Friday, 26 April 2024
แอร์โฮสเตส

8 ผู้บริหารสายการบินจีน โดนสั่งยืนตากลมหนาว หลังปล่อย ‘แอร์ฯ สาว’ หนาวสั่น เพราะไม่ปรับยูนิฟอร์มให้ทันฤดู

เฟซบุ๊กเพจ ‘ไทยคำ-จีนคำ’ ได้โพสต์เรื่องราวจากกรณีศึกษาขององค์กรสายการบินในจีนที่มองข้ามความสำคัญของสวัสดิภาพพนักงาน ว่า...

ปล่อยพนักงานผู้ใต้บังคับบัญชาตกทุกข์ได้ยาก ผู้บริหารระดับสูงต้องรับผิดชอบ

เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้โดยสารของสายการบิน ‘ไห่หนาน’ (ไหหลำ) 海航 ได้ลงเครื่องที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งระหว่างนั่งรถกลับบ้าน เหลือบมองไปข้างทาง พบเห็น ‘แอร์โฮสเตส’ ของสายการบินที่ตนเพิ่งโดยสารมา ‘ยืนหนาวตัวสั่นอยู่’ ท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง (อุณหภูมิในเวลานั้นอยู่ราวๆ 0 องศาเซลเซียส)

ผู้โดยสารปรารถนาดี ต้องการให้สายการบินระดับชาติยกระดับการดูแลพนักงาน จึงได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยังผู้บริหารระดับสูง เรียกร้องให้ช่วยจัดการสวัสดิภาพของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ควรปล่อยให้ใครต้องมายืนตากลม เจอกับความหนาวเหน็บเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอร์โฮสเตสสาว ที่ร่างกายบอบบาง 

เรื่องถูกส่งต่อไปถึง ‘บิ๊กของบริษัท’ อย่างรวดเร็ว และได้รีบสั่งการลงมาให้ดำเนินการเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์มของสายการบินเข้าสู่ฤดูหนาวในทันที

หน้าหนาวปีนี้มาเร็วกว่าที่คิด สายการบินหลายแห่งเปลี่ยนยูนิฟอร์มเป็นชุดสำหรับป้องกันความหนาวกันหมดแล้ว

แต่สายการบินไห่หนานยังติดระบบระเบียบภายใน ทำให้การดำเนินงานล่าช้า และเกิดภาพแอร์สาวยืนตัวสั่น จนถูกผู้โดยสายนำเรื่องมาฟ้อง ถือว่าขายหน้าอย่างยิ่ง

ผู้โดยสารเที่ยวบินสหรัฐฯ โชว์ถ่อย ต่อยแอร์สาวจนจมูกหัก ต้องลงจอดฉุกเฉิน

เที่ยวบินลำหนึ่งต้องเบี่ยงไปลงจอดที่เมืองเดนเวอร์ สหรัฐฯ เมื่อค่ำคืนวันพุธ (27 ต.ค.) ที่ผ่านมา หลังผู้โดยสารคนหนึ่งก่อเหตุทำร้ายร่างกายพนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบิน จนถึงขั้นจมูกหัก จากคำแถลงของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส

สายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส ระบุในถ้อยแถลงว่า เที่ยวบิน 976 จากท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ.เคนเนดี ในเมืองนิวยอร์ก มุ่งหน้าสู่เมืองแซนตาแอนา รัฐแคลิฟอร์เนีย เบี่ยงไปลงจอดที่เมืองเดนเวอร์ อย่างปลอดภัย ก่อนตำรวจจะขึ้นมาคุมตัวและพาผู้โดยสารผู้ก่อเหตุลงไป

แหล่งข่าวใกล้ชิดกับเหตุการณ์เปิดเผยว่าเหตุโจมตีเกิดขึ้นทั้งที่ไม่มีประเด็นยั่วยุใด ๆ ผู้โดยสารรายดังกล่าวจู่ ๆ ก็เดินไปบริเวณด้านหลังเครื่องบินและต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของแอร์โฮสเตส 2 ครั้ง ส่งผลให้จมูกของเธอหัก

ในวิดีโอที่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ ดัก พาร์เกอร์ ซีอีโอของอเมริกัน แอร์ไลน์ ระบุว่าเหตุการณ์เมื่อวันพุธ (27 ต.ค.) "ถือเป็นหนึ่งในพฤติกรรมเกเรเลวร้ายที่สุดที่เราเคยเจอ" พร้อมบอกว่าทางสายการบินกำลังให้การสนับสนุนพนักงานต้อนรับผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างเต็มที่ และเตรียมออกคำสั่งไม่ให้ชายที่ถูกกล่าวหาทำร้ายร่างกายเธอ ใช้บริการของสายการบินอีก

"เท่านั้นยังไม่พอ เรากำลังทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อรับประกันว่าเขาจะถูกดำเนินคดีในขอบเขตเต็มเหนี่ยวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" เขากล่าว

แอร์สาวสายการบินดังของฮ่องกง ดูถูกผู้โดยสารจีน บอกจะไม่ให้ผ้าห่ม หากผู้โดยสารพูดภาษาอังกฤษไม่ได้‼

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 โลกโซเชียลได้แชร์เรื่องราวสุดดรามา ที่กำลังได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์สนั่นโซเชียลจีนอยู่ในขณะนี้ ถึงเรื่องของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบิน ‘คาเธ่ย์ แปซิฟิค แอร์ไลน์’ (Cathay Pacific Airlines) หรือภาษาจีน คือ ‘国泰航空’ เป็นสายการบินของฮ่องกง ได้ใช้ถ้อยคำดูถูกผู้โดยสารจีนที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ โดยระบุว่า…

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2023 บนเที่ยวบิน CX987 จาก เฉิงตู เดินทางไปยังฮ่องกง ได้มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 3 คน ที่ได้แสดงพฤติกรรมเลือกปฏิบัติ และเหยียดผู้โดยสารชาวจีน ที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้

เนื่องจากผู้โดยสารชาวจีน ต้องการผ้าห่ม จึงขอกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่กลับโดนพนักงานตอบกลับมาว่า “Can You Speak English?” “If you cannot say blanket in English , you cannot have it”

แปลเป็นไทยคือ “คุณพูดอังกฤษได้มั้ย ถ้าพูดไม่ได้ คุณก็จะไม่ได้ผ้าห่มไปหรอก”

ซึ่งทางผู้โดยสารจีนรายนี้ก็พยายามนึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และพูดขึ้นมาว่า ‘Carpet’ ซึ่งแปลว่า ‘พรม’

ปรากฏว่ากลับโดนแอร์สาวบนเครื่อง หัวเราะขบขันด้วยความตลก แล้วแอร์สาวก็พูดภาษาอังกฤษตอบไปว่า “Carpet is on the floor” (พรมก็อยู่ที่พื้นไง)

ปรากฏว่ามีผู้โดยสารท่านอื่นที่เห็นเหตุการณ์ ก็ได้อัดคลิปเสียงสนทนานั้นเอาไว้ แล้วก็โพสต์ลงโซเชียลจีน ว่าตนรู้สึกแย่มากๆ ทำไมแอร์โฮสเตส ต้องปฏิบัติแย่ๆ กับคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แบบนี้ด้วย

ล่าสุดกลายเป็นประเด็นร้อน มีชาวจีนจำนวนมากต่างออกมาประนามสายการบินคาเธ่ แปซิฟิก และจะร่วมกันแบนสายการบินนี้ไม่ขอใช้บริการอีก

ร้อนถึงทางสายการบินต้องรีบออกมาประกาศชี้แจงและขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และประกาศปลดพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทั้ง 3 คน ให้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานแล้ว

ในส่วนความคิดเห็นชาวจีน มีหลายความเห็นออกมาแชร์ประสบการณ์ว่า ตนก็เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ เมื่อบินกับสายการบินนี้มาแล้ว ส่วนตัวคิดว่าแย่มากๆ ที่พนักงานมีทัศนคติแย่ๆ แบบนี้ และสายการบินทำถูกแล้ว ที่รีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม

‘แอร์ฯ สาว’ เผย 10 เรื่องจริง ชีวิตบนเครื่องบินของ ‘แอร์โฮสเตส’ ที่หลายคนมักเข้าใจผิด และบางเรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!!

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 66 ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘imearths’ ซึ่งผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านนี้ มีอาชีพเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินหนึ่ง แต่ทำคลิปบอกเล่าประสบการณ์ พร้อมแชร์เรื่องจริง 10 เรื่อง เกี่ยวกับแอร์โฮสเตส ที่หลายๆ คนมักจะเข้าใจผิด โดยระบุว่า… 

1.) หลายๆ คนมักเข้าใจผิด ว่าแอร์โฮสเตสมีหน้าที่เพียงแค่คอยเสิร์ฟอาหารให้ผู้โดยสารบนเครื่อง แต่จริงๆ แล้ว แอร์โฮสเตสมีหน้าที่หลักๆ คือ ‘safety’ หรือ การดูแลความปลอดภัย บนเครื่องบิน เช่น หากเกิดเหตุฉุกเฉิน แอร์โฮสเตสมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยบนเครื่องบินก่อนเป็นอันดับแรก

2.) เล็บ / ผม ต้องถูกระเบียบ สีผมต้องเป็นสีที่ถูกระเบียบ ตามกฎของแต่ละหลายการบิน ซึ่งแต่ละสายการบิน จะมีกฎระเบียบที่แตกต่างกันออกไป ส่วนสีเล็บ สามารถทาเล็บหรือทำเล็บเจลสีอ่อนๆ ได้ (แล้วแต่กฎระเบียบของแต่ละหลายการบิน)

3.) จะมีการเข้าห้องบรีฟตอบคำถาม เพื่อทดสอบความรู้ และทบทวนความจำในเรื่องของ safety ก่อนขึ้นบินทุกครั้ง ซึ่งหากตอบคำถามไม่ได้ ก็อาจถูก Off Road หรือ ‘ถูกถอดตารางบิน’ ได้ (แล้วแต่นโยบายของแต่ละสายการบิน)

4.) การบิน 4 แลนด์ VS 2 แลนด์ คืออะไร? คือ การขึ้น-ลงตามไฟล์บิน ยกตัวอย่างเช่น
การบิน 4 แลนด์ คือ บินระหว่างกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ (1), เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ (2), กรุงเทพฯ - ภูเก็ต (3) และภูเก็ต - กรุงเทพฯ (4) หรือก็คือการบินขึ้น-ลง 4 รอบนั่นเอง 
การบิน 2 แลนด์ คือ บินระหว่างกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ (1), เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ (2) หรือก็คือการบินขึ้น-ลง 2 รอบนั่นเอง

5.) การขึ้นบินในแต่ละครั้งค่อนข้างใช้เวลานาน บางไฟล์บิน อาจใช้เวลาร่วม 10 ชั่วโมง ดังนั้น การต้องห่างหายจากโลกโซเชียลไปมากกว่า 10 ชั่วโมงจึงถือเป็นเรื่องปกติของแอร์โฮสเตส

6.) นอนไม่เป็นเวลา เนื่องจากแต่ละไฟล์บินจะมีตารางขึ้นบินที่แตกต่างกันออกไป

7.) กินข้าวไม่เป็นเวลา เนื่องจากตารางการขึ้นบินแต่ละไฟล์มีเวลาที่แตกต่างกัน ภาระหน้าที่ที่แอร์โตสเตสก็มีมากน้อยแตกต่างกันออกไป ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสายการบิน

8.) วันที่วุ่นวายที่สุด คือ วันที่ตารางการขึ้นบินออก เพราะจะเกิดการขอปรับเปลี่ยนตารางขึ้นบิน หรือขอแลกไฟล์บินกับเพื่อนๆ แอร์โอสเตสคนอื่นๆ

9.) แอร์โตสเตสสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินได้ในราคาพิเศษ (ถูกกว่าปกติประมาณ 50%) ซึ่งเป็นสวัสดิการของแต่ละสายการบิน

10.) อาการปวดหลัง นับเป็นโรคยอดฮิตของแอร์โฮสเตส ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการที่แอร์โตสเตสต้องใส่ส้นสูงยืน เดิน นั่ง เพื่อให้บริการผู้โดยสารเป็นระยะเวลานาน
 

'เบ๊น อาปาเช่' เห็นกับตา!! 'แอร์ฯ-สจ๊วต' คุมอารมณ์ ทำหน้าที่ได้ดี แม้ 'ไทยกร่าง' รุมข่มขู่ เหตุไม่ช่วยยกระเป๋าเก็บให้ ก็ไม่ตอบโต้ใดๆ

เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก 'Benz Apache - เบ๊น อาปาเช่' โดย 'อัครเดช โยธาจันทร์' ได้แชร์เหตุการณ์วุ่นวายจากความกร่างของผู้โดยสารคนไทยกลุ่มหนึ่งที่กระทำการข่มขู่พนักงานให้บริการบนเที่ยวบินลำหนึ่ง ว่า...

“วันนี้ผมบินกลับจากเวียดนาม Flight VZ 981 จากเมืองฟูก๊วก ถึงสุวรรณภูมิ จากเครื่องออก 12:00 ต้องดีเลย์ไปออก14:00  เนื่องจากเกิดเหตุการณ์มีการเชิญคนไทยออกจากเครื่อง และออกทั้งหมด 16 คน 

จริง ๆ ผมไม่อยากจะยุ่งเรื่องนี้เลยนะ แต่มันมีเรื่องที่ผมต้องยอมออกมาโพสต์ถึงเรื่องนี้ เพราะผมอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ 

ผมนั่งที่นั่งแถว 2 ABC ผมเข้ามานั่งก่อน จากนั้นก็มีคนไทยกลุ่มใหญ่ตามเข้ามา เสียงโหวกเหวกคุยกันเฮฮา ไม่ซีเรียสนะ แต่มันเรียกสายตาให้มองเฉย ๆ คนไทยกลุ่มนี้นั่งหลังผมไป 2-3 แถว 

ปัญหาเริ่มจากจุดเล็ก ๆ คือ น้องผู้หญิงในกลุ่มให้แอร์ช่วยยกกระเป๋า แล้วแอร์พูดทำนองว่าต้องยกเองนะคะ ประมาณนี้ อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจนะ เพราะในกลุ่มผู้ชายประมาณ 10 กว่าคนได้ แต่ปัญหามาละ เพราะเสียงข้างหลังคือไม่พอใจละมีการโวยกันในกลุ่มดัง ๆ ให้แอร์ได้ยิน เอาแบบเป๊ะ ๆ เลยนะ เพราะผมตั้งใจฟัง 

“Here เอ้ยยยย แอร์แม่งคิดแต่จะเดินขายของหรอวะ”

“แม่ง ให้ช่วยยกแค่นี้แม่งบอกให้กูไปโหลดดิถ้ายกไม่ไหว” 

“เดี๋ยวกูถ่ายลงสตอรี่เลย ไฟลท์ไรวะ ๆ ด่าแม่งเลย อย่าให้มาขึ้นสายการบิน here นี่อีก” ฯลฯ 

ผมค่อนข้างรู้ละว่ามาคุแน่ เพราะตรงนั้นคนกลุ่มใหญ่ ทีนี้แอร์ 3 คน กับ สจ๊วต 1 คน เดินมาคุยกันด้านหน้าว่าจะเอายังไงดี เครื่องก็ไม่ออกสักที 

สักพักเดียว งวงช้างที่เชื่อมต่อกับเกทก็ขยับกลับเข้ามาที่ประตูเครื่อง (จากตอนแรกที่ปิดประตูเครื่องแล้วนะ) พองวงช้างไหลเข้ามา ผมรู้เลยว่าคงมีการเชิญลงแล้วล่ะ 

แล้วก็ใช่จริง ๆ มีเจ้าหน้าที่ภาคพื้นจากเวียดนามและ รปภ. ขึ้นมาบนเครื่อง กลุ่มลูกเรือทั้ง 4 คน ก็เดินไปชูกระดาษคำเตือน ขอเชิญคนแถวนั้น ลงจากเครื่องบิน (ไม่ได้เชิญลงหมดนะ เชิญแค่ชุดที่โวยวาย) 

แต่ก็เข้าใจที่เขามากันทั้งชุด 16 คน เขาก็จะลงหมดเลย ทีนี้ไอ้ตอนจะลงนี่สิ ของขึ้นกันแล้ว ผมพูดแบบเป็นกลางนะกลุ่มเขาไม่ได้โวยวายทุกคนนะ มีแค่ 3-4 คน แต่ที่เหลือมีสติดี พูดจาดี ผมไม่รู้ว่า 3-4 คนนั้นเขาดื่มหรือทำอะไรมาแต่เขาดูหลุด ๆ มากเลย

ทีนี้มีการเถียงกันว่าแค่ช่วยยกกระเป๋ามันเป็นอะไรนักหนาวะ สายการบินอื่นเขาช่วยยกกันหมด กูบินมาแล้วทุกสายการบิน? 

ตรงนี้ผมขอพูดส่วนตัวนะ ผมว่าผมก็เดินทางมาไม่น้อย อยากให้เข้าใจกันใหม่ว่าแอร์โฮสเตสไม่ได้มีหน้าที่ยกกระเป๋านะครับ ถ้าไปเจอไฟลท์ไหนยกให้ นั่นไม่ใช่หน้าที่ครับ แต่นั่นคือน้ำใจ ผมคอนเฟิร์มว่า ไม่ว่าสายการบินในประเทศหรือทั่วโลก แอร์ไม่ได้มีหน้าที่ยกกระเป๋าครับ  

สิ่งที่ผมยอมโพสต์นี้ คือ ก่อนลงจากเครื่องมีการข่มขู่จากผู้ชายในแก๊งว่า “เอาชื่อมรึง 4 คนมานี่ซิ เดี๋ยวมรึง 4 คนเจอกูแน่ พวกมรึงไม่รู้หรอกว่ากรูทำอะไร แต่เดี๋ยวมรึงเจอกูแน่” 

ผมก็ไม่รู้นะครับว่าพี่ทำอะไร พี่คงจะรุ่นใหญ่แน่นอน ผมโพสต์มานี่พวกพี่ ๆ ก็คงจะแค้นผม แต่ผมเห็นน้อง ๆ แอร์กับสจ๊วตโดนพี่รุมข่มขู่ ด่า เป็นครึ่งชั่วโมง แล้วเขาไม่มีทางตอบโต้เลย ผมต้องออกมาพูดจริง ๆ ว่าวันนี้ลูกเรือคุมอารมณ์และแก้ปัญหาได้ดีมาก ๆ ถ้าผมไม่ออกมาเล่า แล้วน้อง ๆ เขาโดนคอมเพลน หรือโดนลงโทษทางหน้าที่การงานผมคงรู้สึกใจหมามาก 

ที่มาโพสต์ช้าไม่ใช่อะไรนะ ก็เพราะพวกพี่นี่แหละครับ จากถึงไทยบ่ายโมง นี่ป่านนี้สองทุ่มครึ่งเพิ่งถึงบ้าน คำไหนผมพิมพ์เกินเลยไปซัดผมกลับได้เลยนะ”

‘หนุ่ม’ เล่าอดีต เคยเจอ ‘หญิงไทย’ สติหลุด-วีนแตกใส่แอร์ฯ หลังไม่พอใจที่ตนปฏิเสธแกล้งเป็นแฟนให้ผ่าน ตม.

(26 ส.ค.66) จากเฟซบุ๊ก Joe Amatyakul ได้โพสต์ข้อความหลังเห็นประเด็นดรามา แก๊งคนไทยวีนแตกใส่แอร์โฮสเตส บนเครื่องบินลำหนึ่ง เหตุปฏิเสธไม่ยอมช่วยยกกระเป๋าให้ พร้อมแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่ตนเคยพบเจอคล้ายๆ กัน โดยระบุว่า…

“เห็นข่าวคนไทยโวยจนถูกไล่ลงจากเครื่อง

ย้อนคิดถึงราว 30 ปีก่อน ตอนนั้นยังหนุ่มๆ อยู่ที่อเมริกา บินไปๆ กลับๆ ไทยบ่อยๆ ส่วนใหญ่เลือกเปลี่ยนเครื่องที่ญี่ปุ่น (เพราะเจตนาจะแวะเที่ยวญี่ปุ่นเป็นของแถม)

ต้องเล่าก่อนว่า ยุคนั้นคนไทยต้องทำวีซ่าญี่ปุ่น ซึ่งอนุมัติแสนยากเย็น แต่ผมไปญี่ปุ่นบ่อยๆ โดยไม่เคยทำวีซ่า เพราะญี่ปุ่นอนุโลมให้คนไทยที่มีวีซ่าระยะยาวของสหรัฐอเมริกา สามารถเข้าญี่ปุ่นได้ 7 วันโดยไม่ต้องทำวีซ่า

เข้าเรื่องซะที…มีครั้งนึงที่บินจากไทย (และจะแวะญี่ปุ่นโดยใช้วีซ่าอเมริกาตามเคย) ผมได้นั่งกับหญิงคนนึง คุยกันซักพักเธอก็ออกปากขอร้องว่า เดี๋ยวตอนผ่าน ตม. เธอขอเดินควงแขนผม แกล้งเป็นแฟนได้ไหม เพราะเธอกังวลมากๆ ว่า เธอจะไม่ผ่าน ตม. และถูกส่งกลับไทย แน่นอนผมปฏิเสธทันที บอกเธอไปตามจริงว่าผมไม่มีวีซ่าญี่ปุ่น จะเข้าโดยใช้วีซ่าอเมริกาแทน ดังนั้นผมจะเสี่ยงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ต้องเซฟตัวเองเหมือนกัน เธอเริ่มตีโพยตีพายว่าชีวิตลำบากงั้นงี้ ต้องจำนองที่นาจ่ายให้นายหน้า เพื่อจะมาเป็น Curry (เธอใช้คำนี้) ที่ญี่ปุ่น เพื่อหาเงินส่งน้องๆ และส่งพ่อแม่ทยอยใช้หนี้ ถ้าถูกส่งกลับคือล่มจมแน่ๆ แต่ผมก็ยืนยันว่าช่วยไม่ได้จริงๆ

เธอโวยเสียงดัง สติหลุด ยกกระเป๋าลงมาหยิบของ แต่เรียกให้แอร์ยกกลับขึ้นไปเก็บ แอร์ไม่ยอมยกให้ เธอก็ด่า ขว้างถ้วยน้ำใส่แอร์ด้วยและด่า Fuck หลายครั้ง ตอนนั้นผมรู้สึกอายแทนคนไทยทั้งชาติ เลยแกล้งหลับตลอด พอเครื่องลงจอด มีเสียงประกาศว่าให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่ก่อน ซักพักก็มีตำรวจเข้ามาจับกุมเธอถึงที่นั่ง พอเธอถูกคุมตัวไป ผดส.ปรบมือกันใหญ่ แต่ผมสงสารเธอมาก ผมไม่ทราบว่าต่อจากนั้นเธอโดนอะไรบ้าง ถ้าเธอถูกส่งกลับจริงทั้งครอบครัวต้องลำบากสาหัสแน่ๆ ใดๆก็ตาม การใช้อารมณ์มักไม่ใช่ทางออกเสมอ

'โค้ชแหม่ม' เผย!! เมื่อผู้โดยสารบนเครื่องบินกลายเป็นศพ แอร์ฯ รันงานบริการต่อ-ประคองใจญาติผู้เสียชีวิตจนถึงสุดทาง

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @skycoachmamteam หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘โค้ชแหม่มสอนแอร์’ ได้ออกมาเล่าประสบการณ์ในการทำงานอาชีพแอร์โฮสเตส เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ผู้โดยสารเสียชีวิตกะทันหัน ขณะกำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้า พร้อมอธิบายข้อปฏิบัติที่แอร์ฯ จะต้องทำการจัดการ โดยระบุว่า…

“จากประสบการณ์ตรงของโค้ชที่ท่านผู้โดยสารเสียชีวิต บนไฟล์ทจากดูไบเพื่อบินไปนิวยอร์ก ไฟล์ทนั้นเราต้องนําศพท่านผู้โดยสารใส่ลงใน Body Bag ซึ่งก็คือ ‘ถุงเก็บศพ’ นั่นเอง แต่เราห้ามรูดซิปปิดไว้ทั้งหมด ทำไม่ได้เด็ดขาด เพราะว่าแอร์ฯ ไม่ใช่หมอ โดยตามกฎหมายแล้ว เราไม่สามารถที่จะประกาศได้ว่าท่านผู้โดยสารคนนี้เสียชีวิตตอนกี่โมง เพราะฉะนั้น เราจะรูดซิปถึงแค่คอ และยังคงต้องเปิดหน้าท่านผู้โดยสารเอาไว้

“ดังนั้น เราควรจะนำศพของท่านผู้โดยสารไปวางไว้ที่ไหน? ซึ่งไม่ควรวางไว้ที่ Crew Bunk เด็ดขาดเลย สําหรับสายการบินเอมิเรตส์ เราจะเก็บศพท่านผู้โดยสารไว้ในครัว ซึ่งในไฟล์ทนั้น เหตุเกิดตอนประมาณสามชั่วโมงก่อนการ Landing นั่นแปลว่า หลังจากที่ท่านผู้โดยสารเสียชีวิตแล้ว แอร์ฯ ยังต้องทําหน้าที่เซอร์วิสผู้โดยสารบนเครื่องบินต่อไป แล้วศพท่านผู้โดยสารนั้นเก็บที่ครัวหน้า โดยที่มีโค้ชเป็นหัวหน้าประจำไฟลท์นั้น…”

“ดังนั้น โค้ชเลยต้องถามลูกเรือว่า ลูกเรือในทีมโอเคไหม? ที่จะต้องทํางานอยู่ครัวหน้า ใครไหวหรือใครไม่ไหวอย่างไร ย้ายไปทําครัวหลังได้นะ ซึ่งก็มีน้องลูกเรือที่เขาไม่ไหวจริง ๆ กับการที่ทํางานแล้วจะต้องมีศพท่านผู้โดยสารอยู่ในครัว โค้ชก็เลยโทรศัพท์ขึ้นไปขอความช่วยเหลือจากลูกเรือเฟิร์สคลาส แล้วอธิบายว่าเรามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ขอให้มาช่วยหน่อย จากนั้นจะมีน้อง Cabin Service Attendant หรือ ‘พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน’ ซึ่งปกติน้องเขาจะเป็นคนที่ดูแลทําความสะอาดห้องน้ำและสปาในเฟิร์สคลาส โดยปกติน้องจะไม่เสิร์ฟ แต่วันนั้นพอเกิดเหตุฉุกเฉิน น้องเขาก็มาช่วยโค้ชเสิร์ฟ ซึ่งน้องน่ารักมาก มีสปิริตมาก… วันนั้นเราก็เลยทําหน้าที่เซอร์วิสโดยที่มีศพท่านผู้โดยสารอยู่ในครัวไปกับเราด้วย”

“จนกระทั่งก่อนที่จะ Landing ฝ่าย Purser ได้เข้ามาแจ้งว่าอยากให้มีใครสักคนไปนั่งจับมือกับคุณป้า เพราะว่าคุณลุงเพิ่งเสียชีวิตไป โค้ชจึงอาสา เพราะเป็นคนที่คุยกับคุณป้าตั้งแต่ตอนแรก โค้ชเป็นคนแรกที่ทำ CPR และเป็นคนที่ปิดตาท่านผู้โดยสาร ดังนั้น โค้ชจึงอาสาไปนั่งจับมือกับคุณป้า ซึ่งตอนที่ไปนั่งจับมือ คุณป้าได้บอกกับโค้ชก่อน Take Off ว่า…

“Befor taking off, I still had husband. Now i am widow.” (ตอนนี้ฉันน่ะ กลายเป็นม่ายแล้ว…)

สิ่งที่โค้ชบอกกับคุณป้าคือ “At least, when he is gone. He is close to God.” (อย่างน้อยตอนที่เขาจากไป คุณลุงก็ได้อยู่ใกล้กับพระเจ้านะ)

โดยคุณป้าได้เอ่ยขอบคุณที่พวกเราพยายาม ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่าเราพยายามอย่างมาก ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถช่วยชีวิตคุณลุงได้…

“พอ Landing และไปถึงที่ JFK เมื่อประตูเครื่องบินเปิด จะมีหน่วย NYPD ซึ่งคือตํารวจของที่นิวยอร์กขึ้นมาสอบสวนเราว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จากนั้นก็มีคุณหมอได้ให้นามบัตรกับตํารวจเพื่อคุยกัน แล้วเขาจึงนําศพออกไป ซึ่งมีการสืบสวนอยู่ตรงบริเวณนั้นประมาณเกือบชั่วโมง และในที่สุดลูกเรือก็ได้ออกจากสนามบิน…”

‘การบินไทย’ แจง!! ขออภัยผู้โดยสาร พร้อมเยียวยาเต็มที่ กรณีประสบเหตุถูกแอร์โฮสเตสทำเครื่องดื่มร้อนหกใส่

(10 ธ.ค. 66) จากกรณีที่ ‘คุณหมอ’ ท่านหนึ่งได้โพสต์ข้อความลงบนเฟสบุ๊กส่วนตัว เมื่อเดินทางด้วยสายการบินแห่งหนึ่งเพื่อไปเชียงใหม่ แต่เกิดอุบัติเหตุ แอร์โฮสเตสทำกาแฟร้อนหกใส่ตัว จนเกิดอาการปวดแสบร้อน ผิวหนังพอง หายใจติดขัด แต่ไร้การรับผิดชอบใดๆ เมื่อสอบถามไปก็ได้รับคำตอบว่า “บริเวณนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด จึงไม่สามารถรับผิดชอบได้” นั้น ล่าสุด ทาง ‘การบินไทย’ ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีนี้แล้ว โดยระบุว่า…

“บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่งกรณีผู้โดยสารบนเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปยังเชียงใหม่ประสบเหตุเครื่องดื่มร้อนหกราด จนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารับการรักษาตัว โดยบริษัทฯ มิได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยู่ระหว่างประสานผู้โดยสารเพื่อรับทราบรายละเอียด ติดตามอาการบาดเจ็บและการรักษาพยาบาลของผู้โดยสารอย่างใกล้ชิด โดยบริษัทฯ ยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล รวมถึงนำเสนอมาตรการเยียวยาให้ผู้โดยสารท่านที่ประสบเหตุพิจารณาต่อไป

ในส่วนของการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง และจะประสานแจ้งผู้โดยสารถึงความคืบหน้าเป็นระยะ และจะได้นำข้อเท็จจริง ปัญหา ข้อบกพร่องที่พบมาปรับปรุงการให้บริการ เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ต่อผู้โดยสารท่านอื่นในอนาคตต่อไป

บริษัทฯ รู้สึกเสียใจและขออภัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารในครั้งนี้”

‘เบิร์ด ธงไชย’ เผย!! สาเหตุที่ต้องจำชื่อแอร์ฯ และสจ๊วตทุกไฟลต์ที่บิน เพราะทุกการดูแลจากพวกเขา ทำให้ “เราต้องกตัญญู-เห็นคุณค่าในน้ำใจ”

เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 67 ได้มีกระแสในโลกโซเชียล หลังมีแอร์โฮสเตสออกมาเล่าการันตี ว่า ‘เบิร์ด ธงไชย’ ตัวจริงกับบนเวทีนิสัยเหมือนกันเป๊ะ และขอยกให้เป็นดารานิสัยดี บอกบางทีต้องจำชื่อแอร์ฯ และสจ๊วตไฟลต์นึงถึง 49 คน เผยสาเหตุที่ทำเพราะอยากกตัญญูกับลูกเรือที่คอยมาบริการตน เคยเหมาบัตรคอนเสิร์ตให้หมอ พยาบาลในห้องฉุกเฉินก็ทำมาแล้ว

เคยเป็นเรื่องที่พูดถึงกันในโซเชียล เมื่อแอร์โฮสเตสสายการบินดังได้ออกมาตอบคำถามชาวโซเชียลประเด็น ‘อยากรู้ดารานิสัยดี น่ารักมากๆ สำหรับแอร์’ ซึ่งเจ้าของคลิปและเพื่อนแอร์ฯ สาว ได้ออกมาตอบว่าดาราที่แอร์ฯ และสจ๊วตทุกคนในสายการบินชม ต้องยกให้ ‘พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์’ นักร้องซุป’ตาร์เบอร์ 1 ของเมืองไทยตลอดกาล โดยแอร์ฯ สาวเล่าว่า…

“ทุกครั้งก่อนที่พี่เบิร์ดจะขึ้นเครื่อง พี่เบิร์ดจะทำการบ้านมาก่อนว่าลูกเรือที่จะให้บริการเขาชื่อเล่นว่าอะไร แล้วพอพนักงานทักทายว่าสวัสดีพี่เบิร์ด พี่เบิร์ดจะมองหน้าแล้วตอบกลับว่า สวัสดีครับตามด้วยชื่อเล่นของคนนั้น ทำให้ทุกคนประทับใจ และพี่เบิร์ดจะยิ้มแย้มแจ่มใส ทานง่ายๆ ไม่ขออะไรมาก

เมื่อพี่เบิร์ดทานเสร็จจะเดินเข้าไปในครัว พร้อมบอกให้ลูกเรือทุกคนตบแป้งเติมปาก และพี่เบิร์ดยืนรอเพื่อให้ถ่ายรูปด้วยกัน ไม่ว่าพี่เบิร์ดจะเดินทางไฟลต์ไหน ถ้าทุกคนเห็นว่ามีชื่อพี่เบิร์ด จะรู้เลยว่าไฟลต์นั้นจะอบอุ่นและมีความสุขมาก”

เมื่อถามเรื่องนี้กับ เบิร์ด ธงไชย เจ้าตัวก็เล่าว่า “คือการบินไทยพอพี่เบิร์ดขึ้นเครื่องนะ ไหนจะต้องสวย ไหนจะต้องตื่นเช้า ต้องยกของหนัก ไหนจะขนตาอีก จะต้องนั่นจะต้องนี่ พี่เบิร์ดนั่งมองแล้วก็บอกเขาว่า เรากินเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวน้องไปเติมปากนะ เดี๋ยวเรามาเฮกัน อยากให้น้องมีความสุขบ้าง เขาตั้งใจอุ่นอาหารให้เรานะ เราน่าจะชื่นชมเขานะ เขาต้องมาดูแลเรา เขาหาน้ำร้อนมาให้เราทาน พี่เบิร์ดว่าพี่ก็ต้องกตัญญู ก็ต้องอย่างนี้แหละ

เรื่องชื่อพอเขาบอกปุ๊บพี่เบิร์ดจดเลย แล้วก็ท่องๆๆ ใครจะไปจำได้ ก็พี่เบิร์ดท่องเข้าไป เห็นหน้าก็จำได้ถ้าไม่ผ่ามากนะ มีเคล้าๆ พี่เบิร์ดจำได้ ถ้าเกิดว่าผ่ามากพี่เบิร์ดจำไม่ได้นะ ไฟลต์นึงต้องจำชื่อกี่คนก็แล้วแต่นะว่านั่งลำใหญ่ลำเล็ก บางทีก็ 49 คน

อีกอาชีพหนึ่งที่น่าชื่นชมคือหมอและพยาบาล พี่เบิร์ดแอบไปหาหมอตอน 5 ทุ่ม พี่เบิร์ดต้องเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พี่เบิร์ดเห็นแล้ว รู้สึกว่าน้องๆ เหล่านี้เขาจะมีความสุขกันได้ยังไง เห็นแต่เลือดเห็นแต่หนอง เสียงร้อง เสียงกรี๊ดของเราไม่เหมือนกับของเขา พี่เบิร์ดซื้อตั๋วแจกเลยครับ ให้หมอพยาบาลมาดูคอนเสิร์ต”

ยันตัวจริงและบนเวทีเหมือนกันเป๊ะ

“พี่เบิร์ดดีใจๆ เรามาถูกทางแล้ว อยากให้เขาเห็นคุณค่าในน้ำใจของพวกเราด้วยนะ เดี๋ยวนี้อะไรมันก็เร็วไปหมด อาจจะมองข้ามเรื่องน้ำใจของคนกันได้ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราให้ได้ให้นะ (บนเวทีกับตัวจริงเหมือนกัน คนเดียวกันเลย?) คนเดียวกันเป๊ะ เป๊ะบ้านโป่งเลย” เธอกล่าวทิ้งท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top