Tuesday, 1 July 2025
POLITICS

‘ชูวิทย์’ กลับมาในฐานะพลพรรครักประเทศไทย ลั่นถึงเวลาทำลายวงจร “ธุรกิจการเมือง”

(26 มิ.ย. 68) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า.. ชูวิทย์กลับมาอีกครั้ง

หลังจากผมไปรักษาตัวมา 2 ปี วันนี้กลับมาในสถานะ “พลพรรครักประเทศไทย”

ชีวิตที่เฉียดความตาย ประคับประครองร่างกายที่ถูกโรคร้ายกัดกิน จนน้ำหนักเหลือเพียง 58 กิโลกรัม จากเดิม 80 กิโลกรัม

ไม่ต้องบอกว่าทรมานแค่ไหน แต่อยากบอกกับทุกคนว่า “ต้องสู้แค่ไหน” มากกว่า

สารภาพกันตรงๆ

“สู้กับคน ไม่ยอมคนมามากมาย ยังไม่เหนื่อยเท่าการต่อสู้กับตัวเอง”

แต่นี่คือวิถีชีวิตปกติของมนุษย์คนหนึ่ง

“พลพรรครักประเทศไทย” ไม่ได้เป็นพรรคการเมือง ที่ต้องนำเงินมาทุ่มกับการแข่งขัน และแสดงเทคนิคหาเสียงเพื่อได้ ส.ส. มาแปลงเปลี่ยนเป็นอำนาจ เอื้อประโยชน์ สนองตัณหาตนเอง แล้วนำเงินที่ได้จากการเมืองกลับมาใช้เป็นทุนหาเสียงแสวงรักษาอำนาจในครั้งต่อไป

ทำแม้กระทั่งแจก ”กล้วย“ ดึง ส.ส. มาสังกัดพรรคเหมือนเปลี่ยนรองเท้า เพื่อจะเอาไปต่อรองร่วมรัฐบาล

ประชาชนเขามองเป็นเรื่องขบขัน เสมือนหนึ่งนั่งดูหนังละครที่จบไปเป็นซีรี่ย์

แต่นี่กลับเป็นเรื่องจริงที่น่าสมเพช

การทำลายวงจร “ธุรกิจการเมือง” จึงจำเป็น อย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน

หากระบบการเมืองไทยยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป อนาคตของเราคงคาดเดาได้ไม่ยาก เพียงแต่บางท่านยังมองไม่ถึงจุดนั้น

ถึงเวลาต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำอะไรให้ประเทศนี้บ้าง“ ก่อนจะถามว่า ”ประเทศทำอะไรให้เราบ้าง”

ผมเคยถามมหาเศรษฐีที่มากด้วยเงินทอง อำนาจ วาสนา แล้วกลับล้มละลายลงว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

พวกเขาตอบเหมือนๆ กันว่า

มันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนไม่ทันตั้งตัว แรกๆ ก็คิดว่าจะผ่านไปได้ แต่เมื่อถึงวันที่หมดสิ้นก็ช้าเกินกว่าจะแก้ไขเสียแล้ว

นั่นเป็นเรื่องของธุรกิจ

แต่เราไม่สามารถเอาประเทศไปเดิมพันให้ล้มละลายแบบนั้นได้ ประเทศไทยยังอยู่ที่เดิมบนแผนที่โลก

ชีวิตของประชาชนอย่างพวกเราต่างหาก ที่จะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม

การ “สร้างภูมิปัญญา“ เพื่อรู้เท่าทันผู้ปกครองที่อ่อนแอ ฉ้อฉล เสพติดในอำนาจ จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ พึงกระทำ

นโยบายสาธารณะที่ใช้กับพวกเราจะต้องเป็นเรื่องที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านได้ เพื่อให้บรรดาผู้ปกครองบ้านเมืองตระหนักว่า ประชาชนไม่เห็นด้วย

อย่างเรื่องกัญชาที่เป็นยาเสพติด แค่ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา พวกเราประชาชนยังสับสนไม่เข้าใจ

เพราะบางทีก็ว่า “กัญชาเสรี” บางทีก็ว่า “กัญชาทางการแพทย์”

จากเป็นยาเสพติดอยู่แท้ๆ ดันเอาออกมาขายกันได้เสรีทั่วไป คนซื้อมาสูบข้างถนนจนกลิ่นคลุ้งไปทั่ว ผู้ปกครองต้องระวังลูกหลานของตัวเองไม่ให้ไปเผลอลองสูบกัญชา

จนวันนี้กลับมาควบคุมใหม่ จะเอากลับไปเป็นยาเสพติดอีก

นโยบายสำคัญเกี่ยวกับยาเสพติดอันมีผลร้ายแรงต่อเยาวชนคนทั่วไป กลับทำเหมือนเด็กเล่นขายของ แล้วโยนให้ประชาชนไปสุ่มเสี่ยงกันเอาเอง โดยไม่มีใครยอมรับว่าเป็นต้นเหตุ

ทุกคนอ้างว่า “ทำเพื่อประชาชน“ กันหมด

แต่ประชาชนกลับรู้สึกเหมือนนั่งดูเด็กทะเลาะกัน “ฉันให้เธอได้ เพราะเป็นพวกฉัน ตอนนี้อยู่คนละพวกแล้ว ฉันไม่ให้” ทั้งที่แต่ก่อนก็เล่นกระโดดยางด้วยกันอยู่แท้ๆ

ขนาดเป็น ”ยาเสพติด“ ยังทำกันป่นปี้แบบนี้ กลับไปกลับมาในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 2 ปี ทุกอย่างกลับตาลปัตร 2 ตลบ ตีลังกาจนประชาชนตั้งตัวไม่ทัน แล้วที่ผ่านไปใครรับผิดชอบ?

นี่ไม่ใช่เพราะนักการเมืองหรือ?

อย่างนี้พวกท่านคิดยังไง?

ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วย เพราะผมรณรงค์ให้เป็น “กัญชาทางการแพทย์” มาโดยตลอด แต่สมเพชกับการเห็นเรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องเล่นๆ

มีประเทศไหนเขาทำกันแบบนี้?

ผมกลับมาครั้งนี้คงเป็นวาระสุดท้าย เสมือนเส้นด้ายที่กำลังถูกดึงออกจากแกน และใกล้จะหมดไป

เมื่อถึงวันที่เส้นด้ายหมด ก็เอากันได้แค่นั้น ชีวิตมันสั้นครับ

แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บางทีเสียงกระซิบของผม ท่ามกลางความเงียบงัน อาจเป็นเสียงที่กังวาลให้ท่านได้ระลึกถึงบ้างก็ได้ไม่มากก็น้อย

ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ยังระลึกถึงผมอยู่

‘พิธา’ เปิดใจย้ำคำเดิม ทหารมีไว้เพื่อปกป้องไม่ใช่ปกครอง ชี้ฝั่งตรงข้ามอัปเกรดสงครามข่าวสาร จนเราสู้ไม่ได้

เมื่อวันที่ (23 มิ.ย.68) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการกรรมกรข่าว คุยนอกจอ ถึงคำวิจารณ์ที่เคยหาเสียงว่าทหารมีไว้ทำไม ว่า กรณีดังกล่าวเป็น Code Minding ยกมาแค่บางประโยค ซึ่งในทางการเมืองทำเป็นประจำอยู่แล้ว ตนชี้แจงไปว่าทหารมีไว้ปกป้องไม่ใช่ปกครอง ต้องป้องกันความคุกคามจากต่างประเทศ แต่ไม่ยุ่งกับการเมืองภายในประเทศ ซึ่งมีการนำมา Code โดยที่ไม่ดูบริบท

“วันนั้นเป็นการปราศรัยที่กาญจนบุรี ที่นั่นเป็นเขตทหารเยอะ ประชาชนจะโมโหมากเรื่องมาแย่งที่ดินเรื่องบ่อขยะ การมีสิทธิมนุษยชนในค่ายทหาร จึงเป็นบริบทที่ไปทางนั้น ทหารมีไว้ระมัดระวังภัยทุกรูปแบบจากนอกประเทศ แต่ไม่ยุ่งกับการเมืองภายในประเทศ ผมขอเคลียร์แบบนี้ เราเป็นประชาธิปไตย ต้องเป็นพลเรือนก่อนทหาร ต้องมองภาพใหญ่และให้เห็นว่าเรามีเครื่องมือในการต่อสู้อย่างไรบ้าง” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ตั้งคำถามว่าสงครามมีกี่ประเภท มีกี่สมรภูมิ ถ้าเป็นสงครามแบบเดิมก็เป็นสงครามแบบที่เราเข้าใจ ตอนนี้มีสงครามเกี่ยวกับจิตประสาท จิตวิทยา สงครามเรื่องเล่า สงครามข่าวสาร สงครามทางเศรษฐกิจ ถ้าเป็นสงครามที่มาจากการทหารที่ใช้กำลังแบบเดิม ตนก็คิดว่าดูน้ำหนักทางทหาร จำนวนเรือรบ จรวด เครื่องบิน เราก็ไม่แพ้ แต่ที่เราแพ้กับกัมพูชาอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องข่าวสาร

“คุณตัดคลิปสั้น ผมปราศรัย 40 นาที แล้วยังไม่ได้ดูบริบท ทุกครั้งที่ผมดีเบตผมต้องการให้ทหารเป็นมืออาชีพ ลดจำนวนทหารลง เพื่อจะได้มียุทโธปกรณ์เพื่อต่อสู้กับภัยความมั่นคง ที่ไม่ใช่สงครามแบบเดิม ถ้าเป็นสงครามแบบเดิม รบกับประเทศเพื่อนบ้านใครก็รู้ว่าเราชนะ เราแพ้ที่การทูต” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ระบุว่า ถ้าดูบริบทก็จะเข้าใจ แต่ถ้าตัดเป็น Code ก็จะเอาตนมาเป็นส่วนหนึ่งในการขัดแย้ง ซึ่งตนไม่ปรารถนาและไม่ได้อยากให้รู้สึกเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่จะเกิดปัญหาต่างๆ กลายเป็นกระแสชาตินิยมแบบที่ไม่เป็นคุณกับประเทศ

“มันไม่ใช่มีแค่เบ่งกล้าม เพราะปัญหาที่ช่วงนี้ประเทศไทยเจอมันคือสงครามการค้า เป็นเรื่องราคาน้ำมัน เป็นเรื่องราคาข้าวโพดจากยูเครน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องเอาเรือรบไปรบ ในขณะเดียวกัน ฝั่งเขาอาจจะอัปเกรดเทคโนโลยีใหม่ๆ ผ่านสงครามจิตวิทยา สงครามข่าวสาร ในการใช้เศรษฐกิจมัดมือเรา แน่นอนว่าเรื่องการทหารเป็น 1 ใน 4 กล่องที่เราจะต้องใช้ระหว่างประเทศ แต่มันต้องสมาร์ทขึ้น ใช้คนให้น้อยลง ใช้เครื่องมือให้เข้มแข็งขึ้น และเครื่องมือที่ใช้ต้องให้พี่น้องทหารได้ใช้ยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและปลอดภัย ไม่ใช่เครื่องบินตกโดรนตก เรือรบล่ม” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาในเขตทหาร พี่น้องทหารก็ไว้วางใจตน ถ้าไม่ได้ปั่นกัน เวลาสมัยก่อน ตนหาเสียงกับพี่น้องทหารโดยเฉพาะทหารชั้นผู้น้อย ชั้นกลาง เท่าที่คุยกัน เขาก็เข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการ ว่าต้องการให้ทหารมีอาชีพที่เหมาะสม มีรายได้ที่มากขึ้น สามารถเป็นทหารมืออาชีพได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องทำอาชีพอื่นและมียุทโธปกรณ์ที่เหมาะสม ในการปกป้องชีวิต ได้ดูแลลูกเมียได้

ช่วงเวลาแบบนี้ละเอียดอ่อนและเปราะบาง ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกัน ทำให้เกิดความเป็นชาตินิยมแบบที่มันไม่ถูกต้อง มันยิ่งไปกันใหญ่ พอเป็นอย่างนั้น คนเป็นผู้นำ นายกรัฐมนตรีเวลาจะไปดีลกับเขาก็มีข้างหลังคอยถล่มอยู่ มันก็จะเจรจาไม่จบสักที เราอยากจะให้ดึงสติกลับมาเป็นเพื่อนบ้านฉันมิตรกันเหมือนเดิม การค้าชายแดนตั้งแสนกว่าล้าน พวกนี้ถ้าทำงานด้วยกันอยู่ธุรกิจไทยอยู่ในนั้นตั้งเยอะ ต้องทำให้อาเซียนเข้มแข็งในช่วงที่มหาอำนาจบังคับให้เราเลือกข้าง

“ถ้านิยามว่าคนอื่นขายชาติหมด อันนี้อันตราย ชาตินิยมคือความหลากหลายที่สามารถดูแลคนในชาติได้ และกระบวนการในการบริหารจัดการ มีเร็วช้าหนักเบา ไม่ฉะนั้น จะอันตรายกับประเทศ ทหารก็ต้องทำหน้าที่เขา เขาก็เลยต้องออกอย่างเดียว” นายพิธา กล่าว

‘ดร.ธนชาติ’ จี้นายกฯ ปล่อยแก๊งคอลฯ ลอยนวลมานาน ชี้!! ควรลุยปราบตั้งแต่แรก ไม่ใช่รอจนคลิปเสียงหลุด

(24 มิ.ย. 68) รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันไอเอ็มซี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thanachart Numnonda’ ถึงกรณีรัฐบาลประกาศลุยแก๊งคอลเซ็นเตอร์กัมพูชา โดยอ้างปกป้องคนไทยจากการตกเป็นเหยื่อ

นายกรัฐมนตรี บอกว่า “รัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้คนไทยตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป” ก่อนอื่นเราต้องแยกประเด็นก่อนนะครับ กรณีคลิปหลุดของนายกฯ ไม่ใช่เจอแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรืออะไร แต่เป็นการคุยกัน "เรื่องส่วนตัว โดยเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นการต่อรอง" ไม่ได้มีการดักฟัง หรือโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ไหนหลอก แต่คู่สนทนาเอาไปเผยแพร่เอง

การปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา หรือระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตแถวนั้น ควรทำตั้งแต่ตอนจีนมาจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่พม่าอย่างจริงจังแล้ว ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่า คนที่ถูกจับไปทำงานแถวพม่าคือคนต่างชาติเช่นคนจีน แต่มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกบังคับให้ทำงานคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาคือ กลุ่มคนไทย แต่ก็ไม่มีการปราบปรามอะไรจริงจังในตอนนั้น

ก็ไม่ทราบด้วยเหตุใดถึงต้องเกรงใจกัมพูชาในตอนนั้น และไม่มีการปราบปรามจริงจังตัดสัญญาณเน็ต กวดขันจริงจัง แต่ก็เพิ่งเห็นประกาศจะทำอะไรจริงจังหลังจากที่ ความสัมพันธ์ส่วนตัวของสองครอบครัวมีปัญหา ก็คงอาจเพราะถึงเวลาที่จะต้องตัดผลประโยชน์ของอีกครอบครัว

อย่าบริหารประเทศชาติโดยเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวมาในการตัดสินใจ ผู้นำที่ดีต้องยึดหลักการ และต้องทำตรงไปตรงมา อย่างที่บอกครับ ควรทำตั้งแต่ตอนเราจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่พม่าแล้ว ไม่ใช่รอจนถึงวันนี้ แล้วเพิ่งมาบอกว่า จะไม่ยอมให้คนไทยตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป

อย่าบอกนะครับว่าเพิ่งทราบว่า มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กัมพูชา เลยเพิ่งทำ

‘เอกนัฏ’ อ้างปัญหาปท. รุมเร้า ต้องอยู่ช่วย ‘นายกฯอิ๊งค์’ แก้จนกว่าจะผ่านวิกฤต รับเป็นประสบการณ์แย่ที่สุดทางการเมืองในการตัดสินใจ

(24 มิ.ย. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค รทสช.เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.มติออกมาว่าอย่างไร ว่า ถือเป็นประสบการณ์การเมืองสำหรับตนที่แย่ที่สุด จะตัดสินใจทำอะไรก็ไม่ง่าย ในพรรคก็มีการพูดคุยกันตลอด ตอนนี้รทสช.มีทั้งศึกนอกศึกใน เราต้องคุยกันเพื่อรับฟังสถานการณ์ว่าเป็นยังไง ยอมรับว่าอยู่จุดที่เราตัดสินใจยาก ซึ่งพยายามคุยกับ สส.และหัวหน้าพรรคตลอดเวลา เราต้องเลือกทางที่ดีที่สุด

เมื่อถามว่า กระแสข่าวข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออก ไม่เช่นนั้นรทสช.จะถอนตัวจากรัฐบาล ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายเอกนัฏ ตอบว่า จุดแรกรับเสียงสะท้อนจากผู้สนับสนุนรทสช. ที่ขณะนี้ไม่ใช่ฝั่งเราหมด โดยเรียกร้องให้รทสช.แสดงจุดยืน และความรับผิดชอบ ซึ่งเราก็พูดคุยอยู่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ต้องยอมรับว่าที่ประเทศอยู่ในจุดสั่นคลอน โดยเฉพาะปัญหาชายแดนไทย กัมพูชา ที่กำลังจะสู้รบกันอยู่ และตนก็สนับสนุนเต็มที่ว่ากองทัพต้องเอาจริง สิ่งที่กัมพูชาทำเป็นการเหยียดหยามเกียรติของประเทศไทย เราจึงต้องสนับสนุนให้เขาหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่ รวมถึงปัญหาอื่นๆ เช่นภาษีทรัมป์ และสถานการณ์สู้รบในอิหร่าน 

"สิ่งที่เราอยากทำกับสิ่งที่เราต้องทำมันก็ตัดสินใจไม่ง่ายเลยให้มันผ่านสถานการณ์แบบนี้ไปได้ก่อน ในระหว่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น" นายเอกนัฏ กล่าว

เมื่อถามต่อว่า จะรับมือกับผู้สนับสนุนรทสช.ที่รับไม่ได้ กับการตัดสินใจแบบนี้ และโบกมือลาอย่างไร นายเอกนัฏ กล่าวว่า "เราต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ มันเป็นอย่างนั้นแหละ แต่เป็นเรื่องตัดสินใจยาก หากผมเป็นแค่สมาชิกพรรค หรือผู้สนับสนุน ผมก็คงตัดสินใจเช่นนั้น แต่วันนี้ผมเป็นกัปตัน เรือก็กำลังล่องผ่านมรสุม ให้ผมทิ้งตอนนี้คนบนเรือก็ตายกันหมด" 

ถามต่อว่า ยังประคับประคองพรรครทสช.ได้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่าตนพยายามทำให้ดีที่สุด  ที่ผ่านมาเราทำการเมืองเอาอุดมการณ์เป็นที่ตั้ง แต่ก็ต้องรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติด้วย 

ถามอีกว่า แล้วสิ่งที่เลือกเช่นนี้ จะสามารถดึงกองเชียร์กลับมาได้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า"ไม่มั่นใจ ผมเข้าใจสำหรับทุกคนที่คิดและตัดสินใจ และผมก็ไม่อยากจะหลบ และไม่ปิด อยากจะพูดตรงไปตรงมาได้ "

เมื่อถามว่า จะยืนยันได้หรือไม่ว่า รทสช.จะสนับสนุนรัฐบาลไปจนสุดทาง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ทางมันไปทางไหน  เราก็อยู่ประคับประคองให้ผ่านสถานการณ์วิกฤติไปก่อน ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะมีเรื่องศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาเกี่ยวกับตัวนายกฯอีกในสัปดาห์หน้า ฉะนั้นเหตุการณ์อะไรก็เกิดขึ้นได้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

เมื่อถามว่า ทำไมนายเอกนัฏไม่ลาออก แล้วไปทำในสิ่งที่ใจต้องการ นายเอกนัฏ ย้อนถามว่า "แล้วประเทศได้อะไร ผมเข้าใจ แต่ถ้าวันนี้ไม่มีรัฐบาล ในการแก้ปัญหาต่างๆ แล้วมันใช่หรือ สำหรับผมเราต้องมีความรับผิดชอบตรงนี้อยู่"  

เมื่อถามต่อว่า ตอนนี้ได้พูดคุยกับนายวิทยา แก้วภราดัย และนายจุติ ไกรฤกษ์ รองหัวหน้ารทสช.ที่ออกตัวว่าถ้านายกฯไม่ลาออก จะถอนตัวเอง แล้วหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ได้เจอนายจุติที่จังหวัดพิษณุโลกเมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมาก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้

เมื่อถามว่า การจัดสรรรัฐมนตรีในโควตารทสช.ลงตัวแล้วยัง นายเอกนัฏ ตอบว่า ในหัวตนไม่มีเรื่องเหล่านี้อยู่ในใจ ที่ผ่านมาการตัดสินใจคือว่าจะอยู่หรือใครจะไป เรื่องตำแหน่งไม่มีอยู่ในหัวเลย ถ้าอยากได้ตำแหน่งของตน ก็เอาไปได้เลย ไม่ได้ยึดติดอะไร ตนอายุแค่นี้เอง เป็นไปได้ก็อยากทำการเมืองต่อไป แต่ต้องอยู่ในหลักการที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้อำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบเราอยู่ตรงนี้ ตนคิดอยู่ในใจว่าทำไมต้องเป็นเราด้วย เหมือนดวงไม่ดี ก็ไม่เป็นไร จะทำให้ดีที่สุด

ถามต่ออีกว่า ได้รับแจ้งนายกฯหรือไม่ ว่าจะได้เก้าอี้เพิ่ม นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนยังไม่มีโอกาสคุยกันนายกฯเลย พูดจริงนะ ไม่เอา

เมื่อซักต่อว่า แสดงว่าพอใจเก้าอี้ที่มีอยู่ใช่หรือไม่ นายเอกนัฏ ตอบว่า "จะอยู่หรือเปล่ายังอีกเรื่องนึง จะไปขออะไรมาเพิ่ม เพื่ออะไร ไม่ขอเพิ่ม ถ้าอยู่ก็อยู่ทำงานต่อไป"

‘นายกฯอิ๊งค์’ โพสต์ขอบคุณแกนนำพรรคร่วม หลังมีมติหนุนสร้างเสถียรภาพการเมือง-ต้านภัยคุกคาม

‘นายกฯอิ๊งค์’ โพสต์ คุยแกนนำพรรคร่วม ขอบคุณ จับมือหนุนรัฐบาลให้เป็นเสถียรภาพ ต้านภัยคุกคาม ยัน รัฐบาลเดินหน้าทำงานเพื่อประเทศ

เมื่อ 16.15 วันที่ 22 มิถุนายน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  ได้โพสต์ภาพ การหารือกับหัวหน้าพรรค และแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่โรงแรมโรสวูด พร้อมกับระบุว่า ประเทศชาติต้องเดินไปข้างหน้า สามัคคีประเทศไทย รวมพลังผลักดันนโยบาย แก้ไขปัญหาเพื่อประชาชน

ขอขอบคุณคณะกรรมการบริหารและสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน ที่มีมติและประกาศแนวทางสนับสนุนรัฐบาล ร่วมกันสร้างเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อรับมือต่อภัยคุกคามความมั่นคงของชาติจากภายนอก และขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน

ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกับกองทัพมีจุดยืนร่วมกัน ยืนยันหลักการประชาธิปไตย ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและรวมพลังสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวของพรรคร่วมรัฐบาล จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการผนึกกำลังกันของคนไทย ก้าวผ่านสถานการณ์อ่อนไหวนี้ด้วยความมั่นคง และประสบผลสำเร็จในการปกป้องอธิปไตย ธำรงไว้ซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรีของประเทศชาติและประชาชน

เชื่อมั่นว่าไม่มีภัยคุกคามใดจะเหนือกว่าพลังสามัคคีของคนไทย รัฐบาลของเราจะทำงานหนักร่วมกันด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเท เพื่อประเทศไทย

‘อัครเดช’ ยัน ‘รทสช.’ ไม่ขอโควตารมต. เพิ่ม ปัดมติพรรคเปลี่ยนตัวนายกฯ ดัน ‘พีระพันธุ์’ เสียบ

‘อัครเดช’ ยัน ‘รทสช.’ไม่ขอโควตารมต. เพิ่ม ยึดเก้าอี้เดิม ปัดมติพรรค จี้เปลี่ยนตัวนายกฯ ชี้ให้ฟัง ‘พีระพันธุ์’ คนเดียว อย่าเชื่อข่าวจากคนอื่น แจงไม่ได้ชิ่งสัมภาษณ์สื่อ แต่รักษามารยาท

(22 มิ.ย. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่าพรรค รทสช. ต่อรองขอเก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่มในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งนี้ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่มีแน่นอน ตนได้พูดคุยกับผู้บริหารพรรค ยืนยันว่าพรรค รทสช.ไม่มีการต่อรองเพิ่ม

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าไม่ได้ขอโควตารัฐมนตรีว่าการ เพิ่มอีก 1 เก้าอี้ใช่หรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ถ้าสมมุติมีการร่วมรัฐบาลต่อ พรรคก็จะยืนยันตำแหน่งโควตารัฐมนตรี 4 ตำแหน่งตามเดิม ส่วนบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนั้น กลไกของพรรคได้มอบอำนาจให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. เป็นผู้ตัดสินใจ

เมื่อถามว่ามีหลายคนในพรรคออกมาให้ข่าวมติของพรรค รทสช.คือขอให้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ไม่เช่นนั้นก็ไม่ร่วมรัฐบาล นายอัครเดช กล่าวว่า เรื่องมติพรรค ที่ผ่านมามีกระแสข่าวจากหลายที่ และมีคนออกมาให้สัมภาษณ์ อย่างไรก็ตาม มติพรรคที่ถูกต้อง จะต้องมาจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครทสช.พียงผู้เดียว เพราะพรรคได้มีมติให้นายพีระพันธุ์ เป็นคนพูดคนเดียว ซึ่งมติพรรคระบุรายละเอียดไว้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้แถลง

“การที่มีแหล่งข่าวจากที่ต่างๆให้สัมภาษณ์ ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ ขอให้ฟังจากหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว” นายอัครเดช กล่าว

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า มีการเสนอให้เปลี่ยนตัวนายกฯ เป็นนายพีระพันธุ์ ทางนายอัครเดช กล่าวว่า ไม่มี ในวันที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา เราคุยกันแค่เพียงว่า จะทำยังไงเพื่อไม่ให้เกิดการยุบสภา เพราะจะทำให้เกิดผลกระทบกับประเทศหลายอย่าง ทั้ง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ค้างอยู่ ซึ่งนายพีระพันธุ์เป็นห่วงเรื่องนี้มาก ส่วนการผลักดันให้นายพีระพันธุ์เป็นนายกฯนั้น ยืนยันว่าไม่มีการหารือเรื่องนี้ในที่ประชุมแน่นอน ตนการันตี ดังนั้นการให้ข่าวจากบุคคลอื่น จึงไม่สามารถรับฟังได้

นายอัครเดช กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายพีระพันธุ์ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคนั้น เพราะกลัวเสียมารยาท เนื่องจากอยากให้นายกรัฐมนตรีรู้จากตัวท่านโดยตรง ไม่ใช่รู้ผ่านจากสื่อ เพราะเป็นมารยาททางการเมือง

‘ศิโรตม์’ ลั่นหาก ‘พิธา’ เป็นนายกฯ ‘ฮุนเซน’ คงไม่เหิมเกริมเช่นนี้

‘ศิโรตม์’ ลั่นหาก ‘พิธา’ เป็นนายกฯ ‘ฮุนเซน’ คงไม่เหิมเกริมเช่นนี้

ย้อนคำพูด ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ปมชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพพร้อมเสมอและต้องเหนือกว่า เมื่อมีใครมารังแก

(21 มิ.ย. 68) เฟซบุ๊ก Watthana Saen-u-dom แชร์คลิปที่ครั้งหนึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เคยกล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ท่านบอกว่าแม้ไม่ใช่การรบใหญ่โตเหมือนสงคราม แต่เป็นการสู้กันเป็นครั้งคราวตรงชายแดนที่ตึงเครียด ก็เพื่อทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์อื่นและจบลงที่การเจรจา

พลเอกประยุทธ์บอกว่า ถ้าเราปล่อยให้เรื่องที่ชายแดนเกิดขึ้นแล้วไม่จัดการให้จบตั้งแต่แรก เราจะไม่มีทางไปต่อรองอะไรกับเขา (กัมพูชา) ได้เลย เราจะพูดกับเขาแต่เขาก็ไม่ฟัง 

สุดท้าย ‘ลุงตู่’ กล่าวว่าการมีกำลังทหารและความพร้อมที่จะสู้ ก็เพื่อให้ประเทศอื่นเขาเกรงใจเรา ถ้าถึงเวลาที่จำเป็นจริง ๆ เราก็ต้องแสดงให้เห็นว่า เราพร้อมและเหนือกว่า เพื่อให้เขาไม่กล้าทำอะไรที่ไม่ถูกต้องกับเราอีก

‘ถนอม’ โพสต์ฟางเส้นสุดท้าย ‘คลิปเสียงลุง-หลาน’ สะเทือนเก้าอี้นายกฯ ภท.ถอนตัว รทสช.ถึงจุดเลือกข้าง

นายถนอม อ่อนเกตพล ผู้จัดรายการ 'ฟังชัด ๆ ถนอมจัดให้' โพสต์เฟซบุ๊ก ถ้าไม่ถอน อย่าพึ่งโกน! ฟางเส้นสุดท้าย คือ คลิปเสียงคุย 'ลุง-หลาน' ทำให้เกิดกระแสไม่พอใจท่าทีนายกฯ อย่างกว้างขวาง จากที่จะถูกยึดเก้าอี้ มท.1 กลายเป็นการถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลอย่างเท่ห์ ๆ ของ ภท.

ชาวบ้าน ก็เรียกร้องกันเซ็งแซ่ผ่านออนไลน์ ส่วนหนึ่งก็พากันลงถนน ส่วนหนึ่งก็ไปร้อง กกต. แจ้งความ ร้องศาล ดำเนินคดีกับนายกฯ เป้าหมายกดดันให้นายกฯลาออก หรือ ยุบสภา

พรรคร่วม 3 พรรคที่ถูกจับตามองว่าเอาอย่างไร หลัง ภท.ถอนตัวแล้ว คือ

1.ปชป. ประชุมแล้วไม่ถอน แต่อาจจะขอเก้าอี้เพิ่มหรือไม่ก็ขอเปลี่ยน รมช.สธ.เป็น กระทรวงใหญ่ขึ้น อันนี้ตามคาด

2.ชายไทยพัฒนา หลังจากที่ช่วงเช้าพี่สาวหนูนา บอกว่า น้องชายคงตัดสินใจในที่สิ่งที่ถูกต้อง ตกตอนเย็นประชุมพรรค 'ท็อป วราวุธ' หน.พรรค บอกว่า ข้อมูลยังไม่เพียงพอขอคุยกับนายกฯ ก่อน เรียกว่า มีเชิง ชั้น สมลูกพ่อบรรหาร

3.รวมไทยสร้างชาติ พรรคอกแตก ถูกกดดันจากแฟนคลับและไม่ใช่แฟนคลับ แต่ไม่พอใจนายกฯอย่างหนักให้ 'พีระพันธุ์' ถอนตัวเพื่อกดดันให้นายกฯ ลาออก หรือ ยุบสภา แต่สุดท้ายเซียนเหนือเซียน 'พีระพันธุ์' ไม่ตื่นเต้น ไม่ตกใจ ฝ่าวงล้อมนักข่าวไปว่า มติพรรคให้ไปคุยกับนายกฯ ก่อน

ท่ามกลางความเงียบ ก็มีข่าวปล่อยจากที่ประชุม รทสช.ว่า พีระพันธุ์เสนอเปลี่ยนตัวนายกฯเป็น "ชัยเกษม" เพราะถ้ายุบสภา หวยจะไปออกที่ 'เท้ง' พรรคประชาชน ที่เป็นพรรคเดียวที่แถลงเรียกร้องให้นายกฯยุบสภาเซ่นคลิปฮุนเซน โดยประกาศก้องว่า พร้อมเลือกตั้ง

ในขณะที่เสี่ยงก่นปนด่าพีระพันธุ์เกาะเก้าอี้ดังทั้งคืนที่ไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ถึงขนาดว่า เพจเอฟซีคนสำคัญที่ปกป้องทั้งลุงตู่ลุงพีร์มาตลอด บอกว่า "ถ้าไม่ถอน จะโกนไม่ให้เหลือตอ"
ใจเย็น ๆ ครับ ......ทางออกตอนนี้ มี 3 ทางคือ

1.นายกฯ อยู่ต่อ โดยมีพรรคร่วมเหมือนเดิมขาดแต่ ภท.ทำให้เสียงปริ่มน้ำ อยู่ได้ แต่บริหารและผ่านกฎหมายได้อยาก อยู่แค่เพียงประคับประคองรักษาแผลนกปีกหัก บินได้ แต่ไม่ไกล ซึ่งแนวทางนี้ วี 1 วี 2. วี 3. ต้องการให้เป็นไปในแนวทางนี้ แต่

'ลุงพีร์' ต้องการเปลี่ยนนายกฯ เป็น ชัยเกษม ของ พท. เพื่อเป็นข้ออ้างให้กับสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรค เพื่อได้ทำงานผ่านกฎหมายลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน สู้กับทุนพลังงานที่ต้องการคว่ำลุงพีร์ รวมทั้ง ชุดสุดซอย ของคุณโอ๋ ฐิติภัสร์ และคุณเอกนัฎ ที่กำลังกวาดล้างจับกุมทุ่นเถื่อน อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอย่างได้ผล ไปต่อ

แนวทางนี้ นายกฯ อิ้งลาออก โดยบอกว่ายังมีโอกาสกลับมาเป็นนายกฯได้อนาคตอีกยาวไกล หากขืนเดินหน้าคำร้องมีผลต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะจริยธรรม จะซ้ำรอยคุณเศรษฐาที่ไม่อาจจะกลับมาทางการเมืองได้อีกเลยตลอดชีวิต

บนพื้นฐานข้อต่อรองเปลี่ยนตัวนายกฯ วี 1 ต้องตัดสินใจแล้วบอกว่า ไม่รับข้อเสนอ นายกฯ อิ้งต้องไปต่อ

ถึงตอนนี้ ถ้าวี 1 ไม่ยอมลุงพีร์ ก็คงมีคำตอบเดียว คือ ถอนตัวเป็นคำตอบสุดท้าย สมาชิกพรรค เอฟซี ต้มน้ำรอจะลวกน้ำร้อนถอนขน แถมจะโกนจนไม่เหลือตออีกด้วย

วี 1 ต้องตัดสินใจเลือก 3 ทาง คือ ยุบสภา ลาออก หรือ อยู่ต่อ โดยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยไม่มี รทสช.แล้วไปตายเอาดาบหน้า ยืดเวลารักษาปีกที่หักเพื่อบินต่อ แล้วค่อยยุบสภาก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ข้อเสนอเปลี่ยนตัวนายกฯ เอาชัยเกษม ถ้า วี 1 รับเงื่อนไขนี้ ก็ไปลุ้นกันต่อว่า เมื่อนายกฯ ลาออกแล้ว สภาผู้แทนฯจะโหวตให้ชัยเกษมหรือไม่ ซึ่งมีทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ 

ถ้าไม่ได้ พรรคประชาชนก็อาจจะเป็นกองหนุนช่วยโหวตให้ชัยเกษม ปิดทางลุงพีร์ ลุงตู่ หรือคนนอก ที่อาจจะได้รับการโหวตไม้ต่อไปก็เป็นได้ ...ในขณะเดียวกันก็อาจจะไม่มีชื่อชัยเกษมเลยก็เป็นไปได้...เพราะนาทีนี้ พรรคเล็กเป็นต่อ พรรคใหญ่เป็นรอง และอย่าลืมภูมิใจไทยก็ยังเป็นตัวแปรที่สำคัญ ดังนั้น การเมืองเวลานี้

การถอนตัว ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย การลาออก คือ เป้าหมายและทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะหากยุบสภา ว่ากันคือโอกาสของพรรคประชาชนที่รอคอยด้วยความมั่นใจว่าชนะเลือกตั้งครั้งใหม่แน่

คอยดูกันต่อไปครับ การเมืองไม่มีสูตรสำเร็จ การเคลื่อนไหว กดดัน อาจจะหลงทิศหลงทาง ตาอิน ตานา สุดท้าย ตาอยู่คว้าพุงไปกิน หมาน้อยได้แต่ยืนเลียปากแผลบ ๆ ต่อไป...และทั้งหมดนี้คือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย

‘ลูกหมี’ นำมวลชนชุมพรนับหมื่น จี้นายกฯ ลาออก ปมคลิปเสียงหลุด ลั่น!!.. ‘นายกฯ ไม่ออก เราออก’

เมื่อวานนี้ (20 มิ.ย. 68)นายชุมพล จุลใส หรือ 'ลูกหมี' อดีต สส.ชุมพร พร้อมด้วย สส.อีก 3 เขต และประชาชนราวหมื่นคน รวมตัวกันที่สนามหน้าพระบรมรูป ร.5 จังหวัดชุมพร เพื่อแสดงจุดยืนปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 2 หลังปรากฏคลิปเสียงนายกรัฐมนตรีพูดด้อยค่าเจ้าหน้าที่ทหารต่อหน้าผู้นำกัมพูชา

นายชุมพล กล่าวกับผู้ชุมนุมว่า มาในฐานะประชาชน ไม่ใช่การปลุกระดม พร้อมตั้งคำถามถึงจริยธรรมของผู้นำประเทศที่พูดลดเกียรติแม่ทัพไทย แต่กลับแสดงความอ่อนน้อมต่อผู้นำกัมพูชา พร้อมประกาศว่า “ถ้านายกฯไม่ออก พวกเราก็จะออก” เพื่อไม่ทรยศต่อเสียงของประชาชนชาวชุมพร

จากนั้น พ.อ.โชติ ยิกุสังข์ รอง ผบ.มทบ.44 ได้ขึ้นรับมอบดอกไม้แทนกำลังใจให้แม่ทัพภาคที่ 2 ขณะที่นายนพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ.ชุมพร ได้ขึ้นเวทีอ่านแถลงการณ์ประชาชน เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก และขอให้พรรครวมไทยสร้างชาติทบทวนบทบาทในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล

แถลงการณ์อ้างถึงกรณีคลิปเสียงสนทนาเมื่อ 18 มิ.ย. ที่นายกฯยอมรับว่าเป็นเสียงของตนจริง โดยมีเนื้อหาพาดพิงแม่ทัพภาค 2 พลโทบุญสิน พาดกลาง ว่าเป็น “คนของฝ่ายตรงข้าม” สร้างความผิดหวังแก่ประชาชน พร้อมระบุว่าเหตุการณ์นี้ทำให้ประเทศเสียหายและประชาชนหมดศรัทธาในผู้นำ

ท้ายที่สุด สส.ทั้ง 3 เขตของชุมพรให้สัมภาษณ์ย้ำว่า พรรคมีจุดยืนชัด ขอให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ซึ่งสอดคล้องกับเสียงเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่ โดยทั้งหมดรอติดตามท่าทีของรัฐบาลต่อไป

ประธานวุฒิสภายื่นศาล รธน.–ป.ป.ช. ถอดถอนนายกฯ ‘แพทองธาร’ ปมคลิปเสียง

(20 มิ.ย. 68) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ยื่นหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช. เพื่อขอให้พิจารณาถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำร้องของกลุ่มสมาชิกวุฒิสภาที่นำโดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ซึ่งได้รวบรวมรายชื่อและยื่นต่อประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.

คำร้องถึงศาล รธน. ขอให้วินิจฉัยว่าสถานะความเป็นนายกฯ ของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะที่คำร้องถึง ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวนว่ามีการทุจริตหรือฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

กรณีนี้เกิดขึ้นจากคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่ สว. เห็นว่าเป็นการอ่อนข้อให้กัมพูชา และพาดพิงถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ในลักษณะกระทบเกียรติภูมิกองทัพ จนถูกตั้งข้อสังเกตถึงภาวะผู้นำและความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

‘ชัยวุฒิ’ เปรียบรัฐบาลเพื่อไทยเหมือน ‘เรือใกล้จม’ ย้ำชัด ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ไม่ร่วมรัฐบาล

(20 มิ.ย. 68) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ย้ำจุดยืนพรรคตาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย พร้อมเผยว่า พรรคเพื่อไทยพยายามทาบทามเข้าร่วมรัฐบาล หลังภูมิใจไทยถอนตัว ทำให้เสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ

นอกจากนี้ นายชัยวุฒิเปรียบรัฐบาลเพื่อไทยเหมือน ‘เรือใกล้จม’ และเตือนพรรคร่วมว่า หากยังดึงดันร่วมรัฐบาล อาจ ‘จมน้ำตายไปด้วยกัน’ พร้อมแนะให้ถอนตัวเพื่อเปิดทางจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพมากกว่า

ในส่วนของกระแสเปลี่ยนนายกฯ นายชัยวุฒิกล่าวว่า หากมีการเปลี่ยนตัวจาก น.ส.แพทองธาร ค่อยเปิดเจรจาใหม่ได้ แต่หากเพื่อไทยยังเป็นแกนนำ พปชร.จะยังไม่ร่วม พร้อมระบุว่า ความล้มเหลวของรัฐบาลไม่ใช่เพราะม็อบ แต่เพราะประชาชนขาดศรัทธาในผู้นำเอง

จิ๊กซอว์สำคัญ!! ’กวีเหลวไหลแท้‘ วิเคราะห์เกม ‘พีระพันธุ์ - รวมไทยสร้างชาติ’ ในวันที่ประเทศชาติต้องเดินหน้าฝ่าสารพัดวิกฤต ชี้สถานการณ์ขณะนี้พีระพันธุ์ ต้องรับมือกับศึกในศึกนอก และความคาดหวังของมวลชน

(20 มิ.ย.68) เพจเฟซบุ๊ก ‘กวีเหลวไหลแท้’ โพสต์ข้อความว่า เกมของพีระพันธุ์ รทสช.

การต้องรับมือกับศึกในศึกนอก และความคาดหวังของมวลชน เป็นอะไรที่หนักมากของลุงพี ขณะที่ความต้องการจะทำงานในกระทรวงพลังงานยังคงเป็นเรื่องยากที่จะลุกจากเก้าอี้ เพราะพันธสัญญาที่จะปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานยังไม่แล้วเสร็จ

เมื่อเกิดคลิปเสียงอัปยศขึ้น พรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ประชุมกันอย่างเร่งด่วน แต่รทสช. เลือกที่จะประชุมหลังสุด

การประกาศลาออกของภูมิใจไทย ทำให้เสียงของรัฐบาลปริ่มน้ำ รทสช. จึงเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่จะตัดสินว่า ภาพนี้จะสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์

หากวางลงภาพจะสมบูรณ์ใส่กรอบได้ หากไม่วาง ภาพนี้ก็ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง

ในเมื่อการเมืองเป็นเรื่องการต่อรอง ลุงพีซึ่งเข้าใจความสำคัญของตนเองดี จึงถือเอาโอกาสแสนดีนี้กำหนดบทบาทของพรรคตนเอง

ถ้าอุ้งอิ้งลาออก หานายกรัฐมนตรีคนใหม่ รทสช.จะเข้าร่วมต่อ เผลอๆ อาจได้เป็นถึงตำแหน่งนายก ซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งอยู่อีกพอสมควร

ถ้าอุ้งอิ้งไม่ลาออก รทสช.จะไขก๊อกออกเองอย่างไม่รู้สึกผิดต่อพรรคร่วมในข้อครหาไม่ร่วมหัวจมท้ายในยามวิกฤติ

ลุงพีจะร่วมกับรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีมีใจฝักใฝ่อริราชศัตรูได้อย่างไร ความผิดนี้เป็นความผิดของปัจเจกบุคคล ตัวไหนเน่าก็ควรกำจัดออกไป ทำไมต้องหน้าด้านแบกนายกเน่า ๆ อยู่ด้วย หากพรรคร่วมโดยเฉพาะพรรคแกนนำเห็นแก่ผลประโยชน์ชาติจริง ควรจัดการเปลี่ยนตัวนายกเสีย ประเทศจะได้ไปต่อ

เรื่องแค่นี้ถ้าไม่ทำ ก็ป่วยการที่จะร่วมลงเรือลำเดียวกันต่อไป

ซึ่งคำขาดของลุงพี นับว่าทรงพลังมาก แม้จะคาดการณ์ได้ไม่ยากว่า อุ้งอิ้งไม่ลาออกแน่ แต่ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว

อย่างน้อยลุงพีก็ได้ปฏิบัติตามการยื่นข้อเสนอของลุงตู่ขณะประเทศเป็น failure state ตอนยิ่งลักษณ์ลาออก แล้วมีรักษาการนายกอีกคนอยู่ว่า

“ถ้าตกลงกันไม่ได้ ผมยึดอำนาจ!”

ซึ่งลุงพีสามารถกล่าวเสียงดังด้วยสีหน้าจริงจังได้ว่า

“ถ้านายกไม่ลาออก ผมขอถอนตัว!”

เนื่องจากคงไม่มีการถ่ายทอดสด ดังนั้นแอบอัดคลิปไว้หน่อยนะครับ เราได้ฟังคงฟินน่าดู 555555555

“รักลุงพีครับ”

'ชัยธวัช' ชี้การเมืองแรงช่วงนี้ไม่เกี่ยว 'ตระกูลชินวัตร'ผลพวง 'คณะรัฐประหาร-ชนชั้นนำ' โหยหาอำนาจเหนือปปช.

'ชัยธวัช' ชี้ตอนนี้การเมืองแรง ไม่เกี่ยว 'ตระกูลชินวัตร' แต่เป็นผลพวง 'คณะรัฐประหาร-ชนชั้นนำ' ต้องการมีอำนาจเหนือประชาชน

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.68) นายชัยธวัช ตุลาธน กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยถึงสถานการณ์ความตึงเครียดของพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้ ว่า ในสถานการณ์ที่กระแสความไม่พอใจต่อนายกฯ (แพทองธาร ชินวัตร) ลุกลามอย่างรุนแรงนั้น

นายชัยธวัช ระบุว่า ประเด็นหนึ่งที่อยากชวนคิดคือ ภาวะที่เราไม่พอใจอยู่นี้ ถึงที่สุดแล้วไม่ได้เกิดขึ้น เพราะตระกูลชินวัตร แต่มันเป็นผลพวงจากการเมืองของคณะรัฐประหาร และชนชั้นนำบางกลุ่ม ที่ต้องการมีอำนาจเหนือเสียงของประชาชน

"การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังจากนี้ เราจึงต้องไม่หวนกลับไปใช้วิถีทางนอกระบอบประชาธิปไตยอีก การเมืองของชนชั้นนำ 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้ชีวิตของเรา และประเทศตกต่ำอย่างทุกวันนี้ ทำให้เรามีนายกฯ และรัฐบาลแบบนี้ ดังนั้น มีแต่ต้องชวนกันออกจากการเมืองของชนชั้นนำ แล้วสร้างการเมืองเพื่อคนส่วนใหญ่ของชาติ" นายชัยธวัช กล่าว
 

'โบว์ ณัฏฐา' ย้ำชัด ‘นายกฯอิ๊งค์’ ต้องลาออก ยกเหตุผลสำคัญ ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ บริหารกองทัพไม่ได้

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.68) โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “เหตุผลที่นายกฯต้องลาออก” ระบุว่า สิ่งที่จะไล่เรียงต่อไปนี้ไม่ได้เป็นไปด้วยอารมณ์หรือมีความเกลียดชังใดๆเจือปน ไม่ว่าจะต่อตัวบุคคลหรือพรรคการเมือง แต่เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ความผิดพลาดของนายกฯ ที่สะท้อนผ่านคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซนนั้น ไม่ได้อยู่ที่เจตนาในการคลี่คลายสถานการณ์ หรือแม้แต่ท่วงทำนองอันนอบน้อมของบทสนทนาที่พอเข้าใจได้

แต่ความผิดพลาดของนายกฯ อยู่ที่บริบทและเนื้อหาของการสนทนาที่แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่มีความสามารถจะบริหารราชการแผ่นดิน ได้ ไม่ว่าจะในการบริหารสถานการณ์ บริหารความสัมพันธ์ หรือบริหารกองทัพ

คลิปเสียงดังกล่าวถูกอัดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่สองของการประชุม JBC การที่นายกฯไม่หยิบยกประเด็นใหญ่ที่กัมพูชาจะยกข้อพิพาทสี่พื้นที่ขึ้นศาลโลกมาพูดถึงเลย แสดงให้เห็นว่านายกฯสนใจที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการปิดด่านเพื่อให้ได้ quick win หรือความสำเร็จเฉพาะหน้า มาผ่อนคลายสถานการณ์ทางการเมืองของตนก่อนเท่านั้น สังเกตได้จากการพูดย้ำไม่ต่ำกว่าสามรอบว่า อิ๊งค์โดนหนักมาก และแม้จะเป็นการเลือกเรื่องที่อาจจะคิดว่าเป็นไปได้มาเจรจา ก็ยังไม่สามารถตั้งประเด็นให้เกิดอำนาจการต่อรองได้

สุดท้ายกลับกลายเป็นการรับโจทย์ จากฮุนเซนกลับมา และรับปากว่าจะทำให้กลาโหมยอมเปิดด่านได้ ไม่มีการพูดถึงปัญหาการวางอาวุธประชิดชายแดนของกัมพูชา ไม่สามารถเตรียมข้อต่อรองที่มีน้ำหนักล่วงหน้า

วันรุ่งขึ้นคือ 16 มิถุนายน นายกฯที่เพิ่ง 'รับโจทย์' มาจากฮุนเซน กลับโดนเล่นงานแต่เช้า เมื่อฮุนเซนประกาศกลางวุฒิสภา ขู่ไทยว่าหากไม่เปิดด่านเป็นปกติภายใน 24 ชั่วโมง กัมพูชาจะปิดด่านที่เหลือทั้งหมด ทุกอย่างที่คุยกันทางโทรศัพท์หมดความหมายเพียงชั่วข้ามคืน เป็นความตั้งใจวางยา ยั่วยุให้สถานการณ์เข้าใกล้การปะทะไปอีกหนึ่งก้าว

นายกรัฐมนตรีรีบเข้าประชุมที่บ้านพิษณุโลกทันที แล้วออกมาแถลงข่าวอย่างไร้จุดหมาย ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าการประชุม JBC ประสบความสำเร็จ แจ้งเรื่องการตั้งคณะทำงาน การให้เหตุผลโต้คำขู่ของกัมพูชาว่าไทยไม่เคยปิดด่าน รวมถึงการตำหนิฮุนเซนว่าไม่ Professional ที่คุยหลังไมค์กันอย่างแล้วกลับออกมาโพสต์โซเชียลอีกอย่าง ก่อนทิ้งท้ายว่าโลกจะไม่ยอมรับคนที่ไม่รักษากติกา

ในขณะที่นายกฯไม่ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาใด ๆ หลังการแถลงข่าวกลับมีการบอกยกเลิกการประชุมสมช. ที่กำหนดไว้ในบ่ายวันเดียวกัน แล้วใช้เวลาที่ว่างนั้นในการเรียกรองฯอนุทินเข้าพบ โดยมีการปล่อยข่าวว่าเป็นการเรียกเพื่อไปคุยเรื่องปรับ ครม. ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

อะไรคือเรื่องสำคัญเร่งด่วนในสายตานายกรัฐมนตรี?

หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น ผู้นำรัฐบาลบรรลุภารกิจในการยึดตำแหน่งตามบัญชาของพ่อนายกฯ ในขณะที่พ่อนายกฯกัมพูชาก็ไม่พอใจเนื้อหาในการแถลงข่าวที่ตนถูกถอนหงอกเมื่อเช้า นำสู่การปล่อยคลิปเสียงเพื่อทำลายนายกฯ และทำลายความสัมพันธ์กับประเทศไทยไปอีกขั้นในสองวันต่อมา

ยุทธวิธีของฮุนเซนเป็นเรื่องน่ารังเกียจ แต่วุฒิภาวะของนายกฯเป็นเรื่องน่ากลัว

โดยเฉพาะเมื่อนายกฯได้กล่าวถึงแม่ทัพภาคสองว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลนี้กับผู้นำต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์อันแท้จริง ว่านายกฯก็คงไม่พอใจกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารอย่างจงใจของแม่ทัพบ่อยครั้งที่สวนทางกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ตอกย้ำว่ากองทัพกับรัฐบาลไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันอย่างที่พยายามพูดบ่อย ๆ และที่สำคัญคือ รัฐบาลเพื่อไทยบริหารกองทัพไม่ได้ แม้ไม่พอใจความประพฤติของผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ทำได้แค่ไปขอความเห็นใจกับคู่กรณี

ซึ่งนี่คือความจริงที่น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับประเทศประชาธิปไตย

หลังคลิปเสียงถูกปล่อยออกมา กองทัพมีปฏิกิริยาในช่องทางต่างๆทันที ไร้ซึ่งความเคารพยำเกรงต่อนายกฯ แสดงความพร้อมที่จะแข็งข้อ

คงไม่ต้องให้เหตุผลเพิ่มว่าทำไมนายกฯจึงควร “ลาออก” วันนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top