การพัฒนาพื้นที่น้ำท่วมและป้องกันพื้นที่ชุมชนเมือง และ 5.การพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำ

นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนและรัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำให้กับพี่น้องประชาชน โดยตนได้สั่งการให้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เร่งจัดทำแผนงานด้านน้ำและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาภายในเดือนส.ค.นี้ และตนได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานบริหารจัดการน้ำ โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชน เน้นการสื่อสารและแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)  หรือ GISTDA ประเมินภาพถ่ายในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากร่วมกับกรมชลประทาน และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ สทนช. ร่วมกัน ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ บริหารจัดการและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ตลอดจนแจ้งเตือนประชาชน เพื่อให้เกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด

เมื่อถามว่าแผนระยะ 3 ปี ใช้งบประมาณเท่าไหร่ นายกฯ กล่าวว่า ขอให้คอยถึงสิ้นเดือนส.ค.ดีกว่า ให้สทนช. เตรียมเรื่องให้ครบก่อนวันนี้เป็นวันคลิกออฟ แล้วสิ้นเดือนส.ค.จะมีการแถลงใหญ่

เมื่อถามต่อว่ามีพื้นที่ไหนที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ นายกฯ กล่าวว่า เท่าที่ดูรายงานก็มีภาคตะวันออก ที่กำลังประสบปัญหาอยู่และภาคอีสานบางจุด ก็มีการสั่งการแล้วว่าให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ให้มีการปรับแผนตลอดเวลา ควบคู่ไปกับการรายงานผลของ GISTDA 

เมื่อถามอีกว่ามีการแจ้งเตือนประชาชนได้มีการพัฒนาอย่างไรบ้าง  นายกฯ กล่าวว่า ให้ GISTDA  ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมชลประทานและกระทรวงมหาดไทย 

เมื่อถามต่อว่านายกฯเป็นห่วงและเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่  นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนเรียนอย่างนี้อาชีพกษตรเป็นอาชีพหลักของเราหลาย 10 ล้านคน เรื่องของน้ำดื่มน้ำใช้ พวกเราในกรุงเทพฯมีน้ำใช้กันอย่างเต็มที่ แต่ถ้าลงไปต่างจังหวัดมีอีกหลายพื้นที่ที่น้ำใช้อุปโภคและบริโภคยังไม่มี และทุกปีเราใช้งบประมาณในการชดเชย เรื่องการช่วยเหลือจุนเจือเป็นปลายเหตุ ถ้าเราบริหารจัดการไม่ให้มีน้ำท่วมน้ำแล้ง ตนเชื่อว่าความเดือดร้อนของประชาชนจะหายไปเยอะ รวมถึงผลกระทบในเชิงบวกที่จะก่อให้เกิดผลผลิตทางด้านการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเราเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางอาหารสูง การที่เมืองโลกร้อนระอุ มีเรื่องการแย่งอาหารเยอะมาก จะทำให้ประเทศไทยมีจุดเด่นทางด้านนี้มาก เรื่องน้ำมีอยู่ 3-4 เรื่อง คือ น้ำในระบบนิเวศ น้ำอุปโภคบริโภคและน้ำที่ใช้ในการเกษตร และเรื่องสุดท้ายพูดกันน้อย คือ น้ำที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ต้องการน้ำเยอะ การที่เราไปเชิญต่างชาติให้เขามาลงทุน และให้มาตรการด้านภาษีสนับสนุน เขามาแล้วน้ำขาดก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้เราต้องบูรณาการครบทุกภาคส่วน ผู้บริหารทุกท่านเห็นพ้องต้องการ ถ้าเราบริหารจัดการน้ำได้ดีประเทศไทยก็เดินไปข้างหน้าได้

เมื่อถามย้ำว่ามั่นใจการบริหารจัดการน้ำจะไม่ซ้ำรอยน้ำท่วมปี 2554 ใช่หรือไม่ นายกฯ ยิ้มก่อนกล่าวว่า "ครับ"

'อัครเดช' ชี้!! 'รวมไทยสร้างชาติ' หนุน ‘เอกนัฏ’ นั่งโควตารัฐมนตรี ยัน!! เป็นคนทำงานทุ่มเท คุณสมบัติพร้อม แง้ม!! เจ้าตัวยังไม่ทราบเรื่อง

(5 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ได้ส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี แสดงเจตจำนงให้นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค รทสช. เป็นรัฐมนตรีแทนโควตาของพรรคที่ว่างอยู่ว่า นายเอกนัฏ ยังไม่ทราบเรื่องหนังสือ แต่เป็นไปได้ว่าหัวหน้าพรรค จะส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ยังไม่มีการพูดคุยกับหัวหน้าพรรค เนื่องจากติดประชุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ทางพรรคได้พูดคุยเรื่องการเสนอชื่อคนที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่? นายอัครเดช กล่าวว่า ทางพรรคยังเหลือโควตารัฐมนตรีอีกหนึ่งตำแหน่ง ดังนั้นข่าวที่ออกมาว่าจะเป็นนายเอกนัฏ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลุดจากคดีความแล้ว และมีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี 

ฉะนั้น กรรมการบริหารพรรค และ สส.ของพรรค คงไม่มีใครปฏิเสธ เนื่องจากนายเอกนัฏ ทำงานด้วยความทุ่มเท และที่ผ่านมาทั้งในช่วงหาเสียงและงานในสภาก็มีผลงานที่ชัดเจน ยืนยันว่า ทุกคนพร้อมสนับสนุนให้นายเอกนัฏ ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีในโควตาของพรรค รทสช. ดังนั้นหนังสือไม่ใช่ใจความสำคัญ อย่างไรก็ตาม อำนาจการตัดสินใจสุดท้าย อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค

'อ.ไชยันต์' ถาม 'อานันท์' หากบางพรรคมองไม่ผิด ปม '112-พฤติกรรม สส.' แต่มีคนอื่นๆ เห็นว่าผิด ควรหาทางออกหรือให้ใครเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด

(5 ส.ค. 67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึง นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า...

กราบเรียนคุณอานันท์ ปันยารชุน ด้วยความเคารพอย่างสูง

ผมได้ชมคลิปที่ท่านให้สัมภาษณ์ล่าสุด (ที่มีการพูดถึงเรื่อง มาตรา 112) และทราบถึงความเห็นของท่านเกี่ยวกับการให้พรรคการเมืองจัดการดูแลพฤติกรรมของ สส. ในพรรค รวมถึงการให้สภาฯ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจาก สส. หรือพรรคการเมือง โดยไม่จำเป็นต้อง 'ใช้ศาล' โดยท่านได้ยกตัวอย่าง อังกฤษ และอเมริกา 

ผมเห็นด้วยครับว่า โดยเบื้องต้น พรรคและสภาฯควรหารือและหาทางออกด้วยตัวพรรคการเมืองเอง หรือโดยสภาฯ เพราะกฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบันได้กำหนดไว้อยู่แล้วด้วย ดังนี้ครับ

มาตรา ๒๒ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลมิให้สมาชิกกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของคณะกรรมการ

มาตรา ๔๕ ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองกระทำการ หรือส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน หรือกระทำการอันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

คำถามหรือปัญหาคือ หากพรรคการเมืองไม่เห็นว่า สมาชิกของตนทำผิด มาตรา 22 และมาตรา 45   แต่มีคนอื่นๆ เห็นว่าผิด  

ผมจึงอยากจะกราบเรียนขอคำชี้แนะจากท่านว่า เราควรหาทางออกหรือหาหน่วยงานองค์กรใดเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในเรื่องสำคัญที่เห็นต่างนี้ครับ ถ้า 'ไม่ใช้' ศาลอย่างที่ท่านกล่าวในการให้สัมภาษณ์

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาให้คำชี้แนะด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ไชยันต์ ไชยพร

ป.ล. อนึ่ง ผมดีใจมากที่ท่านกล่าวให้ความรู้แก่สังคมในเรื่อง ความเที่ยงธรรม (equity) นอกเหนือจาก ความยุติธรรม (justice) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต้องอาศัย ความซื่อสัตย์ ซื่อตรงในตัวคนเป็นสำคัญโดยภาษาอังกฤษมีคำว่า honesty และ integrity ที่แปลไทยเหมือนกัน แต่จริงๆ มันไม่ได้เหมือนกันเป๊ะ

ผมจึงอยากขอความกรุณาให้ท่านช่วยให้ความรู้แก่สังคมถึงความหมายที่เหมือนและต่างกันของ honesty และ integrity ด้วยครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top