Sunday, 26 May 2024
อาชญากรรม

‘ทรัมป์’ เข้ามอบตัว หลังแพ้คดีล้มล้างผลการเลือกตั้ง ปี 2020 นับเป็น ปธน.สหรัฐฯ คนแรก ที่ถูกบันทึกภาพประวัติอาชญากรรม

(25 ส.ค. 66) นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน เข้ามอบตัวที่รัฐจอร์เจียแล้วเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น และสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกบันทึกภาพเพื่อประกอบแฟ้มคดี

ทรัมป์เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวจากรัฐนิวเจอร์ซีไปยังเรือนจำที่ฟูลตันเคาน์ตี ในนครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เพื่อเข้ามอบตัวในข้อหาวางแผนล้มล้างผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2020 โดยเขาอยู่ในเรือนจำดังกล่าวราว 20 นาที ท่ามกลางผู้สนับสนุนหลายสิบคนที่รวมตัวอยู่ด้านนอกเรือนจำ

ในบันทึกที่มีการโพสต์บนเว็บไซต์ของเรือนจำ ทรัมป์ถูกบรรยายว่าเป็นชายผิวขาว สูง 6 ฟุต 3 นิ้ว หนัก 97 กิโลกรัม ผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้า และมีหมายเลขผู้ต้องหาคือ ‘P01135809’

ทรัมป์ได้วางเงินประกันตัว 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 7,000,000 บาท เพื่อให้เขาได้รับการปล่อยตัวขณะรอการพิจารณาคดี แม้ว่านี่จะเป็นข้อหาในคดีอาญาครั้งที่ 4 ที่ทรัมป์เจอในปีนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทรัมป์ถูกถ่ายภาพเพื่อประกอบการทำแฟ้มคดีอย่างเป็นทางการ

ก่อนเดินทางกลับบ้าน ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่สนามบินว่า เขามีสิทธิ์ที่จะคัดค้านผลการเลือกตั้ง เพราะเขาคิดว่ามีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้น ดังนั้น เขาจึงมีสิทธิ์ทุกประการที่จะทำเช่นนั้น และมีคนจำนวนมากที่ทำแบบเดียวกัน ไม่ว่าฮิลลารี คลินตัน หรือสเตซีย์ อับรามส์ (อดีตผู้สมัครผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย) หรือคนอื่นๆ อีกมากมาย

ทรัมป์ยังบอกด้วยว่า คดีที่มีการกล่าวหาเขาในครั้งนี้เป็นเพียงความยุติธรรมจอมปลอม ต่อมาเขาโพสต์บน X เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2021 โดยนำภาพที่เขาถูกถ่ายประกอบแฟ้มคดีมาลงพร้อมระบุว่า “การแทรกแซงการเลือกตั้ง อย่ายอมแพ้!!”

ทรัมป์แย้งว่าคดีที่เขาถูกฟ้องร้องมีแรงจูงใจทางการเมือง เพราะเขาเป็นผู้นำในการแข่งขันชิงตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน เพื่อท้าสู้กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปีหน้า

เมื่อสัปดาห์ก่อน ทรัมป์ถูกตั้งข้อหาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรัฐจอร์เจียร่วมกับจำเลย 18 คน หลังจากที่เขาพ่ายแพ้แก้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้วยคะแนนเสียงน้อยกว่า 12,000 เสียงในรัฐดังกล่าว โดยผู้ต้องหาที่ได้ไปมอบตัวเพื่อถ่ายทำประวัติในรัฐจอร์เจียครั้งนี้ยังรวมถึงนายรูดี จูเลียนี อดีตนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก และนายมาร์ก มีโดวส์ อดีตหัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบขาว

‘สืบสวนภาค 9’ ปฏิบัติการจับกุม ‘บ่าว ศรีชุมพวง’ มือปืนรับจ้างบัญชีดำ พบ ‘ปืน-กระสุน’ ในบ้านพักเพียบ

(4 ก.ย. 66) มีรายงานว่าเมื่อเวลา 13.00 น. เมื่อ 3 กันยายน ตำรวจชุดสืบสวนภาค 9 ร่วมกับชุดสืบสวนภาค 8 นำโดย พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง ผบก.สส.ภ.9, พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ รอง ผบก.สส.ภ.9  พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย ผกก.สส. 3 ภ.9 พ.ต.อ.กองทัพ เสนาทิพย์ ผกก.ปพ.สส.ภ.9 สนธิกำลังตำรวจชุดสืบสวนทั้งจากภาค 9 และภาค 8 พร้อมอาวุธครบมือ

ปฏิบัติการจู่โจมเข้าจับกุม นายนิพนธ์ ศรีชุมพวง อายุ 41 ปี หรือบ่าว มือปืนรับจ้าง และผู้ต้องหาลำดับที่ 186 ตามปฏิบัติหมายจับหรือแบล็คลิสต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตามหมายจับของศาลจังหวัดนาทวี ที่ จ.22/2561 ลง 12 ก.พ.61 ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองและร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามควรแก่พฤติการณ์

ขณะกบดานอยู่ที่บ้านพักในสวนยางพารา พื้นที่บ้านน้ำนิ่ง ต.บ้านลำนาว อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช และสามารถรวบตัวเอาไว้ได้โดยไม่ได้ต่อสู้หรือขัดขืน

จากการตรวจค้นในบ้านพักพบของกลางเป็นยาบ้าเปียกน้ำจำนวนหนึ่ง และอาวุธปืน 4 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน ประกอบด้วย, อาวุธปืนพกสั้น แบบออโตเมติก ขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .45 จำนวน 27 นัด, อาวุธปืนสงคราม คาร์บิน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .30 คาร์ไบน์ จำนวน 21 นัด, อาวุธปืนลูกซองยาวเดี่ยว 1 กระบอกพร้อมกระสุนปืนลูกซอง, อาวุธปืนลูกกรดยาว .22 จำนวน 2 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .22 จำนวน 30 นัด

โดยเฉพาะอาวุธปืนคาร์บินนั้น ต้องสงสัยว่าเคยถูกใช้ก่อเหตุมาแล้วในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา เมื่อปี 2560 ซึ่งคนร้ายใช้อาวุธปืนคาร์บินในการก่อเหตุ และเป็นคดีที่นายนิพนธ์ ร่วมก่อเหตุและถูกออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ได้ส่งไปตรวจพิสูจน์ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 9 เพื่อดูว่าตรงกับปลอกกระสุนปืนที่ใช้ก่อเหตุในคดีนี้หรือไม่

เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาตามหมายจับ 3 ข้อหา คือร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง, และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามควรแก่พฤติการณ์ คุมตัวส่งพนักงานสอบ สภ.สะเดา จ.สงขลา พื้นที่เกิดเหตุที่เคยก่อเหตุและถูกออกหมายเพื่อดำเนินคดี

สำหรับประวัติของ นายนิพนธ์ ศรีชุมพวง อายุ 41 ปี หรือบ่าว เป็นหนึ่งในมือปืนรับจ้าง หนึ่งในคดีดังที่เคยก่อเหตุคือ รับงานฆ่านายอาคม พรมโสภา อายุ 56 ปี หัวหน้าฝ่ายผลิตของโรงงานหาดใหญ่รับเบอร์ เสียชีวิตในบ้านพัก ซึ่งเปิดเป็นร้านขายชำ ที่ ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา โดยใช้อาวุธปืนคาร์บินยิงถล่มจนตายคาบ้าน เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 18 ธันวาคม 2560

คดีนี้มีผู้ถูกออกหมายจับทั้งหมด 5 คน และจับกุมได้แล้ว 3 คน มีนายน้อย สัจจมาตย์ อายุ 52 ปี ชาว อ.สะเดา ผู้จ้างวาน นายอาดัม หมัดเลียด อายุ 54 ปี ชาว อ.สะเดา จ.สงขลา คนดูต้นทาง และนายสมใจ แก้วแหร้ อายุ 53 ปี ชาว อ.สิงหนคร จ.สงขลา คนจัดหามือปืนและจัดหาอาวุธปืนคาร์บิน และหลบหนีอีก 2 คน คือนายกมลชัย หรือบรรณ สูงศักดิ์ อายุ 54 ปี ชาว อ.หาดใหญ่ คนจัดหารถยนต์เก๋งที่ใช้ในการก่อเหตุ และนายนิพนธ์ หรือบ่าว ศรีชุมพวง อายุ 35 ปี ชาว อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นมือปืนที่เป็นผู้ลงมือสังหาร

พล.ต.ท.รณศิลป์ กล่าวว่า ส่วนสาเหตุมาจากความขัดแย้งเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบและธุรกิจมืด ระหว่างนายน้อย ผู้จ้างวาน กับนายอาคม ผู้ตาย จึงได้ว่าจ้างทีมมือปืนทั้งหมดมายิงนายอาคม ในราคา 2 แสนบาท มีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งขณะลงมือก่อเหตุและการหลบหนี โดยส่งคนไปเฝ้าจับตา นายอาคม ก่อนที่จะประสานทีมมือปืนขับรถเก่งมายิงถล่มจนเสียชีวิต รวมทั้งการเปลี่ยนรถอีกคันมารับตัวมือปืนหนีไป

เปิดตัวเลขกราดยิงหมู่ในสหรัฐฯ ทะลุ 500 เคสในปีนี้ คู่ขนาน ปชช.ถือครองอาวุธปืนเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

(19 ก.ย. 66) จำนวนเหตุกราดยิงหมู่ในสหรัฐฯ พุ่งผ่าน 500 เหตุการณ์แล้วเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จากข้อมูลของ ‘Gun Violence Archive’ (GVA) องค์กรไม่แสวงกำไรที่ศึกษาเกี่ยวกับความรุนแรงจากอาวุธปืน เฉลี่ยแล้วเท่ากับเกือบ 2 เหตุการณ์ต่อวันเลยทีเดียว

เมื่อวันอาทิตย์ (17 ก.ย.) ที่ผ่านมา กรมตำรวจเดนเวอร์ โพสต์แจ้งเตือนบนแฟลตฟอร์ม X (เดิมคือ ทวิตเตอร์) ยืนยันเกิดเหตุกราดยิงมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย ซึ่งนับเป็นเหตุกราดยิงเหตุการณ์ที่ 500 ของปีนี้

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ตำรวจเอลปาโซ รัฐเทกซัส รายงานว่า พวกเขากำลังสืบสวนเหตุการณ์ยิงกันเหตุการณ์หนึ่งช่วงเช้าในอีสต์ เอลปาโซ ซึ่งคร่าชีวิตชายวัย 19 ปีรายหนึ่ง และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คน ส่งผลให้ตัวเลขรวมของเหตุกราดยิงเพิ่มเป็น 501 เหตุการณ์

อ้างอิงข้อมูลบนเว็บไซต์ของ GVA ได้ให้คำจำกัดความเหตุกราดยิงว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต 4 คน หรือมากกว่านั้น ไม่นับรวมผู้ก่อเหตุ

ปี 2021 กลายเป็นปีที่มีเหตุกราดยิงหมู่มากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ หลังมีรายงานเกี่ยวกับเหตุกราดยิง 689 เหตุการณ์ ก่อนที่จำนวนเหตุกราดยิงจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 647 เหตุการณ์ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของเอฟบีไอพบว่า จำนวนผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บกลับเพิ่มขึ้น

เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์สถิติศึกษาแห่งชาติสหรัฐฯ (NCES) เผยแพร่รายงานอาชญากรรมและความปลอดภัยประจำปี พบว่า มีเหตุยิงกันที่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในโรงเรียน 188 เหตุการณ์ ในปีการศึกษา 2021-22 เพิ่มขึ้นจากหนึ่งปีก่อนหน้านี้กว่าเท่าตัว

เหตุกราดยิงหมู่ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หลังจากก่อนหน้านี้เคยมีเหตุกราดยิงหมู่เพียงแค่ 273 เหตุการณ์ในปี 2014

ผลการศึกษาหนึ่งที่เผยแพร่โดยวารสารการแพทย์ Annals of Internal Medicine เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ บ่งชี้ว่ามีประชาชนครอบครองอาวุธปืนเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยระหว่างเดือนมกราคม 2019 ถึงเมษายน 2021 มีผู้ใหญ่ชาวสหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าของอาวุธปืนรายใหม่มากถึง 7.5 ล้านคน

รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา มาตรา 2 บัญญัติว่า อนุญาตให้ชาวอเมริกันที่อายุ 21 ปีขึ้นไป (หรือ 18 ปีในบางรัฐ) มีสิทธิครอบครองอาวุธปืนเพื่อป้องกันตนเองโดยชอบธรรม และผลสำรวจความคิดเห็นพบว่ามีราว 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ มีอาวุธปืนในครอบครอง อย่างไรก็ตาม อีกโพลหนึ่งที่จัดทำโดยแกลลัพ ในเดือนตุลาคม 2022 พบว่าชาวอเมริกาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการควบคุมอาวุธปืน โดยมีถึง 57% ที่สนับสนุนกฎหมายควบคุมอาวุธปืนเข้มข้น

กระนั้น เรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคมอเมริกา โดยผลสำรวจอีกอันของแกลลัพ พบว่า ชาวเดโมแครตมีความเห็นเกือบเป็นเอกฉันท์สนับสนุนควบคุมอาวุธปืน แต่สำหรับชาวรีพับลิกันแล้ว มีไม่ถึง 1 ใน 4 ที่สนับสนุนกฎหมายควบคุมอาวุธปืน

‘บิ๊กก้อง’ นำทัพบุกค้น 114 เป้าหมาย ทลายปืนเถื่อนทั่วประเทศ หลังพบซื้อ-ขายเกลื่อนออนไลน์ เร่งสกัดจับ ป้องกันเหตุสลดซ้ำ

(9 ต.ค. 66) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. นำกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ รวมทั้งชุดปฏิบัติการพิเศษ ‘หนุมานกองปราบ’ กว่า 800 นาย ปล่อยแถวระดมเพื่อกวาดล้างอาชญากรรม

โดยเป้าหมายมุ่งเน้นไปที่การจับกุมผู้จำหน่าย และผู้ลักลอบใช้หรือพกพาอาวุธปืนเถื่อน และอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ รวมทั้ง แบลงค์กัน หรืออาวุธปืนดัดแปลง ซึ่งปฏิบัติการมีขึ้นใน 47 จังหวัด รวม 114 เป้าหมายทั่วประเทศ

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ตำรวจสอบสวนกลางทุกกองบังคับการในสังกัด จัดกำลังชุดปฏิบัติการออกระดมกวาดล้างหาเป้าหมายแหล่งอาชญากรรม มุ่งเป้าไปที่การจับกุมผู้จำหน่ายอาวุธปืนเถื่อน และผู้ที่พกพาอาวุธปืนผิดกฎหมาย หลังจากที่ผ่านมามีการลักลอบใช้อาวุธปืนเถื่อน อาวุธปืนติดมือ หรือแม้กระทั่งปืนถูกกฎหมายไปก่อเหตุร้ายในหลายพื้นที่

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า ล่าสุดเกิดคดีเด็กวัย 14 ปี ก็นำอาวุธปืนแบลงค์กันไปก่อเหตุกราดยิงในศูนย์การค้า จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ซึ่งพบว่าอาวุธปืนเถื่อนส่วนมาก มีการซื้อขายกันผ่านระบบออนไลน์ จึงต้องเร่งกวาดล้างจับกุมอาวุธปืนอย่างเร่งด่วน ส่วนผลการตรวจค้นจะมีการสรุปผล และแจ้งให้ทราบต่อไป

เครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมประเทศไทย (Thailand Wen) จับขบวนการลักลอบค้าเต่าดาวอินเดีย

3 พฤศจิกายน 2566 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รับรายงานจากนายประเสริฐ สอนสถาพรกุล ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา รายงานว่านายภัคพงศ์  ผาทอง เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญการ หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 เวลา 02.00 น. เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ตรวจสอบภาพเอกซเรย์กระเป๋าสัมภาระที่ต้องสงสัยว่าจะมีการลักลอบขนสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายของหญิงชาวไทย อายุ 24 ปี ที่เดินกำลังจะเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปยังเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน โดยสายการบิน EVA AIR เที่ยวบินที่ BR206 

จากการเปิดตรวจสอบกระเป๋าดังกล่าว พบว่ามีการซุกซ่อนเต่าดาวอินเดีย จำนวน 17 ตัว  ซึ่งเป็นสัตว์ป่าควบคุมและสัตว์ป่าตามบัญชีอนุสัญญาไซเตส  เพื่อลักลอบออกนอกประเทศ มูลค่าประมาณ 170,000 บาท ทราบชื่อผู้ต้องหาภายหลัง นางสาววริญญา  อายุ 24 ปี สัญชาติไทย เจ้าหน้าที่ได้พิจารณาแล้วพบว่า เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 23 เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 มาตรา 31 และ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 และ 244 จึงร่วมกันตรวจยึดของกลางทั้งหมด และจับกุมผู้ต้องหา โดยได้แจ้งสิทธิต่างๆ ตามระเบียบแล้ว และมอบหมายให้หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่านำเรื่องราวไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร (สภ.) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย สำหรับของกลางนำส่งกลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต่อไป 

ทั้งนี้ สำหรับ Thailand WEN หมายถึง คณะกรรมการเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมาย เกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าแห่งประเทศไทย (Thailand Wildlife Enforcement Network : Thailand WEN) ซึ่งมีหน้าที่ในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรเอกชน เพื่อสร้างเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่า และพืชป่าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

รองผบช.ภาค6 ปล่อยแถวตำรวจ ระดมกวาดล้างอาชญากรรม ช่วงเทศกาลลอยกระทง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00น. วันที่15 พย. 2566 ที่บริเวณหน้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย พล.ต.ต. อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ รองผบช.ภาค 6 เป็นประธานในพิธีปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม อาวุธปืน ยาเสพติด และการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรแก่นักท่องเที่ยว ในช่วงเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2566  ระหว่างวันที่ 18 พย.-27 พ.ย. โดยมี พ.ต.อ.ประมวล ยิ้มจันทร์ รอง ผบก.ภ.จว.สุโขทัย พร้อมข้าราชการตำรวจในสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมในพิธีดังกล่าว

พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ รองผบช.ภาค6 . กล่าวว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำหนดให้ทุกหน่วยงาน ระดมกวาดล้างอาชญากรรม ช่วงก่อนเทศกาลลอยกระทง พร้อมกันทั่วประเทศ จังหวัดสุโขทัยถือว่าเป็นต้นกำเนิดของงานประเพณีลอยกระทง จึงต้องมีมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในทุกประเภท พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการจราจร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว เนื่องจากจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในจังหวัดสุโขทัยเป็นจำนวนมาก อาจทำให้เกิดปัญหาและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยในวันนี้ เป็นการสนธิกำลังจากหลายหน่วยงาน อาทิเช่น ตำรวจภูธรจังหวัดสุโขทัย, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง,ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจทางหลวง, กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดสุโขทัย, ป้องกันภัยจังหวัดสุโขทัย, อาสาสมัครรักษาดินแดนจังหวัดสุโขทัย ,อาสาสมัครตำรวจบ้าน และหน่วยกู้ภัยในพื้นที่ ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกท่าน ใช้ความระมัดระวังในการปฎิบัติงานแบบบูรณาการร่วมกัน เพื่อการเป็นเจ้าบ้านที่ดีของจังหวัดสุโขทัย

‘มท.’ จ่อห้ามออกใบอนุญาตพกปืนแบบ ป.12 เป็นเวลา 1 ปี หวังลดปัญหาอาชญากรรม พิทักษ์ความสงบของบ้านเมือง

เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 66 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันได้ปรากฎปัญหาเด็ก เยาวชน และบุคคลที่ประสงค์ร้ายต่อสังคม สามารถเข้าถึงอาวุธปืนหรือสิ่งเทียมอาวุธปืนที่ดัดแปลงเป็นอาวุธ เช่น แบลงค์กัน (Blank Gun) ได้โดยง่าย รวมถึงมีการพกอาวุธปืนทั้งที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย อาวุธปืนที่ผิดกฎหมาย ตลอดจนสิ่งเทียมอาวุธปืนดังกล่าว ไปในที่สาธารณะและใช้ก่ออาชญากรรม ส่งผลอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ส่งผลกระทบด้านความสงบเรียบร้อยของสังคม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศตามที่ปรากฏตามสื่อสารมวลชนในหลายกรณี เพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน และความปลอดภัยสาธารณะ ลดอาชญากรรม และควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้เป็นปกติ

กระทรวงมหาดไทยจึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้ไฟ และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ยกร่างคำสั่งนายกฯ และ รมว.มหาดไทย เรื่องห้ามออกใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว (แบบ ป.12) เป็นการชั่วคราว โดยมีสาระสำคัญเป็นการห้ามออกใบอนุญาตแบบ ป.12 เป็นเวลา 1 ปี

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ล่าสุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ได้ลงนามในคำสั่งฯ แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างนำเสนอให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลังลงนาม ก่อนเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

อย่างไรก็ตาม คำสั่งฯ จะไม่มีผลบังคับกับเจ้าหน้าที่ หรือบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ ซึ่งอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ อาทิ เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน เช่น ทหารตำรวจ ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ประชาชนซึ่งอยู่ระหว่างการช่วยเหลือราชการ และมีเหตุจำเป็นต้องมีและใช้อาวุธตามกฎหมาย

'อาจารย์อุ๋ย' จี้!! กสทช. กำชับสื่อหยุดสร้างอาชญากรเป็นไอดอล แนะ!! ควรนำเสนอสิ่งที่ผู้รับสาร 'ต้องรู้' ไม่ใช่แค่สิ่งที่ผู้รับสาร 'อยากรู้'

'อาจารย์อุ๋ย-ปชป.' จี้ กสทช. ใช้อำนาจตามกฎหมายกำกับดูแลสื่อให้นำเสนอข่าวอย่างมีจรรยาบรรณ จำกัดการให้พื้นที่สื่อแก่ผู้กระทำผิด เน้นนำเสนอแง่มุมของผู้เสียหายและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำผิด 

จากกรณีที่ศาลมุกดาหารมีคำพิพากษาสั่งจำคุก 20 ปี นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ใน 2 ข้อหา คือ กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร นั้น นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ความเห็นว่า...

ในฐานะที่ตนเคยเป็นอนุกรรมการ กสทช. ในชุดที่แล้วที่ดูแลด้านกฎหมาย ขอเรียกร้องไปยัง กสทช. ชุดปัจจุบันให้ใช้อำนาจกำกับดูแลสื่อตามมาตรา 27 แห่ง พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และการกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และมาตรา 37 แห่ง พรบ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 กำหนดทิศทางการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนในเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปในแนวทางตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พ.ศ. 2564 ข้อ 9 ซึ่งกำหนดว่า “สื่อมวลชนพึงเสนอข่าว เนื้อหาข่าว การแสดงความคิดเห็น และเนื้อหาทั่วไป โดยตระหนักถึงความสำคัญและอรรถประโยชน์ของข่าวต่อสาธารณะ และไม่เสนอข่าวในทำนองชวนเชื่อหรือเร้าอารมณ์ให้คนสนใจในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ” 

นอกจากนี้ สื่อควรลดพื้นที่การเสนอข่าวเกี่ยวกับตัวผู้กระทำผิด เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ผู้กระทำความผิดกลายเป็นต้นแบบ (Idolization) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาชญากรรมเลียนแบบ (Copycat Crime) จากผู้ที่บริโภคสื่อ ซึ่งอยากมีชื่อเสียงโด่งดังหรืออยากเป็นจุดสนใจของสังคมเหมือนผู้กระทำผิด และยังเป็นการเบียดบังพื้นที่ในการนำเสนอข่าวที่สร้างสรรค์สังคมอื่นๆ หรือสื่ออาจเลือกที่จะนำเสนอข่าวในแง่มุมอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น ผลกระทบที่ผู้เสียหายได้รับจากการกระทำผิด กลไกการเยียวยา หรือวิธีป้องกันตนเองหรือคนใกล้ชิดไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมในทุกรูปแบบ คือ สื่อควรนำเสนอสิ่งที่ผู้รับสาร ‘ต้องรู้’ ไม่ใช่นำเสนอแต่สิ่งที่ผู้รับสาร ‘อยากรู้’

ซึ่งตนหวังว่าคดีนี้จะเป็นบทเรียนให้กับสังคมและสื่อมวลชนว่า ควรนำเสนอข่าวโดยคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในสังคมตามมา ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่กับการทำให้ผู้ต้องหาคนหนึ่งที่สมควรได้รับมาตรการเชิงลงโทษจากสังคมกลับกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ได้ออกงานออกสื่อ กอบโกยประโยชน์ได้มากมาย โดยไม่ได้คำนึงถึงสภาพจิตใจของครอบครัวผู้เสียหายหรือความรู้สึกของวิญญูชนในสังคมเลย และขอย้ำว่าการใช้อำนาจ กสทช. ในลักษณะนี้ ไม่ใช่การแทรกแซงเสรีภาพของสื่อ แต่เป็นการกำกับดูแลสื่อมวลชนให้นำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ กสทช. โดยตรง 

แถลงข่าวปฏิบัติมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมมาตรการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวกด้านจราจรในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ 2567

ในวันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึง 1 มกราคม 2567 เป็นห้วงหยุดยาววันคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2567 ซึ่งจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อเยี่ยมเยียนบิดา มารดา ญาติพี่น้อง และเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนในภูมิภาคต่างๆ เป็นจำนวนมาก และการเดินทางดังกล่าวอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
และการก่อความไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้นได้

​สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมตลอดระยะเวลาห้วงเทศกาล โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายและระดมกำลังทั่วประเทศร่วมกันกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภท ในห้วงวันที่ 18 ธันวาคม ถึง 27 ธันวาคม 2566 เพื่อเตรียมพร้อมช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2567 โดยมีเป้าหมายหลักเป็นความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืน และ การลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย ทั้งทางออฟไลน์
และออนไลน์  อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยาเสพติด  การควบคุมสถานบริการ และความผิดเกี่ยวกับ
คนเข้าเมือง กลุ่มแก็งอาชญากรรมข้ามชาติผิดกฎหมาย ตลอดจนบุคคลตามหมายจับที่ทางการต้องการตัวทุกข้อกล่าวหา โดยมีผลการระดมกวาดล้าง ห้วงวันที่ 18 ธันวาคม ถึง 27 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมาดังนี้

1.จับกุมความผิดอาชญากรรม On ground รวมจับกุม 23,535 คดี ผู้ต้องหา 24,543 ราย เป็นความผิด ดังต่อไปนี้
1.1 ความผิดเกี่ยวกับการพนัน รวม 2,778 คดี ผู้ต้องหา 3,498 ราย
1.2 ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด รวม 13,722  คดี ผู้ต้องหา 13,741 ราย
1.3 ความผิดเกี่ยวกับคนเข้าเมือง ​รวม 6,589 คดี ผู้ต้องหา 6,856 ราย
1.4 ความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ ​รวม 446  คดี ผู้ต้องหา 448 ราย

คดีรายสำคัญ  
-กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดจับกุมเครือข่ายจำหน่ายยาเสพติดข้ามชาติ ตรวจยึด
ยาเสพติดชนิดไอซ์อัดในถุงผลไม้อบแห้ง และคีตามีนอัดในถุงชา น้ำหนักรวม 2,200 กิโลกรัม  ได้บริเวณบริษัทท่าเรือบางปะกง อำเภอ บางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา  ทำการสืบสวนขยายผลสามารถจับกุมและยึดทรัพย์ นายชาญชัยฯ หรือกัปตันตุ้ย ตัวการกับพวก ซึ่งมีพฤติกรรมลำเลียงส่งยาเสพติดในน่านน้ำสากลปลายทางไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฯลฯ  ได้ทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ประเภท ร้านอาหาร  กิจการเดินเรือ  เงินสด  ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ พระเครื่อง รถยนต์ ฯลฯ มูลค่ากว่า 140 ล้านบาท
 
- ตำรวจภูธรภาค 2 ตรวจค้นบ้านพักเลขที่ 38/2 ตำบล สำนักทอง อำเภอ เมืองระยอง ตรวจยึดของกลางจำพวกรถยนต์ 9 คัน รถจักรยายนต์ 4 คัน เอกสารการจำนำรถ สัญญาเงินกู้ สมุดบัญชีเงินฝาก ฯลฯ ดำเนินคดี นางสาววรรณิดา ฟุ้งมาก ข้อหาประกอบธุรกิจสินเชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด  มูลค่าเงินหมุนเวียนกว่า  2.5 ล้านบาท
  
- ตำรวจภูธรภาค 7 จับกุม การจำหน่ายยาเสพติดประเภท 1 และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ของกลางยาไอซ์ 37 กิโลกรัม ยาอี 220 เม็ด เคตามีน 6.54 กิโลกรัม และยาบ้ากว่า 170,000 เม็ด
- กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จับกุม นางสาวคนึง ยอดยิ่ง กับพวก ฐานเป็นเจ้าหนักงานทุจริตต่อหน้าที่ฯ ที่ อำเภอ พรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก  จับกุมโรงงานผลิตลูกชิ้นเถื่อนที่ อำเภอ คลองหลวง ปทุมธานี ดำเนินคดี นางสาวธันย์ดารินทร์ ธัญญจินดากุล ความผิดตาม พ.ร.บ.อาหารฯ จับกุมหมอเถื่อนชาวเวียดนามดำเนินคดี นายเหงี่ยน ดัง เทียน ข้อหาประกอบกิจการสถานพยาบาล(เสริมความงาม) โดยไม่ได้รับอนุญาต ย่านพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ  และจับกุมทลายโกดังเถื่อน อำเภอ ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ลักลอบผลิตวัตถุอันตรายทางการประมงเพื่อส่งจำหน่ายแก่เกษตรกร  ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตรายฯ ข้อหาเก็บวัตถุอันตรายที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่ไม่ขึ้นทะเบียนไว้ มูลค่าความเสียหายกว่า 1,500,000 บาท
 
2.จับกุมความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี Online รวมจับกุม 3,430 คดี
ผู้ต้องหา 3,350 ราย โดยเป็นความผิดดังต่อไปนี้
​​​2.1 ความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ทางด้านการเงิน รวม 240 คดี ผู้ต้องหา 232 ราย
​​​2.2ความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย รวม 562 คดี ผู้ต้องหา 538 ราย
​​​2.3 ความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่ข่าวปลอม รวม 823 คดี ผู้ต้องหา  745 ราย
​​​2.4 ความผิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก รวมจำนวน 176  คดี
ผู้ต้องหา 176 ราย
​​​2.5 ความผิดเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และอื่น ๆ
รวม 1,629 คดี ผู้ต้องหา  1,659 ราย
​​คดีรายสำคัญ เช่น  การจับกุมนายธราธิป ปิ่นกุมภีร์ ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ
(พระเครี่อง) และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือนฯ มูลค่าความเสียหายกว่า 400 ล้านบาท ย่านสำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ การจับกุมกลุ่มคนร้ายพฤติกรรมหลอกลวงเทรดหุ้น AURORAเงินหมุนเวียนกว่า 70 ล้านบาท การจับกุมนายเขมมิกา สิมสา ข้อหา เป็นธุระจัดหา พาไปเพื่อการอนาจาร อำเภอ กระนวน จังหวัด ขอนแก่น

3. ผลการกวดขันจับกุมบุคคลตามหมายจับ รวม 5,618 หมายจับ ผู้ต้องหา 5,428 ราย
หมายจับรายสำคัญ  
- หมายจับกุม นายฟงเหา จัง ,พลเรือตรี ประกายพฤกษ์ ศรีฟ้า และ นายเทวราช มังกร ฐานเป็นผู้ใช้จ้างวานฆ่าผู้อื่นฯ
- หมายจับ นางสาวพิมพ์นารา จันทร์ศรี ฐานกันร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ มูลค่าความเสียหายกว่า 130 ล้านบาท
- หมายจับ น.ส.สิริธร ตรันเจริญ ฐาน ฉ้อโกงประชาชน และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หมายจับตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 ถึง 2566 จำนวน 11 หมาย ผู้เสียหายนับ 100 ราย มูลค่าความเสียหาย 10 ล้านบาท

4. ผลการกวดขันจับกุมตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปราม อาชญากรรม
ทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 รวมจำนวน 189  คดี ผู้ต้องหา 183 ราย
คดีรายสำคัญ เช่น การจับกุมนายอาเจาเต๋อ แซ่จาง กับพวก เป็นธุระจัดหาบัญชีม้าเพื่อใช้
การหลอกลวงรายใหญ่ ผ่านการลวงลวงบริการสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดทางแอพพลิเคชั่นของบริษัทบีบาท จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยใบอนุญาตประกอบธุรกิจปลอม  

5. ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน
5.1 อาวุธปืนสงคราม  จำนวน 9 คดี ผู้ต้องหา 9 ราย ของกลาง 5 กระบอก  
5.2 อาวุธปืนไม่มีทะเบียน จำนวน 1,900 คดี ผู้ต้องหา 1,863 ราย ของกลาง 2,057 กระบอก  
5.3 อาวุธปืนมีทะเบียน จำนวน 324 คดี ผู้ต้องหา 315 ราย ของกลาง 483 กระบอก
5.4 วัตถุระเบิด จำนวน 43 คดี ผู้ต้องหา 50 ราย ของกลาง 49 ลูก  
5.5 เครื่องกระสุนปืน จำนวน 579 คดี ผู้ต้องหาราย 521 ของกลาง 37,394 นัด  

​​คดีรายสำคัญ เช่น การตรวจค้นจับกุม นายสุเมธ ลัดดาวัลย์ (ขยายผล) กับพวก บริเวณบ้านพักใน อำเภอ ศรีมโหสถ อำเภอ บ้านสร้าง จังหวัด ปราจีนบุรี และ อำเภอ แปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา ดำเนินคดีฐาน ครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ จำนวน 110 กระบอก และกระสุนปืนรวม 12,061 นัด

​พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายในการให้ความสำคัญในแก้ไขปัญหาอาชญากรรมอย่างจริงจังมาโดยตลอด จึงได้มีการบูรณาการกวาดล้างผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและความผิดต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศอยู่เสมอ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก เชื่อมั่นว่าจะทำให้ความรุนแรงของอาชญากรรมลดลงและเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งต่อพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยวต่างชาติ และนักลงทุนจากต่างประเทศ อันจะส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศ

​การระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศจนทำให้สามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดอาวุธปืน ตลอดจนของกลางอื่นๆ ได้จำนวนมากในครั้งนี้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เพื่อเป็นของขวัญแด่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ และการนี้ขอได้ฝากประชาสัมพันธ์กับพี่น้องประชาชน ซึ่งหากมีเบาะแส/เรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับเรื่องอาชญากรรมหรือเรื่องอื่น ๆ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน 191 หรือ สายด่วน 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘จีน’ เดินหน้าปราบอาชญากรรม ‘แลกเปลี่ยนเงินตรา ตปท.’ ผิด กม. ทลายแล้วกว่า 200 คดี ภายใน 2 ปี พร้อมออก กม.ควบคุมเข้มข้น

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า สำนักบริหารเงินตราต่างประเทศแห่งรัฐของจีน ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานตุลาการทั่วประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อปราบปรามคดีอาชญากรรมอันเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เช่น การดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย คิดเป็นจำนวนมากกว่า 200 คดี

รายงานระบุว่า สำนักบริหารฯ ได้จัดการกรณีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย การหลีกเลี่ยง การฉ้อโกง และการละเมิดข้อบังคับอื่นๆ มากกว่า 1,100 กรณี ซึ่งนำสู่การปรับเงินรวม 1.5 พันล้านหยวน (ราว 7.44 พันล้านบาท)

ด้านสำนักงานอัยการประชาชนสูงสุดของจีน ประกาศเตือนเกี่ยวกับข้อมูลการแลกเปลี่ยนกองทุนที่ผิดกฎหมายจำนวนมาก บนเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ และแพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมมิงหรือไลฟ์สด โดยสำนักงานฯ จะทำงานร่วมกับสำนักบริหารฯ เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือทางตุลาการ ในการรักษาระเบียบของตลาดเงินตราต่างประเทศ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top