Wednesday, 26 March 2025
POLITICS

‘ดร.อานนท์’ วิจารณ์!! นายกฯ ใส่ผ้าซิ่นกลับหัว ชี้!! บรรพบุรุษชินวัตร เคยมีชื่อเสียง ด้านการค้าผ้า

(4 ม.ค. 68) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ภาพ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สวมชุดผ้าไทย พร้อมด้วยนายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรส ร่วมพิธีทำบุญในวันขึ้นปีใหม่ 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล

โดยผศ.ดร.อานนท์ ระบุว่า ชินวัตรไหมไทยเป็นกิจการที่มีชื่อเสียงของตระกูลชินวัตร และดำเนินกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ พ่อเลี้ยงเลิศ ชินวัตร ผู้เป็นปู่ นายทักษิณ ชินวัตร ต่างก็เคยค้าผ้าไหมกันมาก่อน

ทำไมลูกหลานสตรีในตระกูลชินวัตรจึงไม่มีความรู้ใด ๆ ในเรื่องผ้าไทย จนไม่รู้จักกระทั่งตีนซิ่น หัวซิ่น สวมใส่สลับไปหมด น่าอับอายขายหน้าถึงบรรพบุรุษว่ามีลูกหลานที่มิได้รับการถ่ายทอดสิ่งดี ๆ เช่นภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษ มาแม้แต่น้อย นับว่าเสียชาติเกิดที่เกิดมาในตระกูลชินวัตรโดยแท้

‘ไอติม’ อัด!! ก.ศึกษาฯ แก้ ‘ทรงผมนักเรียน’ ไม่ตรงจุด แนะส่วนกลางชี้ขาด!! ทุกโรงเรียน หยุดบังคับเด็ก

(4 ม.ค. 68) จากกรณีที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวยืนยันว่า กระทรวงมีหนังสือยกเลิกระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2566 ดังนั้น ‘ทรงติ่งหู’ หรือ ‘ทรงขาว 3 ด้าน’ จะไม่ถูกเรียกว่า ‘ทรงผมนักเรียน’ อีกต่อไป เพราะไม่มีการระบุความสั้น/ยาวของทรงผมนักเรียนชายและนักเรียนหญิงแล้ว ส่วนการจะกำหนดให้ผู้เรียนไว้ทรงผม แต่งกายแบบไหน ให้เป็นไปตามวิจารณญาณของสถานศึกษา โดยให้โรงเรียนเปิดช่องทางให้ผู้เรียนพูดคุยเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดนั้น

เรื่องนี้ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชน แสดงความเห็นผ่าน X เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ระบุว่า หาก ศธ. ตั้งเป้าว่าไม่ควรมีนักเรียนคนไหนที่ต้องถูกบังคับเรื่องทรงผม ผมเห็นว่าสิ่งที่กระทรวงทำอยู่ ยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุดครับ

สิ่งที่กระทรวงทำ = ยกเลิกการบังคับจากส่วนกลางว่านักเรียนจะต้องมีทรงผมแบบไหน แต่เปิดช่องให้แต่ละโรงเรียนตัดสินใจเองได้ที่จะบังคับนักเรียนในโรงเรียนนั้นๆ เรื่องทรงผม

สิ่งที่กระทรวงควรทำ = ออกมาตรฐานจากส่วนกลาง เพื่อกำหนดว่าทุกโรงเรียนจะต้องหยุดการบังคับนักเรียนเรื่องทรงผม

‘ปราชญ์ สามสี’ แกะรอย 'เพนกวิน' โผล่เรียนที่สหรัฐฯ สุดกังขา ใครอยู่เบื้องหลังเส้นทางหลบหนีคดี 112

( 3 ม.ค. 68) - เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี เปิดประเด็นการหลบหนีคดีมาตรา 112 ของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ไปต่างประเทศ ว่ามีกลุ่มใดอยู่เบื้องหลัง โดยระบุว่า เอ๊ะ จิ๊กซอว์ ต่อลงพอดีเลยแหะ?!? "เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ หลบหนีลี้ภัยไปต่างประเทศ แต่ดัน 'บังเอิญ' ไปโผล่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับที่อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล สอนอยู่! อาจารย์ผู้มีจุดยืนกระทบกระเทียบสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอย่างเปิดเผย

นี่คือโชคชะตาหรือขบวนการที่วางแผนมาแล้วอย่างแยบยล? จิ๊กซอว์นี้ต่อออกมาแล้วจะเห็นภาพอะไรกันแน่—แค่บังเอิญ หรือเรื่องที่มี 'อะไร' ซ่อนอยู่มากกว่านั้น?"

ปราชญ์ สามสี ระบุว่า จรัล ดิษฐาอภิชัย ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ว่าได้เดินทางไปเยี่ยม 'เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์' ที่สหรัฐอเมริกา โดยระบุถึงการพบปะกับ Paul Handley ผู้เขียนหนังสือ The King Never Smiles ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวิพากษ์บทบาทของสถาบันกษัตริย์ไทยในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ นอกจากนี้ จรัลยังกล่าวถึงการใช้เวลาร่วมกันในบริบทที่ดูเหมือนจะบ่งชี้ถึงสถานที่ของเพนกวินในอเมริกาอย่างชัดเจน

การโพสต์ดังกล่าวทำให้เกิดข้อสงสัยในแง่มุมของการหลบหนีของเพนกวิน ซึ่งเคยประกาศว่าจะยืนหยัดในประเทศไทยและไม่ลี้ภัยออกนอกประเทศ ทว่าการเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจผ่านโพสต์นี้ชี้ให้เห็นถึงที่อยู่ของเขาในสหรัฐฯ อย่างชัดเจน พร้อมเชื่อมโยงถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและเครือข่ายในวงการที่มีความเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง

ข้อผิดพลาดในลักษณะนี้นอกจากจะทำให้การหลบซ่อนตัวของเพนกวินกลายเป็นที่จับตามอง ยังอาจนำมาซึ่งคำถามทางการเมืองและสังคมเกี่ยวกับการสนับสนุนที่เขาได้รับในต่างประเทศ ซึ่งอาจรวมถึงการช่วยเหลือพิเศษหรือการประสานงานในระดับนานาชาติ

แกนนำการเคลื่อนไหวทางการเมือง 'เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์' ได้โพสต์ข้อความยอมรับถึงการสูญเสียจุดยืนทางการเมืองของตนเองในกรณีมาตรา 112 โดยเขาเคยยืนยันว่าจะไม่หลบหนีออกนอกประเทศหรือขอลี้ภัยทางการเมือง แต่ท้ายที่สุดกลับจำใจต้องหลบหนี ซึ่งเขาได้ยอมรับว่าเป็นการละเมิดจุดยืนที่เคยตั้งไว้ โดยการกระทำนี้เกิดขึ้นหลังเขาต้องเผชิญคดีการยุยงปลุกปั่นและใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ไทย พร้อมกับการปล่อยให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ต้องเผชิญชะตากรรมในเรือนจำ

ข้อความที่เขาโพสต์เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ไม่เพียงสะท้อนถึงความย้อนแย้งในจุดยืนของตัวเอง แต่ยังมีการเผยแพร่ภาพถ่ายของเขาขณะยืนอยู่หน้าภาพโมเสคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งหากตรวจสอบลึกลงไปพบว่าภาพดังกล่าวถ่ายในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับ UW-Madison Letters & Science (L&S) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดใน University of Wisconsin-Madison (UW-Madison) ประเทศสหรัฐอเมริกา

วิทยาลัยแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของหลายสาขาวิชาที่ครอบคลุมทั้ง ศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์กายภาพ สังคมศาสตร์ และ วิทยาการคอมพิวเตอร์และข้อมูล

ทั้งนี้เริ่มมีข้อสงสัยหนาหูว่า เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ ได้รับการช่วยเหลือพิเศษจากทางการทูตของสหรัฐอเมริกาในการจัดการให้เขาสามารถไปศึกษาอยู่ที่ University of Wisconsin-Madison (UW-Madison) แบบเป็นกรณีพิเศษหรือไม่

ซึ่งบางคนมองว่านี่อาจเป็นตัวอย่างของการใช้เส้นสายเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลในสถานการณ์ที่ควรจะเผชิญหน้ากับความจริงในคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112

คำถามนี้สะท้อนความไม่พอใจในสังคมว่าการได้รับโอกาสในลักษณะนี้ อาจทำให้หลายคนมองว่าเป็นการใช้สิทธิพิเศษเกินควร โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาที่ต้องเผชิญชะตากรรมในเรือนจำ ในขณะที่ตัวเขาเองสามารถหลบหนีและได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาต่อในต่างประเทศจากสหรัฐ

เรื่องนี้จึงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามและตรวจสอบเพิ่มเติมว่า มีข้อเท็จจริงหรือเบื้องหลังใดที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนจากหน่วยงานระหว่างประเทศหรือไม่ และความยุติธรรมของกระบวนการเหล่านี้จะสามารถอธิบายให้สังคมยอมรับได้อย่างไร

‘เอกนัฏ’ ซัด พวกไม่หวังดีปูดข่าวแตกคอ ‘พีระพันธุ์’ เคลียร์ชัด! ยังคุยกันดี พร้อมจับมือร่วมทำงานเพื่อประชาชน

เมื่อวันที่ (2 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยกับรายการเรื่องนี้ต้องเคลียร์ ทางสถานีโทรทัศน์ท็อป นิวส์ ถึงกรณีที่ยังมีผู้ตั้งข้อสงสัยถึงการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย โดยย้ำว่า สาเหตุของการร่วมรัฐบาลเพื่อไทยก็คือ เพื่อทำตามนโยบายของพรรคในเรื่องการป้องกันการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาม.112, การป้องกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และ 2 และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ 

ดังนั้นตราบใดที่ตนเองและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังทำงานในรัฐบาล นายพีระพันธุ์ ตนเองและพรรคก็พร้อมจะเดินหน้าทำงานตามนโยบายที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชนและรักษาซึ่งอุดมการณ์ที่มีอย่างเต็มที่เพื่อประเทศและคนไทย โดยไม่ขอสนใจการเล่นการเมืองหรือความที่ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ตามแต่ โดยเฉพาะการเมืองแบบเก่า ๆ และหากการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรครวมไทยสร้างชาติ ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนเดิมหรือทำให้ใครไม่พอใจ ตนเองก็ต้องขอโทษด้วย แต่ถึงวันนี้ยังยืนยันว่า อุดมการณ์ของตนไม่เคยเปลี่ยน และทุกอย่างที่ทำล้วนมีเหตุมีผลและทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อให้ประเทศยังเดินหน้าต่อไปได้

“ไม่ได้ทำการเมือง เพื่อให้ตนเองหรือนายพีระพันธุ์ ต้องเป็นหัวหน้าไปตลอดชีวิต ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องรักษาศรัทธาของประชาชนเอาไว้และยึดเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง แค่เท่านั้นเอง” นายเอกนัฏ ระบุ

นายเอกนัฏ ย้ำด้วยว่า เป็นเรื่องไร้สาระกับข่าวที่ว่าพรรคกำลังแยกกันเดินออกเป็น 2 สาย คือ สายของตนเองและสายของนายพีระพันธุ์ โดยข่าวดังกล่าวเกิดจากผู้ไม่หวังดีที่ต้องการให้พรรคแตกแยกกัน แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะทุกวันนี้ตนและนายพีระพันธุ์ ยังคุยกันดี ปรึกษากันทุกเรื่องและจับมือเดินหน้าทำงานไปด้วยกัน ส่วนกรณีที่มีรูปถ่ายใกล้ชิดกับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั้นเกิดจากการที่ตนได้พานายอากิโอะ โตโยดะ ประธานกรรมการบริหารบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่องการลงทุนของบริษัท โตโยต้า ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งตนเองคาดหวังให้โตโยต้าลงทุนในไทยด้วยเม็ดเงินราว 100,000 ล้านบาท(หนึ่งแสนล้านบาท) แต่เบื้องต้นโตโยต้าได้ตอบตกลงที่จะลงทุนในไทยเพิ่มอีกอย่างน้อย 55,000 ล้านบาท(ห้าหมื่นห้าพันล้านบาท) และเตรียมที่จะส่งคนมาสำรวจวิจัยการลงทุนในไทยเพิ่มเติมตามที่ตนได้ร้องขอ

นายเอกนัฏ ยังระบุถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือร่างพรบ.โซลาร์ โดยยืนยันว่า หากร่างพระราชบัญญัตินี้ผ่านสภา มีผลบังคับใช้ คนไทยจะได้ใช้ไฟในราคาที่ถูกลงอย่างแน่นอน ทั้งยังสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ได้เอง โดยไม่ต้องขออนุญาตเหมือนเช่นในอดีต ทั้งนี้กระทรวงพลังงานจะนำเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานมาช่วยอุดหนุนควบคู่ไปกับการผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ติดตั้งระบบโซลาร์แบบครบชุดในราคาที่ถูก เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์รูฟสำหรับใช้ผลิตไฟฟ้าได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม ในราคาที่ย่อมเยาด้วย โดยตนเองมั่นใจด้วยว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมคาดการณ์กรอบเวลาที่จะมีผลบังคับใช้ได้เร็วที่สุด คือ ภายในไม่เกิน 1 ปีนับจากนี้

การสนับสนุนให้ภาคประชาชนสามารถติดตั้งอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้ง่าย นอกจากส่งผลต่อบ้านเรือนที่ติดตั้งแล้ว ในภาพรวมยังสามารถลดค่าไฟฟ้าที่ทั้งประเทศจะต้องร่วมกันจ่ายได้ด้วย จากที่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าน้อยลงเพราะมีการผลิตในภาคครัวเรือน ทำให้การตั้งกำลังไฟสำรองก็น้อยลงตามไปด้วย 

สำหรับการทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมเป้าหมายของตนชัดเจนคือการทำให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยฟื้นกลับมาเข้มแข็ง เพื่อที่จะเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ผ่านการจัดระบบ ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมดี ๆ ในประเทศ ควบคู่กับการเดินหน้าจัดการกับโรงงานและอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ไม่มาตรฐาน รวมถึงการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญของไทยไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ 

“ไม่ได้บอกว่าตนไม่เคยทำอะไรผิดพลาดในชีวิต แต่ตนเป็นคนที่เตือนสติตัวเองอยู่ทุกวันทั้งก่อนนอนและตื่นนอน ด้วยความกลัวว่าจะเป็นคนที่ไม่ดี เป็นคนที่จะอ่อนข้อให้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งผมมั่นใจว่าผมชนะมารในตัวผมได้ มั่นใจได้ว่าขิงยังเป็นขิงคนเดิม” นายเอกนัฏกล่าวในตอนท้าย

รับชมรายการเรื่องนี้ต้องเคลียร์ ฉบับเต็มได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=tZJpugth0No

ย้อนมองกรณี ‘สส.พรรคส้ม’ ขึ้นป้ายแซะสวดมนต์ข้ามปี สะท้อนความคิดขวางโลกเต็มไปด้วยความขุ่นมัวในจิตใจ

ป้ายคัทเอาท์ “สวัสดีปีใหม่ ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?” เป็นของ สส. ผู้ทรงเกียรติ หรือเพียงของ “คนบาปเบาปัญญา”??

เข้าใจได้ว่ายุคสมัยนี้เป็นยุคที่ทุกแขนงอาชีพมักจะได้คนทำงานที่ 'ต่ำกว่ามาตรฐาน' เข้ามาทำงานในองค์กรเป็นจำนวนที่สูงมากกว่าสมัยก่อน ซึ่งก็รวมทั้ง 'สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร' ด้วยเช่นกันที่อาจจะได้นักการเมืองน้ำดีและห่วยชนิดที่ยากจะนึกภาพออกว่า 'คุณภาพคนเลือก' ต้องต่ำขนาดไหน ถึงได้เลือก 'สส. สมองกลวง' เช่นนี้เข้าสภามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน 

คนที่เกิดมาเป็น สส. อาสามาเป็นคนทำงานเพื่อส่วนรวม สำคัญกว่าใด ๆ คือต้องมี 'Mindset' ในการใช้ชีวิต และการทำงานที่ต้องสะท้อนให้เห็นอย่างง่าย ๆ ว่าเป็นคนที่สังคมรู้สึกพึ่งพาได้ ไม่กังขา ไม่สงสัยทั้งความคิด และการกระทำ เพื่อจะได้นำสิ่งที่มีดีติดตัวอันมากมายนั้นมาพัฒนาสังคมให้เจริญรุ่งเรือง

แต่ทันทีที่สังคมไทยได้เห็นป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่ ติดรูปนักการเมืองไทยคนหนึ่ง เป็น สส. จากพรรคการเมืองที่ถนัดแต่ 'ล้มล้างการปกครอง' และแทบจะทั้งพรรคมี 'พฤติกรรมย้อนแย้ง' เป็นอาชีพ มีข้อความว่า “สวัสดีปีใหม่ ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?” ผู้คนในสังคมที่พอจะมีสติปัญญาก็จะสรุปได้ในทันทีว่าช่างเป็นข้อความที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่จรรโลงสังคม เต็มไปด้วยความขุ่นมัวในจิตใจ กระแซะคนชาวพุทธที่ศรัทธาเรื่อง 'การสวดมนต์ข้ามปี' ที่มีมาแต่โบราณ 

นอกจากสร้างความเกลียดชังต่อผู้คนที่พบเห็น ความหมายบนป้ายโฆษณายังมี 'ความย้อนแย้ง' ไม่ต่างจากชีวิตประจำวัน สส. ผู้ไร้ความจริงใจต่อสังคมคนนี้ จึงเป็นอีกครั้งที่เรื่องโง่ ๆ เกิดขึ้นกับนักการเมืองที่เกลียดการไหว้, ชิงชังการเคารพนอบน้อม และคิดแต่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทย 

ตอกย้ำแน่ชัดอยู่สองเรื่องหลัก ๆ ว่า หนึ่งเมื่อใดที่เราได้ สส. ที่ขาดความเคารพต่อสังคมชาติ และสถาบัน ก็ยากจะเคารพต่อขนบ วัฒนธรรม เรื่องที่สองคือคนในแบบเดียวกันก็จะถูกดึงรวมอยู่ใน 'คอกบาป' เดียวกัน เวลาทำเรื่องเลวร้ายใด ๆ ก็จะไม่มีใครห้ามปราม จะปล่อยกันให้ 'ตายทั้งเป็น' คาสังคม ด้วยคนที่คิดข้อความไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้ แม้เพียงคิดในใจก็น่าอับอายไปถึงกระดูกแล้ว แต่หากคิดแล้วกลับอยากให้ผู้คนรับรู้ ก็เท่ากับว่าตั้งใจ 'ประกาศสันดาน' ต่อสังคมว่าตัวเองนั้นเป็นคนประเภทใด

ถ้าตอนคิดก่อนลงมือทำ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าผลจะออกมานั้นตนเองจะดูดี จะมีผู้คนชื่นชอบ ก็ต้องพูดว่าเป็น สส. ที่โง่เง่าเป็นทวีคูณ 

ยากจะหาบทสรุปอื่นได้เลย  

ป.ป.ช. ชี้มูลผิดอาญา – จริยธรรม ‘ณัฏฐ์ชนน’ สส. ภูมิใจไทย หลังพบเรียกรับทรัพย์แลกตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สส.

ป.ป.ช.มีมติ ‘ณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ’ สส. ภูมิใจไทย กระทำผิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ และผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง กรณีรับเงินค่ารักษาพยาบาลจากบุคคลอื่นราว 1 ล้านบาท แลกกับการแต่งตั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สส.ช่วงปี 62 

วันที่ 2 มกราคม 2568 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สส.เขต 7 จังหวัดสงขลา พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เรียกรับทรัพย์สินแลกตำแหน่ง โดยให้รายงานสำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นพร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และให้เสนอเรื่องกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามฐานความผิดดังกล่าวตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 76 และมาตรา 87 ประกอบระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง พ.ศ.2561 แล้วแต่กรณีต่อไป

นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษก ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนพบว่านายณัฏฐ์ชนน ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ระหว่างวันที่ 19-21 ก.ย.62 และวันที่ 23 ก.ย.-18 ต.ค.62 มีค่ารักษาพยาบาลรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,449,223 บาท แต่ยอมให้บุคคลอื่นชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่โรงพยาบาลแทน 1,335,778 บาท

จากนั้นได้นำใบเสร็จรับเงินค่ารักษาไปเบิกเงินจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ 495,409.50 บาท มีส่วนที่เกินสิทธิไม่สามารถเบิกได้ 953,813.50 บาท ต่อมานายณัฏฐ์ชนนได้เสนอให้มีการแต่งตั้งบุคคล 1 ใน 3 รายที่ชำระค่ารักษาพยาบาลแทนตนเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ตามคำสั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่ 2455/2563 ลงวันที่ 1 ต.ค.63

การกระทำของนายณัฏฐ์ชนนจึงเป็นการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

“การกระทำของนายณัฏฐ์ชนนมีมูลความผิดทางอาญาตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 128 ประกอบมาตรา 169 และมีมูลความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 9 ข้อ 10 และข้อ 17 ประกอบข้อ 3 และข้อ 27”

อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่สิ้นสุด นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ยังมีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลได้อีก

‘รทสช.’ ปลื้มเรตติ้ง ‘พีระพันธุ์ - พรรค’ พุ่ง ยันสืบทอด DNA ลุงตู่ ยึดมั่น ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

(2 ม.ค. 68) โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอบคุณแรงเชียร์ ชี้โพลล่าสุดทะลุเกิน 10 %  ผสานกำลัง รมต.และ สส. มุ่งมั่นทำงานเพื่อคนไทย ย้ำนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยให้เข้มแข็ง ยันสืบทอด DNA ลุงตู่ ยึดมั่น ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 

วันที่ 2 มกราคม 2568 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ขอขอบคุณทุกการสนับสนุนและความไว้วางใจจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนในปีที่ผ่านมา ที่ให้การสนับสนุนและให้ความไว้วางใจพรรคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเห็นได้จากคะแนนความนิยมทางการเมืองล่าสุดของผลสำรวจนิด้าโพลที่คะแนนความนิยมของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พุ่งขึ้นเป็น 10.25% ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 10.6% ได้รับคะแนนนิยมเกิน 10% ทั้งสองส่วน

ส่วนในปี 2568 ยืนยันว่า พรรคจะยังมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติและพี่น้องชาวไทยทุกคนอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยในส่วนของกระทรวงพลังงาน ภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน จะเดินหน้า 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' พลังงานไทย เพื่อให้คนไทยได้ใช้พลังงานอย่างเป็นธรรม เป็นนโยบายเป้าหมายหลักที่สำคัญของนายพีระพันธุ์ 

ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรมว.อุตสาหกรรม ก็จะเดินหน้าตามแผนงาน 'สู้ เซฟ สร้าง ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย' และจัดการกับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ทำผิดกฎหมายด้วยชุดปฏิบัติการทีมสุดซอยของทีมรัฐมนตรีเอกนัฏ อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งการเร่งส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในยุคอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อพาอุตสาหกรรมไทยเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

เช่นเดียวกับอีก 2 รัฐมนตรี คือ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่จะเดินหน้าตั้งใจทำงานตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มความสามารถเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

นายอัครเดช ย้ำในส่วนบทบาทของ สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ ในปี 2568 นี้ ทุกคนก็จะมุ่งมั่นทำงานในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและคนไทยทุกคนควบคู่ไปกับการลงพื้นที่ดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อรับฟังและแก้ไขปัญหาให้พ่อแม่พี่น้องประชาชน ตามสโลแกนของพรรคที่ว่า 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกที่' รวมถึงการสืบทอด DNA ของลุงตู่ คือ การยึดมั่นและสืบทอด 3 สถาบันหลักของชาติ อันประกอบด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างมั่นคง

"พรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ขอยืนยันว่าจะเดินหน้าทำงานในหน้าที่อย่างดีที่สุดเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา เพื่อผลประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในปีนี้พรรคจะได้รับการสนับสนุนและความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนด้วยดีและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขอขอบคุณทุกกำลังใจที่เชื่อมั่นพรรครวมไทยสร้างชาติเสมอมา" นายอัครเดช กล่าว

ยุบพรรคก้าวไกล-ถอดถอนเศรษฐา 'อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร' ผงาดนายกฯ

ปี 2567 ถือเป็นปีที่การเมืองไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากสองคดีใหญ่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อการเมืองทั้งระบบ ได้แก่ การยุบพรรคก้าวไกล และการถอดถอนเศรษฐา ทวีสิน ส่งผลให้ประเทศไทยได้ นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 แพทองธาร ชินวัตร

คดีที่ 1 ยุบพรรคก้าวไกล การยุบพรรคก้าวไกลเริ่มต้นจากการที่พรรคเสนอ นโยบายแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 ซึ่งถูกยื่นคำร้องว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาและตัดสินในวันที่ 31 มกราคม 2567 ว่าพรรคก้าวไกลมีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  

เหตุการณ์สำคัญ: 12 มีนาคม 2567 กกต. มีมติส่งคำร้องยุบพรรคก้าวไกลต่อศาลรัฐธรรมนูญ  7 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี  

หลังคำตัดสิน อดีตสมาชิกพรรคก้าวไกลจำนวน 143 คนได้ย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ชื่อ **พรรคประชาชน** โดยมี ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เป็นหัวหน้าพรรค พร้อมประกาศเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงผ่านการเลือกตั้งในปี 2570  

คดีที่ 2 ถอดถอนเศรษฐา ทวีสิน เศรษฐา ทวีสิน เผชิญคดีที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี แม้นายพิชิตจะมีประวัติคดีอาญาในข้อหาละเมิดอำนาจศาลจากกรณีติดสินบนระหว่างพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ  

เหตุการณ์สำคัญ เมษายน 2567 มีการยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ให้สอบสวนเศรษฐา  พฤษภาคม 2567 พิชิตลาออกจากตำแหน่งเพื่อลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์   สิงหาคม 2567ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งถอดถอนเศรษฐาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  

สองคดีนี้ไม่เพียงส่งผลต่อพรรคการเมืองและผู้นำ แต่ยังเปลี่ยนโฉมการเมืองไทยโดยสิ้นเชิง การถอดถอนเศรษฐาทำให้ 'แพทองธาร ชินวัตร' ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่

โซเชียลวิจารณ์ยับ ‘สส. พรรคส้ม’ ขึ้นป้ายอวยพรปีใหม่ "ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?"

สะพัดป้ายไวนิลนักการเมืองพรรคประชาชน หรืออดีตพรรคก้าวไกล ขึ้นป้าย "สวัสดีปีใหม่ ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?" พบเป็นของ ‘ฉัตร สุภัทรวณิชย์’ สส.โคราช ยกบุญกิริยาวัตถุ 10 สั่งสอน

(30 ธ.ค. 67) บนโซเชียลฯ แชร์ภาพป้ายไวนิลของนักการเมืองพรรคประชาชน หรืออดีตพรรคก้าวไกลรายหนึ่ง ระบุข้อความว่า "สวัสดีปีใหม่ ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?" และระบุว่า "สแกน QR CODE เข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงได้ที่" พร้อมกับคิวอาร์โค้ดให้ผู้สนใจ

จากการตรวจสอบพบว่านักการเมืองรายดังกล่าว คือ นายฉัตร สุภัทรวณิชย์ สส.นครราชสีมา เขต 1 พรรคประชาชน หรืออดีตพรรคก้าวไกลเดิม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า "รู้จัก “บุญกิริยาวัตถุ 10” ทางแห่งการทำดี 10 ประการ

ในทางพระพุทธศาสนา มีการทำบุญด้วยกัน 10 วิธี เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10 ที่ตั้งแห่งการกระทำความดี ทางกาย วาจา และ ทางใจ ได้แก่

1. ทานมัย บุญสำเร็จจากการให้วัตถุเพื่อสงเคราะห์หรือบูชาแก่ผู้อื่น
ทานมัย หมายถึง การให้ทาน การสละ หรือการเผื่อแผ่แบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใด กับใครก็ได้ถือเป็นบุญทั้งสิ้น สิ่งสำคัญของการบริจาคหรือให้ทานแก่ผู้อื่น ควรเป็นสิ่งของที่ยังใช้ได้ ไม่เสียหายชำรุด หรือ หมดอายุ การให้ทานทำได้ทุกที่ทุกเวลา และไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน เช่น การแบ่งของกินให้กับแม่บ้านที่ทำงาน หรือยาม เป็นต้น

ผลที่ได้รับ ทำให้ผู้ที่ให้ทานลดความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ และความคับแคบในจิตใจให้น้อยลง ไม่ยึดติดในวัตถุสิ่งของ

2. สีลมัย บุญสำเร็จจากการงดเว้นจากทุจริต หรือประพฤติสุจริตทางกาย วาจา
สีลมัย หรือ การรักษาศีล หมายถึง การปฏิบัติทางกายและวาจา เช่น ศีล 5 ศีล 8 เช่น เป็นแม่ค้าไม่โกหกหลอกขายของไม่ดีแก่ลูกค้า เป็นพ่อบ้านไม่กินเหล้าเมายา ทำให้ลูกเมียมีความสุข ล้วนเป็นการรักษาศีล

ผลที่ได้รับ เป็นการฝึกฝนมิให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น ลด ละ เลิกความชั่ว มุ่งให้กระทำความดี อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต มิให้ตกต่ำลง ทำให้เป็นคนเยือกเย็น สุขุม

3. ภาวนามัย บุญสำเร็จจากการอบรมจิตให้สงบจากกิเลส และการอบรมปัญญาเพื่อละกิเลสทั้งปวง
ภาวนามัย หรือ เจริญภาวนา เป็นการมุ่งพัฒนาจิตใจและปัญญา เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เช่น นั่งสมาธิ วิปัสสนา หรือ วิธีการสวดมนต์

ผลที่ได้รับ เป็นการเตือนสติให้เรายึดมั่นในการประพฤติปฏิบัติชอบ ทำให้จิตใจสงบ และผลบุญนี้จะทำให้เกิดปัญญาแก่ผู้ปฏิบัติ

4. อปจายนมัย บุญสำเร็จจากการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน
อปจายนมัย หรือ การอ่อนน้อมถ่อมตน คือ การประพฤติตนเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อยประพฤติต่อผู้ใหญ่ และการที่ผู้ใหญ่แสดงตอบด้วยความเมตตา หรือการอ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม รวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพต่อความคิด ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติของบุคคล หรือสังคมอื่นที่แตกต่างจากเรา

ผลที่ได้รับ ลดความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนของเรา ช่วยให้สังคมทุกระดับเกิดความเข้าใจต่อกัน ผลบุญข้อนี้จะทำให้เกิดความเมตตาต่อกัน

5. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จจากการขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น
เวยยาวัจจมัย หรือ การช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่สังคมรอบข้าง ในการทำกิจกรรมความดีต่างๆ เช่น ช่วยงานเพื่อนที่ทำงานให้แล้วเสร็จทันเวลา ให้กำลังใจแก่เพื่อนที่มีความทุกข์

ผลที่ได้รับ ช่วยให้เกิดความรักความสามัคคี

6. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จจากการให้ส่วนบุญที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว
ปัตติทานมัย หรือ การให้ผู้อื่นมาร่วมทำบุญกับเรา คือ ไม่ว่าจะทำบุญอะไร ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นได้มาร่วมทำบุญด้วย ไม่ขี้เหนียว หรืองกบุญเพราะอยากได้บุญใหญ่ไว้คนเดียว เช่น จะทำบุญสร้างโบสถ์ ก็ให้คนอื่นได้ร่วมสร้างด้วย

ผลที่ได้รับ จะช่วยให้เราเป็นคนใจกว้าง และปราศจากอคติต่างๆ เพราะพร้อมเปิดใจรับผู้อื่น

7. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จจากการยินดีในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว
ปัตตานุโมทนามัย หรือ การอนุโมทนาส่วนบุญ คือ การยอมรับหรือยินดีในการทำความดีหรือทำบุญของผู้อื่น เมื่อใครไปทำบุญมาก็รู้สึกชื่นชมยินดีไปด้วย โดยไม่คิดอิจฉาหรือระแวงสงสัยในการทำความดีของผู้อื่น เช่น ร่วมอนุโมทนากับเพื่อนที่ไปสร้างโบสถ์สร้างวัด ไม่อิจฉาแม้เราไม่ได้ไป และอย่าไปคิดอกุศลว่าในทางที่ไม่ดี

ผลที่ได้รับ การไม่คิดในแง่ร้ายทำให้เราจิตใจไม่เศร้าหมอง เพราะได้ยินดีกับกุศลผลบุญต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แม้จะมิได้ทำเองโดยตรงก็ตาม

8. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จจากการฟังพระสัทธรรม
ธัมมัสสวนมัย หรือ การฟังธรรม ทำให้เราได้ฟังเรื่องที่ดี มีประโยชน์ทั้งต่อสติปัญญา และการดำเนินชีวิต ซึ่งการฟังธรรมนี้ ไม่จำเป็นต้องไปฟังที่วัด แต่อาจจะฟังจากเทป ซีดี หรือเป็นการฟังจากผู้รู้ต่างๆ โดยไม่รวมเฉพาะหลักธรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงเรื่องจริง เรื่องดีๆ ที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้และปัญญา

ผลที่ได้รับ จะทำให้ผู้ฟังเกิดการรู้แจ้งเห็นจริงยิ่งขึ้น

9. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จจากการแสดงพระสัทธรรม
ธัมมเทสนามัย หรือ การแสดงธรรม คือการให้ธรรมะหรือข้อคิดที่ดี ๆ แก่ผู้อื่น ด้วยการนำธรรมะหรือเรื่องดีๆ ที่เป็นประโยชน์ไปบอกต่อ หรือให้คำแนะนำให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เช่น สอนวิธีการแก้ปัญหา สอนวิธีการทำงานให้ แนะหลักธรรมที่ดีในการดำเนินชีวิต

ผลที่ได้รับ ทำให้ผู้อื่นได้รับรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และทำให้ผู้บอกกล่าวได้รับการยกย่องสรรเสริญอีกด้วย

10. ทิฏฐุชุกัมม์ ทำความเห็นให้ตรงถูกต้องตามความเป็นจริง
ทิฏฐุชุกัมม์ หรือ การทำความเห็นให้ถูกต้อง คือ การไม่ถือทิฐิ เอาแต่ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่ให้รู้จักแก้ไข ปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็น และความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ให้ถูกต้องตามธรรมอยู่เสมอ เป็นบุญข้อสุดท้ายที่สำคัญ เพราะไม่ว่าจะทำบุญใดทั้ง 9 ข้อที่กล่าวมา หากมิได้ตั้งอยู่ในทำนองครองธรรม การทำบุญนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ และให้ผลได้ไม่เต็มที่

ผลที่ได้รับ ความเข้าใจให้ถูกต้องตามธรรม เป็นการพัฒนาปัญญาที่นำไปสู่การมีชีวิตที่ดีงาม"

อย่างไรก็ตาม โพสต์ดังกล่าวมีทั้งผู้สนับสนุนพรรคประชาชน หรืออดีตพรรคก้าวไกลเดิมต่างเห็นด้วย กดไลค์และกดหัวใจ แต่ก็มีชาวเน็ตที่เห็นข้อความดังกล่าวตำหนิโพสต์ดังกล่าว อาทิ
- ป้ายนี้รู้สึกจะมีดราม่านะครับ
- ท่าน สส. ทำได้อย่างที่คัดลอกตำรามาโพสต์ไหม
- ต้องกินเหล้าข้ามปีรึไง เรื่องดีๆ ไม่ชอบเหรอ
- เป็นการโปร (โปรโมต) ที่ห่วยแตกมาก ทำบาปมาทั้งปีสวดมนต์ข้ามปีเเค่วันเดียว อย่างน้อยในช่วงเวลาที่เขาสวดมนต์ก็เป็นเวลาที่เขาเจริญกุศล ไม่ควรดูหมิ่นว่าบุญมีประมาณน้อย ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญว่าบุญมีประมาณน้อยจะไม่มาถึง แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมาทีละหยาดได้ ฉันใด ชนผู้มีปัญญา สั่งสมบุญแม้ทีละน้อย ย่อมเต็มด้วยบุญได้ฉันนั้น” และในการที่ไปสวดมนต์นั้นเขาคงไม่ได้ไปสวดอย่างเดียวหรอกต้องมีการฟังบรรยายธรรม รักษาศีล เจริญภาวนาบ้างเเหละ ไปศึกษาให้ดีก่อนนะ ค่อยโปร มีแต่เสียกับเสียไปทำความเข้าใจกับบุญกิริยาวัตถุ 10 มาใหม่ ไม่ใช่สักว่า copy เเล้วมาวาง

- สวดมนต์เป็นการเจริญกุศลครับ เข้าภาวนามัยและขวนขวายในทางที่ควรอย่าเอาไวรัลแบบนี้เลย
- สำหรับเรา นี่คือการสื่อสารที่ห่วยมาก
คนที่สวนมนต์ข้ามปี = คนที่ทำบาปมาทั้งปี ?
สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังให้มาก ถึงมากที่สุด คือ "การสื่อสารทางเดียว" มันจะถูกตีความเสมอ และบ่อยครั้งมากที่จะไม่ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร เพราะการตีความนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้รับสาร ไม่ใช่ผู้ส่งสาร

เราเข้าไปอ่านเนื้อหาข้างใน ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกี่ยวอะไรกับภาพ อยากเป็นคนตื่นธรรม รู้แจ้งเรื่องธรรม ก็ทำไปสิ วิธีที่จะใช้ปูเข้าเนื้อหา 10 ข้อนั้นที่ "ชวนอ่านแบบสุนทรีย์" มีตั้งเยอะแยะ ไม่ต้องใช้วิธีแบบ "หาเรื่อง" อย่างนี้ก็ได้.

เหนืออื่นใดคือ เราทุกผู้ทุกคนล้วนเป็นคนบาป เพราะเราเป็นมนุษย์ ถ้ามันจะพอมีสักวันหนึ่งที่เขาจะได้เข้าวัด(หรือสถานที่อื่นใดของศาสนาอื่น) เพื่อสวดปลอบประโลมจิตใจตัวเองบ้าง ก็เรื่องของเขา ซึ่งคุณไม่มีวันรู้เลยว่าตลอดทั้งปีเขาเจออะไรมาบ้าง

ไม่ต้องเรียกแขกมากหรอก เอาแค่ที่มีอยู่ก็รับมือกันไม่ไหวแล้ว สื่อสารแบบสร้าง "มิตร" เถอะ ยื่งหายากอยู่นะ

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าตัวได้โพสต์ขออภัยผ่านเฟซบุ๊กของตนเองแล้ว โดยระบุว่า ขออภัยและขอโทษ ผู้หลักผู้ใหญ่หลายๆท่านครับ  การสวดมนต์เป็นเรื่องดี และอยากให้เราสวดมนต์กันบ่อยๆ อยู่บ้านสวดได้ทุกวัน ก่อนไปทำงาน พนมมือตั้งนะโม 3 จบ เป็นมงคลดีมากๆ และนำแนวทาง บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ มาเป็นแนวทางการสร้างบุญคับ

สำหรับนายฉัตร สุภัทรวณิชย์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมารีย์วิทยา โรงเรียนอัสสัมชัญนครราชสีมา โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จบการศึกษาปริญญาตรี บริหารการขนส่งระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท การตลาดเชิงกลยุทธ์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และกำลังศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ระดับปริญญาโท สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ผู้บริหารและที่ปรึกษาบริษัทเอกชน ก่อตั้งและสร้างธุรกิจ บริษัทนำเข้า-ส่งออก ผู้อำนวยการสถาบันชุณหะวัณเพื่อการพัฒนาธุรกิจ SMEs อย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน

เส้นทางการเมือง เคยเป็นรองประธานสภาและสมาชิกสภาเทศบาลนครนครราชสีมา กลุ่มประสานมิตร ของนายสุรวุฒิ เชิดชัย เคยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา ในนามคณะก้าวหน้า ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อปี 2564 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แพ้ให้กับนายประเสริฐ บุญชัยสุข กลุ่มโคราชชาติพัฒนา ของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แต่การเลือกตั้ง สส. เมื่อปี 2565 นายฉัตรลงสมัครในนามพรรคก้าวไกล ซึ่งมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชนะนายเทวัญ ลิปตพัลลภ จากพรรคชาติพัฒนากล้า ได้เป็น สส.ถึงปัจจุบัน

‘มท.หนู’ อวย!! ‘แพทองธาร’ ชี้!! มีภาวะผู้นำสูง ลั่น!! ปรับ ครม. เป็นอำนาจนายกฯ แต่ขออยู่ที่เดิม

(29 ธ.ค. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการประเมินการทำงานของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกฯ ว่ามีอะไรต้องปรับปรุงหรือไม่ โดย นายอนุทิน ออกตัวว่าตนเป็นรองนายกฯ ผู้บังคับบัญชาคือนายกรัฐมนตรี ยกตัวอย่างหากไปถามปลัดกระทรวงมหาดไทยว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสอบผ่านหรือไม่ ซึ่งหากสอบไม่ผ่าน ก็ต้องบอกว่าสอบผ่าน แต่ถ้าหากถามว่ารัฐบาลทำงานด้วยกันได้หรือไม่ คำตอบก็ว่าทำได้

นายอนุทิน กล่าวยอมรับว่า นายกรัฐมนตรี มีภาวะผู้นำสูง และรัฐมนตรีคนอื่นๆ รวมทั้งตน ก็พร้อมรับคำแนะนำแนวปฏิบัติตามนโยบายของนายกฯ รวมถึงหากไม่ใช่นโยบายหลักของรัฐบาลก็ทำมาโดยตลอด และดำเนินการอย่างรวดเร็วด้วย รวมถึงความสามัคคีของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นได้ชัดก็มีรูปหมู่รวมกับนายกฯ และเนคไทที่ใช้อยู่ นายกฯ ก็มอบให้โดยมีตราทำเนียบรัฐบาลหราเต็มไปหมด ฉะนั้นหากเราไม่ชอบกัน ตนคงไม่ใส่เนคไทนี้

เมื่อถามว่า ปี 2568 มีอะไรต้องเร่งดำเนินการหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ฝั่งพรรคเพื่อไทย (พท.) กังวลเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนพรรค ภท. ก็เน้นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ที่ต้องทยอยทำให้ครบทั้งประเทศ ต้องเจรจากับคณะกรรมการไตรภาคีให้เรียบร้อย และในส่วนกระทรวงมหาดไทย ก็มีงานมากทั้งการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ผู้ค้ายาเสพติด การอำนวยความสะดวกดูแลประชาชน การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น การพัฒนาท่องเที่ยวภูมิภาค การพัฒนาประปาและน้ำดื่มสะอาด ไฟฟ้าต้องเข้าถึงทุกพื้นที่ รวมถึงภารกิจป้องกันภัยต่างๆ ต้องเร่งเดินหน้ามิติการป้องกันให้เพิ่มมากขึ้น เพราะช่วงหลังใช้งบในเรื่องการบรรเทาสูงเพราะปีนี้เฉพาะงบเยียวยาก็ 1 หมื่นกว่าล้านบาทแล้วเพื่อเป็นการป้องกันแก้ไขในระยะยาว และต้องทำให้เป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีการสังคายนาระบบหน่วยงานต่างๆ ทั้งหมด

เมื่อถามว่า ถึงเวลาที่จะต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วหรือไม่ และพรรค ภท. ยังพอใจในบทบาทกระทรวงเดิมหรือไม่  หัวหน้าพรรค ภท. ระบุว่าอะไรที่ไม่มีปัญหาก็อย่าให้มันมีปัญหา ซึ่งเรื่องการปรับ ครม. เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรี  หากมีการปรับเมื่อไหร่ก็จะแจ้งมายังพรรคร่วมรัฐบาล 

”พรรค ภท.ก็ยืนยันว่าไม่เปลี่ยนแปลงอะไรตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ มีการปรับ ครม. แล้วครั้งหนึ่งพรรค ภท. ก็ขอยืนยันว่าขออยู่ที่เดิม ไม่มีการขอหรือไปอ้างสิทธิ์ เมื่อมาถึงรัฐบาลของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ก็ยังยืนยันว่าสามารถทำงานได้“ หัวหน้าพรรค ภท. กล่าว 

เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับวาทะ “สามีคนใต้” นายอนุทิน พูดสำเนียงใต้ว่า “ผมก็ภรรยาคนใต้” ก่อนอธิบายต่อว่า มันไม่เกี่ยวกันเพราะเป็นการเปรียบเปรยของนายกฯ เพราะมีคนพูดว่านายกฯ ไม่สนใจภาคใต้ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เพราะเมื่อเกิดอุทกภัยก็ต้องลงไปตามลำดับชั้น เพราะบางทีเป็นผู้ใหญ่มากๆ เวลาลงไปก็ต้องมีคนมาดูแล นอกจากจะไม่ได้ช่วยแล้วจะทำให้เกิดความล่าช้า และเป็นไปไม่ได้หากลงไปจะไม่มีข้าราชการมาดูแลเพราะระบบมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

นายอนุทิน กล่าวว่า ทั้งนี้เมื่อเกิดอุทกภัยสิ่งสำคัญที่สุดคือ การลงไปช่วยเหลือหลังน้ำลดเพื่อฟื้นฟูเยียวยาซ่อมแซมซึ่งจะเป็นจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นคนที่มีวุฒิภาวะ ไม่มีทางจะบอกว่าไม่ลงพื้นที่เพราะไม่ชอบ ในทางกลับกันไม่ชอบยิ่งต้องลงพื้นที่จึงขอให้ตัดประเด็นนี้ออกไปได้เลย และในที่สุดท่านก็ลงสิ่งที่ได้ทำในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดอุทกภัยคือเน้นให้การช่วยเหลือเยียวยา

นายอนุทิน กล่าวว่าย้ำว่า หากถามว่ารัฐบาลสามัคคีกันหรือเปล่า ถ้าสำหรับการทำงานให้พี่น้องประชาชนเราสามัคคียิ่งกว่า เพราะมีทุกกระทรวงเห็นพ้องต้องกัน ระดมกำลังเข้าไปช่วย แต่ตอนนี้สิ่งที่เบื่อคือต้องให้เกิดเหตุก่อนแล้วค่อยลงไปช่วย ซึ่งมีความเสียหายเกิดขึ้น แต่ของบางอย่างหลีกเลี่ยงได้ 

‘รมว.ขิง’ โพสต์เฟซ!! ขอบคุณทุกฝ่ายที่คอยสนับสนุน พีระพันธุ์ เเละ รทสช. ในการทำงาน ชี้!! ‘นิด้าโพล’ เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าทุ่มเท พังทุกปัญหา เพื่อพัฒนาประเทศ

(29 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

เดินหน้าทำงาน…

วันนี้ เมื่อเทียบเวลาเดียวกันกับปลายปีที่แล้ว คะแนนนิยม วัดโดยนิด้าโพล เพิ่มขึ้น
ของ #หัวหน้าพี จาก 2.4% เป็น 10.25%
ของพรรค #รวมไทยสร้างชาติ จาก 3.2% เป็น 10.6%
ล่าสุดทะลุ 10% ทั้งคู่แล้ว

ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนพวกเรา คอยช่วยสื่อสารประชาสัมพันธ์ผลงานของพรรคและหัวหน้า #พีระพันธุ์
เราจะเดินหน้าทุ่มเททำงาน แก้ปัญหา พัฒนาประเทศ ด้วยจุดยืนที่มั่นคง ตามแบบ #DNAลุงตู่

‘ลิณธิภรณ์’ ฟาดใส่!! ‘โรม’ ไร้มารยาท เหตุ!! วิจารณ์ ‘อันวาร์’ หารือ ‘ทักษิณ’

(29 ธ.ค. 67) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน พาดพิงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พบหารือนายดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียว่า งงกับนายรังสิมันต์ที่ตั้งคำถามเหมือนคนไม่ตามข่าวสาร ว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซียซึ่งกำลังรับตำแหน่งเป็นประธานอาเซียนในปี 2568 แต่งตั้งอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ไม่ใช่เพราะท่านทักษิณเป็นล็อบบี้ยิสต์หรือเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีอย่างที่นายรังสิมันต์ยัดเยียด แต่เพราะนายกฯ มาเลเซียชี้แจงว่า “ท่านทักษิณเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญอันโดดเด่น และจะเปิดโอกาสอันประเมินค่าไม่ได้กับมาเลเซียและอาเซียน”

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า แม้อดีตนายกฯ ทักษิณ จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในรัฐบาลนี้ แต่การหารือที่เกิดขึ้นนั้น นายกฯ อันวาร์ก็เน้นย้ำวิสัยทัศน์การพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศร่วมกับนายกฯ แพทองธาร ซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาลไทย ดังนั้นเป้าหมายของเหล่าผู้นำ และประสบการณ์ที่ผู้นำต่างประเทศยกย่องเชิดชูอดีตนายกฯ ทักษิณ ล้วนแล้วแต่จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับประเทศและภูมิภาค

“มัวแต่จ้องจับผิดจนลามถึงผู้นำต่างประเทศ ที่เขาแต่งตั้งอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นที่ปรึกษา นับว่านายรังสิมันต์ตั้งคำถามแบบไม่มีมารยาท สุ่มเสี่ยงยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยที่พรรคประชาชนไม่เคยรับผิดชอบ เลิกอ้างประชาชนอยากรู้ เพราะประชาชนทั่วไปต่างติดตามประโยชน์ของชาติ ที่มีอดีตผู้นำที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนานาชาติ นำพาการเจรจาร่วมมือไปได้อย่างราบรื่น ต่างจากการมองโลกในแง่ลบ ตีทุกอย่างในแง่ร้าย เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศ” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘ไพเจน’ ยืนยัน!! ไม่ทิ้งชาวสงขลา ควงภรรยากินโจ๊ก ในวันที่ไม่มีหัวโขน ย้ำ!! จะมืดจะค่ำ ก็ยังดูแล เพราะเป็นงานที่ชอบ ขออาสา มาดูแลประชาชน

(29 ธ.ค. 67) ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ ในวันที่ไม่มีหัวโขน ควงภรรยากินโจ๊กร้านดังเกาะยอ หน้าโรงเรียนวัดแหลมพ้อ

เช้าวันหนึ่งผมชวน ศักดิ์สิทธิ์ สุวรรณโชติ เพื่อนรักสมัยเรียนโรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา ไปหาอาหารมื้อเช้าทานกัน หลังจากเสร็จภารกิจอันเหนื่อยล้าเมื่อวานนี้

“หาโจ๊กกินกันดีกว่า” โก้ (ศักดิ์สิทธิ์) เอ่ย ก็ไม่รอช้ารีบเดินทางไปตามนัด “ลุงเสรีป้าจิ” ร้านโจ๊กชื่อดังบนเกาะยอ สงขลา อยู่หน้าโรงเรียนวัดแหลมพ้อ

ไม่ผิดคาดคนเกือบเต็มร้าน กาแฟ 1 แก้ว โจ๊ก 1 ชาม สั่งมา

โจ๊กยังไม่หมดชาม รถตู้สีดำวิ่งเข้ามาจอด ชายสูงวัย แต่ยังแข็งแรง ทะมัดทะแมง กระโดดลงมาจากรถ ผู้หญิงอีกคนลบรถตามมา เดินเข้ามาในร้านลุงเสรีป้าจิ ทักทายผู้คนในร้านเหมือนรู้จักมักคุ้น

ไพเจน มากสุวรรณ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา พร้อมภรรยาคุณกัลยานั้นเอง ซึ่งเพิ่งพ้นตำแหน่งหมดวาระไป และโจ๊กใส่ไข่ คืออาหารมื้อแรกในวันที่ไม่มีตำแหน่งนายกฯอบจ.สงขลา ไม่มีหัวโขนใดๆ

“แม้จะไม่มีตำแหน่งอะไรแล้ว แต่ยังสำนึกในบุญคุณของชาวสงขลาที่เลือกให้มาเป็นนายกฯอบจ.ก็จะยังคงทำหน้าที่ช่วยเหลือชาวสงขลาต่อไป โดยเฉพาะงานด้านการเกษตร ที่ริเริ่มไว้หลายเรื่องก็จะสานต่อภารกิจช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรต่อไป”

ไพเจนอธิบายถึงภารกิจในวันที่พ้นตำแหน่งนายกฯอบจ.สงขลา และในระหว่างนี้ก็จะช่วยผู้สมัคร ส.อบจ.ที่เคยอยู่ในทีมเดียวกันหาเสียงต่อไป และจะยังคงพักอาศัยอยู่ในจังหวัดสงขลา

“ผมจบวิศวะ มีใบอนุญาตประกอบอาชีพวิศวกร ยังสามารถทำงานได้ เป็นที่ปรึกษาบริษัทต่างๆด้านวิศวกรรมได้ มีติดต่อมาจะให้เป็นที่ปรึกษาก็หลายบริษัท” ไพเจนอธิบายถึงภาพในอนาคต แต่เลี่ยงที่จะกล่าวถึงอนาคตทางการเมือง

“ผมเป็นคนไม่เครียด แม้จะทุ่มเททำงานหนัก เช้าจรดเย็น มืดค่ำก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นงานที่เราชอบและขันอาสามาแล้ว ประชาชนไว้วางใจแล้ว

ค่ำของวันเดียวกัน ”ไพเจน“ยังไปที่ร้านมะม่วงเบา ย่านสิงหนคร ซึ่งเพื่อนร่วมรุ่น มว.74 (มหาวชิราวุธ รุ่น 74) นัดเลี้ยงส่งหลังพ้นจากตำแหน่งนายกฯอบจ.สงขลา ด้วยมิตรไมตรี และมิตรภาพที่มีต่อกันมายาวนานด้วยบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่น

”เมื่อเลือกว่าที่นี้ดีที่สุด คือมหาวชิราวุธวิรุจค่า ก้าวมาแล้วจงทำตนพ้นราคา
ประหนึ่งเกลือคงวารักษาเค็ม”

นี้คือสิ่งที่ชาวมหาวชิราวุธ ครองตนและยึดมั่นเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต

”รกฺขาม อตฺโน สาธุํ“ 

รักษาความดี ประดุจเกลือรักษาความเค็ม

‘จตุพร’ คอนเฟิร์ม!! ‘พีระพันธุ์’ ขวางผลประโยชน์ของนายทุน เป็นห่วงจะถูกกำจัดทิ้ง หลังปีใหม่ ชี้!! ไม่น่าจะยื้อได้นาน

(28 ธ.ค. 67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้แสดงความเป็นห่วง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ได้ทุ่มเททำงานทุกอย่าง เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติ ซึ่งในขณะนี้ก็ได้เข้าไปขัดขวางผลประโยชน์ของนายทุน โดยนายจตุพร ได้ระบุว่า ...

คุณพีระพันธุ์ แม้ว่ามีเจตนาจะทําแต่ละเรื่องราว เพื่อจะลดราคาพลังงาน ไม่ว่าน้ำมัน แก๊ส ค่าไฟฟ้า ก็ตาม

ก็เป็นอุปสรรค ถูกขัดขวาง จากกลุ่มทุนผูกขาดที่นายกรัฐมนตรี และคุณทักษิณ ประกาศจะทลายนะครับ เมื่อวานก็ตีกอล์ฟ อยู่ด้วยกันนะครับ กําลังทลายกันอยู่นะครับ

ผมเองก็มองเห็นว่าคุณพีระพันธุ์เองนั่นแหละครับ ผมไม่รู้ว่า เขาจะอยู่ได้อีกสักกี่วัน หลังจากปีใหม่ เพราะเค้าคือลําดับต่อไป เพราะว่าเค้าไปยืนขวางทุกอย่างที่เป็นเรื่องของของผลประโยชน์

ถ้ารัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้าทันทีเนี่ย 

ความเป็นจริงต้องเอื้อกับคุณพีระพันธุ์ มันจึงจะทําอย่างนั้นได้

เพราะคุณพีระพันธุ์เนี่ยนะครับ ผมคิดว่าเค้าคงจะไม่ทนกับคุณพีระพันธุ์ เพราะคุณพีระพันธุ์ไปยืนขวางอยู่หลายโครงการมากนะครับ เพราะว่าแต่ละโครงการมันเต็มไปด้วยผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นเค้าจึงเป็น ‘พีระพัง’ทุกเรื่องนะครับ ไปขัดขวางผลประโยชน์ของนายทุน ถ้าไม่ใช่ผลประโยชน์ของชาติ เขาก็ไปยืนพัง

แต่ผมเชื่อว่า เขาไม่น่าจะยื้อได้นาน ยกเว้นว่า จะมีการคํารามของคู่แคนดิเดตนายกเขานะครับ ซึ่งก็ยังมากด้วยฤทธิ์ มากด้วยบารมี

แต่ว่า ชะตากรรมของคุณพีระพันธ์ที่ไปยืนขวางนั้น เป็นหมากหนึ่ง ที่ต้องถูกกําจัด ถัดจากพลเอกประวิตรนะครับ ไม่รู้ว่าเขาจะยื้อได้สักเพียงไหน

‘เปลว สีเงิน’ เผย!! ‘รมช.สุชาติ’ ลุยงาน เปิดตลาดการค้าต่างประเทศ ไม่เว้นแต่ละเดือน ชี้!! ข้าราชการในกระทรวง ออกปากชม ทำงานจริงจัง ให้เกียรติทุกคน น่ารักไม่ถือตัว

เมื่อวานนี้ (27 ธ.ค. 67) ‘เปลว สีเงิน’ นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้นำเสนอบทความ ในหัวข้อ ‘รัฐมนตรี’ ที่ ‘นักข่าวลืม’ โดยระบุว่า…

‘นายกฯ แพทองธาร’ นี่....

ต้องยอมรับกันจริงๆ จังๆ ว่า ‘ออร่า’ ในตัวเธอเจิดจ้ามาก!

ขนาดแฟชั่น ‘แบรนด์เนม’ ชุดละเป็นแสนๆ ที่เห็นรายวัน

พอนายกฯ ใส่เท่านั้นแหละ

ด้วยรัศมีออร่า ข่มชุดแฟชั่น ‘แบรนด์เนม’ ให้กลายเป็นชุด ‘แบกะดินส์’ ไปทันที!!

สิ่งที่ตามมาโดยไม่ตั้งใจ .........

คลาสการแต่งกายเจ้านายนั้น ช่วยสร้าง ‘มูลค่าเพิ่ม’ ให้แจ๋ว 3-4 นางที่เยื้องย่างเป็นวอลเปเปอร์ ‘พลอยดูแพง’ เสมอหน้า-เสมอตาไปด้วย

อย่าง ‘มนพร’ รมช.คมนาคม .....เห็นมั้ย

ยืนแยกยิ้มประกบข้างนายกฯ ตอนให้สัมภาษณ์ทีไร หน้า "แอนโทเนีย โพซิ้ว" ลอยเด่นขึ้นมาเลย!!

ของ ‘แพง’ แต่แต่งแล้วทำให้ดูเป็น ‘ของถูก’  แบบนี้ ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ทุกคน

นอกจากต้องเข้าใจเรือนร่างของตนแล้ว ต้องมีศิลปะในการเลือก ต้องมีรสนิยมในการแต่ง ผสมจิตวิทยาชั้นสูงจริงๆ อย่างนายกฯ หญิงของเรา

จึงจะสามารถทำให้ชาวบ้านร้านตลาด เห็นแล้วเกิดความรู้สึกว่า

"อุ๊ย!...นายกฯ หญิงคนนี้ "ติดดิ๊นน...ติดดิน" น่ารักจัง!!"

วันนี้ ศุกร์ 27 ธันวา ถือว่า ‘ส่งท้ายปี 2567’ เพราะดูปฏิทินแล้ว คงหยุดลากยาว ‘ข้ามปี’ ไปสัปดาห์ที่ 2 ของปี 68 นั่นแหละ ถึงจะเริ่มชีวิตใหม่กัน

มา ‘เช็กเค้า’ ประเทศกันหน่อยปะไร

วานซืน ‘นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์’ ผอ.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)กระทรวงพาณิชย์ แถลง ซึ่งผมจะสรุปคร่าวๆ

ส่งออกเดือน พ.ย.67 มูลค่า 25,608.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 8% บวก 5 เดือนติด

รวมยอด 11 เดือน มูลค่า 275,763.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 5% คิดเป็นเงินบาท 9,695,455 ล้านบาท

คาด ธ.ค. ยังส่งออกได้ดี มีลุ้นทำนิวไฮ 3 แสนล้านเหรียญฯ โตทะลุเป้า 5.2% 

นำเข้ามีมูลค่า 25,832.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น ๐.9% คิดเป็นเงินบาท 867,456 ล้านบาท

ขาดดุลการค้า 224.4 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท 18,387.1 ล้านบาท

ส่งออกที่เพิ่มขึ้น มาจากสินค้าเกษตร เพิ่ม 4.1% สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 7.7% และสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 9.5%

ตลาดส่งออก ‘ตลาดหลัก’ สหรัฐฯ เพิ่ม 9.5% จีน เพิ่ม 16.9% สหภาพยุโรป เพิ่ม 11.2% CLMV เพิ่ม 21.๐%

ญี่ปุ่น ลด 3.7% อาเซียน (5 ประเทศ) ลด 1.5% ตลาดรอง เพิ่ม 7.1% 

เอเชียใต้ เพิ่ม 18.3% ทวีปออสเตรเลีย เพิ่ม 1.๐% ตะวันออกกลาง เพิ่ม 1.7% แอฟริกา เพิ่ม 13.8%

ลาตินอเมริกา เพิ่ม 31.8% และสหราชอาณาจักร เพิ่ม 12.๐%

กลุ่ม CIS (รัสเซีย เบลารุส คาซัคสถาน อาร์เมเนีย มอลโดวา อาเซอร์ไบจาน คีร์กีซ อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และยูเครน)

ลด 5.3% และตลาดอื่นๆ เพิ่ม 29.๐%

นี่คร่าวๆ นะครับ เพื่อจะบอก 2 อย่าง....

1.ให้เครดิตนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นายสุชาติ ชมกลิ่น-นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์

และ ‘ข้าราชการพาณิชย์’ ทั้งกระทรวง

ท่องเที่ยวกับส่งออก เป็น ‘2 เครื่องยนต์’ ที่นำรายได้เข้ามาประคองเศรษฐกิจประเทศ ไม่ให้หัวปักทิ่มดิน เวลานี้!!

2.ปี 68 เศรษฐกิจ จะ ‘เผาจริง’ ทั้งโลก ....

ยิ่งทรัมป์แปลงการค้าเป็นอาวุธจี้หัวประเทศต่างๆ

บอก ‘ข้าจะเสนอในสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำตาม’ ด้วยแล้ว

การส่งออก ‘ทั้งโลก’ มีปัญหาแน่นอน!!

นำสู่ปัญหาที่ไทยต้องคิด ว่าการใช้เงินในปี ๖๘ รัฐบาลจะแค่เอาตัวเองรอดหรือเอาประเทศรอด?

ผมอ่านที่ ‘The Publisher’ เขาโพสต์ เมื่อวาน มันเป็นเรื่องจริง ที่ต้อง ‘คิดหนัก’ ทุกฝ่าย

The Publisher
ย้อนดูการจัดงบประมาณของรัฐบาลเศรษฐา มาจนถึงรัฐบาลแพทองโพย
พบว่า มีการจัดงบประมาณ ‘ขาดดุลต่อเนื่อง’ อย่างมีนัยสำคัญ เริ่มจากปีงบประมาณ 2567  ขาดดุล 6.93 แสนล้านบาท
ปีงบประมาณ 2568 ขาดดุล 8.7 แสนล้านบาท
และปีงบประมาณ 2569 วางแผนขาดดุลอีก 8.6 แสนล้านบาท 
บวกดูแล้วพบว่าการจัดงบประมาณ 3 ปีของรัฐบาลเพื่อไทย รวมขาดดุลแล้วกว่า 2.4 ล้านล้านบาท

ทั้งๆ ที่มีเสียงเตือนจากหลายหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ อาทิ สภาพัฒน์ เตือนมาตั้งแต่การทำงบประมาณปี 67 ว่า "ต้องลดการขาดดุลลง ให้ต่ำกว่า 3% ของจีดีพี"

แต่การจัดงบประมาณของรัฐบาลเพื่อไทย สวนทางมาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ ขาดดุลเกิน 4%  ของจีดีพี ไปแล้ว

แน่นอนว่า ‘หนี้สาธารณะ’ จะพุ่งเป็นเงาตามตัว

หาก ‘ภาวะขาดดุล’ ยังดำรงอยู่เช่นนี้ ไม่มีการแก้ไข คาดการณ์ว่า ภายในปี 2572 ยอดหนี้สาธารณะจะแตะที่เพดาน 7๐%
ขณะที่การหารายได้เพิ่มยังไม่มีหนทางที่ชัดเจน!!

จึงไม่น่าแปลกใจที่เห็นความพยายามสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ทั้ง ‘พันธบัตรดิจิทัล’

ซึ่งเปรียบเสมือนการ ‘สร้างเงินสกุลใหม่’ มาแข่งกับ ‘สกุลเงินบาท’ ไปจนถึงการ ‘ล็อกเป้า’

เล็งล้วง ‘ทุนสำรองระหว่างประเทศ’ มากระตุ้นเศรษฐกิจ
นี่คือทัศนคติที่น่าห่วง......

เป็นกับดักและความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย ถ้ายังเดินตามรอยนี้ ไม่เพียงไม่ได้ตามเป้าเศรษฐกิจโต 4-5% 

อาจตามมาด้วยการ ‘ถูกลดเครดิต’ จากภาระหนี้ที่เกิดขึ้นด้วย

‘หนุมาน’ หาวเป็นดาว-เป็นเดือน แต่ ‘ไอ้ตัวมาร’ มันจะฮุบประเทศ สอยทั้งดาว-ทั้งเดือน ไปเป็นสร้อยสวมคอตระกูลมัน!! หนี้ประเทศล้นคอหอย ก็พลิกแพลงจะไปพิมพ์ ‘พันธบัตรดิจิทัล’ ทำให้ประเทศไทยมีเงิน 2 สกุล (ฉิบหายละทีนี้) จะเอาอะไรไปค้ำ ‘พันธบัตรดิจิทัล’ ล่ะ? ก็ทองคำ ‘หลวงตาพระมหาบัว’ ที่เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศนั่นไงล่ะ!!

ฝากให้คิดกัน ประเทศตอนนี้ ‘เหลือน้ำมันก้นถัง’ แล้ว รัฐบาลก็ยังขอด-ยังขุดเอาไปผลาญ แจกโน่น-ประชานิยมนี่ หว่านโปรยทุกครั้งที่ลงไปตะแล็ดแต๊ดแต๋ต่างจังหวัด

วานซืน รัฐมนตรีช่วยคลัง บอก

จะออก ‘สลากการกุศล’ งวดละ 11 ล้านฉบับ เป็นเวลา 2 ปี เอาเงิน 10,000 ล้านบาทไปทำ ‘โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา’

พูดให้ชัดลงไปก็สิ้นเรื่อง ว่าเอาไปทำ ประชานิยม!!

ย้อนกลับไปที่พาณิชย์ซักหน่อย ที่ผมยกตัวเลขการส่งออกมาให้ดูนั้น ท่านทราบมั้ย เป็นการทำงานของหน่วยงานไหน?

สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ที่ ‘นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์’ เป็นผู้อำนวยการฯ นั่นแหละ

แล้วใครกำกับ-รับผิดชอบหน่วยงานนี้?

รมช. ‘สุชาติ ชมกลิ่น’

ที่นักข่าวตั้งฉายา ‘รัฐมนตรีโลกลืม’ คู่กับ ‘รมช.นภินทร’ นั่นเอง!!

นอกจาก สนค.แล้ว รมช.สุชาติ ยังได้รับการแบ่งงานให้คุม ‘กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ’ และ ‘สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน)’ ด้วย

ถ้า ‘โลกลืม’ หมายถึง รมช.ไม่ทำงาน ก็คงไม่มีเนื้องานเช่นนี้มาแถลง

ฉะนั้น ที่นักข่าวทำเนียบฯ ตั้งฉายา ‘รัฐมนตรีโลกลืม’ น่าจะเป็นอย่างที่ ‘รมช.นภินทร’ ท่านย้อนนักข่าว ว่า

“ผมอยากฝากสื่อประจำทำเนียบรัฐบาลว่า  ลองพูดคุยกับสื่อประจำกระทรวงพาณิชย์บ้าง ว่าผมทำงานอะไรบ้าง เนื่องจากผมไม่จำเป็นต้องมาแถลงที่ทำเนียบฯ เพราะไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำเนื่องจากเป็นงานกระทรวง สำหรับ รมช.สุชาตินั้น...
ท่านดูแลงาน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ด้วย เผอิญโลกที่สองของผม คือพวกเว็บข่าวสารต่างๆ

จึงเห็นภาพ-ข่าว ‘รมช.สุชาติ’ เดินทางไปเจรจาการค้า ไปเปิดตลาดการค้าตามประเทศโน้น-นี้ ไม่เว้นแต่ละเดือน
นั่นก็ช่างเถอะ

รัฐมนตรีก็ ‘ทำงาน-เอางาน’ นักข่าวเขาก็ ‘ทำข่าวเป็นงาน’ ขำๆ รายปีกันไป อย่าไปซีเครียด ตรงนี้ตะหาก....

ที่ผมจะบอกให้ท่าน ‘รัฐมนตรีสุชาติ’ ได้ปลื้มปริ่ม

คือผมมีมิตรสหายอดีต ‘ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่’ กระทรวงพาณิชย์หลายคน ว่างๆ ก็นั่งซดกาแฟแกล้มนินทาโน่น-นี่กันตามประสา

เขาบอกว่า ‘ข้าราชการในกระทรวง เขาชมรัฐมนตรีสุชาติกันมาก’

"ชมเรื่องอะไร?" ผมถาม
ผู้ใหญ่ท่านนั้นบอกว่า "ข้าราชการเขาชมรัฐมนตรีสุชาติน่ารัก ไม่ถือตัว และให้เกียรติข้าราชการมาก ชี้แจงอะไรท่านก็รับฟัง ทำงานจริงจัง"

นี่คือ แผ่นทอง ที่ยากนัก-ยากหนา อันข้าราชการจะปิดให้ นักการเมืองคนไหน ผมจึงมาเอาหน้ากับท่านรัฐมนตรีว่า ‘นักข่าวลืม’ นั่นโลกมายา

‘ข้าราชการพาณิชย์’ เขาไม่ลืมและชื่นชมท่าน นั่นตะหาก คือโลกจริง!!

เปลว สีเงิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top