Sunday, 5 May 2024
อาชญากรรม

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ ย้ำ! พร้อมดูแล - ปราบปรามอาชญากรรม จัดตำรวจลงพื้นที่ ป้องกันผู้ก่อเหตุซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน จากสถานการณ์น้ำท่วม

จากสถานการณ์น้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งคงยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ตามที่ปรากฏข่าวผ่านสื่อมวลชน

วันที่ 5 ต.ค. 64 พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล  กฤตพิทยบูรณ์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อน และห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงกำชับสั่งให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะกองบังคับการตำรวจน้ำ ที่เร่งจัดกำลังพล พร้อมเรือยาง และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อรองรับภารกิจในการช่วยเหลือ และส่งมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น อีกทั้งยังได้บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน

สำหรับกรณีการก่อเหตุซ้ำเติมความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมขัง ที่อาจจะมีผู้ที่ฉวยโอกาสก่อเหตุโจรกรรมสิ่งของภายในบ้านเรือนที่ไม่มีผู้พักอาศัย หรือที่รู้จักกันนี้ว่า “ขบวนการโจรแมวน้ำ” รวมถึงการก่อเหตุใช้กลอุบายในการหลอกลวงต่าง ๆ จนสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน

 

สกัดแก๊งยา!! ตำรวจภูธรภาค 5 จับกุมผู้ต้องหา 4 คน “พร้อมยาบ้า 1 แสนเม็ด และไอซ์ 2 กิโลกรัม” ในท้องที่ สภ.ช้างเผือก และสภ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

ตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยคุกคามและอาชญากรรมต่างๆ ที่ได้สร้างผลกระทบต่อประชาชน และสร้างความเสียหายให้แก่สังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย  อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./หน.ศอปส.ตร. ได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง นั้น

วันที่ 8 ต.ค.64 เวลา 10.30 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 ,พล.ต.ต.กฤตธาพล ยี่สาคร รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม แถลงผลการจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ ดังนี้

จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด 4 คน

1. นายกรรณธวุฒิ  เรืองทิพย์  อายุ 30 ปี ที่อยู่ 249/1 ม.4 ต.สะลวง อ.แม่ริม  จ.เชียงใหม่ 

2. นายยุชัย  จะมี  อายุ 30 ปี ที่อยู่ 224 ม.8 ต.ห้วยชมภู อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย 

3. นายจะลอ  จะคือ  อายุ 33 ปี ที่อยู่ 298 ม.8 ต.ห้วยชมภู อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย 

4. นายพิทักศรีรุ้ง  จะแป อายุ 33 ปี ที่อยู่ 296 ม.8 ต.ห้วยชมภู อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย

พร้อมด้วยของกลาง

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน รวมประมาณ 100,000 เม็ด

2. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) น้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม 

3. รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว ทะเบียน งจ 2940 เชียงใหม่(พบซุกซ่อนอยู่ในช่องเก็บของด้านหลังรถยนต์เก๋งคันดังกล่าว)

4. รถยนต์กระบะหัวเดี่ยว ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นเรโว่ สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน

6. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 110 ไอ สีส้มดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน

โดยกล่าวหาว่า มีความผิดฐาน “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์และยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย”

พฤติการณ์ ด้วยวันที่ (6 ต.ค. 64) เวลาประมาณ 05.00 น. จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบว่า  นายกรรณธวุฒิ (โก๋) เรืองทิพย์ มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด(ยาบ้า) และ เวลาประมาณ 08.00 น. นายกรรณธวุฒิ (โก๋) ได้นัดหมายติดต่อรับยาเสพติด (ยาบ้าและไอซ์) จำนวนมาก จากกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติด นัดกันบริเวณพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่  จึงได้เดินทางไปบ้านพักของ นายกรรณธวุฒิ (โก๋) เมื่อไปถึงบริเวณใกล้บ้านพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม วางกำลังโดยรอบบ้านพักของ นายกรรณธวุฒิ (โก๋) ต่อมา ได้มีรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส  สีขาวออกจากบ้านพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขับรถยนต์ สะกดรอยติดตามไปจนถึงบริเวณริมถนนหมายเลข 3038 ก่อนถึงสนามกีฬากลางเทศบาลเมืองแกนพัฒนา ม.7 ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และรถยนต์ได้เลี้ยวเข้าไปในซอยถนนดินแดงฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด จากนั้นไม่นาน รถคันดังกล่าวได้ ออกมาจากซอยเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าสนามกีฬากลางเทศบาลเมืองแกนพัฒนา ม.7 ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ชุดที่ 1 จึงได้ติดตาม ไปอย่างใกล้ชิด จากนั้นได้มีชายวัยรุ่นจำนวน 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ สีส้ม ออกมาจากบริเวณซอยถนนดินแดง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดที่ 2 จึงได้ติดตามรถจักรยานยนต์ไปและได้แสดงตัวขอทำการตรวจค้นตัว

‘ตำรวจภูธรภาค 5’ กวาดล้างอาชญากรรมทุกรูปแบบ!! พบยาบ้า 20 ล้านเม็ด - ไอซ์ 631 กิโลกรัม - เฮโรอีน พร้อมอาวุธปืนอีก 500 กว่ากระบอก

ตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ,พลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มีความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน จึงได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ ประชาชน และเป็นภัยกับสังคม ไม่ว่าจะเป็นคดีเกี่ยวกับอาวุธปืน ยาเสพติด ,ชีวิต ร่างกายและเพศ และเกี่ยวกับทรัพย์ หรือกระทั่งอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เช่น การหลอกลวงประชาชนโดยใช้ Social Media โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด - 19 นั้น

เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว ให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรม และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.สุชาติ  ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.(สส.) ,พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.(ปป) , พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.(มค) จึงได้สั่งการให้ทุก บช. มีการะดมกวาดล้างอาชญากรรมตามเป้าหมายต่างๆ ในห้วงวันที่ 20 -31 ตุลาคม 2564 

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10:30 น. ณ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5

ตำรวจภูธรภาค 5 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี ,พล.ต.ต.พฤทธิพงษ์ประยูรศิริ, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน, พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 และ ผบก.ทุก ภ.จว. ในสังกัด ภ.5 ได้ดำเนินการสนองตอบนโยบายรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว โดยบูรณาการกำลังร่วมกันกับฝ่ายปกครอง หน่วยทหารกองทัพภาคที่ 3 และป.ป.ส.ภาค 5 โดยขอแถลงสรุปผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรมตามเป้าหมายที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด ในห้วงวันที่ 20 -31 ตุลาคม 2564 สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ดังนี้

1. ความผิดเกี่ยวกับการพนัน 1,017 ราย ผู้ต้องหา 1,136 คน

2. ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 3,567 ราย ผู้ต้องหา 2,681 คน

3. ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง 770 ราย ผู้ต้องหา 772 คน

4. ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน 1,240 ราย ผู้ต้องหา 796 คน

5. ความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ 90 ราย ผู้ต้องหา 89 คน

6. จับกุมบุคคลตามหมายจับ 2,081 ราย ผู้ต้องหา 2,057 คน

7. อาชญากรรมทางเทคโนโลยี 288 ราย ผู้ต้องหา 75 คน

รวมทั้งสิ้น 9,053 ราย ผู้ต้องหา 7,606 คน

โดยเฉพาะผลการปฏิบัติที่สำคัญ มีการจับกุมเกี่ยวกับยาเสพติดรายใหญ่ที่ผ่านมา ได้แก่ที่

1.สภ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ยาบ้า 100,000 เม็ด (20 ต.ค.64)

2.สภ.แม่สรวย จว.เชียงราย ยาบ้า 310,000 เม็ด ไอซ์ 58 กก. เฮโรอีน 7 กก. (20 ต.ค.64)

3.สภ.เมืองเชียงราย ,แม่สรวย ยาบ้า 1,696,000  เม็ด ไอซ์ 9 กก. (20 ต.ค.64)

4.กก.สส.ภ.5 ร่วมกับ ป.ป.ส. 4,400,000 เม็ด ไอซ์ 288 กก. (20 ต.ค.64) ต้นทางจาก อ.ภูซาง อ.เชียงคำ จว.พะเยา จับกุมได้ที่ จ.อยุธยา

5.สภ.ห้วยไร่ จว.แพร่ ยาบ้า 5,000,000 เม็ด (23 ต.ค.64)

6.สภ.แม่ลาว จว.เชียงราย ยาไอซ์ 235 กก. (29 ต.ค.64)

ซึ่งในวันนี้ ตำรวจภูธรภาค 5 ได้นำมาร่วมแถลงข่าว จำนวน 3 คดี คือ

คดีที่ 1 : ตรวจยึดยาบ้า 7,970,000 เม็ด

วันเดือนปีที่ตรวจยึด : วันที่ 30 ตุลาคม 2564

สถานที่ตรวจยึด : จุดตรวจแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จว.แพร่

ของกลาง : ตรวจยึดยาเสพติดประเภทยาบ้า 7,970,000 เม็ด และ รถยนต์ขนส่ง 6 ล้อ จำนวน 1 คัน

ข้อกล่าวหา : มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้าและไอซ์) ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย

พฤติการณ์แห่งคดี: ด้วยเมื่อ วันที่ 30 ต.ค.2564 เวลา 10:00 น. ผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุก หมายเลขทะเบียน 72-4852 นครปฐม ได้รับการติดต่อจากเพื่อนกลุ่มขับรถรับจ้างให้ไปรับงานที่ห้องพัก ต.ร่องฟอง อ.เมืองแพร่ จว.แพร่ เพื่อนำส่งปลายทางที่เขตมีนบุรีกรุงเทพฯ ซึ่งผู้ติดต่อแจ้งว่าเป็นสุ่มไก่ เมื่อถึงจุดขึ้นของมีผู้ชาย 2 คน ยกของขึ้นรถบรรทุก เป็นลังไม้และสุ่มไก่ ผู้ขับขี่ฯ จะช่วยยกของขึ้นรถ ชายทั้งสอง บอกว่าไม่ต้องช่วย และไม่ต้องเปิดลังดูเพราะข้างในเป็นยาสำหรับไก่ชน ในระหว่างที่รอผู้ชายทั้งสองยกของขึ้นรถบรรทุก ผู้ขับขี่ฯ ก็เดินไปทำธุระส่วนตัวที่ปั้ม เมื่อกลับมาถึงรถบรรทุกชายทั้งสองก็แจ้งว่าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนายรุ่งเพชรฯ ก็คลุมผ้าใบท้ายรถและขับรถบรรทุกออกจากจุดขึ้นของมุ่งหน้าทาง อ.เด่นชัย - อุตรดิตถ์ เมื่อมาถึงปั๊มน้ำมัน ที่ อ.เด่นชัย ผู้ขับขี่ฯ จึงหยุดรถ แล้วเปิดดูลังไม้ที่บรรทุกมาให้หายสงสัยว่าเป็นสิ่งของผิดกฎหมายหรือไม่ เปิดดูพบด้านในลังไม้มีถุงสีดำบรรจุก้อนสี่เหลี่ยมห่อด้วยกระดาษสีเหลืองประทับตรา 999 และโทรศัพท์แจ้ง สภ.เด่นชัย ช่วยตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ตำรวจฯ ตรวจสอบเบื้องต้นพบเป็นยาบ้า จำนวน 54 ถุง สรุปยาบ้าจำนวน 7,970,000 เม็ด ขณะนี้ อยู่ระหว่างสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อติดตามหาผู้กระทำผิด และผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดี ตามกฎหมายต่อไป

คดีที่2 : สภ.เวียงมอก จว.ลำปาง จับกุมยาบ้า 599,600 เม็ด, ไอซ์ 41 กิโลกรัม

วันเดือนปีที่จับกุม : วันที่ 30 ตุลาคม 2564

สถานที่จับกุม : ด่านตรวจสะเลียมหวาน ต.เวียงมอก อ.เถิน จว.ลำปาง

ผู้ต้องหา : นายศักดิ์สิทธิ์ อำพันทอง อายุ 47 ปี ภูมิลำเนาอยู่ ต.สมเด็จ อ.สมเด็จ จว.กาฬสินธุ์

ของกลาง : ยาบ้า 599,600 เม็ด,ไอซ์ 41 กิโลกรัม,รถยนต์ (ซีอาร์วี) จำนวน 1 คัน

พฤติการณ์แห่งคดี : เมื่อวันที่ 30 ต.ค.64 เวลา 06:10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เวียงมอก ได้ตั้งด่านตรวจยาเสพติด ต่อมาได้มี นายศักดิ์สิทธิ์ อำพันทอง ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน กง 5906 กาญจนบุรี จึงได้ทำการตรวจค้น ผลการ ตรวจค้นพบยาบ้า ลักษณะกลมแบน ประทับอักษร WY จำนวนประมาณ 599,600 เม็ด และไอซ์จำนวน 41 ห่อ น้ำหนัก 41 กก. ซุกซ่อนอยู่บริเวณด้านหลังรถยนต์ ซึ่ง ผตห.รับว่าของกลางทั้งหมดรับมาจาก อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ เพื่อส่งไปให้เป้าหมายที่กรุงเทพมหานคร ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล เพื่อติดตามหา ผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่3 สภ.เกาะช้าง จว.เชียงราย ร่วมกับ กองกำลังผาเมือง ตรวจยึดยาบ้า 320,000 เม็ด

วันเดือนปีที่ตรวจยึด : วันที่ 30 ตุลาคม 2564

สถานที่ตรวจยึด : ช่องทางธรรมชาติบ้านป่าซาง ม.6 ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จว.เชียงราย

ของกลาง : ตรวจยึดยาเสพติดประเภทยาบ้า 320,000 เม็ด

พฤติการณ์แห่งคดี : ในห้วงวันที่ 30 ต.ค.2564 เวลา 14:00 น. จนท.กกล.ผาเมือง ได้ตรวจพบกลุ่มคนประมาณ 4 คน แบกถุงพลาสติกสีดำเดินมาจากประเทศเมียนม่า เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัว ขอทำการตรวจค้นกลุ่มคนดังกล่าว จึงได้ทิ้งถุงพลาสติกสีดำไว้แล้วได้วิ่งหลบหนีกลับไปยังประเทศเมียนม่า ชป.ขอกำลังสนับสนุน เข้าปิดล้อมสถานที่เกิดเหตุตรวจสอบบริเวณพื้นที่โดยรอบ พบเป็นวัตถุมีลักษณะเป็นกล่อง ห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำจำนวน 2 กล่อง บรรจุยาบ้ากล่องละประมาณ 160,000 เม็ด รวมเป็นยาบ้าทั้งหมด จำนวนประมาณ 320,000 เม็ด ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวน ขยายผลเพื่อติดตามหาผู้กระทำผิด และ ผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รวมของกลางทั้งหมด ยาบ้า 19,896,000 เม็ด , ไอซ์ 631 กิโลกรัม และ เฮโรอีน 7 กิโลกรัม

 

“บิ๊กเด่น” เตรียม ตร.ประชุมรับมือเลือกตั้ง อบต. พร้อมเตรียมระดมกวาดล้างอาชญากรรม!!

วันนี้ (4 พ.ย. 2564) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน ร่วมกับ พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง จตช. ประชุมเตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล หรือการเลือกตั้ง อบต. กับหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ได้กำชับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ดังนี้

1. มีการติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวและเฝ้าระวังบุคคลหรือกลุ่มที่อาจเข้ามาก่อเหตุความรุนแรงและดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่มิให้เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่างผู้สมัครเกิดเหตุประทุษร้ายต่าง ๆ หรือการกระทำผิดกฎหมายต่าง ๆ

2. จัดชุดป้องกันปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ออกตรวจตราสอดส่องป้องกันมิให้มีการกระทำความผิดกฎหมายในช่วงโค้งสุดท้ายตามพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกท้องถิ่นหรือผู้บริการท้องถิ่น พ.ศ.2562 และตามประมวลกฎหมายอาญา เช่น การทำลายป้ายผู้สมัครรับเลือกตั้ง การซื้อสิทธิขายเสียงทั้งนี้ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาคประสานการปฏิบัติกับทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

3. ให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมและความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทั่วประเทศในห้วงวันที่ 11-20 พ.ย.64 (10 วัน)

4. อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เดินทางใช้สิทธิเลือกตั้งโดยเฉพาะการจัดการจราจรให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

5. กำชับตำรวจในการรักษาความปลอดภัยประจำหน่วยเลือกตั้ง ชุดเคลื่อนที่เร็ว เพื่อเข้าระงับเหตุ

การรักษาความปลอดภัยในการขนย้ายหีบบัตรเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีเหตุการณ์ที่รุนแรงหรือกระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง

6. มีการประชาสัมพันธ์ข้อห้ามหรือกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมาย

 

ตร.เตือน!! โดนโทรทวงหนี้ “อ้างว่าเป็นผู้ค้ำประกัน” ถ้าไม่เคยค้ำ อย่าหลงเชื่อ!!

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

สืบเนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนจากการโทรศัพท์มาทวงถามหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีถูกอ้างชื่อว่าเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ถูกข่มขู่ว่าหากไม่ใช้หนี้แทนผู้กู้ จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ติดเครดิตบูโร ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินกับสถาบันการเงินได้ ฯลฯ โดยที่ไม่เคยรู้เรื่องการค้ำประกันดังกล่าวมาก่อน ซึ่งสาเหตุที่เจ้าหนี้รู้ถึงข้อมูล ชื่อ-นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ ของเรานั้น ก็มักเกิดจากการที่บุคคลที่มีหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเราบันทึกไว้ในรายชื่อผู้ติดต่อ ไปโหลดแอปพลิเคชันเงินกู้ และอนุญาตให้แอปพลิเคชันเข้าถึงรายชื่อผู้ติดต่อและหมายเลขโทรศัพท์นั่นเอง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชน หากได้รับโทรศัพท์อ้างว่าท่านได้ไปค้ำประกันเงินกู้ โดยที่ท่านไม่เคยทราบเรื่องดังกล่าว และไม่เคยลงลายมือชื่อค้ำประกันให้กับบุคคลตามที่ถูกกล่าวอ้าง ขอให้ท่านอย่าหลงเชื่อ ไม่ต้องชำระเงินค้ำประกันเงินกู้ตามที่มิจฉาชีพอ้างและไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับความเสียหายหรือถูกฟ้องร้อง หากท่านไม่เคยค้ำประกันให้บุคคลที่ถูกกล่าวอ้างจริง

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.)ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ

 

ผบ.ตร. ตรวจเยี่ยม “ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปป.ตร.)” สุดทันสมัย เทคโนโลยี 5G - เชื่อมโยงข้อมูล Real Time – บริหารเหตุวิกฤต!!

วันที่ 25 ธันวาคม 2564 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ไปตรวจเยี่ยม “ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปป.ตร.)” ซึ่งตั้งอยู่ที่ ชั้น 7 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้คำแนะนำในการปฏิบัติหน้าที่และการนำเทคโนโลยีส่วนขยายมาใช้ในการปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อันจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ลดปริมาณคดีอาชญากรรม โดยมี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็น ผู้อำนวยการ ศปป.ตร.

“ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปป.ตร.)” จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ "ควบคุมและบริหารงาน" ป้องกันปราบปรามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ "ทันกับสถานการณ์" มีการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติ เพื่อนำไปวิเคราะห์และพัฒนางานป้องกันปราบปราม ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการ "เฝ้าติดตาม" การปฏิบัติหน้าที่ด้านการป้องกันปราบปราม สามารถ "เชื่อมต่อสัญญาณภาพสด" ในขณะปฏิบัติหน้าที่ จาก "กล้องประจำตัวเจ้าหน้าที่สายตรวจ" / "กล้องติดรถยนต์สายตรวจ" จากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศ รวมถึง "กล้อง CCTV" 

ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ติดตั้งไว้ใน "หัวเมืองสำคัญ" พื้นที่แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงจุดล่อแหลมต่าง ๆ ทั่วประเทศ มายัง ศปป.ตร. สามารถเฝ้าระวังเหตุและ "บริหาร จุดตรวจ จุดสกัด ไม่ให้ซ้ำซ้อน" และปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากเกิด "เหตุวิกฤต" ด้านอาชญากรรม ศปป.ตร. สามารถ "ยกระดับ" การปฏิบัติเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารสถานการณ์ให้กับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถ "บริหารจัดการแก้ไขเหตุวิกฤต" นั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังกล่าวอีกว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มาสังเกตการณ์ พร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติมเรื่องการปฏิบัติและ "นำเทคโนโลยีส่วนขยาย" มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและยังได้รับชมการสาธิตการปฏิบัติระหว่าง ศปป.ตร. กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ปฏิบัติการจริง โดยใช้ยุทธวิธีตำรวจสายป้องกันปราบปรามที่ได้รับการฝึกมาแล้ว

 

รองโฆษก ตร. ชี้!แนวโน้ม’อาชญากรรมทางเทคโนโลยี’ ใน ปี พ.ศ.2565

วันที่ 3 ม.ค.2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งขาติ กล่าวถึงแนวโน้มอาชญากรรมทางเทคโนโลยีใน ปี พ.ศ.2565 ว่า เมื่อพิจารณาข้อมูลจากสถิติการเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ศูนย์บริการประชาชน บก.ปอท. ปี พ.ศ. 2561-2564   พบว่า รูปแบบของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือใช้เทคโนโลยีในการกระทำความผิดที่มีประชาชนมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ยังคงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท 

โดยในปี 2564 มีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์จำนวน 698 ราย สาเหตุที่การด่าทอ ให้ร้ายกันในสื่อสังคมออนไลน์ ครองความเป็นอันดับ 1 มาตลอดหลายปี อาจเนื่องมาจาก ประชาชนเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น การโพสต์ การแสดงความคิดเห็น การส่งต่อข้อมูลที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายจึงมีมากขึ้น  

แต่ที่น่าสนใจจากสถิติดังกล่าวพบว่า มีผู้ได้รับความเสียหายจากการถูกแฮก เพื่อปรับเปลี่ยน/ขโมย/ทำลายข้อมูลคอมพิวเตอร์ พบเป็นอันดับที่ 2 โดยมีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์จำนวน 585 ราย ความเสียหายรวมประมาณ 67 ล้านบาทแสดงให้เห็นถึง ประชาชนอาจขาดการระวังป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์/ข้อมูลคอมพิวเตอร์จากแฮกเกอร์  

ส่วนการหลอกขายสินค้า/บริการ พบว่ามาเป็นอันดับ 3 โดยมีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์จำนวน 445 ราย ความเสียหายรวมประมาณ 45 ล้านบาท 

ซึ่งจากสถิติดังกล่าวข้างต้นทำให้สังเกตได้ว่า รูปแบบของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน หากไม่นับความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว พบว่าจะมีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ การแฮกข้อมูล และการฉ้อโกงออนไลน์ เป็นหลัก ซึ่งพบว่าอาชญากรรมใน 2 รูปแบบนี้ คนร้ายมักอาศัยโอกาสจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเอื้อประโยชน์ในการกระทำความผิดหรือปกปิดตัวตนไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบสวนหาตัวคนร้ายได้โดยง่าย โดยใช้ช่องทางต่างๆ เช่น การปกปิดตัวตนโดยนำภาพหรือชื่อบุคคลอื่นมาสร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอม หรือใช้บัญชีอวตา (Avatar) , การปกปิดที่อยู่ไอพี (ip address) , การใช้ช่องทางสกุลเงินดิจิทัล ในการรับทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด หรือ การซื้อบัญชีธนาคารจากผู้ที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร เป็นต้น ซึ่งเป็นการสร้างความยุ่งยากให้กับเจ้าหน้าที่ ในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย 

ดังนั้นความเห็นส่วนตัวยังเห็นว่า แนวโน้มอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในปี 2565 ยังไม่น่าจะแตกต่างไปจากเดิม แต่คนร้ายอาจนำเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือเทคโนโลยีที่มีอยู่มาใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การให้ร้ายหรือระรานทางไซเบอร์(Cyber Bullying) , การหลอกลวงผ่านอีเมล (email scam) , การแฮกเพื่อเอาข้อมูลหรือเงินผ่านการลวงให้กดล่อให้กรอก (Phishing) , มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware), การหลอกลวงขายสินค้า , การหลอกรักออนไลน์(Romance Scam) , การหลอกรักลวงลงทุน (Hybrid Scam) , การหลอกลวงด้วยการโทรศัพท์โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ , การหลอกให้ลงทุนในลักษณะแชร์ออนไลน์และแชร์ลูกโซ่ , การขูดรีดดอกเบี้ยเงินกู้และการทวงหนี้ในลักษณะผิดกฎหมายจากแก๊งแอพพลิเคชั่นเงินกู้ , การปล่อยข่าวปลอมในโลกออนไลน์เพื่อหวังผลด้านต่าง ๆ (Fake News) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า “อาชญากรรมมักทิ้งร่องรอย” ยังคงใช้ได้กับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้าย ที่อาจพัฒนาตัวเองจากอาชญากรภาคพื้นดิน (On Ground) มาเป็นอาชญากรบนอากาศ (Online) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการพัฒนาทักษะ ความรู้ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ทั้งนี้จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ให้บริการด้านต่างๆ ในการสนับสนุนข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบข้อมูลในการสืบสวนสอบสวน  

ตร เตือน 5 อาชญากรรมที่มาพร้อมกับเกมออนไลน์ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต้องรู้ทัน

วันที่ 8 ก.ย. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ได้มีพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมที่แฝงมากับเกมออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งต่อทรัพย์สิน ชีวิต ร่างกาย ตลอดจนชื่อเสียง ของผู้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมดังกล่าว

สำนักงานตำรวตแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชนให้รู้เท่าทันอาชญากรรมที่มาพร้อมกับเกมออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
1. คนร้ายจะติดต่อผ่านช่องทางการสนทนาภายในเกม อ้างว่าจะเติมเงินหรือส่งไอเทมในเกมให้ แลกกับการส่งคลิปลามกอนาจารให้กับคนร้าย ซึ่งมักจะมีเป้าหมายเป็นเด็กหรือเยาวชนที่ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์
2. คนร้ายหลอกซื้อขายไอเทมหรือเงินในเกมเป็นเงินจริง และเมื่อเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินจริงให้กับคนร้าย คนร้ายก็จะตัดการติดต่อไป ทำให้เหยื่อได้รับความเสียหาย
3. คนร้ายโพสต์อ้างว่ารับเติมเงินเกมในราคาถูกว่าการเติมเงินในระบบปกติ โดยแลกกับการที่เหยื่อจะต้องส่งบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่านไปให้คนร้าย ซึ่งอาจจะได้เงินในเกมจริง แต่ก็จะมีความเสี่ยงที่จะถูกแฮกไอดีเกม หรือบัญชีอื่น ๆ ที่ใช้รหัสผ่านเดียวกันในภายหลัง
4. คนร้ายทำเว็บไซต์ปลอมอ้างว่าเป็นกิจกรรมจากบริษัทเกมออนไลน์ แจกของรางวัล โดยหลอกให้กรอกบัญชีผู้ใช้และรหัสผ่าน หรือข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ (Phishing)
5. อาชญากรรมแฝงอื่น ๆ เช่น การหลอกนัดเจอเด็กเพื่อไปมีเพศสัมพันธ์ การชักชวนให้เล่นการพนัน การข่มขู่ ด่าทอ และการหมิ่นประมาทกันภายในเกม เป็นต้น

ตร. แถลงผลปฏิบัติการ ‘ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน’ ทลายแก๊งจีนทำธุรกิจสีเทา ยึดทรัพย์กว่า 300 ลบ.

เปิดปฏิบัติการ 'ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน' รองต่อ-รองโจ๊ก ผนึกกำลัง ทลายแก๊งคนจีนสีเทา สวมบัตร ปชช. เอี่ยวโยงคิงส์โรมัน พบพิรุธถือครองสินทรัพย์หมู่บ้านหรูย่านอุดมสุขกว่าครึ่งเฟสใหม่

วันที่ (3 พ.ย. 65) ที่ บช.สอท. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง ผบก.ตม.1 ร่วมกันแถลงข่าวผลปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายนายทุนจีนสีเทา ตามปฏิบัติการ 'ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน' โดยปิดล้อมตรวจค้น 3 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จับกุมผู้ต้องหากว่า 15 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนจีน 11 ราย คนไทย 4 ราย พร้อมของกลางเป็นเงินสดกว่า 42 ล้านบาท รถยนต์หรูกว่า 10 คัน โฉนดที่ดินหลายรายการ สุราต่างประเทศ สำรับไพ่ กระเป๋าแบรนด์เนม มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า การปิดล้อมตรวจค้นครั้งนี้เป็นนโยบายของทางรัฐบาล และทาง พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมประกอบกับในช่วงที่ผ่านมามีกรณีชาวต่างชาติเสียชีวิตเพราะยาเสพติดในสถานบันเทิง และกรณีสถานบริการเปิดให้บริการเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการพนัน โดยเจ้าของกิจการหรือสถานบริการล้วนเป็นนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามปฎิบัติการดังกล่าวเป็นการขยายผลจากการตรวจค้นสถานบริการจินหลิง ย่านยานนาวา เขตสาทร หลังพบกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวจีนกว่า 237 คน เป็นชายสัญชาติจีน จำนวน 111 คน เป็นหญิงสัญชาติจีน จำนวน 126 คน 

นอกจากนั้น พบพนักงานและบุคคลชาวกัมพูชา และชาวไทยในบริเวณอาคารดังกล่าวอีกจำนวนกว่า 29 คน ตรวจยึดรถยนต์หรูกว่า 30 คัน เพื่อตรวจสอบหาเจ้าของว่ามีส่วนร่วม รู้เห็น หรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีพฤติการณ์อันเข้าข่ายฟอกเงิน หนึ่งในรถยนต์หรูที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไว้นั้น ผู้ต้องหาหญิงชาวจีนเป็นผู้ขับ มีชายชาวจีนเป็นเจ้าของรถยนต์พบชายชาวจีนคนดังกล่าว คือ กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์ แต่ถือหนังสือเดินทางประเทศกัมพูชาในการเดินทาง และยังมีหนังสือเดินทางของประเทศต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสวมสิทธิเป็นคนไทย มีบัตรประจำตัวประชาชน เงินที่ได้จากการหลอกลวงจะถูกนำมาฟอกด้วยการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ซื้อบ้านหรู คอนโดฯหรู รถยนต์หรู และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก มีการจ้างบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันตลอดเวลา จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายค้น

โดยตรวจค้น 3 จุด ประกอบไปด้วยจุดแรก เป็นบ้านเลขที่ 396/63 ซอยกาญจนาภิเษก 50 แขวงดอกไม้ แขวงประเวศ กรุงเทพฯ พบชาวจีน 5 คน และคนไทย 3 คน พร้อมทรัพย์สินหลายรายการ เช่น รถยนต์ 3 คัน รถจักรยานยนต์ ดูคาติ สีแดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน สุราต่างประเทศกว่า 50 ขวด โทรศัพท์มือถือ 13 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 3 เครื่อง และ เงินสด 7 ล้านบาท

จุดที่ 2 บ้านเลขที่ 89/46 หมู่บ้านแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา-อ่อนนุช แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นบ้านของนาย LIN YIAN หรือนายยะปะสอ สวรรยาคีรี พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินอีกหลายรายการ อาทิ รถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ (ป้ายแดง) จำนวน 3 คันนาฬิกาหรูยี่ห้อ Patek Philippe จำนวน 1 เรือน เงินสด จำนวน 7.5 ล้านบาท บัตรประจำตัวประชาชน ชื่อนายยะปะสอ สวรรยาคีรี และหนังสือเดินประเทศไทย ชื่อนายยะปะสอ สวรรยาคีรี และ จุดที่ 3 เป็นคอนโดฯ บริเวณซอยสุขุมวิท 39 พบชาวจีน 4 คน พร้อมยึดทรัพย์สิน เช่น เงินสด 28 ล้านบาท กระเป๋าแบรนด์เนมหรู 8 ใบ

โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า จากการนำบัตรประชาชนของผู้ต้องหาคือนาย LIN YIAN หรือ นายยะปะสอ สวรรยาคีรี ที่ตรวจยึด มาตรวจสอบกับสารบบ ทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครองปรากฏว่า เลขประจำตัวประชาชนดังกล่าว นายทะเบียนออกให้กับบุคคลอื่น (ใบหน้าไม่ตรงกัน) โดยออกที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จึงเชื่อว่า เป็นการปลอมบัตรประจำตัวประชาชน จากการตรวจสอบแล้วว่า บุคคลตามบัตรประชาชนยังมีชีวิตอยู่ และทำอาชีพหักข้าวโพดอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด 

โดยประเด็นนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อยู่ระหว่างการขยายผลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน้าที่ในการออกเอกสาร ดังกล่าว ส่วนทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ตรวจยึดได้ จะมีการตรวจสอบความถูกต้อง และความเชื่อมโยงกับคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่ได้มีการแจ้งความไว้ในระบบการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป นอกจากนี้ยังพบพาสปอร์ต 2 สัญชาติ คือ ไทย และ กัมพูชา มีการเดินทางเข้าออกกัมพูชา 25 ครั้ง และกัวลาลัมเปอร์ มาเลเชีย 12 ครั้ง นอกจากนี้ จากการสอบสวนในเบื้องตนยังมีการทำธุรกิจ ร้านสุกี้ในคิงส์โรมัน สปป.ลาว และพื้นที่ 3 เหลี่ยมทองคำด้วย

ผบ.ตร.โชว์ความพร้อมด้านความปลอดภัยประชุม APEC 2022 ระดมกวาดล้างอาชญากรรมครั้งใหญ่ จับผู้ต้องหาคดียาเสพติด และอาวุธปืน หมายจับค้างเก่า กว่า 60,000 ราย สร้างความเชื่อมั่นให้นานาชาติ

วันนี้ (8 พ.ย.65) เวลา 10.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.,พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.,พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. และ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.ภ.8 ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนานาชาติ และประชาชน ก่อนการประชุม APEC 2022

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีระดมกวาดล้างปราบปรามผู้กระทำความผิดที่ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนเถื่อน อาวุธปืนสงคราม ยาเสพติด และหมายจับค้างเก่า ก่อนที่จะมีการจัดการประชุมผู้นำ APEC ปลายเดือนนี้  เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยมีการระดมกวาดล้างในห้วงระหว่างวันที่ 10 ต.ค. - 8พ.ย. 65 ผลการดำเนินการ ดังนี้

1. ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน วัตถุระเบิด และเครื่องกระสุน ทั้งสิ้น 11,811 คดี ผู้ต้องหา 10,450 คน ของกลางอาวุธปืนสงคราม 36 กระบอก ปืนไม่มีทะเบียน 5,345 กระบอก มีทะเบียน 936 กระบอก วัตถุระเบิด 4,342 รายการ และเครื่องกระสุน 37,045 นัด 

2. ผู้ต้องหาคดียาเสพติด 41,803 คดี ผู้ต้องหา 43,027 คน ของกลางยาบ้า 49,580,083 เม็ด 

3. จับบุคคลตามหมายจับคดีอาญาได้ 9,465 หมายจับ ผู้ต้องหา 9,255 คน

สำหรับงานสืบสวนสอบสวนได้มีการระดมเร่งรัดหมายจับค้างเก่าทั้งประเทศ ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีการจับกุมหมายจับค้างเก่าไปแล้วกว่า 50% ส่วนด้านการป้องกันปราบปราม มีการระดมจับกุมผู้ต้องหาเกี่ยวกับอาวุธปืนและยาเสพติด ขณะนี้มีการขยายผลต่อเนื่องไปถึงต้นทางการผลิต โดยจะได้ปราบปรามอย่างครบถ้วนทุกมิติ 

ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า คดีที่น่าสนใจ ภ.5 สามารถจับกุมนายวีรยุทธ สงวนนามสกุล ผู้ต้องหาจำหน่ายอุปกรณ์ปืน บีปีกัน แบลงค์กัน และได้ผลิตแปลงอาวุธปืนแบลงค์กัน ใส่ลำกล้องปืน 9 มม. ให้เป็นอาวุธปืนที่สามารถยิงกระสุนจริงได้ โดยเปิดร้านชื่อ CHAROEN AIRSOFT 4289 ผ่านแพลตฟอร์มลาซาด้า โดยมีช่องทางติดต่อผ่านไลน์ Line Official '@612mrgnd' และใน Facebook เพจของ CHAROEN AIRSOFT 4289


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top