Thursday, 8 June 2023
POLITICS

‘ลีน่าจัง’ แนะ ‘สาวกส้ม’ สงบปากสงบคำ-เลิกแขวะประยุทธ์ ชี้!! 8 ปีที่ผ่านมาผลงาน 'บิ๊กตู่' ชัด ต้องให้ความเป็นธรรม

(16 พ.ค.66) ผู้ใช้ติ๊กต๊อกบัญชี ‘ccc.team’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ‘ลีน่าจัง’ โต้เดือดสาวกพรรคส้มกับผลงาน 8 ปีที่ผ่านของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สร้างอะไรไว้บ้าง โดยระบุว่า…

รู้ไหม 8 ปี ที่ประยุทธ์เป็นรัฐบาล เขาสร้างรถไฟฟ้า สร้างทางยกระดับ สร้างเต็มไปหมด ไปดูซิที่รถติดหรือถนนเกะกะรุงรัง ฝีมือประยุทธ์ทั้งนั้น แล้วก็ที่ซาอุดีอาระเบียมาลงทุนที่ประเทศเรา 6 แสนล้านบาท ก็ฝีมือประยุทธ์ เขาโกรธประเทศไทยเขาไม่ทำมาค้าขึ้นกับไทยเป็นเวลาตั้งเกือบ 20 ปี รู้หรือเปล่า และประยุทธ์เนี่ยแหละไปเจรจาจนเขายอมมาลงทุนตั้ง 6 แสนล้านบาท และในช่วงที่มีโควิด-19 ก็ประยุทธ์ที่จัดการหมด แจกเงินสวัสดิการคนจน 15 ล้านคน ฉันเองยังได้รับแจกเลยเงินคนละครึ่ง เงินคนชรา เขาแจกหมด คือต้องให้ความเป็นธรรมกับประยุทธ์บ้าง ฉันไม่ได้เข้าข้างประยุทธ์นะ 

ก้าวไกลก็ได้แต่พูด ยังไม่เคยทำงานเลย คุณก็เลยยังไม่รู้ไงว่าข้อบกพร่องมันอยู่ไหน ก็ได้แค่พูด ใครๆ ก็พูดได้ แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลจะทำได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง เข้าใจหรือเปล่า ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับประยุทธ์เขา เพราะเมื่อ 8 ปี ประยุทธ์เขาอยู่ เขาก็ทำให้บ้านเมืองสงบ ไม่มีม็อบ ใครมาเป็นม็อบอะไรก็โดนจับเข้าคุก ติดคุกหมด โดนเป็นร้อยคดี บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน ไม่สกปรก ไม่มีม็อบ เข้าใจหรือเปล่า?

ไม่ใช่ว่าประยุทธ์ไม่ทำงาน เขาทำ ทำตั้งเยอะแยะ แต่เขาประชาสัมพันธ์ไม่เป็น โกหกตอแหลไม่เป็น คุยขี้โม้ไม่เป็น เข้าใจหรือเปล่า อย่างเมื่อวานพอพ่ายแพ้ ประยุทธ์ก็ไม่ให้สัมภาษณ์ก็กลับบ้าน ก็ถูกต้องแล้ว นักข่าวก็ไปด่าเขาใหญ่เลย ว่าให้รอตั้ง 4 ชั่วโมงแล้วก็กลับบ้านเลย เอ้า!! ก็เขาพ่ายแพ้ จะให้พูดไรล่ะ เดี๋ยวเขาก็ไปเป็นองคมนตรีแล้ว 

คุณก็คลั่งมากเกินไป คลั่งส้มมากเกินไป จนบอกว่า 8 ปี ไม่ทำอะไร มาดรามาใส่ รู้ไหม 60 วันยังอันตรายอยู่ เคยเห็นพรรคไทยรักษาชาติหรือเปล่า ลูกชายเจ๊ระเบียบรัตน์ ที่ลูกหล่อๆ เป็นหัวหน้าพรรค แป๊บเดียวโดนยุบพรรคเลย แป๊บเดียวลูกชายระเบียบรัตน์โดนเพิกถอนสิทธิ 10 ปี หายเข้าป่าไปแล้ว ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย 

‘สาวกส้ม’ ต้องสงบปากสงบคำ พอชนะแล้ว ฝ่ายอำนาจเก่ากุมอำนาจเก่ามันพ่ายแพ้ ก็เฉยๆ สงบปากสงบคำ ไม่ต้องไปด่าเขา แตะไม่ได้เชียวเหรอ เดี๋ยวถ้าเกิดฝั่งนู้นเขาโมโหขึ้นมา เขาไปสั่งศาลเลยบอกตัดสินคดีเร็วๆเลยไอ้พิธาเนี่ย แล้วจะรู้สึก มันชนะไม่เด็ดขาด พิธาออกมาแถลงงี้แต่ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะว่า กกต. ต้องภายใน 60 วัน รับรองอย่างเป็นทางการ 500 คน เสร็จแล้วถึงจะเลือกนายกฯ แล้วเลือกนายกฯ เสร็จถึงจะมีรัฐบาล นายกฯ เป็นคนตั้งรัฐบาล แล้วมี ส.ว.ในการเลือกนายกฯ รู้หรือเปล่า 

ใครพูดอะไรไม่ได้ ใครถามอะไรไม่ได้เลย คนพูดความจริง คนมันเวลาจะพูดอะไรก็พูดได้ ยังไม่ได้ลงมือทำ เข้าใจหรือยัง ฉันไม่ได้เข้าข้างประยุทธ์ แต่พูดถึงประยุทธ์ 8 ปีที่มาอยู่ เขาสร้างอะไรไว้ตั้งเยอะแยะเหมือนกัน

'ชวน' แนะ 'พิธา' อย่าก้าวก่ายพรรคการเมืองโหวตเลือกนายกฯ ชี้!! ทุกพรรคการเมืองมีสติปัญญาพิจารณาเองได้

(16 พ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย อดีตประธานสภาฯ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงสิทธิ์โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เรียกร้องให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ร่วมโหวตให้ตนเป็นนายกฯ นายชวนกล่าวว่า ตนคิดว่าอย่าไปก้าวก่ายคนอื่นเขาเลย แต่ละพรรคคิดอย่างไรก็ให้เขาคิดเอา และมีมติของเขาเอง ดังนั้นอย่าไปก้าวก่ายหรือลุกล้ำ ไม่ควรให้คนอื่นเขาคิดเหมือนตัวเอง แต่ละพรรคเขาคิดเองได้ และเขามีสติปัญญาที่จะคิดเองได้

เมื่อถามว่ามองบทบาทของนายพิธาอย่างไร นายชวนกล่าวว่า ยังไม่ได้ตั้งรัฐบาลเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในเสียงที่เขาชนะมา เขาก็ต้องให้ความเห็นเอง แต่เท่าที่ประเมินดูในเวลาที่เราออกไปหาเสียง จะพูดได้ว่าในท่ามกลางของการยิงด้วยเงิน พรรคกาวไกลไม่มีครหาเรื่องนี้ แต่เขาใช้เรื่องการสร้างกระแสในโซเชียลมีเดียในการหาเสียง

ศรีสุวรรณ’ บุกสน.ทุ่งสองห้อง แจ้งความเอาผิด ‘มือชก’ เพิ่ม ชี้ ทำให้เสียชื่อเสียง-ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง-ได้รับความอับอาย

(16 พ.ค.66) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า เมื่อเย็นวันที่ 15 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง เพื่อพบพนักงานสอบสวนเพื่อมอบหลักฐานประกอบคดีเพิ่มเติมให้กับ สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ หลังจากที่ได้แจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายต่อชายสูงอายุอดีตอาจารย์ ม.เอกชน ที่เข้ามาทำร้ายร่างกายที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมาหลังจาก กกต.เชิญไปให้ถ้อยคำกรณีร้องเรียนให้ตรวจสอบนโยบายหาเสียงแจกเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ ได้ยืนยันต่อพนักงานสอบสวน พร้อมมอบพยานหลักฐานเป็นใบรับรองแพทย์และคลิปวิดีโอที่ผู้ถูกกล่าวหาได้เจตนาพูดดูหมิ่นเหยียดหยามตนต่อบุคคลที่สามหรือธารกำนัล (ผู้สื่อข่าวและประชาชน) โดยประการที่ทำให้ตนนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และได้รับความอับอาย หลังจากที่ทำร้ายตนแล้ว ทั้งๆที่บริเวณดังกล่าวเป็นสาธารณสถานอันเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.393 และ ม.397 วรรคสอง ประกอบ ม.59 ซึ่งมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม แม้โทษทางอาญาจะมองดูไม่มากนัก แต่ทว่าเมื่อศาลมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาในคดีอาญาแล้ว จะส่งผลต่อคดีในทางแพ่งที่ตนได้เรียกค่าเสียหายไปพร้อมด้วยเลยในคดีเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท เนื่องจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา เป็นการละเมิดกฎหมายในที่รโหฐาน เป็นสาธารณสถาน ไม่เกรงกลัวกฎหมายทั้งๆที่เคยเป็นถึงครูบาอาจารย์สอนคนมาก่อน

นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวอาจมีผู้อยู่เบื้องหลังที่เป็นฝ่ายการเมืองที่ผู้ต้องหาได้ไปคลุกคลีร่วมกิจกรรมทางการเมือง และอาจนำมาซึ่งเจตนาพิเศษต่อการทำร้ายร่างกายตนได้ที่ไปร้องเรียนพรรคการเมืองที่บุคคลดังกล่าวมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ซึ่งตนเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักกันของสังคมไทย และทำงานเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี การที่ผู้ต้องหาคนดังกล่าวมาทำร้ายร่างกาย และดูหมิ่นเหยียดหยาม เป็นที่น่าอับอาจ จึงน่าจะเป็นเหตุผลทางคดีที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ศาลมีคำพิพากษาทั้งทางอาญาและทางแพ่งตามคำขอท้ายคำฟ้องที่ตำรวจและอัยการจะดำเนินการยื่นฟ้องต่อไปได้

'โบว์' อบรมนิ่มๆ ส.ส.ที่อยากได้พิธาเป็นนายกฯ มี 150 คนจาก 500 ซึ่งไม่ถึงครึ่ง ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่

(16 พ.ค.66) โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana ว่า...

ส.ส.ที่อยากได้พิธาเป็นนายก มี 150 คนจาก 500 .. ซึ่งไม่ถึงครึ่ง

อีก 150 กว่าเสียงที่ไปเติม คือตัวแทนจากพรรคที่อยาก “ร่วมรัฐบาล” ไม่ใช่ตัวแทนของคนที่อยากให้พิธาเป็นนายก เพราะส.ส.เหล่านั้นหาเสียงให้แคนดิเดตคนอื่นหมด ตอนเลือกตั้ง

จะไปเหมาว่านี่คือการแสดงว่าคนไทยส่วนใหญ่อยากให้พิธาเป็นนายก จนต้องบีบให้พรรคที่เขาไม่อยากได้ “พิธา” มาหลับหูหลับตาโหวตให้ .. ไม่ได้

ไม่มีใครต้องไปโหวตสนับสนุน “การร่วมรัฐบาล” หรือความอยากเป็นนายกของใคร ถ้าเขาไม่ได้ต้องการ เหตุผลพื้นฐานที่สุดของการโหวตคือการแสดงความต้องการ เพื่อเอามานับกันแล้วกำหนดทิศทางประเทศ

การบีบให้คนต้องเลือกในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ ไม่ใช่ประชาธิปไตยค่ะ อย่าใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” ให้มันมั่วไปกว่านี้

เมื่อไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขกติกาเพี้ยนๆ ก็ต้องหาทางเอาชนะตามกติกาให้ได้ ไม่ใช่ไปสร้างความเพี้ยนใหม่ขึ้นมา

(ตอนเรารณรงค์แก้ ม.272 ตัดอำนาจ ส.ว.โหวตนายกฯ มีคนมาร่วมลงชื่อแปดหมื่นคน ที่เหลือบอกจะทำไปทำไมไร้สาระ เดี๋ยวชนะเลือกตั้งถล่มทลายก็ปิดสวิตช์ ส.ว. ได้เอง ถึงตอนนี้ทำไม่ได้ตามนั้น จะเลือกใช้วิธีไปบีบบังคับคนอื่น)

ถ้าพิธาได้โหวตไม่พอ พรรคต่อไปมีสิทธิลองเสนอแคนดิเดตของตัวเองแล้วจัดสูตรใหม่บ้าง และควรทำด้วย ถ้าไม่ทำก็ประหลาดแล้ว ตกลงคุณหาเสียงมาแทบตาย เพื่อให้พรรคอื่นซึ่งได้เสียงไม่ถึงครึ่งเป็นนายกหรือ?

ลองดูว่าคุณ “เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย” ได้มากกว่าหรือไม่ นั่นคือคุณสมบัติที่นายกฯ ของวันพรุ่งนี้ต้องมี

ถ้าพรรคเพื่อไทยยังไม่ Get a grip ทุกอย่างจะหลุดไปอยู่ในมือของคนที่คุณไม่ต้องการแน่นอน

'วราวุธ' ยัน!! พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาฯ ย้ำจุดยืนพรรค 'เทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์'

(16 พ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคก้าวไกลเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งถือเป็นการพลิกขั้วทางการเมือง ว่า วันนี้ ชทพ.ยังเป็นรัฐบาลและมีงานที่ต้องทำไปจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนจะมีรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมา เพราะปัญหาของประชาชนไม่ได้ถูกแบ่งแยกว่ามีรัฐบาลหรือไม่มีรัฐบาล เรายังเป็นรัฐมนตรีจึงต้องทำงานให้ประชาชนจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามารับไม้ต่อ

เมื่อถามถึงกรณีที่มีเสียงเรียกร้องให้พรรคการเมืองเคารพมติประชาชน ร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีที่มาจากเสียงของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย นายวราวุธ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนและมีความอ่อนไหวพอสมควร ตนจึงยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้หากยังไม่มีการพูดคุยกันในพรรค ชทพ. เสียก่อน ต้องคุยกันภายในพรรคให้ตกผลึก จึงจะเป็นแนวทางของพรรค อย่างไรก็ตาม จากนี้ยังมีเวลา เพราะขั้นตอนในการยกมือโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นต้องผ่านกระบวนการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาฯ เสียก่อน จึงยังมีเวลาให้คิด ซึ่งตนเองคิดคนเดียวไม่ได้ ต้องหารือในพรรคก่อน

ถามว่า จนถึงขณะนี้ทางพรรคก้าวไกลมีการติดต่อให้เข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า “ชาติไทยพัฒนาเราพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เพราะเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้ประกาศชัดเจนว่า จะเอาพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยเองตอบรับ ดังนั้น ไม่มีปัญหา ชาติไทยพัฒนาพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และจุดยืนของเรายังเหมือนเดิม คือ นโยบายยั่งยืนและเทิดทูนสถาบัน”

เมื่อถามว่า ถ้าพรรคก้าวไกลติดต่อมาเพื่อจะรวมเสียงให้ชนะโหวต ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ชทพ. พร้อมหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า “เราบอกแล้วว่าเราไม่ได้เดือดร้อนในการที่จะต้องเป็นรัฐบาล และเราพร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ดังนั้น ถ้าเป็นอะไรที่ขัดหลักการของชาติไทยพัฒนา เราก็ไม่เห็นด้วย ส่วนการยกมือสนับสนุนโหวตให้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องไปหารือกันในพรรคก่อน แต่จุดยืนของเราชัดเจนมาตลอดตั้งแต่หาเสียงแล้ว”

‘วิโรจน์’ กร้าว!! ไม่จำเป็นต้องจับมือพรรคต่างอุดมการณ์ ชี้!! ควรเลือกนายกฯ จากพรรคเสียงข้างมาก เพื่อปิดสวิตซ์ ส.ว.

(16 พ.ค.) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ ว่า “เราไม่มีความจำเป็นต้องเอาพรรคที่มีอุดมการณ์ไม่ตรงกันมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลเพียงเพราะความกลัวต่อ ส.ว. 250 การเอาพรรคที่มีจุดยืนต่างกันมาร่วมรัฐบาลยิ่งจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเต็มไปด้วยการต่อรอง และยังจะทำให้ฝ่ายค้านมีเสียงน้อยเกินไปที่จะตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล”

“พรรคการเมืองทุกพรรคที่ประกาศจุดยืนว่า ‘ไม่เห็นด้วยกับ ส.ว.เลือกนายกฯ’ ควรรักษาคำมั่นของตนเองด้วยการโหวตนายกฯ จากพรรคเสียงข้างมากเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. แม้ว่าจะไม่ถูกเชิญให้ร่วมรัฐบาลก็ตาม”

“หาก ส.ว.กล้าที่จะหักหาญเสียงของประชาชน โดยไปโหวตให้กับเสียงข้างน้อยก็แค่เสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แล้วลงมติให้นายกฯ และรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งทันทีก็เท่านั้นเอง”

ความคิดเห็นดังกล่าวของนายวิโรจน์ มีขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคก้าวไกลได้เดินหน้ารวบรวมพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยยังไม่มีการทาบทามพรรคภูมิใจไทย ที่มีคะแนนเสียงอยู่ 70 เสียง ซึ่งจะทำให้คะแนนเสียงแข็งแรง รวมถึงจะทำให้พรรคก้าวไกลและพรรคร่วมพันธมิตรไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคะแนนเสียงโหวดของ ส.ว. มาช่วยสนับสนุนเพื่อให้ครบคะแนนเสียง 376 เสียงตามข้อบังคับในการนำเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี

‘อดีตบิ๊กศรภ.’ ชี้!! ฝ่ายที่แพ้ต้องเคารพกติกา-รัฐธรรมนูญ ให้ฝ่ายชนะได้ทำงานก่อน อย่าก่อกวนจนกระทบประเทศ

(15 พ.ค. 66) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก “พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์” ระบุว่า “การเมืองคราวนี้เป็นการแข่งขันกันระหว่าง พรรคผู้สูงอายุ ประมาณ 10 พรรค (เพื่อไทย พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนากล้า ไทยภักดี เสรีรวมไทย ไทยสร้างไทย ฯลฯ) กับ พรรคหนุ่มๆ ประมาณ 3 พรรค (พรรคก้าวไกล พรรคเปลี่ยน พรรคสามัญชน พรรคเป็นธรรม )”

“ใครจะชนะอีกฝ่ายที่แพ้ ก็ต้องทำใจครับ และต้องปล่อยให้ฝ่ายที่ชนะทำงานไปก่อน ดี ไม่ดี ค่อยว่ากันตอนหลัง อย่าเพิ่งก่อกวนให้ส่งผลกระทบถึงประเทศ อย่าไปพูดว่าอีกฝ่ายโกงเป็นอันขาด โดยเฉพาะถ้าแพ้ชนะกันแบบใกล้เคียง และการตั้งรัฐบาลจะต้องเคารพรัฐธรรมนูญอีกด้วย”

'อลงกรณ์' เรียกร้องพรรคการเมืองและสว.เคารพเสียงประชาชนหนุน 'ก้าวไกล' ตั้งรัฐบาล พิธาเป็นนายกฯ

นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส.และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เขียนเฟสบุ๊คส่วนตัวแสดงความคิดเห็นสนับสนุนพรรคก้าวไกลให้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศหลังทราบผลการเลือกตั้งวันนี้(15 พ.ค.)โดยเขียนไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

“ควรเคารพเสียงประชาชน
ให้”ก้าวไกล”ตั้งรัฐบาลปฏิรูปประเทศ”

ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เมื่อประชาชนกว่า14ล้านคนเลือกพรรคก้าวไกลเป็นอันดับ1ของประเทศทั้งส.ส.แบบเขตเลือกตั้งและส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ด้วยความเชื่อมั่นว่า พรรคก้าวไกลจะสร้างการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศสู่อนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน

ผมเชื่อว่า นักการเมืองทุกคนไม่ว่าสังกัดพรรคใด คงยอมรับว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งด้วยวิสัยทัศน์ นโยบายและความเป็นผู้นำของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยไม่มีการซื้อเสียง เป็นชัยชนะที่ขาวสะอาด

ผมหวังว่า ทุกพรรคการเมืองและสมาชิกวุฒิสภาจะเคารพเสียงของประชาชน และเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศและคุณพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 นำประเทศก้าวข้ามความล้าหลังความยากจนและความแตกแยกขัดแย้ง เดินหน้าปฏิรูปประเทศสร้างศักยภาพใหม่ประเทศไทยให้สำเร็จ และสร้างประชาธิปไตยโดยประชาชนของประชาชนเพื่อประชาชนในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข.

อลงกรณ์ พลบุตร
15 พ.ค. 2566

‘ลุงตู่’ ฝาก ‘ประชาชน-ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกในชีวิต’ ทบทวนให้ถี่ถ้วน ไทยมาไกลแค่ไหน ก่อนจรดปากกา

อีกไม่กี่อึดใจประชาชนคนไทยจะได้มีโอกาสเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้กันอย่างแน่นอน และเชื่อว่าการเลือกตั้งหนนี้ คนกลุ่มใหม่ที่บ้างก็เรียกว่า New Voter เอย หรือ First Voter เอย ก็จะได้มีโอกาสใช้สิทธิ์เลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยข้อมูลจาก rocketmedialab.co ระบุhttp://rocketmedialab.coว่า ผู้คนเลือดใหม่กลุ่มนี้ ที่กำลังจะเลือกตั้งครั้งนี้ อยู่ที่ 4,012,803 คน โดยจำนวน First Voter ในการเลือกตั้ง 2566 ครั้งนี้ คิดเป็น 7.67% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด

THE STATES TIMES ได้มีโอกาสสอบถาม ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เกี่ยวกับการเลือกตั้งหนนี้ ที่จะมีเยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งได้เลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต โดย ลุงตู่ กล่าวว่า...

“ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับพวกเขา ที่มีโอกาสใช้สิทธิในครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งผมเองก็ขอให้น้อง ๆ ทุกคน มีสติในการเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติในการที่จะเป็น นายกรัฐมนตรี และ ส.ส.ให้ดี”

ลุงตู่ กล่าวต่ออีกว่า “ผมอยากให้การเลือกตั้งหนนี้ เป็นการรวมพลังของคนไทยทุกคนในการร่วมมือกันช่วยกันร่วมมือพาบ้านเมืองเดินหน้าไปได้ด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่มีการแบ่งอายุ หรือวัย เพราะทั้งหมดคือคนไทยด้วยกัน เลือกเพื่อพาประเทศไทยให้เดินข้างหน้า เลือกเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในอนาคตอีก เพราะบ้านเมืองเราขัดแย้งกันไม่ได้อีกแล้ว

“...และส่วนตัวผม ก็อยากให้ประชาชนทุกท่านลองตั้งสติดี ๆ แล้วมองดูภาพประเทศไทยที่แท้จริงว่า วันนี้ประเทศของเราอยู่จุดไหนแล้ว เราเดินหน้ามาไกลหรือยัง แล้วจะเดินหน้าไปต่อไปพร้อมกันได้หรือไม่ หลายสิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะไม่ทันใจหรือถูกใจ เพราะต้องใช้เวลาพอสมควรในการดำเนินการ หลายอย่างเราทำมากว่าจะเสร็จ ก็ 4 ปี 5 ปี 8 ปี”

ลุงตู่ เล่าต่ออีกว่า “แน่นอนว่าบางอย่างมันต้องใช้เวลานานกว่าที่กล่าวไป เพราะโลกมันเปลี่ยนทุกวัน มันต้องมีการปรับแก้และพัฒนากันทุกวัน ทุกเดือน ทุกช่วงเวลา การประชุมในต่างประเทศทุกครั้งล้วนมีวาระที่เกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น หน้าที่ของเราก็คือ ต้องกลับมาทบทวนโจทย์เหล่านี้ แล้วทำอย่างไรให้ประเทศเดินหน้าทันการเปลี่ยนแปลง ซึ่งวันนี้เรากำลังอยู่จุดนั้น”

“ผมไม่ติดขัดเรื่องการคิดเร็วนะ แต่หากคิดเร็วเกินไป แล้วเกิดปัญหาที่คาดการณ์ไม่ได้ แก้ไม่ได้ มันก็จะยิ่งเป็นปัญหาหนักขึ้นไปอีก เพราะวันนี้ประเทศไทยเราอยู่ในจุดที่ รู้เท่าทันนานาชาติ แล้วก็วางตัวเอง วางประเทศไว้ให้ในจุดที่สมดุลได้แล้ว นี่คือประเทศไทยของเรานะจ๊ะ...ขอบคุณทุกคนนะจ๊ะ” ลุงตู่ กล่าวทิ้งท้าย

‘สนธิญา’ ร้อง กกต. สอบคุณสมบัติ ‘พิธา’ ปมถือหุ้นสื่อ ชี้!! หากผิดจริง อาจพาผู้สมัคร ส.ส.ก้าวไกลเป็นโมฆะไปด้วย

(12 พ.ค. 66) ที่สำนักงาน​คณะกรรมการ​การ​เลือกตั้ง ​(กกต.)​ นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคฯ หลังถูกตรวจสอบแล้วพบว่า ยังถือครองหุ้นในบริษัทสื่อสารมวลชน อาจเข้าข่ายขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ​(พ.ร.ป.)​ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง

นายสนธิญา กล่าวว่า​ การถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา​หากตรวจสอบแล้วพบว่า นายพิธามีความผิดจริงจะส่งผลให้จำนวน ส.ส.ไม่ถึง 90% และจะทำให้ไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากนายพิธาเป็นหัวหน้าพรรคที่ต้องรับรองคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล แต่เมื่อนายพิธาขาดคุณสมบัติเสียเอง ก็จะส่งผลทำให้การรับรองคุณสมบัติของผู้สมัครพรรคก้าวไกลทุกคนเป็นโมฆะ

นายสนธิยา ยังกล่าวว่า ตนได้เปิดแฟนเพจเพื่อรับเรื่องร้องทุกข์แจ้งเหตุการณ์ทุจริตการเลือกตั้งซึ่งพบว่ามีหลายคนส่งข้อความมาแจ้งเรื่องของการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง มีหัวคะแนนของพรรคการเมืองและผู้สมัครตระเวนเก็บบัตรประชาชนและจดรายชื่อของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง โดยสัญญาว่าจะให้เงิน ซื้อเสียง แต่จนถึงตอนนี้ใกล้วันเลือกตั้งแล้วหัวคะแนนยังไม่ยอมมาจ่ายเงินตามที่สัญญาไว้จึงอยากให้กรรมการการเลือกตั้งส่งผู้ตรวจการเลือกตั้งหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีข้อเท็จจริงอย่างไร โดยได้นำหลักฐาน เป็นภาพและเบอร์ของผู้สมัครพร้อมทั้งข้อความการพูดคุยผ่านทางเมสเซนเจอร์แฟนเพจมายื่นให้กับกกต.ประกอบการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

เหตุผลสำคัญในการเลือกพรรคการเมือง พรรคเพื่อใคร ไม่สำคัญเท่าทำงานแค่ไหน?

(12 พ.ค. 66) อ.พลกฤษณ์ จิตร์โต แห่งคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Ponlakit Jitto’ ระบุว่า…

การเลือกพรรคการเมือง ขึ้นกับจริตแต่ละคน แต่เชื่อว่าทุกคนเป้าหมายไม่ต่างกันมาก คือ หวังประเทศชาติเจริญ เพื่อความเป็นอยู่ตัวเราเองดีขึ้น

ผมเองใครๆ ดูคงรู้ ว่าเลือกใคร แต่ผมก็มีเหตุผลของผมนะ

เหตุผลของผมก็ง่ายๆ อยากเห็นประเทศไทยเจริญ โดยเฉพาะอีสานบ้านเรา อยากเห็นอีสานเราเจริญ อยากให้เด็ก ลูกศิษย์เรามีงานทำ ในภาคอีสานไม่ต้องจากบ้านไปไกลเหมือนสมัยก่อน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจอีสานดีขึ้น

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมไม่เชื่อว่าพรรคไหนเพื่อใคร มันไม่เคยมีจริง พรรคนี้ของคนอีสาน คนเหนือ พรรคนั้นของคนใต้ พรรคนี้สำหรับคนรุ่นใหม่ (ปล.30 ปีที่แล้วก็มีพรรคลักษณะนี้นะ) มันเพียงวาทะกรรมเพื่อสร้างกลุ่มและความจงรัก ให้กับหัวหน้าพรรคโดยไม่จำเป็นต้องดูผลงาน

สำหรับผมเอง ผลงานสำคัญ กว่าการยึดถือในตัวพรรค พรรคไหน ‘ชนะ-แพ้’ ผมเฉยๆ 

ประเทศเจริญ-ถดถอย ผมสนใจในส่วนนั้น

ใน 8 ปีนี้ ผมเห็นอะไร กับการทำงานรัฐบาล ส่วนการเลือกตั้งหนนี้ หากจะวิเคราะห์นโยบาย ผมขอไม่พูดถึงแล้วกัน เพราะปกติ ชอบมองสิ่งเขาพัฒนา และนำมาคิดตามว่า ทำไปทำไม สิ่งเกิดขึ้น จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ดังนี้...

1 ด้านคมนาคม และ โครงสร้างพื้นฐาน >> ยอมรับว่า 50 ปีที่เกิดมา และ 30 ปีที่เริ่มสนใจการเมือง รัฐบาลนี้ สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ก้าวกระโดดมากๆ และสร้างไปทั้งประเทศ และสร้างเร็วกว่าที่เคยเป็นมา
1.1 รถไฟรางคู่ แทบทั่วประเทศ ที่ไม่เคยมีคนสนใจตั้งแต่สมัย ห้าสิบปี เหมือนเดิมมากๆๆๆ 
1.2 รถไฟความเร็วสูง แม้กู้เงินมาทำ แต่ทำให้ภาคอีสาน มากสุดเลยว่าไหม ยังมีภาคตะวันออกเชื่อมสนามบิน
1.3 รถไฟสายใหม่เชื่อมต่อให้คนอีสาน สายบ้านไผ่ นครพนม และ ภาคเหนือ เด่นชัย เชียงราย เชียงของ
1.4 การขยายถนนข้ามจังหวัด แบบเลนสวน เป็น สี่ หก เลน และ ขยายถนน เยอะมาก
1.5 กทม. มีประชากรหนาแน่น รถไฟฟ้า เพิ่มขึ้นจนเต็มพื้นที่ ทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอนาคต ถ้าทำเสร็จเห็นว่าเป็นอันดับ 3 ของเอเชียทีเดียว
1.6 การเปลี่ยนรถเมล์ ประมูลใหม่ได้ ไทยสมายล์บัสมาเป็นรถไฟฟ้า และ ข้อดี เป็นรถที่ผลิตในไทย ตรงนี้แจ่มมาก
1.7 เปลี่ยนหัวลากดีเซลเดิม เป็นหัวลากใหม่สีแดง ลากดีขึ้นและลดมลพิษ สั่งมา 50 หัวลาก
1.8 ชอบเลย คือ พัฒนา ให้ไทยผลิตได้เอง ไม่ว่าจะเป็นหัวรถลาก EV ที่ตั้งไลน์ผลิต ตู้โดยสาร จนตู้โดยสารไฮเทค ที่ สจล. รัฐ สนับสนุน รถเมล์ไฟฟ้า เรือ ไฟฟ้า

พูดถึงทำไม? 
ถ้าผลิตรถไฟฟ้าได้มาก ก็มีคนมาลงทุนมากขึ้น ย้อนกลับไปก่อนหน้า รัฐบาลส่งเสริมให้ตั้งโรงงานแบตเตอรี ในไทย และ เซมิคอนดักเตอร์ในไทย ทำให้ การมีแบตเตอรีที่ผลิตได้ในไทยเป็นกลไก ในการขับเคลื่อน 

จุดสำคัญที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เกิดความน่าลงทุนในทุกภาค โดยเฉพาะภาคอีสาน

'อัษฎางค์' ลั่น!! ได้เวลาทุบหม้อข้าว รอกินเมื่อคว้าชัย ชี้!! ถ้าแพ้คราวนี้ ก็ยกประเทศชาติให้เขาไปเลย

(12 พ.ค.66) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กว่า...

ปลุกทุบหม้อข้าวแล้ว! ถ้าแพ้คราวนี้ยกประเทศให้เขาไปเลย

มีผู้ใหญ่ตั้งคำถามว่า สมมติว่า พท.และ กก.ชนะเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาล บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เราจะทำยังไงและควรมีแผนสำรองอย่างไร

คำตอบสั้นๆ ของผมคือ

ถ้าแพ้คราวนี้ โดยฝ่ายเขาได้จัดตั้งรัฐบาล การทำรัฐประหารและการเป็นฝ่ายปกครองมาถึง 8 ปี ก็สูญเปล่า ควรยกประเทศนี้ให้เขาไปครับ

เพราะเป้าหมายสูงสุดของ คสช.และรัฐบาลลุงคือ การคืนความสุขให้คนไทย ซึ่งหมายถึง การปราบปรามขบวนการจาบจ้วงและล้มล้างการปกครอง ซึ่งในเวลานี้งานยังไม่จบ

สำหรับผม 'ไม่ควรมีแผน B'

ต้องมี 'แผน A' แผนเดียวเท่านั้น

กล่าวคือ ต้องชนะเท่านั้น

ก่อนออกรบ ทุบหม้อข้าวทิ้งให้หมดครับ ไปกินข้าวในตอนโค่นคู่ต่อสู้ได้ ถ้าแพ้ ก็ตายในสนามรบไปเลยครับ โลกจะจารึกคุณไว้ตลอดกาล
.
ถ้าไม่ตายในสนามรบ รอดกลับมา ก็โดนศัตรูฆ่าอยู่ดี แถมโลกจะประนามคุณ
.
รบแล้วแพ้ ทั้งที่อาวุธครบมือ อำนาจก็อยู่ในมือ เสียชื่อจริงๆ ครับ และไม่สมควรได้รับการให้อภัย

ขออนุญาตเรียนแบบนี้ตรงๆ ด้วยความเคารพรักครับ

อย่างไรก็ตาม สำหรับผม

ผมมั่นใจ 100% ว่า ลุงตู่จะได้ตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

ผมแสดงความคิดเห็นแบบนี้ ไม่ได้ต้องการดูหมิ่น แต่ต้องการเติมไฟในจิตใจของทีมลุงตู่และพันธมิตรทุกพรรคให้โชติช่วง

ถ้าเผื่อใจว่าจะแพ้ เราจะแพ้

ตอนพระเจ้าตากตีเมืองจันทร์ พระองค์ท่านมีกำลังและองคาพยพน้อยกว่ามาก แต่พระองค์ท่านสั่งให้ไพร่พลกินให้อิ่มแล้วทุบหม้อข้าวทิ้งให้หมด เพื่อเข้าไปพักผ่อน กินข้าว ฉลองชัยชนะเมื่อรบชนะ

เวลาออกรบ ต้องมีแผนเดียว คือแผนชนะ เท่านั้น

ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา ก็ตายมันในสนามรบไปเลย อย่ามีหน้ากลับมาให้ศัตรูหยามเหยียดและผู้คนสาบแช่ง

ขออนุญาตโพสต์แรงๆ แบบนี้ เพื่อเติมพลังให้สู้อย่างเต็มกำลังครับ

'กกต.-ตร.ราชบุรี' บุกตรวจสอบบ้านต้องสงสัยจ่ายเงินซื้อเสียง พีก!! เจอ 'ปารีณา ไกรคุปต์' นั่งอยู่ในบ้าน เจ้าตัวบอกมาทำบุญ

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 ดร.สุชัญญา วิมุกตายน ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง จ.ราชบุรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.ชัชชน นราวุฒิพร ผกก.สภ.โพธาราม จ.ราชบุรี และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้เข้าตรวจสอบที่บริเวณบ้านเลขที่ 35 หมู่ 4 ต.หนองโพ อ.โพธาราม หลังได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า ที่บ้านหลังนี้อาจจะมีการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบว่าที่บ้านหลังดังกล่าวกำลังมีการเตรียมจัดงานทำบุญกระดูกให้บรรพบุรุษในวันนี้ (12 พ.ค. 66) และในบ้านหลังนี้ก็มี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีตส.ส.ราชบุรี นั่งอยู่ในบ้านด้วย

โดย ส.ส.ปารีณา ได้ให้สื่อเข้าไปตรวจสอบในบ้านแต่ห้ามเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ กกต.เข้าไปในบ้าน พร้อมทั้งบอกว่ามาร่วมงานบุญ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามมาคุกคามจนทำให้เกิดความกลัวและขอความเป็นธรรม และในบริเวณบ้านหลังที่เกิดเหตุก็มีการจัดเตรียมนำรูปบรรพบุรุษที่เสียชีวิตแล้วมาเช็ดทำความสะอาดและมีคนมาช่วยงานเพียงไม่กี่คน

นอกจากนี้บริเวณด้านนอกบ้านตั้งแต่ปากซอยเข้ามาเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ กกต. ได้ขอตรวจสอบรถจักรยานยนต์ที่ขี่เข้ามาในซอยพร้อมทั้งสอบถามว่ามาจากไหน ซึ่งคนที่ขี่รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่ก็บอกว่ามาจากต่างตำบล และต่างหมู่บ้าน จะมาร่วมงานทำบุญที่บ้านหลังนี้ แต่ไม่รู้จักเจ้าของบ้าน แต่บางคนก็บอกว่ามีคนบอกให้มาพร้อมกับนำบัตรประชาชนมาด้วย เจ้าหน้าที่จึงได้ขอเบอร์โทรศัพท์และทำการบันทึกภาพวีดีโอไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งตลอดเวลาที่เจ้าหน้าที่ไปดักรอตรวจสอบก็ยังพบว่ามีรถจักรยานยนต์เข้าออกบ้านหลังนี้ตลอดเวลา

ด้าน ดร.สุชัญญา กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งเรื่องของการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งก็มาทำการตรวจสอบ เนื่องจากในพื้นที่เขต 3 นี้ มีการแข่งขันกันค่อนสูง มีการรายงานข่าวเรื่องของการซื้อสิทธิ์ขายเสียง จึงได้มาลงพื้นที่ตรวจสอบก็พบว่ามีรถเข้าออกในซอยนี้ค่อนข้างมากเป็นที่น่าผิดสังเกตว่าอาจจะมีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งเป็นคนจากหมู่บ้านอื่นที่เข้ามาจึงได้เก็บพยานหลักฐานไว้หมดแล้ว โดยอ้างว่าเข้ามาร่วมงานบุญที่บ้านหลังนี้ แต่บางคนกลับไม่รู้จักเจ้าของบ้าน เพราะมีคนบอกให้มาตรงนี้ ซึ่งการที่เรามาดูก็เพื่อเป็นการป้องปรามไว้ก่อนเพื่อให้มีการกระทำความผิดให้น้อยที่สุด ซึ่งวันนี้อาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะซอยไม่สามารถนำรถเข้ามาได้ก็ต้องเดินเข้ามา ทั้งนี้ก็เพื่อให้การเลือกตั้งในครั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์และยุติธรรมให้ได้มากที่สุด

"เท่าที่เข้ามาตรวจสอบก็พบว่ามีพฤติกรรมแปลกๆทั้งที่มีบัตรประชาชนของคนอื่นอยู่ด้วย และเมื่อสอบถามแล้วก็ได้บันทึกทุกอย่างไว้หมดแล้ว และในพื้นที่ก็มี น.ส.ปารีณา อดีต ส.ส. นั่งอยู่ในนั้นด้วยตามที่ได้สอบถามชาวบ้านที่เข้าไปในบ้านมาแล้ว และในขั้นตอนต่อไปทางตำรวจก็จะได้รวบรวมพยานหลักฐานและอาจจะต้องมีการตั้งเรื่องสอบสวน แต่ขณะนี้ขอเก็บหลักฐานก่อน"ดร.สุชัญญา กล่าว

สำหรับพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 3 ของจ.ราชบุรี นั้นมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง ระหว่างนายสีหเดช  ไกรคุปต์ พี่ชายของน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส. ส่งพี่ชายลงสมัครพรรคภูมิใจไทย ได้เบอร์ 1 กับนายจตุพร กมลพันธุ์ทิพย์ ลงสมัครพรรคพลังประชารัฐ  ได้เบอร์ 4  ซึ่งนายจตุพร นั้นเป็นหลานของนายชัยทิพย์ กมลพันธุ์ทิพย์  อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เขต 3 ที่ลงสมัครแทนน.ส.ปารีณา และเป็นคู่ปรับเก่าของ ส.ส.ปารีณา  ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้นายชัยทิพย์  ได้ย้ายไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ  และไปลงสมัครในเขต 4 จ.ราชบุรี แข่งกับนายบุญลือ  ประเสริฐโสภา จากพรรคภูมิใจไทย  และให้นายจตุพร ผู้เป็นหลานชายลงแข่งกับพี่ชายปารีณาแทน ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีการเดิมพันสูงแพ้กันไม่ได้  หมดเท่าไหร่ก็จะต้องสู้ให้ถึงที่สุด

'ชูวิทย์' ลั่น!! การเมืองปทุมธานีเเตกเเยก ผู้มีอิทธิพลครองเมือง ชาวบ้านหวาดกลัว

(12 พ.ค. 66) จากกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลงพื้นที่ช่วยนางสาวณัฐธิดา เกียรติพัฒนาชัยผู้สมัครเขต 4 ปทุมธานีหาเสียง เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 แล้วมีกรณีภาพปรากฏร่วมกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกอบจ.ปทุมธานี จนทำให้หลายคนจับตาไปที่กระแสข่าวลือการย้ายพรรคของ 'บิ๊กแจ๊ส' แต่หลังจากนั้นไม่นานบิ๊กแจ๊สได้ออกมาตอบชัดว่าไม่ทิ้งพี่ทักษิณไปไหนแน่นอนนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STATES TIME ว่า ตนรู้เรื่องปทุมธานีดี มีนักการเมืองพยายามทุ่มเงินซื้อเสียงที่ปทุมธานี เพราะต้องการวางรากฐานที่จะเข้ามายึดพื้นที่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากการที่จะเข้ามายึดพื้นที่ในกรุงเทพฯ ได้นั้น จะต้องไปตรึงพื้นที่เขตปริมณฑลก่อน ซึ่งได้แก่ ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรปราการ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแผนการของพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งเขาไม่เคยมีฐานเสียงมาก่อน ไม่เคยมาปักหลักที่กรุงเทพฯ และปทุมธานี จึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้ามาปักหลักให้ได้ แต่วิธีการที่จะเข้ามา เขามาด้วยวิธีการซื้อเสียง ไม่ได้มาด้วยการเข้ามาดูแลพื้นที่ โดยการซื้อเสียงของคนพวกนี้ได้ทำการซื้อผ่านนักการเมืองท้องถิ่นให้เป็นหัวคะแนน

นายชูวิทย์ กล่าวย้ำอีกด้วยว่า นี่เป็นเรื่องจริงที่ได้มีพรรคการเมืองเข้าไปซื้อนักการเมืองท้องถิ่นจริง ซึ่งตนอยากจะฝากเตือนว่า ท่านจะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน ถ้าท่านไปเอาพรรคบางพรรค ซึ่งไม่ได้วางรากฐานแบบจริงๆ ใช้วิธีการซื้อหรือกว้านซื้อ ท้ายที่สุดแล้วถ้าเป็นแบบนี้ประชาชนในพื้นที่จะไม่เลือกท่าน

เนื่องจากพอมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเข้าไปเปิดดีลลับกับนักการเมืองท้องถิ่น ก็จะเห็นได้ว่าการเมืองในจังหวัดปทุมธานีนั้นกลับมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้นจนเห็นได้ชัด ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ตนไม่อยากจะเปิดข้อมูลการซื้อเสียงของจังหวัดปทุมธานีให้สื่อมวลชนดูว่ามันมีการซื้อเสียงที่เยอะมากขนาดไหน

การที่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตอนนี้ ตนอยากจะบอกว่าปทุมธานีเป็นจังหวัดที่มีอิทธิพลเยอะมาก โดยเฉพาะอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นชาวบ้านในพื้นที่กลัวมาก ถึงขนาดเวลาที่ชาวบ้านจะส่งข้อมูลมาให้ตนยังย้ำแล้วย้ำอีกให้ตนปิดข้อมูล ปิดชื่อ ปิดที่อยู่ให้ด้วย เพราะชาวบ้านที่ปทุมธานีกลัวมาก เนื่องจากชาวบ้านเขาสู้นักการเมืองท้องถิ่นไม่ได้ ไม่เชื่อลองไปสืบประวัตินักการเมืองท้องถิ่นดูแต่ละคนดูประวัติไม่ธรรมดาทั้งนั้น ตนบอกได้เลยว่าการที่จะให้ชาวบ้านแจ้งข้อมูลเบาะแส กตต.จะต้องคุ้มครองชาวบ้าน ชาวบ้านถึงจะกล้าให้ข้อมูล แต่ถ้าไม่คุ้มครองพวกเขาไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าให้ข้อมูลแน่นอน เพราะทุกคนกลัวโดนอุ้ม

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้จังหวัดปทุมธานีมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ระหว่าง ส.ส. กลุ่มเดิม กับนักการเมืองท้องถิ่นอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติเวลาเลือกตั้งก็จะมีการแข่งขันกันอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับครั้งนี้ มันเหมือนการย้อนยุคไปในอดีต 20 - 30 ปีก่อน ตนฟันธงได้เลยว่าการเมืองในครั้งนี้ทำให้การเมืองท้องถิ่นในปทุมธานีแตกแยก

ก่อนที่นายชูวิทย์จะทิ้งท้ายถึงพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ว่า ตนเข้าใจบิ๊กแจ๊สที่ทำตัวเป็นพ่อพระ เลือกทุกพรรครักทุกคน เนื่องจากอยู่ในสภาวะกล้ำกลืนฝืนทนซ้ายก็พวกขวาก็พวก ตนขอเตือนบิ๊กแจ๊สอย่าได้สนับสนุนใคร เพราะจะทำให้ปทุมธานีแตกเป็นเสี่ยง ๆ 

‘กกต.’ ไม่เร่งวินิจฉัยคุณสมบัติ ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ แจง!! ไม่ทันก่อนเลือกตั้ง ต้องให้ความเป็นธรรม

กกต.ไม่เร่งวินิจฉัยคุณสมบัติ ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ ส่อไม่ทันก่อนเลือกตั้ง อ้างเหลือเวลาน้อย ต้องให้ความเป็นธรรม เผยมีผู้สมัครบัญชีรายชื่อหลายคนถูกฟ้องล้มละลาย เร่งหาข้อเท็จจริงเพิ่มก่อนชงศาลพิจารณา

(11 พ.ค.66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.กล่าวถึงกรณีมีการร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นแคนดิเดตนายกของพรรคก้าวไกล ถือหุ้นสื่อ บมจ.ไอทีวี (ITV) ว่า ตนยังไม่เห็นคำร้อง ซึ่งเรื่องนี้เป็นการร้องเกี่ยวกับคุณสมบัติ มีขั้นตอนตามกฎหมาย มีอยู่ 3 ช่วง คือ ช่วงก่อนวันเลือกตั้ง / ช่วงหลังวันเลือกตั้ง และช่วงประกาศผลการเลือกตั้ง 

โดยก่อนการเลือกตั้ง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 61 ถ้า กกต.ตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่มีคุณสมบัติให้ยื่นต่อศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาเพียง 2 วัน แต่หากดำเนินการไม่ทัน ภายหลังวันเลือกตั้งถ้าเห็นว่าผู้นั้นมีลักษณะต้องห้ามในการลงรับสมัครรับเลือกตั้ง กกต.ก็จะมีมติให้ดำเนินคดีอาญามาตรา 151 ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติในการสมัคร แต่ก็ยังลงสมัคร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะไม่เป็นเหตุให้นำไปสู่การไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง 

ดังนั้น ก็ต้องประกาศผลให้เป็น ส.ส.ไปก่อน จากนั้นจะเป็นการดำเนินการภายหลังการประกาศผล ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ได้กำหนดช่องทางในการดำเนินการไว้ โดยให้ ส.ส.หรือ สว.เข้าชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ กกต.เป็นผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

เมื่อถามว่า ทำไม กกต.ไม่ยื่นเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาดำเนินการก่อการเลือกตั้ง เพราะถ้ายื่นหลังการเลือกตั้งจะมีผลกระทบมากกว่านั้น นายแสวง กล่าวว่า ทุกอย่างมีกระบวนการที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา เมื่อมีเรื่องร้องเรียน ดังนั้น สำนักงานก็จะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงข้อกล่าวหาก่อนจะนำเสนอให้ กกต.พิจารณา ซึ่งต้องใช้เวลา 

อย่างเช่นวันนี้ หน่วยงานที่ กกต.ได้ขอความร่วมมือในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่ล่าสุดเพิ่งจะส่งข้อมูลมาให้ และพบว่ามีผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่ง ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย แต่ กกต.เห็นว่าจำเป็นต้องให้ความเป็นธรรม และได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติก่อน จึงให้สำนักงานไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าคำสั่งล้มละลายยังมีผลอยู่หรือไม่ และผู้ถูกกล่าวหาได้มีการดำเนินการในเรื่องของการต่อสู้อย่างไรหรือไม่ จากนั้น กกต.จึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการส่งเรื่องยื่นต่อศาล 

ฉะนั้น จึงต้องแยกเรื่องกระบวนการให้ความเป็นธรรม กับผลกระทบออกจากกันด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top