Friday, 26 April 2024
POLITICS

ส่อง 'เขมร' จัด 'เรือรบ' พร้อมทหารกล้า เตรียมล่าขุมทรัพย์ไทย ส่วนประเทศไทยมี 'เรือประมงสู้' พร้อมนักการเมืองส้มชักธงรบ

ประเด็น 'เกาะกูด' ที่คนไทยถูก 'มนต์เขมร' อ้างอีกครั้งว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน หวังจะตะกายฮุบไปครองเพื่อ 'สมบัติใต้ทะเลลึก' ในอนาคต ผมคิดว่ายังไงก็เป็นได้แค่ 'ปาหี่ยี่ห้อเขมร' ที่ถนัดแต่แสวงหาสมบัติของคนอื่นมาเป็นของตัวเองหน้าตาเฉย

ที่ผ่านมาก็ลักเอาทรัพย์สินทางปัญญา, ศิลปะการต่อสู้, แผ่นดิน บัดนี้ก็ถึงเวลาของท้องทะเลไกล 

แต่งานนี้ 'เป็นไปได้' ที่มี 'คนไทยนิสัยขายชาติ' รวมหัวเล่นบทตีสองหน้า แฝงหัวใจเป็น 'พ่อค้าสินในน้ำ' เพราะไม่ใช่จะมีแค่เพชร, พลอย หรือปะการังแปลก ๆ งาม ๆ แต่คือ แหล่งน้ำมันใต้ทะเลไทย ที่หากใครครอบครองได้ก็จะร่ำรวย มีเงินมากกว่า 'Bernard Arnault' และ 'Elon Musk' รวมกันเป็นแรงจูงใจให้คิดทรยศชาติตัวเอง 

แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็จะหายไปกับสายลม เมื่อคนไทยตื่น และตระหนักถึงความหวงแหนแผ่นดิน...โจรต่างชาติอย่างเขมร ก็ต้องคิดหนัก

อย่างไรเสีย ก็มีข่าวโปรยออกมาสักพักแล้วว่า 'นักลักชาวเขมร' ได้เตรียมเรือรบ ทหารกล้า อาวุธหนัก มาตรึงกำลังใกล้เราแค่จมูก หวังขู่ให้คนไทยกลัว แต่คนไทยอย่างพวกเรามี 'กองทัพเรือประมง' ที่อดีตหัวหน้าพรรคการเมืองล้มสถาบัน คอยใช้อวน สุ่ม เบ็ด ตาข่าย และแห เป็นอาวุธประจำเรือ ก็ยากที่ 'เขมรหิว' จะฝ่าด่าน 'เรือประมงส้ม' ของนายพล พิธา จมูกยาว ผู้บัญชาการประมงคนปัจจุบันเข้ามาได้

เขมรใช้เรือรบ ใช้ปืน ใช้ทหาร แต่เราชาวไทยตะโกนถามเขมรกลับไปดังก้องทะเลว่า “ทหารมีไว้ทำไม?” ทำให้เขมรสามสี่ห้าฝ่าย งง จนต้องหยุดชะงักแผนการกลืนเกาะของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเราลงชั่วคราว 

'มหาโจรยึดเกาะ' ต่างสงสัยในคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม?” จนต้องเอา 'ปริศนาธรรม' ของ 'นายพลส้ม' มาขบคิดต่อถึงความปราดเปรื่องเรื่องการปกป้องผืนทะเลไทย 

เรื่องราวของ 'เกาะกูด' ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ แม้จะยังไม่มีบทสรุปออกมาในเนื้อข่าว แต่เดาได้ง่าย ๆ ว่า สิ่งใดที่เป็นของคนไทย ก็จะเป็นของไทยวันยังค่ำ สิ่งใดที่ฉลาดล้ำ ก็จะไม่มีทางโง่เง่าเต่าตุ่น 

'ทหารมีไว้ทำไม?' ไม่เห็นต้องเก็บเอาไปคิดเลย

'เต้-มงคลกิตติ์' แจ้งจับ 'พิธา-พวก' เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง อาจต้องโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหลายราย

(4 มี.ค.67) ที่ศูนย์รับแจ้งความ บชก. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีพรรคก้าวไกล ล้มล้างการปกครอง เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ฉบับเต็มรวม 32 หน้า มามอบให้กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ประกอบการพิจารณาดำเนินคดีอาญา กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และผู้บริหารพรรคก้าวไกล รวมความ 10 ราย

นายมงคลกิตติ์ ระบุว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าก้าวไกลเข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง ตนได้ส่งหนังสือร้องเรียนไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินคดีกับนายพิธาและพวกตามกฎหมาย ซึ่งหลังยื่นคำร้องดังกล่าว ทาง ผบ. ตร.ได้ดำเนินการมีคำสั่งมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งวันนี้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม เจ้าของสำนวนคดีนี้ ได้นัดให้ตนนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม มามอบให้กับพนักงานสอบสวน ในฐานะผู้ร้อง

"มองว่าคดีนี้ต้องทำให้เป็นเยี่ยงอย่างเพื่อไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคตเพราะการใช้นโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และพยายามให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบการปกครองประเทศ ที่สำคัญมีการบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยธรรมวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว มีความชัดเจนว่าการกระทำของนายพิธาและพรรคก้าวไกลเป็นความผิดร้ายแรง แต่เป็นความผิดเฉพาะบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค ดังนั้นพนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย เชื่อว่าหากพนักงานสอบสวนดำเนินคดีจะมีผู้ถูกออกหมายจับ อาจต้องโทษถึงประหารชีวิตถึง 10 ราย และจำคุกตลอดชีวิตอีกหลายคน" นายมงคลกิตติ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเบื้องต้นพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเจ้าของสำนวนคดี ได้รับคำวินิจฉัยดังกล่าวไว้ประกอบการพิจารณา ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘ก๊อง-ปรเมษฐ์’ ซัด!! ‘พิธา’ ขาดความเข้าใจเรื่องเช่าที่ราชพัสดุ

(4 ก.พ.67) จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปรับฟังปัญหาด้านที่ดินทำกินจากพี่น้องประชาชนชาวหนองวัวซอ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี และได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องการจัดการที่ดินทำกิน ระบุว่า…

“มองว่าปัญหาข้อแรกคือเรื่องการจัดการที่ดิน รัฐต้องสร้างกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วม ข้อสองคือรัฐบาลควรตรวจสอบที่ดินของรัฐที่อยู่กับกระทรวงทั้ง 8 กระทรวง ไม่ว่าจะเป็น กลาโหม มหาดไทย เกษตร ฯลฯ ว่ามีที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่เท่าใด ประเทศไทยมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 320 ล้านไร่ มีเท่าไรที่สามารถนำมาให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้ สิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและพัฒนาชนบทด้วย”

นายพิธากล่าวต่อว่า “ในส่วนของหนองวัวซอ เป็นหนึ่งในหลายพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายๆ กันทั่วประเทศ กล่าวคือ พื้นที่หนองวัวซอมีที่ดินที่ทหารครอบครอง 39,235 ไร่ พื้นที่ที่จะนำมาเข้าร่วมโครงการซึ่งซ้อนทับกับที่ดินของประชาชนมีอยู่ 9,255 ไร่ มีประชาชนใช้ประโยชน์อยู่ 1,597 ราย พื้นที่ทับซ้อนเหล่านี้ประชาชนคัดค้านการเป็นที่ดินของทหารมาตลอด เรียกร้องการพิสูจน์สิทธิ์มาตลอด แต่ไม่เคยมีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์จากรัฐ จากการขึ้นทะเบียนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง จนต่อมากลายเป็นที่ดินราชพัสดุในความดูแลของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง”

ทั้งนี้ ที่ราชพัสดุทั่วประเทศมีทั้งหมดกว่า 12 ล้านไร่ ครึ่งหนึ่งถือครองโดยกองทัพ ทั้งที่ที่ราชพัสดุเป็นที่ดินของรัฐที่ควรให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต แต่กระทรวงการคลังต้องการให้ประชาชนเช่าที่ดินเพียง 3 ปี ซึ่งตนมองว่าเป็นระยะเวลาที่ไม่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นคง เกษตรกรไม่สามารถวางแผนเพาะปลูก หรือผู้เช่าที่ดินไม่สามารถวางแผนจัดการที่ดินของตนได้ เมื่อเทียบกับการที่รัฐอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังมากถึง 99 ปี

"หากต้องการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ไม่มีประเทศพัฒนาแล้วที่ไหนที่รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินมากถึง 60% ดังนั้นกลับไปที่หลักการเดิม ที่ประชาชนควรจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และรัฐบาลควรจะใช้ที่ดินอย่างเหมาะสมจริง ๆ" พิธากล่าว

ล่าสุด นายปรเมษฐ์ ภู่โต ผู้ดำเนินรายการ ‘ถึงแก่น Live’ ก็ได่ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีที่นายพิธา วิพากษ์โครงการหนองวัวซอโมเดล อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี โดยระบุในบางช่วงบางตอนของรายการว่า…

“การที่คุณพิธาพูดว่า ให้ชาวบ้านเช่าแค่ 3 ปี ไม่มีหลักประกัน พูดแบบนี้คือ คนที่ไม่เคยเช่าที่ราชพัสดุ...บ้านผม ชุมชนบ้านครัวเขตปทุมวัน กลางกรุงเลย ก็เช่าที่ราชพัสดุ จากกรมธนารักษ์ มาตั้งแต่รุ่นทวด จนถึงปัจจุบัน ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เขาก็ต่อให้ทุกปี คนถือสิทธ์เสียชีวิต ทายาทก็ไปทำเรื่องเช่าต่อมาแบบนี้”

ศาลฎีกาฯ มติเอกฉันท์ ยกฟ้อง-ถอนหมายจับ 'ยิ่งลักษณ์' พร้อมพวก ปมคดีจัดอีเวนต์โรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย งบ 240 ล้านบาท

(4 มี.ค. 67) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเป็นเอกฉันท์ 9:0 พิพากษายกฟ้องคดีที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวม 6 คน ประกอบไปด้วย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ, บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน), บริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และ นายระวิ โหลทอง จำเลยที่

ความผิดเกี่ยวกับการเสนอโครงการ โรดโชว์ ที่ไม่ใช่กรณีเร่งด่วนขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใช้ดุลยพินิจบิดผันสั่งอนุมัติงบกลาง มีเจตนาร่วมกันในการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษอันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ และยังมีการร่วมกันดำเนินการเพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีมติยกเว้นการลงนามในสัญญาก่อนได้รับเงินประจำงวดทั้งที่ไม่ได้เข้าเงื่อนไข เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจำนวนเงิน 239,700,000 บาท

โดยศาลชี้ว่าจำเลยที่ 1-3 ไม่มีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และ 157 และไม่มีความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. ปี 2561 มาตรา 192 และมาตรา 123 /1 รวมถึงไม่มีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ ปี 2542 มาตรา 12 และ 13 และชี้ว่าจำเลยที่ 4-6 ไม่มีความผิดตามคำฟ้องเช่นกัน โดยยังไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86

จากการไต่สวนพยานและหลักฐานศาลชี้ว่า การที่จำเลย 1-3 ดำเนินนำงบกลางจำนวน 40 ล้านบาท มาจัดดำเนินโครงการโรดโชว์ เป็นการดำเนินนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งศาลมีอำนาจวินิจฉัยถึงการใช้งบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐและตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจของนางสาวยิ่งลักษณ์ และไม่ได้กำหนดเวลากระชั้นชิดเพียงเพื่อเป็นเหตุอ้างในการใช้งบกลาง ประกอบกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมีความเห็นว่าสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะอนุมัติงบกลางนี้ได้ จึงเป็นดุลยพินิจที่กระทำไปบนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้นอีกทั้งการจัดโครงการโรดโชว์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กระชั้นชิด

และยังกล่าวถึงพฤติการณ์ของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ว่าไม่ปรากฏว่ามีส่วนร่วมหรือแนะนำโดยมิชอบ ในกระบวนการเสนออนุมัติงงบกลาง ในการดำเนินการ และไม่ปรากฏพฤติการณ์ในการร่วมกันแทรกแซงหรือมีคำสั่งให้ เลือกบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตเป็นผู้รับจ้างโครงการไว้ล่วงหน้าก่อนเริ่มการจัดจ้าง หรือไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะอย่างใดเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์หรือเลือกเฉพาะเจาะจงหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่น

ขณะเดียวกัน จากการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ความว่า เห็นว่านายสุรนันทน์ไม่ได้กระทำการ ในลักษณะที่เป็นการชี้นำหรือจูงใจหรือให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ และไม่ได้มีบุคคลใดสั่งให้เลือกบริษัทเอกชนทั้งสองเป็นผู้รับจ้าง ซึ่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ เป็นไปภายใต้เงื่อนไขการดำเนินโครงการที่กระชั้นชิด ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำได้ตามระเบียบกฎหมาย จึงไม่ได้ใช้วิธีการประกวดราคา ตามข้อกล่าวหาจึงขาดเรื่องเจตนาพิเศษ ในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการอนุมัติจัดโครงการ เพื่อทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

โดยประการสำคัญที่สุดหลังเกิดเหตุรัฐประหารเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบโครงการดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าโครงการโรดโชว์ เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุจึงอนุมัติเบิกจ่าย สอดคล้องกับการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดพบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อหน่วยงานรัฐ ดังนั้นจึงฟังได้ว่านายสุรนันทน์ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติ

สำหรับโครงการอีก 10 จังหวัดในวงเงิน 200 ล้านบาท เป็นการดำเนินการที่กระชั้นชิดไม่มีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการประกวดราคา และเข้าเงื่อนไขตามระเบียบสำนักนายกฯรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุเช่นเดียวกัน

ส่วนจำเลย 4-6 จากข้อเท็จจริงทางไต่สวนรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดซึ่งกรณีการแบ่งจังหวัดของบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตนั้นเป็นไปตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและเพื่อจัดทำงานนำเสนอจึงไม่ถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันฮั้วประมูลจึงไม่ผิดตามคำฟ้อง

‘นายกฯ’ ชี้!! รอ ‘พีระพันธุ์’ ชงต่ออายุมาตรการพลังงานอยู่ หลังราคา ‘น้ำมันดีเซล-ค่าไฟฟ้า’ ใกล้สิ้นสุดมาตรการ

เมื่อวานนี้ (3 มี.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับประชาชน โดยมติครม. ตรึงราคาน้ำมันดีเซล 30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.นี้ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้ากลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านพักอาศัยไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ที่จะสิ้นสุดมาตรการในเดือนเม.ย.นี้ ว่ารัฐบาลมีแนวโน้มจะต่ออายุมาตรการดังกล่าวหรือไม่ ว่า รอ รมว.พลังงาน เป็นผู้เสนอ

‘หมอวรงค์’ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ 4 มี.ค.นี้ จะบุกจี้ ผบ.ตร. เพื่อเร่งดำเนินคดีอาญา ‘พิธา-พรรคก้าวไกล’

(3 มี.ค.67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “ดำเนินคดีอาญาพิธาและพรรคก้าวไกล” โดยได้ระบุว่า หมอวรงค์และพรรคไทยภักดี จะไปยื่นหนังสือต่อผบ.ตร. เพื่อเร่งรัดดำเนินคดีอาญานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และเครือข่าย ที่ใช้สิทธิและเสรีภาพล้มล้างการปกครองฯ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2567 เวลา 10.30น. ณ.สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

‘พายัพ’ ซัด ‘ชัยธวัช’ อย่าคิดฝันหวาน จะล้มรัฐบาล เย้ย ‘ก้าวไกล’ เหมาะสมแล้วที่เป็นฝ่ายค้าน ขอให้ทำต่อไปนานๆ 

(3 มี.ค.67) นายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.ของพรรคหลายคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าจะมีนายกฯ 2 คน ว่า เป็นเจตนาหวังผลทางการเมือง ต้องการทำให้เกิดความสับสนหวาดระแวงขึ้นในรัฐบาลและพี่น้องประชาชน จึงขอให้หัวหน้าพรรคและ สส.พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำ เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ลงทุนตอกลิ่มหวังผลให้รัฐบาลสั่นคลอน

“ขอให้ตื่นกันได้แล้ว อย่าฝันหวานเรื่องการสั่นคลอนรัฐบาลเลย เพราะนายเศรษฐาเป็นคนตั้งใจทำงาน การคิดเช่นนั้นเหมือนฝันกลางแดด พรรคก้าวไกลเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ก็ขอให้ทำต่อไปนานๆ จนครบวาระ 4 ปี”

นายพายัพ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากมีเวลาว่างก็ควรเอาเวลาเตรียมข้อมูลข้อกฎหมายไว้ต่อสู้คดีล้มล้างการปกครอง อย่าไปห่วงรัฐบาลหรือนายกฯ เลย เพราะพรรคเพื่อไทยต่อสู้ทางการเมืองเพื่อประเทศชาติและประชาชนมายาวนาน จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน พัฒนาประเทศไทย นำพาพี่น้องประชาชนให้หลุดพ้นจากความยากจน และก้าวไปข้างหน้าเทียบเท่านานาอารยประเทศ

‘อนุทิน’ ลั่น รับไม่ได้ มาเฟียต่างชาติ ที่ภูเก็ต จากเหตุกร่างทำร้ายหมอ สั่ง ผู้ว่า-อธิบดีปกครอง เร่งจัดการ ย้ำ คนเดียวเอาอยู่ ไม่ต้องถึงมือ ‘ชาดา’

(3 มี.ค.67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีการวิพากษ์วิจารณ์ของคนภูเก็ตที่ออกมาเรียกร้องสิทธิให้ตรวจสอบประเด็นที่ดิน หลังเกิดกรณีเหตุการณ์ชาวต่างชาติทำร้ายแพทย์หญิงจนลุกลาม ว่า ตนเองได้สั่งกำชับไปแล้ว และเมื่อวานได้มีการหารือกับอธิบดีกรมการปกครองว่าในส่วนของกระทรวงมหาดไทยต้องไปจัดการตรงไหนบ้าง และนายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงพื้นที่ไปก็แจ้งให้ตนเองไปตรวจสอบ เพราะพบว่าในพื้นที่มีเครือข่ายลักษณะคล้ายมาเฟีย ตนเองกำชับอธิบดีกรมการปกครองและผู้ว่าราชการจังหวัดให้ทำงานร่วมกับหลายฝ่าย พร้อมยืนยันว่า จะไม่ให้มีนักเลง ผู้มีอิทธิพลต่างชาติมามีอำนาจ อิทธิพลความประพฤติที่ไม่ดีในประเทศไทยเป็นอันขาด

นายอนุทิน ระบุด้วยว่า  โดยส่วนตัวตนเองรับไม่ได้อยู่แล้วเพราะแค่ผู้มีอิทธิพลคนไทยเรายังไม่ยอมแต่เราจะยอมให้ชาวต่างชาติมีอิทธิพลและมาทำตัวเป็นมาเฟียได้อย่างไร

ส่วนจะให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ไปดูปัญหาที่จังหวัดภูเก็ตหรือไม่นั้น นายอนุทิน ระบุว่า ไม่ต้องนายชาดาหรอกนาย อนุทินคนเดียวก็เอาอยู่แล้วเดี๋ยวจัดการ ให้ท่านชาดาดูแลผู้มีอิทธิพลคนไทยไป

“กรณีที่มีการรุกล้ำที่ดินสาธารณะต้องใช้กฎหมายเพราะปัญหาทั้งหมดคือเราไม่ได้ใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเราใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ก็ไม่มีใครเอาประโยชน์จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ฉะนั้นต้องใช้กฎหมายอย่างเต็มที่  เราเข้าใจว่าอยากได้นักท่องเที่ยวเข้ามา แต่การที่เขาจะเข้ามาก็ต้องเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ซึ่งเขาต้องเคารพเมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เพราะมีกฎหมายและวัฒนธรรมที่จะต้องทำตาม ต้องลองดูว่ามีต่างชาติมาซ่าหรือ มาแอคอาท เดี๋ยวจัดการหมด เพียงแค่ดึงวีซ่าหรือพาสปอร์ตออกก็จบแล้ว” นายอนุทิน ระบุ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  กล่าวขณะ ลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้าน ที่ จ.หนองคาย 

(3 มี.ค.67) เมื่อเวลาประมาณ12.52 น. ที่จังหวัดหนองคาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ส.ส.ฝ่ายค้าน ระบุว่าไม่เจอ พล.อ.ประวิตร ในสภาฯ ว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ ผมจะไปหรือไม่ไป มันผิดหรือเปล่า”

เมื่อถามย้ำว่า สส.พรรคก้าวไกล ประกาศถามหา พล.อ.ประวิตร กลางสภา พล.อ.ประวิตร ย้อนถามว่า “ถามหาทำไม ถ้าอยากมาหา ก็มาหาที่บ้านสิ”

 

‘ดนุพร’ ฟาด ‘พิธา’ มุมมองไม่ลึก-ข้อมูลไม่ครบ  ทำให้ปชช.เข้าใจผิด ยืนยันไทยพร้อม เป็นศูนย์กลาง การบินของภูมิภาค

(3 มี.ค.67) นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่ากรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศศักยภาพของประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคว่าเป็นเรื่องดี แต่ต้องคิดว่าทำเพื่อใคร ถ้าทำให้แค่นายทุน ชาวต่างชาติ มีคนมาลงทุนมากมาย แต่ไม่เคยไหลลงมาสู่แรงงานไทยว่า ถือเป็นคำวิจารณ์แบบผิวเผิน ด้วยมุมมองที่ไม่ลึกพอที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของวิสัยทัศน์ และไม่ได้มองในมิติภาพใหญ่ที่เชื่อมโยงกัน 

นายดนุพร กล่าวว่า รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา รวมถึงพรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายกีดกันการลงทุน ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ คือการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ขจัดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจให้กับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ การทำงานอย่างมีเป้าหมาย ตั้งเป้าที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค การเดินทางที่จะขนทั้งคน ทั้งของและการบริการ คือการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจต่อเนื่อง เช่น ท่าอากาศยานนานาชาติอันดามัน หรือสนามบินอันดามันที่ จ.พังงา จะรองรับผู้โดยสารสูงสุดที่ 40 ล้านคนต่อปี จำนวนผู้โดยสารที่มี หมายถึงเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่พื้นที่ ประชาชนขายของได้ โรงงานต้องผลิตเพิ่ม แรงงานมีงานทำ ภาพรวมทั้งระบบเติบโตสอดคล้องกัน

นายดนุพร กล่าวอีกว่า ส่วนที่นายพิธา กล่าวถึงการให้สิทธิประชาชนเช่าที่ราชพัสดุ 3 ปีแล้วจะเรียกคืน โดยกล่าวว่า รัฐบาลให้สิทธิในการเช่าแค่ 3 ปี อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ ผมจะทำร้านก๋วยเตี๋ยว ทาสียังไม่แห้ง เขาจะเอาคืนก็ได้ ความมั่นคงในชีวิตมันไม่มีนั้น เป็นการฉวยโอกาสทางการเมืองให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน จนอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ ที่ผ่านมาการจัดสรรที่ดินทำกินในกลุ่มพื้นที่ราชพัสดุ เช่น หนองวัวซอโมเดล เป็นการมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ตามที่นายพิธากล่าวอ้าง สำหรับที่ราชพัสดุหนองวัวซอ เป็นระบบสิทธิการเช่า 3 ปี ประชาชนที่เช่าอยู่เดิม ต่อสัญญาได้ตลอดและต่อเนื่อง หากจะเช่าเกิน 3 ปีก็ทำได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิการเช่าจำนวนมาก การต่อสัญญา 3 ปีครั้งเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับประชาชน 

“รัฐบาลนายเศรษฐาเพิ่งลงพื้นที่มอบสัญญาเช่าที่ดินในโครงการหนองวัวซอโมเดลไปเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา และรัฐบาลจะเดินหน้าเพิ่มที่ดินทำกินให้ประชาชนต่อเนื่องในหลายวิธีการ ซึ่งหนองวัวซอโมเดลรัฐบาลทำมาระยะหนึ่งแล้ว และนายกฯ ก็มีความตั้งใจในเรื่องนี้มาก ขอตำหนินายพิธาหากต้องการทำการเมืองใหม่อย่างสร้างสรรค์อย่างที่ก้าวไกลอยากเป็น ควรเริ่มที่การให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนกับประชาชน”  นายดนุพร กล่าว

‘ลุงป้อม’ ลงพื้นที่ หนองคาย รับฟังปัญหา ปชช. เพื่อแก้ไขภัยแล้ง-ยากจน-ยกระดับการขนส่ง-พัฒนาฝีมือแรงงาน

(3 มี.ค.67) เมื่อเวลาประมาณ 09.10 น.ที่รร.พันล้าน อ.เมือง จ.หนองคาย พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางถึงจ.หนองคาย โดยนั่งรถยนต์โตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว ทะเบียน กม 8888 ขอนแก่น เมื่อเดินทางถึงมีตัวแทนกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ต้อนรับและให้กำลังใจ ถูกผ้าขาวม้าแดง และสส. นำพระพุทธรูปมามอบให้เป็นที่ระลึก ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร มีสีหน้าแจ่ม แต่งกายด้วยสีแดงสดใสทั้งตัว โดยสวมเสื้อฮาวายสีแดง ทับด้วยแจ็กเก็ตสีแดง กางเกงสแลคและรองเท้าผ้าใบแดง สีสันแปลกตาว่าทุกครั้ง 

จากนั้นเวลา 09.30 น. พล.อ.ประวิตร เป็นประธานเปิดเวทีวิชาการรับฟังปัญหาและความคิดเห็นของประชาชน ผู้ประกอบการเอกชน กลุ่มจ.หนองคาย อุดรธานี บึงกาฬ หนองบัวลำภู และจ.เลย ทั้งเรื่องของการแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การยกระดับอุตสาหกรรมและสร้างระบบเศรษฐกิจบีซีจี ยกระดับโครงสร้างการขนส่งและ
คมนาคมของประชาชน พัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน รวมถึงปฏิรูปรัฐราชการและการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิต มีแกนนำ กรรมการบริหารพรรค ส.ส. เข้าร่วม อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง นายวราเทพ รัตนากร นายอุตตม สาวนายน โดยผู้สื่อข่าวเอ่ยแซวว่าวันนี้สวมเสื้อแดงทั้งชุดพล.อ.ประวิตร หันมามองสื่อโดยไม่ได้แสดงท่าทีหรือกล่าวสิ่งใดสิ่งใด

พล.อ.ประวิตร กล่าวเปิดสัมมนา  พรรคพปชร.ขอบคุณทุกคนที่ร่วมสัมมนา และเสียสละเวลามาร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็น เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคอีสาน พรรคพลังประชารัฐ รู้สึกยินดีที่มาเปิดเวทีรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อรับฟังทุกปัญหากับประชาชนในพื้นที่โดยตรง ตลอดเวลาที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐ ขับเคลื่อนแก้ปัญหาความยากจน การลดความเหลื่อมล้ำ โดยเพิ่มสิทธิและสวัสดิการความเป็นอยู่ให้ประชาชนส่งเสริมที่ดินทำกินและเร่งรัดการพัฒนาแหล่งน้ำระบบชลประทาน การแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ให้เบ็ดเสร็จที่ทำมาต่อเนื่องทั่วประเทศ ตลอดเวลา 8 ปีที่ผ่านมาโดยพรรคตระหนักดีว่าจะแก้ไขปัญหาและพัฒนาประเทศ โดยคำนึงถึงบริบทความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละจังหวัดและภูมิภาคที่จะจัดทำภูมิศาสตร์หลายภาคขึ้น

พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ดูข้อมูลที่ได้รับจากทุกภาคส่วนคณะกรรมการยุทธศาสตร์จะนำไปจัดทำเป็นยุทธศาสตร์พัฒนาภาคอีสาน ให้ทันสมัยและยึดโยงความต้องการของคนในภาคอีสาน โดยยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การฟังความคิดเห็นในแต่ละภาคส่วนทุกพื้นที่จะนำมาจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ของพรรคต่อไป ทั้งนี้ภาคอีสานมีหลายเรื่องที่มีศักยภาพในการพัฒนาที่แตกต่างกันออกไปเช่น กลุ่มจังหวัดอีสานเหนือเป็นศูนย์กลางการลงทุน ขนส่งและการค้าชายแดน ของอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง และเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องยกระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งให้เชื่อมโยงรถไฟจีน-ลาว ส่วนกลุ่มจังหวัดอีสานกลางเป็นกลุ่มการค้าอินโดจีนและอีสานใต้โดดเด่นอุตสาหกรรมชีวภาพเกษตรและอาหาร แต่ละพื้นที่มีบริบทต่างกัน ใครมีความคิดเห็นอย่างไร ขอให้แสดงความคิดเห็นมาเพื่อเราจะนำไปพัฒนาภาคอีสานให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป

หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ได้เป็นประธาน เพื่อชมการลงทะเบียนของเกษตรกร เพื่อเปลี่ยนส.ป.ก.4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร 

'โฆษก รมว.พลังงาน' แจง!! 'หม่อมอุ๋ย' ปมนโยบายพลังงานทำลายประเทศ ยัน!! 'อุ้มดีเซล-ลดค่าไฟ' เป็นมาตรการที่ช่วย ปชช.ได้จริงในระยะสั้น

(2 มี.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ้กส่วนตัว แสดงความเห็นตอบโต้หนังสือเปิดผนึกของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และอดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ที่ออกมาแสดงความเป็นห่วงต่อการดำเนินนโยบายพลังงานของรัฐบาล โดยข้อความระบุว่า

เข้าใจว่าท่านรัฐมนตรีไม่ได้ชื่นชอบแนวทาง "จ่ายก่อนคืนทีหลัง" เท่าไหร่นัก แต่เป็นมาตรการเดียวที่ลดความเดือดร้อนประชาชนได้ในระยะสั้น ภายใต้โครงสร้างพลังงานเดิมที่มีอยู่ 

ระยะยาวกระทรวงมีการผลักดัน โซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชน ปลดข้อจำกัดให้ประชาชนมีไฟฟ้าที่พึ่งพาตัวเองได้ ,กฎหมายน้ำมันสำหรับเกษตรกร และผู้มีรายได้ต่ำกำลังร่างกฎหมายกันอยู่ ,รื้อระบบกองทุนน้ำมันที่ทำให้ภาระหนี้ตกอยู่กับรัฐ  

สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนฉากทัศน์โครงสร้างพลังงานไทย ถาวรแน่นอน

ประเด็น3-4 เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม ที่ว่ากระทรวงเอาจริงขนาดไหนเกี่ยวกับการลดควันPM2.5

ตอบในฐานะหนึ่งในกรรมาธิการพ.ร.บ. อากาศสะอาด ก็ต้องเรียนว่าทางกระทรวงพลังงานจริงจังมาก ได้ประกาศใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร5 ที่ลดการปล่อยPM2.5ตั้งแต่ต้นม.ค.67 เป็นที่เรียบร้อย 

ส่วนเรื่องราคาที่พรีเมียมขึ้น น่าจะอยู่ในช่วงที่กระทรวงกำลังหารือเจรจากับผู้กลั่นน้ำมัน นอกจากนั้นร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมเรื่องยานยนต์EV3.5 ลดการใช้รถพลังงานสันดาบ และส่งเสริม Utility Green Tariff ไฟฟ้าสีเขียวให้ใช้แพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมไทยเป็นที่เรียบร้อย 

อย่าตัดสินว่าลดราคาน้ำมัน แล้วจะไม่จริงจังปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะคนละส่วน

ประเด็นข้อ5 เรื่องสูตรราคาPool Gas 

พูดว่าพูลแก๊ส(ราคาก๊าซเฉลี่ย+นำเข้า) คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นชินนัก ต้องบอกประชาชนผู้ใช้พลังงานทุกท่านว่า สูตรที่รัฐมนตรีพีระพันธุ์ ได้ปรับผ่านมติเห็นชอบจากกกพ. เมื่อปลาย ธ.ค. 66 ได้สร้างประโยชน์กับประชาชนผู้ใช้ไฟทั้งประเทศมหาศาล เพราะการนำเอาโควต้าก๊าซธรรมชาติอ่าวไทยราคาถูก ที่เคยให้กับบริษัทปิโตรเคมีเอกชน ไปให้การใช้กับก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนก่อน เอกชนจะต้องไปซื้อราคาPool Gasแพงขึ้น แต่ราคาต้นทุนผลิตไฟฟ้าคนไทยถูกลงถาวร 18สตางค์/หน่วย

หากคิดถึงคนทั้งชาติ กับทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทย เรื่องนี้ยกประโยชน์ให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง ดีกว่าเอื้อเอกชนรายใหญ่ไม่กี่ราย จึงไม่ควรต้องปรับเปลี่ยนสูตรกลับไป

"เข้าใจว่าทั้ง 3 ท่านต่างมีเจตนาดีต่อการบริหารงานประเทศ เข้าใจว่าทางรัฐมนตรีและกระทรวงพลังงาน ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ สร้างผลงานให้โครงสร้างพลังงานเป็นธรรม-ยั่งยืน-มั่นคง ให้เป็นที่ประจักษ์ ครับ

รายงานข่าวระบุว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดเพื่อเตรียมชี้แจงข้อเท็จจริง และทำความเข้าใจกรณีต่างๆ ของหนังสือเปิดผนึกอย่างเป็นทางการในที่ 4 มี.ค.2567

‘บุ้ง ทะลุวัง’ อาการหนัก โพแทสเซียมต่ำ ตับอักเสบ หายใจลำบาก อาจตายได้ ตลอดเวลา

เมื่อวานนี้ (1 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก 'ทะลุวัง – ThaluWang' โพสต์ข้อความระบุว่า บันทึกเยี่ยมทะลุวัง เมื่อวานบุ้งถูกส่งตัวกลับมาอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์หลังเยี่ยมทนาย มีอาการตาพร่า ตาเบลอ หายใจลำบาก แม้จะจิบน้ำบ้างแล้วแต่บุ้งยังคงอ้วกอยู่เรื่อยๆ ค่าต่างๆ ยังขึ้นๆ ลงๆ ไม่ปกติ และตับยังคงอักเสบอยู่ ตรวจค่าโพแทสเซียมได้อยู่ที่ 2.2 บุ้งกลับมาค่าโพแทสเซียมต่ำอีกครั้งเช่นเดียวกับครั้งที่แล้วที่อดอาหาร ต่อให้ได้รับน้ำเกลือ ค่าโพแทสเซียมก็ไม่ขึ้นแล้ว หมอบอกว่าค่าโพแทสเซียมส่งผลกับหัวใจ สามารถหยุดเต้นตอนไหนก็ได้

บุ้งบอกว่าอากาศข้างในร้อนมากๆ ทำให้หมดแรง หน้ามืดและวิงเวียนได้ตลอดเวลา บุ้งฝันถึงเพื่อนๆ  แต่เริ่มมีอาการ มึน เบลอ ไม่สามารถแยกความจริงกับความฝันได้ สับสนไปหมดว่าอะไรคือเรื่องจริงอะไรคือความฝัน บุ้งยังยืนยันที่จะอดอาหารต่อไป และยืนยันข้อเรียกร้องเช่นเดิม

‘อัครเดช’ จี้!! หน่วยงานเกี่ยวข้อง เร่งหาสาเหตุเพลิงไหม้โกดังอยุธยา หวั่น!! 'จงใจเผาทำลาย-กำจัดหลักฐาน' กากสารเคมีอันตราย

เมื่อวานนี้ (1 มี.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง กรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมีในอำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า สถานที่เกิดเหตุดังกล่าวไม่ใช่โรงงาน แต่เป็นโกดังที่เก็บสารเคมีและอาจมีวัตถุอันตรายที่รับมาจากโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อกำจัด ซึ่งที่ผ่านมาทาง กมธ.อุตสาหกรรมได้รับการร้องเรียนจากสส.ในพื้นที่รวมถึงประชาชนและได้เคยลงพื้นที่ร่วมกับทางกรมโรงงานอุตสาหกรรม และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจากการที่ได้เคยลงพื้นที่ไปพบว่าในสถานที่ดังกล่าวน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการของเสียเคมีวัตถุที่อาจเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายเช่นการกองเก็บและการกำจัดที่อาจไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้มีความเห็นว่า ผู้ที่ครอบครองจะต้องดำเนินการจัดการกับเคมีวัตถุที่ได้กองเก็บไว้ให้ถูกต้องตามวิธีและตามกฎหมาย

“ดังนั้นกรณีที่เกิดเพลิงไหม้นี้ ผมในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวเร่งดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอุบัติเหตุ หรือจงใจเผาเพื่อกำจัดกากสารเคมีอันตรายดังกล่าว ” นายอัครเดช กล่าว

ประธาน กมธ.การอุตสาหกรรม ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ทาง กมธ.อุตสาหกรรม ได้ดำเนินการยกร่าง พ.ร.บ.โรงงาน ที่มีเนื้อหาครอบคลุมถึงสถานที่จัดเก็บกากสารเคมีผิดวิธี โดยมีการมีเพิ่มโทษทางอาญา และเพิ่มเบี้ยปรับ เพราะที่ผ่านมากฎหมายยังมีช่องว่าง เช่นโทษอาจไม่ครอบคลุมถึงเจ้าของที่ดินที่ให้เช่า หรือโทษอาญาที่ไม่หนักแน่นพอจึงทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมาย โดยในสัปดาห์หน้าทาง กมธ. จะได้นำร่าง พ.ร.บ.โรงงานฉบับที่ได้มีการศึกษาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ที่กรรมาธิการอุตสาหกรรมได้ตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อศึกษาแก้ไขปัญหานี้ซึ่งเป็นปัญหาที่เคยเกิดขึ้นที่จังหวัดราชบุรีมาแล้วและทำร่างกฎหมายเสร็จพอดีในช่วงนี้เข้ายื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุเข้าระเบียบวาระนำไปสู่การพิจารณาเพื่อแก้พรบ.โรงงานต่อไปเพื่อจะได้แก้ปัญหาการลักลอบการกำจัดกากของเสียอุตสาหกรรมผิดวิธีและสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชนและส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวอีกด้วย

‘ธนกร’ ซัด ‘ปดิพัทธ์’ โปรดรักษามารยาท อย่าก้าวล่วงอำนาจฝ่ายบริหาร ชี้!! บุกทำเนียบหนนี้ มีวาระซ่อนเร้น-หวังผลทางการเมืองหรือไม่

(2 มี.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่นายประดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อทวงถามนายกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่ยังค้างคาอยู่ว่า ตนเองมองว่าฝ่ายนิติบัญญัติแค่ประสานงานมายังเว็บรัฐบาลก็เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาลด้วยตัวเองเพราะดูไม่เหมาะสม  มองว่า ทำเกินไป ควรรักษามารยาททางการเมืองกว่านี้  เห็นว่า การที่ฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามาทวงถามฝ่ายบริหารเองถือเป็นการก้าวล่วงอำนาจหรือไม่

เมื่อถามว่าเป็นเพราะกฎหมายสำคัญที่พรรคก้าวไกลเสนอมีการวิจารณ์ว่าถูกรัฐบาลดองไว้ นั้น  นายธนกร กล่าวว่า ประธานสภาและ รองประธานสภา  หรือฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถ ประสานงานหรือการติดตามทวงถาม ซึ่งก็มีขั้นตอนทั้งทางเอกสารและทวงถามด้วยวาจา อยู่แล้ว เพราะเมื่อถูกสื่อถามเรื่องการนัดหมายกับใครในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีไว้ แต่ท้ายสุดนายประดิพัทธ์ ก็ไม่ได้เจอผู้ใหญ่ตามที่กล่าวอ้าง เจอเพียงผู้อำนวยการกองงานประสานงานกลางการเมือง ของทำเนียบฯรับเรื่องไว้เท่านั้น 

“จึงทำให้ผมคิดได้ว่า การที่นายประดิพัทธ์เดินทาง เข้าทำเนียบรัฐบาลด้วยตัวเองเพื่อจะทวงถามร่างกฎหมายต่างๆนั้นอาจมีวาระซ่อนเร้น หรือหวังผลทางการเมืองอะไรหรือไม่ จึงอยากขอให้นายประดิพัทธ์ที่เป็นถึงรองประธานสภาให้เกียรติและไว้หน้าฝ่ายนิติบัญญัติด้วย ที่สำคัญ ร่างกฎหมายต่างๆมีขั้นตอนปฏิบัติเช่นการส่งไปให้หน่วยงานต่างๆให้ความเห็นซึ่งมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งแต่ละหน่วยงานต้องใช้เวลาในการพิจารณากว่าจะส่งกลับมาก็ต้องใช้เวลา นายปดิพันธ์เป็นถึงรองประธานสภาฯควรรักษาเกียรติตัวเองและเกียรติสภาฯด้วย“ธนกร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top