Sunday, 28 April 2024
จีน

หนูน้อยวัย 11 ปี ฝึกเต้นบัลเลต์ด้วยตัวเอง จนดังเป็นไวรัล สร้างแรงบันดาลใจให้คนนับล้าน

คลิปวิดีโอสารคดี “Little Giants” ที่ผลิตโดย Bilibili แพลตฟอร์มวิดีโอชื่อดังแดนมังกร ได้เผยเรื่องราวของ อูกังอวิ๋น (邬刚云) หรือ อวิ๋นเอ๋อร์ (云儿) สาวน้อยวัย 11 ปี ผู้โชว์การแสดงเต้นบัลเลต์ในร้านขายหมูของนางหลี่ ผู้เป็นแม่ จนกลายเป็นไวรัลและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คน

ครอบครัวของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ อยู่ในหมู่บ้านน่าตั๋ว หนึ่งในหมู่บ้านที่ห่างไกลและยากจน ในมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) หมวยน้อยหลงรักการเต้นตั้งแต่มีอายุเพียง 7 ปี “การเต้น ทำให้หนูมีความสุขที่สุด” เธอเรียนรู้การเต้นบัลเลต์ด้วยตนเองจากอินเทอร์เน็ต และใช้ร้านขายหมูของแม่เป็นที่ฝึกซ้อม

ในวันที่ เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ไม่ได้ไปโรงเรียนก็ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปช่วยแม่ขายหมู แม้จะต้องตื่นเช้า แต่เธอก็มีความสุขมาก เพราะจะได้เต้น โดยในช่วงเวลาที่ลูกค้าไม่พลุกพล่าน แม่ของเธอจะช่วยเธอยืดกล้ามเนื้อ กดขาและนับจังหวะ ซึ่งใครที่มาซื้อหมูที่ร้านก็จะได้เห็นเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ เช่น การตีลังกา การทำสะพานโค้ง เป็นต้น

บ่อยครั้งผู้คนที่สัญจรไปมาต่างมองว่าเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ทำอะไรแปลกๆ ต่างไปจากเด็กทั่วไป แต่แม่ของเธอไม่คิดเช่นนั้น เธอสนับสนุนลูกสาวเต็มที่และมักจะอัดคลิปวิดีโอของลูกลงยูทูป (YouTube) เสมอ

“ถ้าเธอชอบเต้น ผู้ใหญ่อย่างเราก็ควรสนับสนุน” นางหลี่กล่าว

ความจริงแล้วพรสวรรค์ของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ถูกพบครั้งแรกโดยครูอนุบาลของเธอ หลังทราบว่าเธอเรียนรู้การเต้นจากการดูคลิปวิดีโอเพียงเท่านั้น ครูจึงแนะนำให้นางหลี่ ส่งเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ไปเรียนเต้นอย่างจริงจัง ดังนั้น เมื่อเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ มีอายุได้ 8 ปี นางหลี่จึงส่งเธอไปเรียนบัลเลต์ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 2,000 หยวน (ประมาณ 10,000 บาท) ต่อเทอม ด้วยสถานะการเงินของครอบครัวในขณะนั้น ที่มีเพียงพ่อของเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ซึ่งทำงานเป็นคนขับรถบรรทุก ต้องหาเลี้ยงครอบครัวเพียงลำพัง เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์จึงไปเรียนบัลเลต์ได้แค่เทอมเดียว แต่เธอก็ยังคงเรียนรู้และฝึกฝนด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ

‘มะกัน’ พล่าน!! หวั่นจีนแผ่อิทธิพลผ่านอ่าวไทย หลังสะพัด!! ซุ่มปักธงฐานทัพเรือลับในกัมพูชา

(8 มิ.ย.65) สำนักข่าว Washington Post รายงานว่า จีนเตรียมเปิดฐานทัพเรือของตนในท่าเรือเรียม ประเทศกัมพูชาอย่างลับๆ หลังจากที่ซุ่มวางแผนพัฒนาท่าเรือริมฝั่งอ่าวไทยมานาน และเตรียมจะทำพิธีวางศิลาฤกษ์ภายในสัปดาห์นี้ 

ทั้งนี้สื่อสหรัฐฯ ได้อ้างอิงจากแหล่งข่าววงในของรัฐบาลกัมพูชา ถึงแผนการปักธงยุทธศาสตร์ในทะเลจีนใต้ ที่เลือกใช้ท่าเรือของกัมพูชาในอ่าวไทยตั้งฐานทัพเรือ ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนได้เซ็นข้อตกลงด้านความมั่นคงกับประเทศหมู่เกาะโซโลมอนไปแล้ว ไว้ว่า ส่วนหนึ่งมาจากความไม่ประสบผลสำเร็จใจการเจรจากับกลุ่มประเทศในแปซิฟิกอีก 10 ชาติ เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น

และหากจีนทำได้สำเร็จ ท่าเรือเรียมจะกลายเป็นฐานทัพจีนแห่งแรกในย่านอินโด-แปซิฟิก และเป็นฐานทัพเรือแห่งที่สอง นอกดินแดนของจีนต่อจากฐานทัพที่ประเทศจิบูตี ด้านชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก รวมถึงจีนจะขยับสร้างเครือข่ายอิทธิพลด้านการทหารผ่านโครงการฐานทัพเรือลับในอีกหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย

สำหรับโครงการฐานลับเรือลับจีน เคยมีรายงานข่าวมาตั้งแต่ช่วงปี 2019 ที่จีนได้ตกลงกับรัฐบาลกัมพูชาในด้านความร่วมมือทางทหาร โดยแลกกับการให้จีนได้ใช้พื้นที่ในการตั้งฐานทัพเรือได้อย่างลับ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชา และ สหรัฐฯ ไม่น้อย แต่โครงการนี้ก็เงียบไปจนกระทั่งกลายเป็นข่าวขึ้นมาในวันนี้ 

แต่หลังจากที่สื่อสหรัฐฯ รายงานข่าวความคืบหน้าในโครงการฐานทัพเรือลับที่ท่าเรือเรียมไม่นาน นายไพ สีพัน หัวหน้ากองโฆษกรัฐบาลกัมพูชา ก็ออกมาปฏิเสธว่า “ไม่เป็นความจริง” โดยทางรัฐบาลกัมพูชาไม่ได้อนุญาติให้จีนใช้กัมพูชาตั้งฐานทัพ หรือมีพิธีวางศิลาฤกษ์ดังที่มีการกล่าวอ้าง หากแต่เป็นเพียงการเปิดโรงงานซ่อมบำรุงเรือรบ และก่อสร้างทางลาดเท่านั้น 

'กลาโหมจีน' กร้าว!! 'ไม่ลังเลที่จะเริ่มสงคราม' หากไต้หวันกล้าประกาศเอกราชแยกตัวจากจีน

รัฐมนตรีกลาโหมของจีน ประกาศต่อรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ว่า จีนไม่ลังเลที่จะเริ่มสงคราม หากไต้หวันประกาศเอกราช

โดยคำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการประชุมด้านความมั่นคง ‘แชงกรี-ลา ไดอะลอก’ ที่ประเทศสิงคโปร์ ที่เปิดฉากขึ้นแล้วในวันนี้ 10 มิถุนายน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เจ้าหน้าที่ระดับสูง และเหล่าผู้นำภาคธุรกิจจากทั้งภูมิภาคเอเชีย และกลุ่มประเทศตะวันตกเข้าร่วม

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีกลาโหมจีน 'เว่ย เฟิ่งเหอ' เผชิญหน้ากับ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ แบบต่อหน้าเป็นครั้งแรก โดยเฟิ่งเหอเตือนออสตินว่า “หากใครกล้าแยกไต้หวันออกจากจีน กองทัพจีนจะไม่ลังเลที่จะเริ่มสงคราม ไม่ว่าจะต้องสูญเสียเท่าไหร่ก็ตาม” 

ไม่เพียงเท่านั้น เฟิ่งเหอ ยังให้คำมั่นว่าจีนจะ “ทำลายแผนการประกาศเอกราชของไต้หวันให้ป่นไม่มีชิ้นดี และจะธำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกภาพของมาตุภูมิ” ตามแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมจีน

เขายังย้ำว่า “ไต้หวันคือของจีน...การใช้ไต้หวันเพื่อกดดันจีน จะไม่มีวันสำเร็จ”

ด้านออสตินระบุว่า สหรัฐฯ “ยืนกรานถึงความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพทั่วช่องแคบไต้หวัน และต่อต้านความพยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบัน และร้องขอให้จีนยับยั้งช่างใจต่อการกระทำที่จะบั่นทอนเสถียรภาพต่อไต้หวัน”

'รัสเซีย' ช่วยส่งน้ำมัน 'จีน' ช่วยส่งเวชภัณฑ์-ข้าว-ดูแลหนี้ น้ำใจที่ ศรีลังกา ไม่เคยได้จากการคบตะวันตกกว่า 100 ปี

ที่ผ่านมาในยามศรีลังกา มีกินมีใช้ แต่ก็มักจะถูกฝ่ายระเบียบโลกเก่า สหรัฐอเมริกา และอดีตเจ้าอาณานิคมสหราชอาณาจักร ปอกลอกจนหมดตัว ผ่านนโยบายรัฐบาลที่โปรตะวันตก เห่อตามกระแสถือครองเงินดอลลาร์, ยูโร ในสัดส่วนที่สูงมากกว่าเงินตราชาติตนเอง

ส่งผลให้เกิดการละทิ้งภาคเกษตรลงไป 50% จนรายได้ลดหายไป, พิมพ์เงินตราท้องถิ่นตนเพิ่มไม่บันยะบันยังโดยไร้ทองคำค้ำประกัน, ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อไปกับค่าพลังงานสิ้นเปลือง, ปิดโรงกลั่นน้ำมันดิบ ซื้อน้ำมันสำเร็จรูปเอาสะดวกเข้าว่า...

...ไม่นานนักอัตราเงินเฟ้อก็ทะยานกว่า 39%

พอหมดหนทาง ก็พิมพ์เงินเพิ่มไปใช้หนี้ต่างประเทศ และพันธบัตร จากนั้นจบตามสูตรด้วยการไปขอกู้ IMF กับธนาคารโลก พร้อมทั้งทำแผนขายสินทรัพย์ชาติ เช่น สายการบิน ฯลฯ ซึ่งถือเป็นสูตรสำเร็จในการโจมตีค่าเงินแบบชาติตะวันตก ที่ทำกันมานานแล้วกับหลายชาติที่รัฐบาลโปรตะวันตก และรู้ไม่เท่าทัน (เฉกเช่นพิษต้มยำกุ้งทางเศรษฐกิจ)

สุดท้ายเงินคงคลังของศรีลังกาเกลี้ยง ถังแตก ไม่มีเงินชำระหนี้คงค้างค่าน้ำมันสหรัฐฯ แม้จะแค่ 53 ล้านดอลลาร์ ด้านเรือน้ำมันก็จอดจิบกาแฟ นอนตากอากาศสบายใจเฉิบอยู่นอกชายฝั่งไม่ยอมเทียบท่า ท่ามกลางปัญหาทุกข์เข็ญของคนศรีลังกาทั้งประเทศที่ขาดแคลนน้ำมัน ดับลมหายใจการเดินทางด้วยรถยนต์, เรือประมงต้องงดหาปลา, ไฟฟ้าดับแทบตลอดวัน, ขาดยารักษาโรค, อาหาร, สินค้าจำเป็นอุปโภคบริโภค ประชาชนเสียชีวิตไปหลายสิบคนเนื่องจากไม่มีน้ำมันเติมรถไปโรงพยาบาล ขณะที่อุปกรณ์การแพทย์ฉุกเฉินก็ขาดกระแสไฟฟ้าเชื่อมต่อ

ซ้ำร้าย!! รัฐบาลศรีลังกา ที่เคยรับคำสั่งมหาอำนาจจากระเบียบโลกเก่า ก็ได้ทำสิ่งที่ผิดร้ายแรง คือ ประกาศอายัดเครื่องบินโดยสารรัสเซีย แต่เมื่อจนตรอกยากจนทุกข์ยาก ชาติตะวันตกสุดโหดเหล่านั้นก็นิ่งดูดายเสีย ไม่ส่งน้ำมัน ยารักษาโรค หรือแม้จะส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมไปให้ ทำให้รัฐบาลศรีลังกา ต้องดิ้นเฮือกสุดท้ายบากหน้ายอมขัดคำสั่งสหรัฐฯ โดยติดต่อขอซื้อน้ำมันจากรัสเซียโดยไม่มีเงิน ซึ่งรัฐบาลศรีลังกาไม่มีความหวังเลยว่ารัสเซียจะช่วยเนื่องจากไปอายัดเครื่องบินโดยสารรัสเซียไว้

>> แต่โลกไม่ได้เลวร้าย และ 'รัสเซีย' ก็ไม่ได้โหดร้ายตามที่ชาติตะวันตกปั้นภาพให้น่ากลัว เมื่อรัฐบาลศรีลังกา กล้าอ่อนน้อมมาขอ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียก็กล้าให้ ตามสไตล์ 'นักเลงโบราณ ใจถึงพึ่งได้' โดยปูตินสั่งบริษัทพลังงานรัฐวิสาหกิจของรัฐ ขนน้ำมันดิบใส่เรือมาเทียบท่าศรีลังกาในเวลาไม่กี่อึดใจเท่านั้น 

ส่วนเรื่องเงินค่าน้ำมันน่ะหรอ!! สำหรับรัสเซียแล้วเล็กน้อยมาก ให้ติดหนี้ไว้ก่อนมีเมื่อไรค่อยมาใช้ คนจะอดตายอยู่แล้วไม่ใช่เวลามาขูดเลือดกับปู 

เรื่องนี้แม้แต่รัฐบาลศรีลังกา ยังแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมาคบกับชาติตะวันตกมาเป็นร้อยปี มีแต่ถูกเอาเปรียบกดขี่เอาแต่ได้แถมยังถูกปอกลอกมาตลอด ขณะที่รัสเซียไม่เพียงแค่ช่วยขนน้ำมันมาให้ถึงท่า แต่ยังส่งทีมงานมาช่วยเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมันอีกด้วย ส่งผลให้เกิดผลผลิตพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันดิบตามมามากมาย เช่น ก๊าซเหลวหุงต้ม, น้ำมันหล่อลื่น, น้ำมันเตา, ยางมะตอย ฯลฯ

งานนี้ส่งผลให้ศรีลังกา ละอายใจมากแพ้ใจนักเลงรัสเซีย จนต้องรีบปล่อยอายัดเครื่องบินโดยสารทันที

>> ล่าสุดมิตรแท้ ก็โผล่มายามยากจนข้นแค้นอีกราย คือ 'จีน' ที่ได้ขนส่งเวชภัณฑ์ ข้าว และสิ่งของบรรเทาทุกข์เพื่อมนุษยธรรมฉุกเฉินล็อตแรก 500 ล้านหยวน ถึงศรีลังกาเป้นที่เรียบร้อย และที่คาดไม่ถึงคือ นายจ้าว ลี่เจี้ยน (Zhao Lijian) โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน แถลงว่า "จีนจะช่วยศรีลังกาจัดการกับภาระหนี้สินที่มีต่อจีน และหนี้กับประเทศอื่น รวมทั้งหนี้กับองค์กรระหว่างประเทศ (IMF, World bank) อีกด้วย"

...เพื่อนกินหาง่ายยามเรามีกินมีใช้ แต่พวกเขาจะพากันหายหัวไปเมื่อเราตกยาก แต่เพื่อนแท้จริงใจจะมาช่วยเหลือในยามที่เราไม่เหลืออะไรเลย แค่อาหาร เวชภัณฑ์ พลังงาน ให้ชีวิตรอดมีแรงเดินต่อได้ และยังช่วยดูแลหนี้ต่างๆ แค่นี้ก็ซึ้งใจ

'จีน' สั่งแบน!! ปลาเก๋านำเข้าจากไต้หวัน ฟากรัฐบาลไทเปสู้กลับ ขู่ฟ้อง WTO

ความตึงเครียดระหว่างจีน และไต้หวัน ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง และเมื่อวันศุกร์ (10 มิ.ย. 65) ที่ผ่านมา กรมศุลกากรจีนแถลงว่า ตรวจพบสาร Oxytetracycline ในปลาเก๋าที่นำเข้าจากไต้หวัน ซึ่งเป็นสารเคมีต้องห้าม ทำให้ทางการจีนออกคำสั่งแบนการนำเข้าปลาเก๋าจากไต้หวันทันที มีผลตั้งแต่วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป 

แน่นอนว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในไต้หวัน เนื่องจากพอทางการไต้หวันได้นำปลาเก๋ามาตรวจเอง ก็ไม่พบสารเคมีอันตราย หรือต้องห้ามแต่อย่างใด และเชื่อว่าคำสั่งห้ามนำเข้าปลาเก๋าจากไต้หวันของจีน จึงน่าจะเป็นการกดดันทางการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลจีนก็เคยแบนผลผลิตทางการเกษตรของไต้หวันมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่สับปะรด และแอปเปิ้ล ที่เป็นผลไม้ขึ้นชื่อจากไต้หวัน ที่จีนสั่งห้ามนำเข้าและตีกลับทั้งล็อต จนรัฐบาลไทเปต้องเร่งออกแคมเปญขนานใหญ่ ทำการตลาดหาผู้ซื้อรายใหม่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร และมาคราวนี้เป็นปลาเก๋า ที่เพาะเลี้ยงจากบ่อในไต้หวันอีก

แม้ว่าปลาเก๋าไต้หวันกว่า 90% จะบริโภคกันเองในประเทศเป็นหลัก และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ส่งออก ทำให้ผลกระทบกับตลาดปลาเก๋าไต้หวันค่อนข้างน้อย แต่ทว่าจำนวนปลาเก๋าที่ส่งออกทั้งหมดนั้น ถูกส่งเข้าตลาดจีนถึง 90% หรือคิดเป็นปริมาณถึง 6 พันตันต่อปี

นั่นจึงสร้างปัญหาให้แก่ผู้ส่งออกชาวไต้หวันไม่น้อย ที่ต้องเร่งหาตลาดแหล่งใหม่ระบายปลาเก๋าในส่วนของตลาดจีนโดยทันที 

นักการเมืองมะกันเสนอ ‘กม.เพิ่มอำนาจรัฐบาล’ ระงับการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ไปจีน

นักการเมืองอเมริกาเห็นพ้องต่อข้อเสนอที่จะเพิ่มอำนาจให้รัฐบาล ระงับการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจีน อ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรับมืออิทธิพลที่ขยายตัวขึ้นของจีนในอนาคต

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน ได้หารือกันและเห็นพ้องที่จะเพิ่มอำนาจให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ด้วยการออกกฎหมายว่าด้วยการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของสหรัฐฯ ต่อจีน ด้วยการมอบเงินสนับสนุน 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้บริษัทผู้ผลิตชิปในการขยายภาคการผลิต เพื่อแข่งขันกับจีน

วุฒิสมาชิก มาร์ค วอร์เนอร์ บอกกับ Reuters ว่า เวลากำลังจะหมดลงในการออกกฎหมายชิป ซึ่งจะดึงการลงทุนออกนอกประเทศ ให้กลับเข้ามาในประเทศได้เป็นมูลค่ามหาศาล อีกทั้งจะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาชิปของจีน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของสหรัฐฯ ในด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีด้วย ด้วยเป้าหมายสูงสุดคือ ทำให้สหรัฐฯ คานอิทธิพลที่กำลังเพิ่มมากขึ้นของจีนได้

'จีน' ยืนหนึ่ง!! หุ้นส่วนสำคัญอาเซียนในอนาคต หลัง 'การทูตวัคซีนจีน' กุมใจชาติกำลังพัฒนา

จีน ‘ยืนหนึ่ง’ หุ้นส่วนสำคัญของอาเซียนในอนาคต

จากผลสำรวจความคิดเห็นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือก ‘จีน’ เป็นหุ้นส่วนรายสำคัญที่สุดในอนาคต ท่ามกลางกลุ่มประเทศสมาชิก G20 โดยมีญี่ปุ่นตามมาเป็นที่ 2 ที่ 43% ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 41% ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จีนขึ้นครองเป็นอันดับหนึ่ง นับตั้งแต่กระทรวงต่างประเทศเริ่มทำการสำรวจในรูปแบบนี้ในปีงบประมาณ 2558

ผลสำรวจครั้งนี้นับว่าเป็นการล้มแชมป์เก่าอย่างญี่ปุ่น เนื่องจากการสำรวจในปีงบประมาณ 2562 พบว่าญี่ปุ่นรั้งตำแหน่งอันดับหนึ่งที่ 51% ขณะที่จีนอยู่ที่ 48% 
 

2 หน่วยข่าวกรองโลก 'FBI-MI5' ผนึกกำลังต้านจีน ผวา!! นักรบไซเบอร์จีนจ้องขโมยเทคโนโลยี

หากการจับมือร่วมวงสามัคคีกันระหว่าง 'หงส์แดง' และ 'ปีศาจแดง' เพื่อร่วมกันปฏิเสธการขายตั๋วบอลพ่วงบัตรกินข้าวกับนักเตะสโมสรผ่านช่องทางไลฟ์ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากแล้ว...การที่หัวหน้าหน่วยสืบสวนของ 2 ชาติมหาอำนาจ อย่าง FBI ของสหรัฐฯ และ MI5 ของอังกฤษ จะมาจับมือแถลงข่าวร่วมกันในเวทีเดียวกันนั้นคงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งกว่า 

แต่วันนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว!!

ไม่นานมานี้ 'เคน แมคคัลลัม' ผู้อำนวยการ MI5 หน่วยงานด้านความมั่นคงของอังกฤษ ร่วมแถลงข่าวคู่กับ 'คริส เวร์ย' ผู้อำนวยการ FBI สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ ณ ที่ทำการสำนักงานใหญ่ของ MI5 อาคารเธมส์ เฮาส์ ในกรุงลอนดอน เพื่อเตือนให้ชาวโลกรับรู้ถึงภัยคุกคามจากการจารกรรมข้อมูลทางเทคโนโลโยเพื่อการพาณิชย์โดยนักรบไซเบอร์จากจีน ที่เข้ามาแทรกซึมถึงในประเทศอังกฤษแล้ว 

ผู้อำนวยการ MI5 กล่าวว่า "มีการโจมตี เจาะข้อมูลทางไซเบอร์จากอาชญากรจีนเกิดขึ้นทั้งในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้เรามีคดีเพิ่มมากกว่าปี 2018 ถึง 7 เท่า"

ความน่ากลัวของสายลับไซเบอร์จากจีน คือ ค่อย ๆ รุกเข้ามาอย่างช้า ๆ ด้วยความอดทน เพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญโดยที่เราไม่รู้ตัว และตอนนี้เราพบว่ามีทีมจารกรรมข้อมูลจากจีนก่อคดีอยู่ในแผ่นดินอังกฤษแล้ว

ผู้อำนวยการ MI5 ยังย้ำอย่างชัดเจนดัวยว่า เมื่อพิจารณาจากปริมาณของการโจมตีของฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้ว พวกเราทุกคนตกอยู่ในความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี งานวิจัยล้ำสมัย และผู้นำในโลกธุรกิจ ล้วนเสี่ยงที่จะถูกจารกรรมฐานข้อมูลสำคัญ ที่อาจนำไปสู่การเสียเปรียบด้านการค้า และสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดได้ 

ด้าน คริส เวร์ย ผู้อำนวยการ FBI กล่าวเสริมว่า ภัยคุกคามจากการโจมตีทางไซเบอร์ของจีนนั้นมีความซับซ้อน ฝังรากลึก และ กระจายอย่างแพร่หลายมาก ทั้งในสหรัฐฯ อังกฤษ และประเทศพันธมิตรของเรา ทีมอาชญากรรมไซเบอร์จากจีนมีเป้าหมายที่จะขโมยเทคโนโลยีของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตามเพื่อต้องการตัดราคา และครอบครองตลาด 

'ยูเอ็น' ประเมินประชากร 'อินเดีย' อาจแซงหน้า 'จีน' ในปี 2023 ประชากรโลกอาจแตะหมื่นล้านคน ในปี 2100

องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผย ‘อินเดีย’ มีแนวโน้มแซงหน้าจีนขึ้นเป็นชาติที่มีประชากรมากที่สุดในโลกภายในปี 2023 ขณะที่ประชากรโลกจะแตะหลักหมื่นล้านคนในปี 2100 

รายงานของยูเอ็นซึ่งเผยแพร่เนื่องในวันประชากรโลก (World Population Day) ระบุว่า จำนวนประชากรทั่วโลกจะแตะหลัก 8,000 ล้านคนในวันที่ 15 พ.ย. ปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 8,500 ล้านคนภายในปี 2030 และ 10,400 ล้านคนภายในปี 2100

สำหรับอินเดีย เคยมีประชากรทั้งหมด 1,210 ล้านคน เมื่อปี 2011 ตามการสำรวจสำมะโนประชากรที่รัฐบาลทำทุกๆ 10 ปี ทว่าในปี 2021 อินเดียมีประชากรจำนวน 1.412 พันล้านคน ส่วนจีนมีจำนวน 1.426 พันล้านคน ในช่วงปี 2023 จึงมีความเป็นไปได้ที่อินเดียจะมีสัดส่วนประชากรเพิ่มสูงขึ้นกว่าจีน 

ส่วนในปี 2050 คาดว่าอินเดียจะมีประชากรจำนวนถึง 1.668 พันล้านคน มากกว่าจีนที่จะมีจำนวนประชากรลดเหลือ 1.317 พันล้านคน จากอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลง แม้รัฐบาลจีนจะผ่อนคลายนโยบายควบคุมจำนวนประชากร โดยอนุญาตให้แต่ละครอบครัวมีลูกได้ 3 คน แต่ผลการศึกษาวิจัยหลายฉบับชี้ว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้น เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้อัตราการเกิดนั้นลดลง อีกทั้งรัฐยังไม่มีมาตรการอื่นๆ ที่ช่วยจูงใจในการมีลูกมากพอ

อินฟลูฯ สาวชาวจีน อวดรวยใช้เงินวันละ 8 แสน กระตุกรัฐบาลจีนหันมาปราบ ‘ลัทธิบูชาเงิน’

อินฟลูเอนเซอร์สาวชาวจีนรายหนึ่งผู้มียอดติดตามในแอปโต่วอิน (ติ๊กต็อกเวอร์ชันจีน) มากกว่า 3 ล้านคน นามว่า หวังเฉิงเฉิง (王澄澄) ได้กล่าวว่า เธอใช้จ่ายเงินวันละเป็นจำนวนมหาศาล และโพสต์ภาพการเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นเธอก็ถูกชาวเน็ตโจมตีและแอนตี้อย่างหนัก อีกทั้งยังถูกสื่อของรัฐบาลจีนวิจารณ์อีกว่าส่งเสริม ‘ลัทธิบูชาเงิน’ ที่ให้ผู้คนใช้เงินจำนวนมากในการซื้อความสุขให้ตัวเอง

ก่อนหน้านี้ หวังเฉิงเฉิง อินฟลูเอนเซอร์สาววัย 31 ปีรายนี้ ได้โพสต์อวดในบัญชีโต่วอินของเธอว่า เธอเป็นเจ้าของคฤหาสน์หรูขนาด 400 ตารางเมตร ขับรถหรูโรลส์-รอยซ์ ใช้เงินมากกว่า 150,000 หยวน (ประมาณ 8 แสนบาท) ต่อวัน นั่งเฮลิคอปเตอร์ตำรวจในการเดินทางทุกๆ วัน และเธอยังอ้างอีกว่าพ่อของเธอเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ทำให้ชาวเน็ตหลายคนตั้งคำถามว่า เธอมีสิทธินั่งเฮลิคอปเตอร์ตำรวจได้อย่างไร และมีการใช้อำนาจของรัฐบาลในทางที่ผิดหรือไม่ จนในที่สุดบัญชีโต่วอินของเธอถูกแบนหลังจากเรื่องอื้อฉาวปะทุขึ้นไม่นาน

หวังเฉิงเฉิงอาศัยอยู่ในเมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ตำรวจประจำเมืองเสิ่นหยางจึงออกมาเปิดเผยว่า เฮลิคอปเตอร์นี้เป็นของบริษัทเอกชนและให้ตำรวจท้องที่เช่าโดยเฉพาะเท่านั้น โดยหญิงสาวรายนี้ใช้เพื่อถ่ายทำวิดีโอเท่านั้น และไม่มีสิทธิใช้นั่งเพื่อการเดินทางส่วนตัวได้

และเพื่อคลายความสงสัยให้สาธารณชน ตำรวจเมืองเสิ่นหยางได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า พ่อของหวังเฉิงเฉิงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับล่างที่เกษียณอายุแล้ว อีกทั้งผู้จัดการของบริษัทเอกชนที่เป็นเจ้าของเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ก็ถูกไล่ออกด้วย เนื่องจากปล่อยปละละเลยให้หวังเฉิงเฉิงใช้เฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวถ่ายทำวิดีโอของเธอ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top