Thursday, 8 June 2023
POLITICS

‘อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ชี้ เศรษฐกิจไทยแก้ยาก-ซับซ้อน ต้องใช้เวลา เชื่อ!! ไม่มีรัฐบาลไหนสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวคนเดียว

(11 พ.ค. 66) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวระหว่างการเป็นประธานเปิดงาน ‘MONEY EXPO 2023’ ว่า โลกยุคเรากําลังเผชิญปัญหาและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมขั้นวิกฤต และเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งปัญหาโลกร้อน ความเหลื่อมล้ำ คอร์รัปชัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและคุณภาพ ประชากร โรคอุบัติใหม่ หรือความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยี

ดังนั้น โจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจวันนี้ ยาก ซับซ้อน กว้างขวาง และใช้เวลา ซึ่งจะไม่มีรัฐบาลไหน หรือบุคคลใดที่วิเศษวิโสยังไงจะเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ทันที การบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจต้องเป็นเรื่องของทุกคน โดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจใหม่ ที่ต้องเป็นเศรษฐกิจสีเขียว ดำเนินธุรกิจด้วยพลังงานสะอาด ควบคู่กับ กรีนไฟแนนซ์ให้เป็นทางรอดของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

“การป้องกันบรรเทาความรุนแรงของปัญหา และพลิกวิกฤตให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ จึงต้องเป็นเรื่องของทุกคน และการเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มที่ตัวเรา” นายประสาร กล่าว

ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน บอกว่า นโยบายของพรรคการเมืองที่กำลังจะเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการพักหนี้ หรือช่วยเหลือเอสเอ็มอี ยืนยันว่า ทางธนาคารออมสินพร้อมที่จะจัดทำมาตรการรองรับได้ ในฐานะธนาคารเพื่อสังคม

ขณะที่นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า นโยบายพักหนี้เกษตรกรของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่นำเสนอกันนั้น หากเป็นส่วนที่เกี่ยวข้อบกับทางธนาคาร ก็พร้อมดำเนินการตามนโยบายได้ทันที เพียงแต่เรายังไม่เห็นรายละเอียดของโครงการ จึงต้องขอดูรายละเอียด การชดเชยค่าดำเนินการใดๆ ให้ชัดเจนก่อน เพราะเราเป็นธนาคารที่ต้องดูแลลูกค้าหลายภาคส่วน

‘หมอวรงค์’ ซัดก๊วนปล่อยหยก บุก สน.สำราญราษฎร์  การเมืองปั่นกระแส ที่ได้ ‘พรรค - NGO’ หนุนหลัง

(11 พ.ค. 66) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในหัวข้อ #สู้กับก้าวไกลต้องไทยภักดีเบอร์ 21 ผ่านเฟซบุ๊ก ‘วรงค์ เดชกิจวิกรม-Warong Dechgitvigrom’ โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

‘แบม-ตะวัน’ พร้อมเพื่อนรวม 9 คน ถูกรวบตัว หลังเดินทางไปทวงถามตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ กรณีแจ้งข้อหาเยาวชนอายุ 15 ปี (น้องหยก) เพิ่มในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน ก่อนเกิดเหตุชุลมุนสาดสีและทำลายทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย ตำรวจเจ็บ 1 นาย

ผมคิดว่าพี่น้องคงได้เห็นแล้วว่า การกระทำของน้องกลุ่มนี้จงใจสร้างเหตุ และหลังจากนี้ ก็จะมี พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง NGO ที่เชื่อมโยงต่างชาติมากล่าวหาว่า ใช้กฏหมาย ‘รังแกเด็ก’

การเลือกตั้งรอบนี้ จึงอันตรายต่อความมั่นคง ความสงบสุขของประเทศมาก โดยเฉพาะต้องต่อสู้กับพรรคก้าวไกลในสภาผู้แทนราษฎร ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมาตรา 112

การต่อสู้กับพรรคก้าวไกล ต้องพรรคไทยภักดีเท่านั้น จึงจะสู้ได้ ไทยภักดีเบอร์ 21

อดีตเพื่อนธนาธร ชี้ กรณี ‘พิธา’ ไม่มีใครกลั่นแกล้ง แค่มรดกความอ่อนด้อยทางการเมืองจากรุ่นสู่รุ่น

‘พิชิต’ อดีตเพื่อน ‘ธนาธร’ โพสต์ จากธนาธรถึงพิธา!! มรดกความอ่อนด้อยทางการเมือง ตายน้ำตื้น อย่าฝืนว่ามีใครกลั่นแกล้ง

(10 พ.ค.66) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pichit Chaimongkol’ ระบุว่า...

มรดก

ธนาธร ก็เจอ พิษหุ้นสื่อ จนยุบพรรค นำมาสู่มีคนลงถนนในช่วงแรก ๆ

พิธา ผู้รับมรดกพรรค ทั้งที่ไม่ค่อยได้ลงทุน หรือตั๋วช้าง ฟรี (คำนี้มาจาก ปิยบุตร เอง) ก็กำลังจะตายเพราะหุ้นสื่อ

มรดกตรงนี้ เป็นมรดกของความอ่อนด้อยทางการเมือง ไม่ใช่การกลั่นแกล้งจากใคร

ปากคุณจะสร้างวาทกรรมขนาดไหน
ใจคุณรู้ว่า ไร้เดียงสาการเมือง คืออะไร
ตายน้ำตื้น อย่าฝืนว่าถูกกลั่นแกล้ง
มันเป็นมรดก ความไร้ประสบการณ์
แค่นั้นเอง...

‘เจ๊จุก คลองสาม’ แชร์คำบอกเล่าผู้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มทะลุแก๊ส ชี้!! ไม่เด่นไม่ดัง ปั่นกระแสไม่ได้ นักการเมืองไม่มีทางมาช่วย

(10 พ.ค. 66) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘KopGap Jirapas’ ได่โพสต์ข้อความระบุว่า วันนี้มาเยี่ยมเพื่อนเราที่เรือนจำครับ ทั้งหมด 5 คน ที มาย ต๊ะ ม๊ะ แน๊ก ทุกคนกำลังใจดีมาก มีแน๊กคนเดียวที่น้ำตาซึมจะร้องไห้ เพราะน้องบอกว่ารับสารภาพไปแล้ว รอตัดสินวันที่ 31 นี้ ที่แน๊กตัดสินใจยอมรับผิด ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นคนทำ เพราะน้องบอกว่าโดนทิ้ง ทนายที่ทำคดีก็ไม่รู้ว่าคนไหน มีทนายเข้ามาเยี่ยม ฝากให้โทรหาแม่ ทนายก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของเขา และตัดสินใจยอมรับสารภาพเพื่อหวังจะ ได้ลดโทษ 

เพื่อไม่ให้น้องรู้สึกโดดเดี่ยว ผมได้สัญญากับน้องไว้ว่า 31 นี้ผมจะปฟังคำตัดสินเป็นเพื่อนน้องที่ศาลอาญารัชดา

ต่อมาเพจ ‘เจ๊จุก คลองสาม’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ตัดสินใจยอมรับสารภาพ เพื่อได้ลดโทษ คดีครอบครองวัตถุระเบิด 

"น้องบอกว่าโดนทิ้ง ทนายที่ทำคดีก็ไม่รู้ว่าคนไหน ทนายที่เข้าเยี่ยมบอกให้โทรหาแม่ด้วยเพราะไม่ใช่
หน้าที่เขา"

ก็นั่นสินะคะ ไม่ดังเหมือนเด็กหยก ปั่นกระแสไม่ได้ว่าเป็นคดีการเมือง นกม.ก็คงไม่มาช่วยหรอกคะ มันเจ็บจี้ดด!!!

นอกจากนี้ยังได้แชร์รูปภาพโควทคำพูดของ แน๊ค ทัตพงศ์ ผู้ต้องขังระหว่างต่อสู้คดี ที่ระบุว่า “กับการเลือกตั้ง ผู้รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร อยู่ข้างในนี้มันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ผมไม่ได้คาดหวังกับการเมืองขนาดนั้น ตอนนี้ผมคิดแค่เรื่องของผมแล้้ว ไม่ได้อยากฝากคำถามถึงใคร (นักการเมือง) ด้วย ถ้าเขาอยากช่วยเหลือ เขาคงช่วยแล้ว”

ทั้งนี้ แน๊ค ทัตพงศ์ ถูกจับกุมจากม็อบช่วงประชุม APEC ตามหมายจับของศาลอาญา จากการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มทะลุแก๊สที่ถนนราชปรารภ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564 แจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวเนื่องกับการครอบครองวัตถุระเบิดและยุทธภัณฑ์ในช่วงการชุมนุมของทะลุแก๊ส

‘แดงปทุมฯ’ กลับใจ!! เข็ดแล้วเลือก ส.ส.ตามกระแส ช้ำใจได้คนไม่ตรงปก เปิดใจ!! ก้าวข้ามความขัดแย้ง

หลังจากเป็นข่าวใหญ่ไปช่วงขณะหนึ่งในเขตเลือกตั้งจังหวัดปทุมธานี โดยมีกระแสข่าวจากชาวบ้านในจังหวัดที่รับไม่ได้กับพฤติกรรมของ ‘นายมนัสนันท์ หลีนวรัตน์’ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่มีพฤติกรรมกร่าง และเคยมีเรื่องทำร้ายร่างกายชาวบ้านในพื้นที่ แต่เจ้าตัวก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงถึงประเด็นการทำร้ายร่างกาย ว่าได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว รวมถึงมีการขอโทษผู้เสียหาย ชดใช้ค่าเสียหายและคดีถึงที่สุดแล้ว พร้อมทั้งบอกว่าการขุดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง ทำให้การสาดสีทางการเมืองเริ่มเยอะมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงยุคใหม่ ที่ขอปรับทัศนคติเป็นคนไทยที่ ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ อาทิ คุณขนิษฐา สุทัน / คุณนฤมล ศรีโพกลาง และ คุณนนท์ จึงศักดิ์สิทธิ์ ได้เป็นตัวแทนชาวปทุมธานี ส่งเสียงกับ THE STATES TIMES ว่า...ไม่ควรให้โอกาสกับคนที่มีพฤติกรรมทำร้ายประชาชน เพราะผู้แทนหรือ ส.ส.ที่ดี แค่รักประชาชนยังทำไม่ได้ จะให้มาดูแลประชาชนได้อย่างไร

โดยคุณขนิษฐา ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “กรณีอดีต ส.ส.พรรคหนึ่ง ที่มีข่าวเรื่องตีกันทะเลาะกับชาวบ้านก่อนหน้านี้นั้น ก็ต้องบอกว่าในอดีตเขาก็มีข่าวฉาวเกี่ยวกับพฤติกรรมเช่นนี้บ่อยอยู่แล้ว แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ใช่คนที่มีประพฤติเกเรเหมือนที่หลายคนที่ส่งต่อข้อความกัน และบอกว่าคนเราอาจผิดพลาดกันได้ แต่อย่าลืมว่าคุณเป็น ส.ส.คุณเป็นที่พึ่งของประชาชน แต่สิ่งที่คุณทำมันฝังใจคนในพื้นที่ แล้วครั้งนี้ยังกล้ามาลงสมัคร ส.ส.ในเขตนี้อีกครั้ง ประชาชนที่ไหนจะหวังพึ่งพาคุณได้จริง”

ขณะที่ คุณนฤมล กล่าวว่า “สิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่นิสัย แต่มันเรียกว่าสันดาน เพราะคนที่อยากเป็น ส.ส.ส่วนใหญ่ที่ดิฉันเคยเห็นมาทั้งชีวิต เขาเข้ามาแล้วมีความมุ่งมั่นในการดูแลประชาชน จะดูแลได้มากน้อยแค่ไหน ก็ยังทำ แต่ที่แน่ๆ ไม่เคยมีใครคิดทำร้ายประชาชนในพื้นที่ของตนเองเลย ฉะนั้นเมื่อสันดานเป็นแบบนี้ จะพัฒนาเขตและดูแลประชาชนได้ยังไง ที่สำคัญเขาชอบทำเรื่องแบบนี้ซ้ำๆ ซากๆ แล้วประชาชนคนไหนจะฝากชีวิตไว้กับคุณได้ ยิ่งไปกว่านั้น การทำตัวดี มันต้องต่อหน้าและลับหลัง”

ด้านคุณนนท์ กล่าวว่า “ผมคงไม่ขอพูดอะไรมาก คงพูดแค่ว่าวันที่ 14 นี้ ลองใช้ปลายปากกาของพวกคุณ ไปเลือกคนดี ใช้สิทธิของคุณให้เต็มที่ เลือกคนดีเข้าสภา เลือกมาดูแลพี่น้องประชาชน มาดูแลเขตบ้านเรา ให้เขามาดูแลประชาชนให้ทั่วถึง”

ท้ายสุด ทั้ง 3 ท่านยังให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันอีกว่า ประชาชนทุกพื้นที่ ย่อมรู้จักคนหรือผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ดีอยู่แล้ว คนไหนดี ไม่ดี ดูไม่ยาก แต่ตอนนี้มีกระแสที่เข้ามาทำให้การมองคนเปลี่ยนไป ฉะนั้นอยากให้คนปทุมธานี และรวมถึงคนไทยที่จะเลือกผู้แทนฯ ทั้ง 400 เขต ลองเลือกคนที่เรารัก คนที่เรารู้จักคนในเขตพื้นที่นั้น ๆ ของเราอยู่แล้ว

“ช่วยกันหน่อยนะคะ เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ ถ้าเขาเคยทำให้ถิ่นฐานบ้านเกิดเราดีอยู่แล้ว จะเลือกเขากลับเข้ามาก็ไม่ผิด หรือถ้าเขาเคยทำประโยชน์ใดๆ ให้พื้นที่ของเราแม้จะไม่ได้เป็น ส.ส.ก็ให้โอกาสเขา อย่าเลือกตามกระแส และอย่าเลือกคนสันดานไม่ดีเข้ามาร่วมบริหารประเทศ คนไทยร่วมกันช่วยเลือกคนดีทั้ง 400 เขตนะคะ” คุณขนิษฐา ทิ้งท้าย

‘อนุทิน’ เผย ‘ทักษิณ’ กลับประเทศ ไม่กระทบ รบ.ชุดปัจจุบัน ชี้ คนไทยมีสิทธิ์เข้า-ออกบ้านเกิดได้อิสระ ยัน!! ยังเคารพเหมือนเดิม

(10 พ.ค. 66) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงประเด็นการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าอีก 4 วันก็ถึงวันเลือกตั้งแล้ว ตอนนี้พรรคภูมิใจไทยไม่มีอะไรต้องกังวล ถ้ายังกังวลก็ต้องเตรียมตัวแพ้แล้ว พรรค ภท.เตรียมพร้อมทั้งผู้สมัครและนโยบายอยู่แล้ว ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชน อย่างไรก็ตาม หวังว่าพรรค ภท.จะได้รับเลือก ส.ส.เข้าสภาฯ ได้มากที่สุด

เมื่อถามถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร ประกาศจะขอกลับประเทศไทย จะมีผลอย่างไรกับรัฐบาลปัจจุบัน นายอนุทินกล่าวว่า ไม่มีผลอะไร คนไทยทุกคนสามารถเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดได้ เข้า-ออกได้อิสระ หากใครมีข้อจำกัดด้านกฎหมายก็ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่าไปผูกทุกเรื่องกับการเมือง ซึ่งท่านเน้นว่าอยากกลับมาเลี้ยงหลาน

นายอนุทินกล่าวว่า ส่วนเรื่องการกลับมาของนายทักษิณก็ต้องไปถามท่านเอง แต่ตนยังเคารพกันเหมือนเดิม ไม่ได้ลดน้อยลง และยินดีกับนายทักษิณที่เป็นคุณตา มีหลาน 7 คนแล้ว ในขณะที่ตนยังไม่มีหลานเลย

เมื่อถามถึงหลังการเลือกตั้ง หากกลับมาเป็นรัฐบาลอีกจะยึด 3 กระทรวงเหมือนเดิมหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงเป็นสถานที่ราชการไม่มีใครสามารถยึดได้ ขึ้นอยู่กับประชาชน การที่สมาชิกพรรค ภท.ได้เป็นรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงก็มาจากความชอบธรรม มาจากการเลือกของพี่น้องประชาชนผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ยืนยันว่า ทุกกระทรวงดีหมด ไม่มีกระทรวงหลัก หรือกระทรวงรอง เพราะมีการจัดตั้งมานานแล้ว

‘บุญระดม’ แฉ!! ‘ก้าวไกล’ จัดตั้งทีม IO เชียร์ตัวเอง ชี้!! มีกลุ่มลับคอยสั่งการเหยียบหมื่นคนทั่วประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ ‘บุญระดม จิตรดอน’ นักข่าวการเมืองอาวุโสชื่อดัง ได้ออกมาทำการแฉพรรคก้าวไกล ในเรื่องของขบวนการ IO พร้อมระบุว่า

แฉแหลก!! พรรคก้าวไกลจัดตั้งทีม iO ทั่วประเทศเหยียบหมื่นคน มีทั้งรูปแบบจัดคีย์เวิร์ดให้ copy & paste เมนต์เชียร์ก้าวไกลในเพจดังๆ มากันทีเป็นฝูง ๆ ระดมกระหน่ำคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งการคอมเมนต์รูปหัวใจสีส้ม พร้อมระบุเบอร์พรรคก้าวไกล ทำให้พรรคก้าวไกลดูเป็นกระแสของสังคม เพจดารา เพจข่าว ไม่เว้นแม้แต่เพจ sex แปะหมด!!

อีกทั้งยังมีการทำโพสต์ในรูปแบบของการเชียร์ก้าวไกล และโจมตีพรรคเพื่อไทย รูปแบบจัดตั้งหน้าม้าไปนั่งส่งเสียงเชียร์เวลาคนของก้าวไกลไปดีเบตก็มี และเมื่อมีคนมาแหกนายพิมธา ว่าเป็น ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ กลุ่มไอโอพวกนี้ก็จะมาช่วยกันระดมรีพอร์ต

โดยกลุ่ม IO นี้ มีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เป็นหัวหน้าทีม เขาจึงอภิปรายคล่องปรี๊ดว่า กองทัพและรัฐบาลจ้าง IO ให้ทำงานแบบไหน เพราะสิ่งที่คุณวิโรจน์พูด คือสิ่งที่คุณวิโรจน์ทำ พรรคที่มี IO มากเป็นอันดับ 1 คือ พรรคก้าวไกล

ซึ่งสอดคล้องกับที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ได้ออกมาแฉเมื่อปีก่อนโน้นว่า พรรคอนาคตใหม่ หรือ พรรคก้าวไกลในปัจจุบัน มี IO ปั่นกระแสให้มากเป็นอันดับ 2 รองจากกองทัพ

ผลโพลที่พุ่งกะทันหันเกินครึ่ง ข่าวว่าก็มาจากยุทธการ IO ปั่นเกือบหมื่น accounts นี่แหละค่ะ
 

‘นิกม์’ ผู้สมัคร ‘ภท.’ แฉ!! ‘พิธา’ ยังถือหุ้น ITV ซ้ำ!! ไม่เคยแจ้งสละหุ้น เจ้าตัวเผย ตอนอยู่ ‘อนค.’ หากตนไม่สละหุ้นสื่อ ก็คงโดนเหมือน ‘ธนาธร’

เด็ก ‘ภท.’ แฉซ้ำ!! ‘พิธา’ ยังถือหุ้น ITV ไม่ใช่ในนามผู้จัดการมรดก ยันมีชื่อคนร่วมมรดก 3 คน และยังไม่สละหุ้น ยกเคสตัวเองเปรียบเทียบ หุ้นมรดกตัวเดียวกัน แต่ดำเนินการสลักหลังให้คนอื่นเรียบร้อย ก่อนสมัครรับเลือกตั้ง แฉ ทีมกฎหมายอนาคตใหม่ เคยบอกว่า ไม่ต้องทำอะไร ดีที่ไม่ชนะเลือกตั้งคราวที่แล้ว ไม่งั้นโดนเหมือน ‘ธนาธร’

(9 พ.ค. 66) นายนิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 17 คลองสามวา พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้แจงเรื่องหุ้น ITV ว่าเป็นเพียงผู้จัดการมรดกนั้น พบว่าในเอกสารนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ เสียชีวิตในปี 2549 (พิธีศพระหว่างวันที่ 18-24 ก.ย.2549) มีทายาทผู้มีสิทธิ์รับมรดก 3 คน คือ นางลิลฎา ลิ้มเจริญรัตน์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ โดยนายพิธา อ้างว่าเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งตามกฎหมายทายาทเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับมรดกจากผู้เสียชีวิต ดังนั้น หุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น จะต้องตกเป็นของทายาทในสัดส่วนเท่าๆกัน ย่อมหมายความว่านายพิธา ยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,000 หุ้น

“ผมขอตั้งข้อสังเกตุว่านายพิธา จะอ้างว่ามิใช่เจ้าของหุ้นไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏหลักฐานว่า นายพิธาได้สละมรดกแต่อย่างใด อีกทั้ง การสละมรดกจำต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อเจ้าพนักงาน หรือสัญญาประนีประนอม และในประการสำคัญ หากนายพิธาสละมรดกจริง ย่อมไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องเป็นผู้จัดการมรดกได้ ที่สำคัญถ้าหุ้นนี้เป็นของกองมรดกก็ต้องระบุใน บอจ.5 ว่าผู้ถือหุ้นคือ นายพิธา ในฐานะผู้จัดการมรดก” นายนิกม์ กล่าว

นายนิกม์ กล่าวว่า อย่างในกรณีของตนก็ได้รับมรดกเป็นหุ้นของ ITV เช่นเดียวกัน และตั้งแต่กรณีเรื่องหุ้นสื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เกิดขึ้น ตนก็ระมัดระวังตัวในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ ตนได้ติดต่อโบรกเกอร์ ติดต่อ TSD เสียค่าธรรมเนียม ออกใบหุ้น เพื่อโอนออกจากตัวเองไปแล้ว

“เมื่อก่อนผมอยู่พรรคอนาคตใหม่ เคยนำเรื่องหุ้น ITV ไปปรึกษา ทีมกฎหมายของพรรค เขาบอกว่าไม่เป็นอะไร ไม่ต้องไปทำอะไร ซึ่งครั้งที่ผ่านมานั้น ผมได้ที่ 2 ไม่ได้เป็น ส.ส. ถ้าได้เป็นคงโดนแบบนายธนาธร ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ครั้งนี้ผมย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทย เพราะเรื่องที่จะมีการแก้ไขหรือยกเลิก มาตรา 112 ซึ่งผมไม่เอาด้วย และผมเชื่อมั่นในตัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในเรื่องสาธารณสุข ที่ผมเคยร่วมงานมูลนิธิด้วย” นายนิกม์ กล่าว

‘ชัชชาติ’ รับ!! สื่อสารพลาด ปม ‘รทสช.’ ยิงเลเซอร์หาเสียง ชี้!! ไม่ดำเนินคดี เพราะเอกสารแนบขออนุญาตมาแล้ว

‘ชัชชาติ’ ชี้ เข้าใจผิด รทสช.ฉายเลเซอร์หาเสียง สะพานพระราม 8 สั่งหยุดแล้วไม่เอาผิด บทเรียนสื่อสารคลาด ‘อ่านเอกสารไม่ละเอียด’

(9 พ.ค. 66) ที่ห้องเจ้าพระยา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และ นายสุพจน์ หล้าจำศิล ผอ.สำนักปกครองและทะเบียน แถลงข่าวชี้แจงข้อความหาเสียงของ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จากการฉายข้อความบนเสาสะพานพระราม 8 ในช่วงค่ำของเมื่อวานนี้ (8 พ.ค.) สืบเนื่องจากการที่ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ทำหนังสือส่งถึง นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัด กทม.ขออนุญาตใช้สถานที่ลานริมแม่น้ำสวนหลวงพระราม 8 ตั้งแต่วันที่ 8-12 พ.ค.2566 เวลา 20.00-02.00 น.ของทุกวัน พร้อมแนบรายละเอียดจุดที่ใช้งานและรูปแบบการใช้ โดยระบุว่า จะมีการฉายข้อความ ว่า “22 รวมไทยสร้างชาติ” นั้น

นายชัชชาติกล่าวว่า กทม.ไม่อนุญาตให้มีการฉายข้อความบนเสาสะพานพระราม 8 เนื่องจากไม่ได้เป็นพื้นที่อนุญาตให้หาเสียง รวมถึงส่วนของสะพานพระราม 8 อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักการโยธา ทั้งนี้ ตามหนังสือมีการขออนุญาตใช้พื้นที่บริเวณสวนหลวงพระราม 8 และใต้สะพานพระราม 8 กทม.จึงได้อนุญาตไป เพราะนึกว่าเป็นการปราศรัยหาเสียงแบบปกติ แต่เอกสารแนบมีการระบุขอฉายข้อความ ซึ่งทางเราอาจจะดูไม่ละเอียด จึงต้องให้ความเป็นธรรมด้วย แต่เมื่อพบแล้วจึงให้ระงับการกระทำดังกล่าว

“คงไม่มีเจตนาที่ไม่ถูกต้อง ทางผู้สมัครส่งหนังสือมีการระบุขอฉายข้อความ แต่เราอาจจะเห็นตรงนี้ไม่ชัดเจน ซึ่งพอทราบเรื่องแล้วก็ไม่ได้อนุญาตให้มีการฉาย เพราะการฉายบนเสามีประเด็นเรื่องคนขับรถไปมา เรื่องความสนใจ และอยู่นอกพื้นที่ที่กำหนดไว้” นายชัชชาติกล่าว

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า ต้องการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมาฟังการปราศรัยหาเสียงเป็นหลัก แต่คงไม่อนุญาตให้มีการฉายข้อความบนอาคารของ กทม. เพราะอาจจะเกิดปัญหา ทั้งนี้ ถือเป็นบทเรียนที่ต้องดูหนังสือขอต่างๆ ละเอียดให้มากขึ้น

เมื่อถามว่าจะมีการดำเนินคดีกับผู้ทำผิดหรือไม่ นายชัชชาติกล่าวว่า ไม่มีการดำเนินคดี ทุกคนมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผู้สมัครก็ทำหนังสือขออนุญาตมา แต่เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ไม่คิดว่าจะมีการฉายภาพ แต่เมื่อทำแล้วก็สั่งให้หยุดการกระทำดังกล่าว

ส่วนเรื่องที่จะผิดระเบียบของ กกต.หรือไม่นั้น คงเป็นอีกเรื่อง ไม่เกี่ยวกับทาง กทม. แต่จะมีการทำหนังสือชี้แจงส่งไปทางสำนักงาน กกต.กทม.ทราบ

“ยืนยันไม่มีการลำเอียง อาจเป็นความคลาดเคลื่อนในแง่ของการสื่อสาร เป็นความผิดพลาดที่ไม่ตั้งใจ ทุกคนมีเจตนาดีที่อยากให้การปราศรัยหาเสียงเป็นไปตามที่เรากำหนดไว้” นายชัชชาติกล่าว

นายสุพจน์กล่าวว่า หนังสือฉบับดังกล่าวได้ขออนุญาตใช้พื้นที่สวนหลวงพระราม 8 ซึ่งผู้ว่าฯกทม.ประกาศเป็นพื้นที่หาเสียงอยู่แล้ว ไม่ว่าพรรคการเมือง หรือผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถมาขออนุญาตใช้ได้อยู่แล้ว โดยมีเงื่อนไขตามที่สำนักสิ่งแวดล้อมกำหนดไว้แต่ละสวน เช่น การใช้ไฟฟ้าภายในสวน ผู้มาขออนุญาตต้องชำระค่าไฟฟ้าด้วย

'สนธิญาณ' ส่งสารถึงกลุ่มก๊วนเครื่องมือให้กับพวกต่างชาติ  ขอให้คิดดีๆ!! ใครก่อความวุ่นวายหนนี้ เจอกันหลังเลือกตั้ง

(9 พ.ค. 66) นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม นักธุรกิจด้านสื่อสารและนักเคลื่อนไหวการเมือง ได้โพสต์คลิปติ๊กต๊อกพูดคุยประเด็นเรื่อง 'การก่อความวุ่นวายในสังคมไทย' ว่า...

"ผมออกความเห็นทางการเมืองนอกจากรายการชัดครบจบจริงในท็อปนิวส์มานาน เหตุผลเพราะเบื่อหน่ายนักการเมืองและรัฐบาลที่ไม่ได้เห็นปัญหาว่าประเทศเราถูกคุกคามจากชาติมหาอำนาจ โดยมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนผ่านพรรคการเมืองที่มาปั่นหัวเด็กและเยาวชน

"ผมพยายามจะสื่อสารข้อมูลเหล่านี้ไปว่า จะต้องพลิกกลับมาเรียนประวัติศาสตร์ ตามที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ได้ทรงมีพระราชดำรัสไว้ รวมทั้งจะต้องมีการศึกษาถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ได้สร้างให้กับสังคมไทยอย่างลึกซึ้งในพระองค์ที่สำคัญๆ และทำให้ประเทศของเราเข้มแข็งยืนยาวอย่างเป็นเอกราชมาได้จนถึงปัจจุบัน"

นายสนธิญาณ กล่าวต่อว่า "แต่ที่ผ่านมาเรื่องนี้ไม่เคยได้รับความสนใจ นักการเมืองก็เอาแต่แสวงหาผลประโยชน์ เพื่อนำพาไปสู่การเลือกตั้ง แล้วก็จะวนรอบในวงจรอุบาทว์กลับมามีอำนาจกันใหม่ 

"วันนี้ชัดเจนครับว่าประเทศชาติของเราแตกออกเป็น 2 ฝั่ง อย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งอาจจะเรียกว่าพวกอนุรักษ์นิยมหรือกลุ่มผู้สูงวัยที่จงรักภักดีในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อีกส่วนหนึ่งก็คือผู้ที่ประกาศตัวเองว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ต้องการการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับคนทำงานหนุ่มสาวไปจนถึงนิสิตนักศึกษาในมหาลัยไปถึงเด็กนักเรียนในระดับมัธยม ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองอย่างธรรมชาติ แต่เป็นการสร้างหลักฐานกระบวนการเท็จขึ้นมาและใช้เครื่องมือในการสื่อสารในยุคนี้กระจายไปถึงผู้คน"

นายสนธิญาณ กล่าวต่ออีกว่า "ผมจะเรียนว่าในสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามในแบบหรือสงครามปฏิวัติ ชัยชนะที่แท้จริง จะต้องเกิดขึ้นจากพลังของข่าวสารและการสื่อสารไม่ใช่การใช้อาวุธ อาวุธเป็นเพียงแต่องค์ประกอบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังเราจะเห็น...ไม่ว่าจะเป็นการปลุกระดมผู้คนของฮิตเลอร์ในเยอรมันจะต้องผ่านภาพยนตร์ ซึ่งนั่นก็คือเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น ในสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน ในญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน 

"วันนี้การสื่อสารทันสมัยยิ่งขึ้นการนำพาข่าวสารไปให้ถึงผู้รับสารเป็นไปอย่างรวดเร็วแทบกระพริบตา สามารถกระจายได้เป็นล้านๆ ภายในไม่กี่นาที ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงนำพาไปสู่การปลุกเร้า ข้อมูลที่ผิดและบิดเบือนไปถึงผู้รับสารซึ่งหมายถึงคนหนุ่มสาว นิสิต นักศึกษา และนักเรียน...รัฐบาลที่มีอำนาจและนักการเมืองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ข้อมูลที่ผิดและบิดเบือนนั้นมุ่งไปสู่การโจมตีสถานบันพระมหากษัตริย์ แต่เราไม่ได้รับการเอาใจใส่แต่อย่างใดที่จะแก้ไขปัญหา เอาแต่แก้ไขปัญหาเป็นอย่างฉาบฉวย

"เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะรัฐบาลและนักการเมืองไม่ได้เข้าใจปัญหาที่แท้จริง ว่าปัญหาเหล่านี้จะนำความหายนะมาสู่บ้านเมืองของเรา สหรัฐอเมริกาต้องการให้เราอยู่ข้างเขา ถ้าไม่อยู่ข้างเขาก็ต้องทำลายเสีย เพื่อไม่ให้อีกฝั่งอีกฝ่าย คือ จีนกับรัสเซียมาใช้ประโยชน์

"ลองคิดดูนะครับที่ฟิลิปปินส์ในสมัยประธานาธิบดีคนก่อนดูแตร์เตประกาศไม่เอาสหรัฐอเมริกา ดูแตร์เตหมดอำนาจลงไป ประธานาธิบดีคนใหม่ประกาศให้จัดตั้งฐานทัพขึ้น 4 แห่ง 

"ส่วนในไทยเคยผิดหวังในการที่จะกลับมาใช้สนามบินอู่ตะเภาในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะกองทัพไม่เอาด้วย แต่ถ้าวันนี้อีกฝั่งอีกฝ่ายหนึ่งเกิดชนะการเลือกตั้งแน่นอนครับประเทศจะถูกเอียงไปทางสหรัฐอเมริกาและตะวันตกในทันที"

นายสนธิญาณ กล่าวถึงจุดแข็งของรัฐบาลที่ผ่านมาด้วยว่า "ในขณะที่ผ่านมาข้อดีข้อรัฐบาลไทยก็คือ การประคับประคองสถานการณ์เหมือนกับที่ผู้นำชาติเราในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์หรือนายกรัฐมนตรีในยุคก่อนๆ ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึงสมัยยุคคอมมิวนิสต์นั้น สามารถประคับประคองสถานการณ์ของประเทศให้รอดพ้นไปได้ 

นายสนธิญาณ กล่าวถึงการเตรียมก่อความวุ่นวายของฝ่ายพ่ายแพ้ด้วยว่า "ดังนั้นที่บอกว่าถ้าไม่ชนะก็จะต้องทำลาย ผ่านการออกมาประกาศว่าจะแลนด์สไลด์ของพรรคส้มบ้าง พรรคแดงบ้าง โดยเฉพาะพรรคส้มที่สร้างโพลล์สร้างกระแสในโลกโซเชียลขึ้น แล้วถ้าไม่แลนด์สไลด์ตามที่พูด ก็ประกาศไว้ล่วงหน้าแล้วว่า "เพราะจะมีการโกงเลือกตั้ง?" แบบนี้หมายความว่าไง? หมายความว่า นั่นคือการสร้างประเด็นเงื่อนไขไว้เพื่อเตรียมที่จะก่อความวุ่นวายขึ้นหลังการเมืองหรือไม่?

"ที่ผมออกมาพูดวันนี้ ก็เพื่อจะบอกว่า หากคุณก่อความวุ่นวาย ก็จะได้เจอดีกัน ผมอยากให้ลองไปศึกษาประวัติศาสตร์ของนักศึกษาเมียนมาที่เคยก่อเหตุมาแล้วเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ท้ายที่สุดแตกพ่าย หนีกระเซอะกระเซิงมาพึ่งพิงในประเทศไทยและไปศึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นในเมียนมาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาให้ดีๆ ด้วย

'วราวุธ' เผยชาวบ้านถาม 'พิธา' เป็นสุพรรณบุรีแล้วเสียหายตรงไหน?  ยัน!! ยุค 'บรรหาร' เป็นรัฐบาล ก็บริหารประเทศให้พัฒนาทั่วถึง

(9 พ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวพาดพิงว่ากังวลประเทศไทยจะเป็นสุพรรณบุรีว่า มีชาว จ.สุพรรณบุรีบางส่วนส่งข้อความมาหาตนว่าเป็นสุพรรณบุรีแล้วมันเสียหายตรงไหน แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่เคยทำงานร่วมกับนายพิธาและพรรคก้าวไกลในสภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นว่าพวกเขาเชื่อมั่นในเรื่องความเสมอภาคและความเท่าเทียม ตนคิดว่าเขาคงไม่ได้หมายความไปตามสิ่งที่พูด และจากการที่ตนและนายพิธาได้ร่วมเวทีดีเบตกันมาแล้วหลายครั้ง เห็นว่านายพิธาคงไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ จึงคิดว่าอย่าเอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมาทำให้เป็นเรื่องดีกว่า เพราะอีกไม่กี่วันจะถึงวันเลือกตั้งอยู่แล้ว ขอให้มุ่งเน้นกันที่นโยบาย เพราะบางครั้งอาจจะมีเรื่องที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจและพลาดพลั้ง จึงอยากให้ปล่อยไปดีกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะดูแลความรู้สึกของชาวสุพรรณบุรีอย่างไร นายวราวุธ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราได้ทำงานอย่างต่อเนื่องใน จ.สุพรรณบุรี ซึ่งอาจมีหลายคนที่เกิดข้อกังขาว่า จ.สุพรรณบุรีมีการพัฒนา โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ขอชี้แจงว่าตอนที่นายบรรหารดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ จนถึงตอนดำรงตำแหน่งนายกฯ ทุกคนสามารถไปตรวจสอบได้ว่าการทำงานของนายบรรหารในช่วงเวลาเหล่านั้นได้ทำงานให้กับคนไทยทั้งประเทศ แม้กระทั่งตอนได้รับตำแหน่งนายกฯ จุดแรกที่ท่านเริ่มไปลงพื้นที่คือ ภาคใต้ ไม่ได้มาที่ จ.สุพรรณบุรีก่อน 

นอกจากนี้ ในยามที่นายบรรหารเป็นเพียง ส.ส. ท่านก็ยังทำงานให้ จ.สุพรรณบุรี ถือเป็นเรื่องปกติของการเป็น ส.ส. ส่วน ส.ส.แต่ละคนจะทำงานได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับศักยภาพแต่ละคน อย่างไรก็ตาม อยากทำความเข้าใจกับชาวสุพรรณบุรีว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนเข้าใจคลาดเคลื่อน แต่ใน จ.สุพรรณบุรี พวกเรายังทำงานเหนียวแน่นกันดี

เมื่อถามว่า ดูเหมือนการปราศรัยในระยะหลังของพรรคก้าวไกล จะพูดแซะตระกูลหรือบ้านใหญ่ในจังหวัดต่าง ๆ นายวราวุธ กล่าวว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ต้องขอบคุณที่มองเราเป็นบ้านใหญ่ เพราะสำหรับบ้านศิลปอาชาและพรรค ชทพ. ถือว่าสุพรรณบุรีเป็นบ้านใหญ่ของเรา ขณะเดียวกัน เราเข้าใจดีว่าการพูดบนเวทีบางครั้งอาจจะมีกลอนพาไป จึงอย่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นเรื่องดีกว่า และอย่าเอามาเป็นประเด็นทางสังคมเลย เราควรไปโฟกัสนโยบายของแต่ละพรรคดีกว่า และอีก 3-4 วัน จะได้เวลาไปลงคะแนนเลือกตั้งกัน

'เรืองไกร' จ่อร้อง กกต.สอบ 'พิธา-ก้าวไกล' ถือหุ้น ITV พบมีชื่อถือ 42,000 หุ้น ซ้ำบริษัทยังดำเนินธุรกิจอยู่

(9 พ.ค. 66) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบพบข้อมูลที่น่าเชื่อว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น จึงต้องการให้ กกต.ตรวจสอบ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) บัญญัติห้ามมิให้บุคคลที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส และเมื่อตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงตามข้อมูลเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 66 ที่ทำให้เข้าใจว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ในลำดับที่ 6,121 เลขทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์ 4030954168 ที่อยู่ 98/26 อาคารซิลเวอร์เฮอริเทจ ซ.สุขุมวิท 38 ถ.สุขุมวิท พระโขนง คลองเตย 10110 สัญชาติไทย จำนวน 42,000 หุ้น

นายเรืองไกร ยังกล่าวอีกว่า เมื่อตรวจสอบจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบข้อมูลของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) พบว่า เป็นนิติบุคคลที่ยังดำเนินกิจการอยู่ ธุรกิจตอนจดทะเบียน ระบุการออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงยกเว้นทางออนไลน์

วัตถุประสงค์ตอนจดทะเบียน ระบุสถานีโทรทัศน์ หมวดธุรกิจ ก็ระบุว่า กิจกรรมเผยแพร่ภาพยนตร์วีดิทัศน์และรายการโทรทัศน์ โดยปีที่ส่งงบการเงิน คือ ปี 2560 ต่อเนื่องถึงปี 2564 และเมื่อขอข้อมูลบัญชีรายขื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ณ วันที่ 27 เม.ย. 65 นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นในลำดับที่ 7,138 จำนวน 42,000 หุ้น เลขที่ใบหุ้น 06680180285422 มูลค่าหุ้นละ 5 บาท

อีกทั้งเมื่อตรวจสอบข้อมูลบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จากเว็บไซต์ พบว่า บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการรับจ้างโฆษณา ประชาสัมพันธ์ทุกชนิดทุกประเภท มีรายได้ปี 2565 รวม 21 ล้านบาท และมีรายได้ปี 2564 รวม 24 ล้านบาท โดยบริษัทมีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) เมื่อวันพุธที่ 26 เม.ย. 66 จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีเหตุอันควรที่ กกต. จะต้องตรวจสอบนายพิธา ผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อและผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ว่า เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) หรือไม่

'รวมไทยสร้างชาติ' แจงแล้ว เลเซอร์สะพานพระราม 8  พบ 'ทิพานัน' ทำโดยไม่ได้หารือ เรียกมาตำหนิแล้ว

(9 พ.ค. 66) จากกรณี ประเด็นการยิงเลเซอร์หาเสียงบนสะพานพระราม 8 ถูกจับตาอย่างหนักภายหลังจสก น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์ภาพแสงสีบนสะพานพระราม 8 เป็นข้อความหาเสียง พร้อมระบุแคปชันว่า...

"ชัดเจนเด่นชัด สะพานพระราม 8" โดยภาพแสงสีปรากฏข้อความต่างๆ เช่น "กา 22 มั่นคง มั่งคั่ง" / "ลุงตู่ อยู่ต่อ" และ "รวมไทยสร้างชาติ"

ล่าสุด พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมาชี้แจงโดยระบุว่า...

ตามที่ปรากฏข่าวว่ามียิงการเลเซอร์ ข้อความเชิญชวนให้เลือกหมายเลขของพรรครวมไทยสร้างชาติบนเสาสะพานพระราม 8 เมื่อคืนวันที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น พรรครวมไทยสร้างชาติขอชี้แจงว่า พรรคฯ ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการดังกล่าว และได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน

'เฒ่าสามนิ้ว' สั่งสอน 'พิธา' พูดให้ระวังปาก ชี้!! สมัยกรุงศรีฯ มี 2 ใน 5 ราชวงศ์ มาจากสุพรรณบุรี

(9 พ.ค. 66) สุชาติ สวัสดิ์ศรี อดีตศิลปินแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ถึงจะเป็น Voter ให้พรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่สิ่งที่ ‘พิธา’ เผลอพูดออกมานี้ ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น

สยามประเทศแต่เดิมนั้นเต็มไปด้วยเสียงและสำเนียงร้อยพ่อพันแม่

‘ทักษิณ’ ทวีตพลัดพรากจากครอบครัว 17 ปี ขออนุญาตกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน ก.ค.นี้

(9 พ.ค. 66) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 โพสต์ทวิตเตอร์เช้านี้ ข้อความระบุว่า "ผมขออนุญาตอีกครั้ง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้านไปเลี้ยงหลานภายในเดือนกรกฎาคมนี้ก่อนวันเกิดผมครับ ขออนุญาตนะครับ เกือบ 17 ปีแล้วที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัว ผมก็แก่แล้วครับ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top