Tuesday, 6 May 2025
สังคมไทย

‘พงศ์พรหม’ ซัด!! สังคมไทย สังคม 2 มาตรฐาน เมื่อกฎหมายมีไว้เอื้อประโยชน์แค่คนบางกลุ่ม

นายพงศ์พรหม ยามะรัต อดีตรองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เดือดวิจารณ์กฎจราจรของไทย เชื่อมโยงไปถึงกฎหมายของประเทศที่เริ่มได้รับความเคารพลดน้อยลง ว่า…

ทราบมั้ยครับ ทำไมคนไทยเคารพกฏจราจรกันน้อยลงเรื่อยๆ

กลับกัน คนไทยคนเดียวกัน ไปต่างประเทศ กลับเคารพกฎจราจรได้ดี

ก็เพราะนับวัน คนไทยไม่เชื่อกฏหมาย และผู้บังคับใช้กฏหมายกันมากขึ้นๆ

ผมคุยกับแก๊งแว้น คุยกับมอเตอร์ไซค์ กระบะซิ่ง ไม่ติดทะเบียน แปลงเครื่องผิดกฎหมาย

เค้ามองว่าตำรวจไทย ทำหน้าที่แต่ไถ

ส่วนเค้าเองก็ไม่มองว่าตัวเองทำอะไรผิดกฎหมาย เพราะเค้ารู้สึกว่ากฏหมายเขียนมาปกป้องคนรวย และเส้นสาย

ทั้งที่จริงๆ เค้าก็ทำผิดกฎหมายเช่นกัน

บ้านเมืองเราถึงพังยังไงครับ!!

ผมประชุมเสร็จเที่ยงคืน เหนื่อยๆ ขับ Honda Civic ผ่านทองหล่อ

เจอตำรวจสั่งหยุดรถ ตรวจค้น ขอตรวจแอลกอฮอล์ ทั้งที่ไม่ได้กินเหล้าเลย แค่ขับผ่านทองหล่อ

แต่คนรวย ขับรถแพงๆ มีอุบัติเหตุรุนแรงซ้ำๆ แต่ตำรวจตอบว่า

ไม่มีคู่กรณีจึงไม่ต้องตรวจแอลกอฮอล์”

ตอบได้แบบน่าไล่ออกมาก

ประชาชนถึงด่าตำรวจกันทั้งเมือง

คดีคนรวยอีกคนชนตำรวจตาย นั่นก็ยังรอด

อายุน้อยร้อยล้านขับเรือ ดาราตาย นั่นก็ปล่อยไว้ 2 วัน โดยไม่ตรวจสารเสพติด

แถมปล่อยให้ปลงผมบวชพราหมณ์ทำลายหลักฐานต่อ

ส่วนกะเหรี่ยงที่ไปแอบตามการตัดป่าผิดกฎหมาย กลับโดนอุ้มฆ่า

ในหลวง ร.9 สั่งไว้ว่า “อย่า 2 มาตรฐาน”

แต่นี่เราสร้างสังคม 2 มาตรฐานหนักขึ้นๆ

ทำไมขับสวนเลน?

ทำไมแซงเลนซ้าย?

ทำไมไม่มีใครเคารพกฏหมายอะไรในบ้านเมือง?

ทำไมประชาชนต้องพึ่งเพจ อีจัน เพจ Drama-addict ในการติดตามความจริง?

สังคมไม่มีทางอยู่ได้เลยครับ ถ้าภาครัฐใช้แต่กฏหมายเพื่อประโยชน์ตัวเอง

ระบบบิดเบือนกฎหมายก็จะขยายฐานใหญ่ จากเรื่องนี้ลุกลามไปเรื่องอื่นต่อ

'พงศ์พรหม' ชี้!! ดราม่า Car seat สะท้อนสังคมไทย ประชาชนขาดความเข้าใจ ส่วนภาครัฐก็ไม่สื่อสาร

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ดราม่าเรื่อง Car seat ทำให้สังคมเห็น 2 อย่าง คือ การไม่เข้าใจของประชาชน และการไม่สื่อสารของรัฐ ว่า...

ในความเห็นผม

กฎหมายนี้ดี ต้องบังคับใช้ โดยไม่ต้องมีข้ออ้าง

ผมเคยพูดถึงขนาดตลาดแต่งรถไปแล้ว ใครลองไปดูตามหัวเมือง สระบุรี ขอนแก่น โคราช สุราษฎร์ธานี ฯลฯ ได้ แต่งรถกันด้วยเงินหนักกว่า car seat เป็นหลายสิบเท่า

- เปลี่ยนเทอร์โบ แต่งท่อ 
- มอเตอร์ไซค์ยุคนี้แต่งกันเป็นแสน

สถิติฟ้องครับ คนซื้อรถ ซื้อมอเตอร์ไซค์ แต่งกันหนักมากที่สุดในอาเซียน

- ลองดู Isuzu DMax 4 ประตูมือ 2 ราคา 4.8 แสน
- มาดู Ecocar มือ 1 ราคา 4.8 แสน
- ราคา Car seat “คุณภาพดี” เริ่มต้นก็ 4 พันกว่าบาท
- มันคือแค่ “1% ของราคารถ” 

>> เริ่มง่ายๆ ครับ ทำไมต้องใช้ Car seat?

ผมว่าคลิปนี้เข้าใจง่ายสุด https://m.youtube.com/watch?v=0AEu1xQLAJ8

ก็เพราะเด็กยังมีสรีระ กล้ามเนื้อที่ไม่แข็งแรง อุบัติเหตุชนหน้ารถ ข้างรถ เบาๆ ก็ทำให้หลังคด คอหัก พิการ หรือเสียชีวิตได้

>> ลองดูคลิปเพิ่มครับ https://m.youtube.com/watch?v=3YF34gzwiaQ

แล้วถ้ามองว่ามนุษย์มีความสำคัญ ก็จะเข้าใจว่ามันสำคัญกว่าเหล้า ความสนุก การแต่งรถของผู้ใหญ่มากมาย 

>> คราวนี้มาดูการใช้

การจะซื้อ Car seat ต้องดูอะไรบ้าง?
1.) ดูอายุ และความสูงลูกคุณ

2.) ดูชนิดเบาะรถคุณ มี Isofix หรือ ไม่มี ซึ่งพูดตรงๆ ไม่ใช่ปัญหา แค่มี Isofix ก็จะทำให้สะดวก และการยึดฐานแน่นหนาหน่อย แต่หากไม่มี การใช้ Seatbelt รัดในรุ่น Car seat ที่ออกแบบให้ใช้กับเบาะที่ไม่มี Isofix ก็จะมีจุดยึดแน่นหนาไม่ต่างกัน

3.) ดูชนิด seat belt รถคุณ แม้รถส่วนใหญ่จะเป็น belt 3 จุดหมดแล้ว แต่ก็ยังมีรถเช่น Hyundai H-1 ที่เบาะแถว 2-4 เป็น seat belt 2 จุดรัดเอวแบบเก่าอยู่ เป็นต้น

4.) Car seat ได้มาตรฐานรับรองจากอะไร? เริ่มต้นก็ มอก. กระทรวงอุตสาหกรรม อย่างน้อยมั่นใจได้ว่าดีแล้ว แต่ตัวที่แพงขึ้น ก็จะเริ่มมีมาตรฐานที่สูงกว่าไปเรื่อยๆ เช่น TUV, NHTSA ซึ่งมักจะหมายถึงมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้นไปอีก

>> อันนี้ต้องเน้นหลายๆ ทีว่า...

Car seat ที่ได้รับมาตรฐานรับรอง แล้วมีราคา 3-4 พันบาทนั้น ยังไงก็ดี และปลอดภัย “มาก” กว่าการที่จะให้ลูกหลานคุณนั่งเบาะติดรถ ในขณะที่เขายังตัวเล็ก

เพียงแต่ในรุ่นที่สูงขึ้น ก็จะมีโครงสร้างที่แข็งแรง และปกป้องการชนได้หลายทิศทางมากกว่า

'อ.กิตติธัช' ทวนความจำบทเรียนครั้งสำคัญของคนไทย เมื่อดราม่าโควิด ถูก 'สื่อ-คนดัง-นักการเมือง' หลอกลวง

กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'Kittitouch Chaiprasith' ระบุว่า...

บทเรียนครั้งสำคัญของคนไทย
ที่ถูกสื่อ คนดัง นักการเมืองหลอกลวง
กับดราม่าเรื่องวัคซีนโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว

วันนี้ผมจะกลับมาทบทวนความจำให้สังคมไทยกันอีกครั้ง เพื่อให้ตกผลึกและทบทวนความจำกันนะครับ

1. วัคซีนโควิด-19 (ในเวลานั้น) เป็นวัคซีน 'ใช้กรณีฉุกเฉิน' (Emergency Usage Authorization) บริษัทผู้ผลิตจะไม่ขายให้เอกชนรายใดทั้งสิ้น เขาจะขายให้แต่กับรัฐบาลโดยตรงเท่านั้น เพราะมันต้องใช้ข้อกฎหมายยกเว้น เพราะหากมีผลข้างเคียง ก็จะได้ฟ้องร้องไม่ได้

2. วัคซีนทุกชนิดมี 'ตัวแทนจำหน่าย' วัคซีนของไฟเซอร์ ก็มีบริษัทไฟเซอร์ประเทศไทย, โมเดอน่าก็มีบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา, ซิโฟาร์ม ก็มีไบโอจีนีเทค เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการจำหน่ายหรือดีลกับรัฐ

ดังนั้นที่คุณเห็นนักการเมืองฝ่ายค้าน Influencer สื่อ สถาปนิกชื่อดัง และเครือข่ายทั้งหลาย ออกมาโพนทะนานว่า "เพื่อนคนนั้นคนนี้มีเส้นสายบริษัท ติดต่อเอาเข้าวัคซีนมาได้" "ผมมีติดต่อรุ่นพี่ในบริษัทวัคซีนให้ช่วย" บลาๆๆ

ทั้งหมดคือ 'การโกหก' ในรูปแบบ 18 มงกุฎที่ตั้งใจหลอกลวงประชาชน เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจหรือประโยชน์ทางการเมืองทั้งสิ้น

หมายเหตุ : ตอนนั้นบริษัท ไฟเซอร์ ประเทศไทย ออกหนังสือแถลงการณ์มา 3 รอบ (แบบเดียวกับที่ผมพูดข้างบน) แต่สื่อ นักการเมือง และ Influencer ดังสายการเมืองก็ยังคงหน้าด้าน ไม่สนใจ และโกหกประชาชนอยู่ต่อไป

https://www.reuters.com/world/asia-pacific/thai-hospital-tycoon-sticks-guns-vaccine-claims-2021-07-16/

ขอให้สังคมไทยจำชื่อของคนเหล่านั้นไว้ให้ดี ทั้ง สื่อและ Influencer ทุกคนที่พยายามปั่นกระแสเรื่องวัคซีน ให้คนเข้าใจว่า 'รัฐบาลกีดกันไม่ยอมให้นำเข้าวัคซีน' และปั่นเพื่อเชิดชูคนที่โกหกหลอกลวงประชาชนให้เป็นฮีโร่

ขอให้ทุกคนรู้ไว้ว่าทั้งหมดที่คนเหล่านั้นทำ เขาทำไปเพราะเขามองพวกคุณเป็นแค่ 'หมากทางการเมือง' ที่จะปั่นหัว จะเอากะลา (สื่อ) มาครอบอย่างไรก็ได้ จะหลอกจะชี้นำอะไรก็ได้ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง

ขอเพียงแค่ให้ได้โจมตีรัฐบาลที่ไม่ใช่ฝั่งพวกเขา และมาเชิดชูนักการเมืองที่พวกเขาหนุนเท่านั้นเอง

วันนี้ผมคิดว่าคนไทยจำนวนมาก น่าจะเริ่มตาสว่างกันมากขึ้นแล้ว ว่าคุณเผชิญอยู่ในยุคที่คนทำสื่อและ Influencer ดัง พร้อมจะหลอกปั่นหัวพวกคุณ ด้วยเรื่องโกหก บิดเบือนได้ทุกอย่าง

ทั้งที่ปากพวกเขาอ้างว่า "เขารักเทิดทูน เป็นฝ่ายประชาธิปไตย" แต่คุณจะเห็นได้ว่าการกระทำของพวกเขาล้วนตรงข้ามกับคำว่าประชาธิปไตยทั้งสิ้น 

ประชาธิปไตยที่ดีตามหลักการปกครอง คือการให้ข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนเป็นจริง เพื่อประชาชนจะได้ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง

แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นทำ ล้วนแต่เป็นการโกหกหลอกลวง บิดเบือนข้อมูลหรือเลือกนำเสนอครึ่งหนึ่งเสี้ยวเดียว เพื่อให้คุณเข้าใจผิดๆ ดังนั้นการกระทำของพวกเขา จึงตรงข้ามกับหลักการประชาธิปไตย (ที่ดี) อย่างสิ้นเชิง

ก็หวังว่าบทเรียนครั้งนี้ จะสอนสังคมไทยให้ได้โตขึ้นไปอีกขั้นและมีภูมิคุ้มกันที่ดีกับเรื่องโกหก บิดเบือนเหล่านี้มากขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ

เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น เราคงได้แต่รอวันที่สังคมไทยพังพินาศ เพราะถูกนักสร้างภาพหลอกลวงพวกนี้ กลับขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว ดังเช่นกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับเรื่องวัคซีนโควิด-19

ผีเสื้อโบยบิน ‘กรณีศึกษา’ แก่นแท้แห่งบุญอันยิ่งใหญ่ 1มอบโอกาสชีวิตใหม่ ผ่านการศึกษา

ว่ากันว่า บุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เงินทอง หรือ สิ่งของที่มากคุณค่า หากแต่เป็น ‘องค์ความรู้ - การศึกษา’ ที่ส่งต่อให้กับใครสักคน ได้นำไปต่อยอดชีวิตในอนาคตได้ด้วยตนเอง

จากเฟซบุ๊ก Win Phromphaet ได้โพสต์เรื่องราวน่าประทับใจจากการเป็นผู้ให้แก่บุคคลท่านหนึ่ง (ไม่เอ่ยนาม) ที่เขาได้ให้การช่วยเหลือด้านทุนการศึกษา โดยในจดหมายดังกล่าวระบุความจากผู้รับความช่วยเหลือว่า...

รายงานผลการเรียนภาคเรียนที่ 1/2565

เรียน คุณวิน พรหมแพทย์

ตามที่กระผม ได้รับทุนการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2565 จากท่าน กระผมขออนุญาตรายงานผลการศึกษาให้ท่านทราบว่า ขณะนี้กระผมได้จบการศึกษาแล้วภายในระยะเวลา 3.5 ปี ซึ่งในภาคการศึกษา (ภาค 1/2565) กระผมได้เกรดเฉลี่ย 3.30 ส่งผลให้เกรดเฉลี่ยสะสมเท่ากับ 3.12 ดังปรากฏในใบรับรองผลการศึกษาแนบ ทั้งนี้กระผมได้แนบบัญชีรายรับรายจ่ายมาพร้อมกับจดหมายฉบับนี้ด้วย

นอกจากการเรียนแล้ว กระผมใช้วลาว่างกับการค้นคว้าหาข้อมูลในด้านที่สนใจ เช่น การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ การฝึกใช้ภาษาอังกฤษ และการค้นหาอาชีพในอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังเข้าร่วมกิจกรรมของคณะ เช่น การเข้าร่วมฟังอบรมการสืบต้นฐานข้อมูลออนไลน์เพื่อการวิจัย การเข้าร่วมฟังกิจกรรมแนะแนวอาชีพ และกิจกรรมจิตอาสานอกรั้วมหาวิทยาลัย เช่น กิจกรรมปลูกป้าชายเลน เป็นต้น หลังจากจบการศึกษา กระผมมีความตั้งใจจะศึกษาต่อในระดับปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อให้สามารถทำงานที่ตนเองสนใจและตรงกับสาขาที่เรียนมาในระดับที่สูงขึ้น และต้องเป็นงานที่ใช้ความรู้ที่เรียนมาพัฒนาประเทศต่อไป

กระผมขอขอบพระคุณในความอนุเคราะห์ของท่าน กระผมจะตั้งใจศึกษาล่าเรียนและปฏิบัติตนให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตให้อย่างดีที่สุด เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณผู้ให้ทุนการศึกษากับกระผม เพราะครอบครัวของกระผม ซึ่งเป็นแหล่งสนับสนุนด้านการเรียนมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูง และรายได้ที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้บิดาผู้ซึ่งหารายได้เพียงคนเดียวสนับสนุนด้านการเรียนของกระผมไม่ได้เต็มที่ อีกทั้งยังมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน ส่งผลต่ออาการเหนื่อยง่าย สายตาแย่ลง และพักผ่อนน้อย

'กินหรู-อยู่แพง-รวยทางลัด' ค่านิยมที่คนรุ่นใหม่ เลือก หากไม่สมหวัง!! จะวกกลับมาโทษ "เศรษฐกิจไทยไม่ดี"

(26 ก.พ.66) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุข้อความว่า...

วันก่อนไปธุระกับครอบครัวที่เซ็นทรัลพระราม 9 ในวันธรรมดา เสร็จธุระประมาณ 11.30 น. ปรึกษากันว่าจะทานอาหารกลางวันที่ร้านไหนดี ในที่สุดเลือกร้านซูชิแบบสายพานร้านหนึ่ง แม้จะหวาดเสียวว่า จะมีคนเลียนแบบคลิปญี่ปุ่นที่แชร์กันสนั่นใน social media ก็ตาม

ร้านนี้มีโต๊ะไม่น้อยกว่า 30 โต๊ะ ขณะเราเข้าไปโต๊ะยังว่างโล่ง แต่เมื่อถึงเวลา 12 นาฬิกาเศษ ไม่ทราบผู้คนมาจากไหนนั่งกันเต็มทุกโต๊ะ หันซ้ายหันขวา มีแต่คนในวัยตั้งแต่ต่ำกว่า 40 ลงมาทั้งสิ้น ดูแล้วผมน่าจะอายุมากที่สุดในร้าน ราคาอาหารร้านนี้เฉพาะซูชิที่วิ่งบนสายพานมีจาน 4 สี 4 ราคา มีราคาจานละ 40 บาท 60 บาท 80 บาท และ 120 บาท มองไปเห็นแต่ละโต๊ะมีจานเปล่าหลากสีซ้อนกันเป็นชั้นๆสูงๆ เต็มไปหมด มีแต่โต๊ะผมที่รู้สึกจะมีจำนวนจานน้อยที่สุด 

เมื่อทานอาหารเสร็จเดินออกมาเห็นคนยืนเข้าแถวยาวรอโต๊ะว่าง มองไปที่ร้านอื่นก็เห็นมีคนรอโต๊ะกันหลายร้าน โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่นแน่นทุกร้าน สัปดาห์ที่แล้วไปที่อาคารธนิยะก็เป็นภาพแบบเดียวกัน ทั้งร้านอาหารในอาคารและนอกอาคาร มีผู้คนแน่นร้านเกือบทุกร้าน ร้านอาหารที่ธนิยะมีราคาสูงกว่าร้านซูชิสายพานอยู่บ้าง อาหารบางจานราคาสูงจนผมไม่กล้าสั่ง แต่เห็นโต๊ะอื่นๆ ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ในวัยทำงานสั่งกันเต็มไปหมด หรือว่าคนรุ่นใหม่เขาสั่งอาหารกันแบบไม่ต้องดูราคาก็ไม่ทราบได้ 

ภาพที่บรรยายไว้ข้างต้นเป็นภาพที่ส่งสัญญานชัดเจนว่าเศรษฐกิจประเทศไทยเริ่มฟื้นแล้ว แตกต่างจากภาพที่เห็นในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาดั่งฟ้ากับเหว แน่นอน คนยากคนจนในประเทศเรายังมีอยู่มาก ช่วงห่างของความเหลื่อมล้ำก็ยังไม่ลดลง แต่คงไม่มีคนอดตายอย่างที่อภิปรายกันในสภา เลิกพูดกันได้แล้วว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังดิ่งเหว หรือคนกำลังจะอดตายกันหมดแล้ว เพราะมันไม่ใช่ 

ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจไม่ได้อยู่ในความควบคุมของรัฐบาลโดยตรงทั้งหมด แต่ภาวะเศรษฐกิจก็ยังคงเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ถูกนำมาใช้ในการโจมตีรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย การทำรัฐประหาร รัฐธรรมนูญที่ว่ากันว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ล้วนถูกนำมาใช้อ้างเป็นต้นเหตุของการที่เศรษฐกิจไม่เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น 

คำอธิบายปฏิกิริยาและปรากฏการณ์ของคนรุ่นใหม่ในระยะที่ผ่านมาคือ ผู้ใหญ่ต้องพยายามเข้าใจเขา พวกเขาเพียงต้องการชีวิตที่ดีขึ้น แต่ ณ ขณะนี้พวกเขามองไม่เห็นอนาคตของตัวเองแต่อย่างใดเลย  

"ชีวิตที่ดีขึ้น" ที่จริงแล้วคืออะไร คือชีวิตที่วันๆ ออกไปทานอาหารแบบโอมากาเสะ หรืออาหารแพงๆ ในร้านหรูๆ ขับรถหรู ใช้ของแพง นาฬิกาแพงๆ แล้วถ่ายรูปมาลงอวดกันใน social media อย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำเว็บพนันออนไลน์ หวยออนไลน์ ธุรกิจฟอกเงิน มีบ้านหรู รถหรู ใช้ของหรู ล้วนมีอายุไม่เกิน 30 ปี พวกเขาคงเลือกอาชีพที่ผิดกฎหมาย หรือหมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมาย ก็เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นกระมัง

จะว่าไปในประเทศเรา หากมีความขยันและมุมานะพอ และรู้จักใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามทฤษฎีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ใช้เงินใช้ของที่สอดคล้องกับฐานะทางการเงินของเรา ทุกคนก็มีความสุขได้ ความพอเพียงไม่ได้หมายความว่าให้หยุดการขนขวายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น แต่หมายถึงการมีน้อยใช้น้อย มีมากใช้มาก ไม่ใช้เงินเกินฐานะตัวเอง 

ข้ออ้างอีกอย่างที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือต้องการการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ดีกว่า ซึ่งพอจะอนุมานได้ว่า สังคมที่ดีกว่าในบริบทของคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่สังคมที่ยึดหลักจริยธรรม รักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เคารพสิทธิของผู้อื่น แต่หมายถึงสังคมที่เท่าเทียมกัน สังคมที่ไม่มีความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นไปได้ยาก กระทั่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศทุนนิยม ซึ่งดูเหมือนเป็นระบบเศรษฐกิจที่คนรุ่นใหม่นิยมชมชอบ และความเชื่อของคนรุ่นใหม่คือ ความเท่าเทียมและความเหลื่อมล้ำจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันทหาร เพราะนั่นคืออุปสรรคสำคัญ พวกเขาเชื่อเช่นนั้นจริงๆ 

‘นีโน่’ ชี้!! ในสังคมไทย ‘ผู้อาวุโส’ ยังต้องช่วยเหลือเกื้อกูล ‘คนรุ่นใหม่’ เพื่อให้มีกำลัง ไม่เป็นภาระสังคม

สังคมไทย สังคมแห่งการเกื้อกูล สังคมที่ยังไงๆ ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส ก็ไม่สามารถทอดทิ้งต้นอ่อนที่กำลังจะเติบโตในอนาคตได้ แม้เขาจะเป็นอย่างไรในวันนี้ก็ตาม
 

'อ.พงษ์ภาณุ' ห่วง!! สังคมไทยสูงวัยไม่พอ แต่คนรุ่นใหม่ เมินมีลูก เพราะห่วงภาระบาน

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น สังคมไทยใต้ปีกสังคมสูงวัย และ สถานการณ์ในยุโรปที่ต้องจับตา เมื่อวันที่ 22 ต.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

10 ปีที่แล้วโลกเริ่มมีประชากรสูงวัยจากประเทศที่ร่ำรวย เช่น ประเทศญี่ปุ่น สังคมผู้สูงอายุจึงเริ่มเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ได้แก่ คนเสียชีวิตช้าลง คนเกิดน้อยลง ซึ่งปัญหาเด็กเกิดน้อยลงเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน โดยอัตราที่เหมาะสมคือแต่ละครอบครัวต้องมีบุตร 2.1 คน ตามหลักเศรษฐศาสตร์ แต่ปัจจุบันนี้อัตราการเกิดต่ำกว่า 2.1 คน 

สำหรับประเทศไทยอัตราการเกิดเหลือเพียง 1.3 คน ต่อครอบครัว แสดงว่า Generation ถัดไปประชากรจะเริ่มลดลง 

นิด้าโพลสำรวจพบกลุ่มตัวอย่างคนไทย ปรากฏว่าสาเหตุที่ไม่อยากมีลูก…

- ร้อยละ 38.32 ระบุว่า ไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก และเป็นห่วงว่าลูกเราจะอยู่อย่างไรในสภาพสังคมปัจจุบัน 
- ร้อยละ 37.72 ระบุว่า ไม่อยากมีภาระต้องดูแลลูก 
- ร้อยละ 33.23 ระบุว่า ต้องการชีวิตอิสระ 
- ร้อยละ 17.66 ระบุว่า กลัวเลี้ยงลูกได้ไม่ดี 
- ร้อยละ 13.77 ระบุว่า อยากให้ความสำคัญกับงานมากกว่า 
- ร้อยละ 5.39 ระบุว่า สุขภาพตนเองหรือคู่ครองไม่ค่อยดี 
- ร้อยละ 2.10 ระบุว่า กลัวพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์จะไม่ดี ทำให้ลูกที่เกิดมาไม่ดีไปด้วย
- และร้อยละ 0.90 ระบุว่า กลัวกรรมตามสนองเนื่องจากเคยทำไม่ดีไว้กับพ่อ แม่ 

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงมาตรการที่รัฐควรสนับสนุนเพื่อให้คนไทยมีลูก…

- ร้อยละ 65.19 ระบุว่า สนับสนุนการศึกษาฟรีในประเทศจนถึงขั้นสูงสุดสำหรับคนมีลูก
- ร้อยละ 63.66 ระบุว่า รัฐอุดหนุนค่าเลี้ยงดูลูกจนถึงอายุ 15 ปี 
- ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ลดภาษีเงินได้สำหรับคนมีลูก 
- ร้อยละ 29.47 ระบุว่า เพิ่มวันลาให้แม่และพ่อในการเลี้ยงดูลูก 
- ร้อยละ 21.91 ระบุว่า มีเงินรางวัลจูงใจที่สูงสำหรับเด็กแรกเกิด 
- ร้อยละ 19.92 ระบุว่า อุดหนุนทางการเงินแม่ พ่อเลี้ยงเดี่ยว 
- ร้อยละ 17.18 ระบุว่า พัฒนาและอุดหนุนการเงินศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก 
- ร้อยละ 9.85 ระบุว่า มีบริการฟรี ศูนย์ผู้มีบุตรยาก 
- ร้อยละ 7.48 ระบุว่า เพิ่มภาษีเงินได้สำหรับคนไม่มีลูก 
- ร้อยละ 5.50 ระบุว่า รัฐเปิดช่องทางในการอุ้มบุญมากขึ้น
- ร้อยละ 4.89 ระบุว่า รัฐมีหน่วยงานจัดหาคู่ให้กับคนไทย 
- ร้อยละ 2.75 ระบุว่า รัฐไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใด ๆ 
- และร้อยละ 0.76 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

อาจารย์พงษ์ภาณุ กล่าวถึงตัวอย่างมาตรการที่รัฐควรสนับสนุน เช่น ประเทศสิงคโปร์ มีลูกจ่ายทันที 10,000 เหรียญ และจากผลการสำรวจของนิด้าโพลข้างต้นนี้ สรุปได้ว่าคนไทยอยากให้รัฐจัดสวัสดิการให้ แต่ถ้าเป็นการให้ทุนการศึกษาบุตรหลาน น่าจะเหมาะสมกว่าการสนับสนุนการศึกษาฟรีในประเทศจนถึงขั้นสูงสุดสำหรับคนมีลูก ส่วนปัญหาผู้สูงอายุที่ส่งผลกระทบ ได้แก่...

1.แรงงาน ดูผลของเศรษฐกิจซึ่งขึ้นอยู่กำลังแรงงาน ทุน และเทคโนโลยี เห็นว่าจะเกิดภาระค่าใช้จ่ายของผู้สูงวัยขึ้น ถ้าไม่ได้เก็บออมไว้ก่อนอาจประสบปัญหาได้ 

2.ทุน ถึงแม้ผู้สูงอายุมากขึ้นทำให้เกิดการออมจากกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้นก็เป็นไปได้ แต่บางส่วนที่ไม่มีรายได้ ไม่มีบำนาญก็ไม่สามารถลงทุนได้ 

3.เรื่องเทคโนโลยี ผู้สูงวัยมีประสบการณ์มากกว่า แต่เด็กรุ่นใหม่มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าต้องผสมผสานให้ดี โดยรัฐควรมองว่าทำอย่างไรให้มีแรงงานเพิ่มมากขึ้น ทำอย่างไรให้คนเกิดมากขึ้นได้หรือไม่ หรือขยายอายุเกษียณราชการให้ช้าลง ซึ่งควรพิจารณาโดยเร็ว 

อีกประเด็นคือ ควรเคลื่อนย้ายแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาในไทยโดยเฉพาะแรงงานมีฝีมือ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ควรเปิดเสรีแรงงานระดับมืออาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน ถ้ารัฐไม่เร่งแก้ไขจะประสบปัญหากับการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในภาคบริการในอนาคต

นอกจากเรื่องสังคมผู้สูงวัยแล้ว อาจารย์พงษ์ภาณุ ได้เล่าถึง สถานการณ์เศรษฐกิจยุโรปในปัจจุบัน โดยกล่าวถึงที่มาของการรวมกันของสหภาพยุโรปหรือ EU ซึ่งยุโรปในอดีตเกิดสงครามเยอะมาก การรวมตัวกันของ EU ก็เพื่อป้องกันการเกิดสงคราม และทำให้ยุโรปมีอำนาจต่อรองมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในยุโรปที่มีขนาดเล็ก เกี่ยวกับการค้าขายและการลงทุน 

อย่างไรก็ตาม ยุโรปก็ยังมีข้อเสีย โดยมีวิกฤตเกิดขึ้นมาเป็นครั้งคราว เช่น วิกฤตหนี้สาธารณะยุโรป ประสบปัญหาเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งวันนี้ต้องยอมรับว่าภาคธุรกิจของจีนและสหรัฐอเมริกาขึ้นมาโดดเด่นกว่ายุโรปแล้ว เพราะธุรกิจยุโรปยังอยู่ในอุตสาหกรรมเก่า ซึ่งจีนและสหรัฐอเมริกา มีธุรกิจไอที ที่ก้าวนำยุโรปไปแล้ว 

ขณะเดียวกันประเทศที่เป็นแกนกลางของยุโรป เช่นเยอรมนี ตอนนี้เศรษฐกิจก็กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามยูเครน-รัสเซีย อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากตลาดรถยนต์หดตัวลงอย่างรวดเร็ว และมีคู่แข่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV จากจีน ซึ่งแตกต่างกับประเทศฝรั่งเศส ที่ลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐานอย่างมหาศาล เศรษฐกิจเข้มแข็ง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้า Luxury แถมยังได้ลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่เพื่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในฝรั่งเศส รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ทำรายได้หลัก ซึ่งฝรั่งเศสมีนโยบายหลายอย่างที่สนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง 

ขณะที่นโยบายด้านอาหารและเครื่องดื่มของฝรั่งเศสก็ส่งเสริมให้เกิดการเติบโต ซึ่งแตกต่างกับไทยที่มีนโยบายเก็บภาษีเครื่องดื่มแพงมาก เพราะฉะนั้นประเทศไทยควรมองจุดนี้ แล้วหันมาส่งเสริมนโยบายด้านอาหารและเครื่องดื่มให้มากขึ้นด้วย 

ส่วนบทบาทของไทยกับยุโรป มองว่าควรเจรจาเปิดการค้าเสรี ไทย-ยุโรป อย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการแข่งขัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมาก

‘SCB EIC’ ชี้!! ‘แก่ก่อนรวย’ ในสังคมไทยยังน่าห่วง คนใกล้เกษียณมีสินทรัพย์น้อย-วัยทำงานหนี้สินรุมเร้า

(17 ก.ค. 67) SCB EIC เผยผลสำรวจ ‘SCB EIC Consumer survey 2023’ ว่า ในระยะสั้นปัญหาแก่ก่อนรวยของสังคมไทยยังน่าห่วง โดยพบว่า กลุ่มวัยทำงานใกล้เกษียณ (51-60 ปี) ส่วนใหญ่ยังมีสินทรัพย์น้อย โดยเฉพาะคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน มีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายหลังเกษียณ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการสะสมสินทรัพย์ของกลุ่มนี้ คือ ปัญหาภาระหนี้ โดย 56% ของครัวเรือนที่มีหนี้พบว่ามีสินทรัพย์รวมไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนสูง

ในระยะยาว SCB EIC มองว่าปัญหาการออมนับเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อความพร้อมหลังเกษียณ ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2023 พบว่า ในภาพรวมคนวัยทำงานที่สามารถออมเงินได้ทุกเดือนยังมีไม่ถึงครึ่ง และอีกราว 1 ใน 4 ที่ไม่สามารถออมได้เลย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะเหลือเพียง 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่สามารถออมได้สม่ำเสมอ สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาภาระรายจ่ายสูงแต่รายได้ต่ำ โดยเฉพาะวัยทำงานอายุ 31 - 50 ปี ที่มีปัญหาภาระหนี้มากกว่ากลุ่มอื่น เพราะได้เริ่มก่อหนี้ก้อนใหญ่เอาไว้

SCB EIC ประเมินว่า พฤติกรรมการออมจะส่งผลอย่างมากต่อปัญหาแก่ก่อนรวยของคนไทย โดยเฉพาะคนอายุมากและรายได้ต่ำ ซึ่งผลสำรวจพบว่ามีวินัยการออมน้อยที่สุด ขณะที่คนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปี พบว่าสามารถเริ่มออมสม่ำเสมอได้ตั้งแต่ช่วงรายได้ต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเก็บก่อนใช้ได้ตั้งแต่รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน กลับพบว่ายังขาดวินัยการออม ส่วนหนึ่งเพราะใช้จ่ายตามกระแสสังคมมาก ซึ่งจะต่างจากคนอายุมากกว่าที่ส่วนใหญ่เริ่มมีพฤติกรรมเก็บก่อนใช้ตั้งแต่มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป

สำหรับผลสำรวจด้านการลงทุน พบว่าคนอายุน้อยที่มีเงินลงทุนมีสัดส่วนต่ำกว่าคนอายุมากกว่า และยังไม่ค่อยมีสินทรัพย์อื่นนอกจากเงินสดหรือเงินฝาก แม้ว่าคนรุ่นใหม่ดูจะสนใจและต้องการลงทุนมากกว่ากลุ่มคนอายุมากกว่า แต่ปัญหาขาดแคลนเงินลงทุนและความรู้ความเข้าใจในการลงทุนสินทรัพย์ทางการเงินยังเป็นอุปสรรคสำคัญของคนรุ่นใหม่

นโยบายช่วยเหลือและกระตุ้นการออมจึงต้องออกแบบให้เหมาะสมกับคนทำงานต่างวัยในแต่ละกลุ่มรายได้ เพื่อให้ปรับการออม พร้อมนับถอยหลังใช้ชีวิตหลังเกษียณได้ดีขึ้น

>>กลุ่มที่ต้องดูแลเร่งด่วน 

1.1. กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปี รายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐต้องส่งเสริมให้เริ่มออมเร็วที่สุด ผ่านการเพิ่มสัดส่วนการออมตามระดับรายได้ในการออมภาคบังคับ พร้อมส่งเสริมความรู้ทางการเงินการลงทุนด้วยการสอดแทรกเข้าไปในช่องทาง Social media ต่าง ๆ

1.2.กลุ่มอายุมากกว่า 30 ปี รายได้ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐควรช่วยออมและลดภาระผ่านช่องทางภาษีที่จูงใจ เช่น สิทธิลดหย่อนภาษี รวมถึงการต่ออายุเกษียณจาก 60 ปี เพื่อให้มีระยะเวลาหารายได้นานขึ้น

>>กลุ่มที่ต้องเพิ่มแรงจูงใจในการออม

2.1. กลุ่มอายุต่ำกว่า 30 ปี รายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐและภาคการเงินควรเพิ่มการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เพราะมีความเข้าใจการลงทุนสูงกว่าและรับความเสี่ยงได้มากกว่า

2.2.กลุ่มอายุมากกว่า 30 ปี รายได้สูงกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ภาครัฐควรส่งเสริมพฤติกรรมออมต่อเนื่องได้ถึงเป้าหมาย และเข้าถึงผลิตภัณฑ์การเงินที่ให้ผลตอบแทนเพียงพอกับรายจ่ายที่สูงขึ้น สำหรับวัยใกล้เกษียณ ภาครัฐควรช่วยลดความเสี่ยงฉุกเฉินให้เพิ่มเติม โดยช่วยจ่ายเบี้ยประกันความเสี่ยงที่จำเป็น

'น้าเน็ก' เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พูดถึงความโชคดีของการเป็นคนแก่ในยุคนี้ และความห่วงต่อคนอายุน้อยที่ต้องรับมือในโลกยุคใหม่ ผ่านช่องยูทูบ Rayron : เร่ร่อน ตอน พุฒ ต้า เร VS น้าเน็ก

ไม่นานมานี้ 'น้าเน็ก' เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ได้พูดถึงความโชคดีของตน จากการเป็นคนแก่ในยุคนี้ และรู้สึกห่วงคนอายุน้อยที่ต้องรับมือกับโลกในยุคปัจจุบัน ผ่านช่องยูทูบ 'Rayron : เร่ร่อน' ตอน 'พุฒ ต้า เร VS น้าเน็ก' โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

"รู้สึกโชคดีที่เป็นคนแก่ในยุคนี้นะ เพราะไม่งั้นลองคิดดูดิ ถ้ามึงเป็นคนอายุน้อยในยุคนี้ มึงจะรับมือกับสิ่งรอบข้างยากมาก...

"ตอนพวกเราอายุน้อย ๆ สังคมของเราจะยึดติดกับที่ตั้ง สังคมของเราคือ ในออฟฟิศ ในโรงเรียน ในร้านเหล้า ในซอยหมู่บ้านเท่านั้น เราเห็นเท่าที่เราเห็น เราไม่สามารถเห็นห้องนอนใคร เราไม่สามารถเห็นทรัพย์สมบัติใคร เราไม่เห็นชีวิตคนอื่นเลย ทําให้กิเลสของเรา ความอยากของเราน้อย...

"แต่ผู้คนในวันนี้ มันเห็นทุกอย่าง ทุกคนโชว์ชีวิตดีๆ เด็กอายุน้อยได้เห็นชีวิตคนอื่นจากในไอจี เห็นบ้านเห็นห้อง เห็น Gadget เห็นกองเงิน เห็นโอมากาเสะ เห็นนู่นนี่ เห็นหิมาลัย เห็นทุกที่ที่เขาไป เห็นทุกซอกทุกมุมโลกที่ทุกคนแชร์กัน"

ดังนั้นบทสรุปของเรื่องนี้ จึงสะท้อนให้เห็นว่า กิเลสจะมากหรือน้อย ส่วนหนึ่งล้วนเกิดจากการได้พบเห็น แต่ถ้าเห็นแล้วแยกแยะได้ ว่าอะไรคือ ความเป็นจริง อะไรคือมายา อะไรคือความจำเป็น อะไรคือการโหยหา หรือแค่อยากได้อยากมี ย่อมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งความโชคดีของคนรุ่นก่อนที่ได้เห็นอะไรไม่มากแบบเด็กยุคนี้ จึงเหมือนเป็นข้อดีหนึ่งในวันโลกที่หมุนเร็วได้เหมือนกัน

‘สื่อไม่เอาไหน ทนายขี้โกง ตำรวจขี้ฉ้อ นักตบทรัพย์’ ผุดโผล่ขึ้นเป็นดอกเห็ด จนยากจะแก้ไขได้ทันแล้ว

สำหรับประเทศไทย คงไม่มีช่วงเวลาไหนที่ 'ความโฉดชั่ว' จะปรากฏจนเบ่งบานเท่าสี่ห้าปีมานี้อีกแล้ว บ้านเมืองเรามีแต่ข่าวเทา ๆ ดำ ๆ ของเหล่าทนายขี้โกง ตำรวจขี้ฉ้อ นักตบทรัพย์ นักการเมืองคอรัปชัน ผุดโผล่ขึ้นมาให้สังคมไทยได้รับรู้กันราวดอกเห็ด และที่น่าเศร้ากว่าใด ๆ 'คนดีในคราบโจร' เหล่านี้ ยังลอยหน้าลอยตาในสังคม อยากจะไปออกสื่อไหน ก็มีคนต้อนรับขับสู้ คอยเชื้อเชิญ เรียกท่าน เรียกคุณ ราวกับว่าคอนเทนต์ และยอดคนดู จะสำคัญกว่าเรื่องความย่อยยับของสังคมไทย

สื่อดังหลาย ๆ สำนักไม่จดจำใส่ใจ ไม่กล้าแสดงการ 'บอยคอต' บุคคลที่เป็นอันตราย หรือมีตำหนิติดตัวที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข พอข่าวลบ ๆ จางหายไป ทั้ง ๆ ที่ยังไร้การพิสูจน์ความจริง ก็เชื้อเชิญให้มานั่งหน้าสลอนในรายการ พูดเรื่องใหม่เพื่อให้ลืมเรื่องแย่ ๆ ที่เคยทำไว้ในอดีต ถือเป็นการ 'ช่วยฟอกความผิด' ที่ติดตัวมาช้านาน 

สังคมไทยจึงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาแต่คนแย่ ๆ หน้าเดิม ๆ ที่ไม่ต้องรับโทษ เพราะมีสื่อที่สนิทชิดเชื้อคอยเก็บกวาดพื้นที่ให้สะอาดจะได้มีที่ยืนใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา จึงพูดได้ว่าสื่อไทยบางสำนักขาดวิสัยทัศน์ และไร้ความหวังดีกับสังคมไทย ด้วยมุ่งหวังแต่การทำมาหากิน กลายเป็นสื่อที่ไร้จรรยาบรรณ ไร้มาตรฐาน ไร้จริยธรรมอย่างรุนแรง 

เรื่องนี้ยังรวมถึงคนสื่อที่มีชื่อเสียงมายาวนาน สามารถยืนระยะมาได้ถึงปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่บางสื่อถึงกับเคยเปิดพื้นที่ในรายการให้คนที่ทำมาหากินแบบเทา ๆ หรือคนคดโกงผู้คนไม่ต่างจาก 'อาชญากร' มาออกรายการเพื่อนำเสนอธุรกิจที่แฝงการหลอกต้มผู้คน เท่ากับสื่อที่มีคนดูมากมาย ลงมือช่วย 'การันตีโจร' ให้ผู้คนร่วมยินดีไปโดยปริยาย ความเสียหายของสังคมไทยจึงเกินคณานับ 

เหล่ามหาโจรในคราบ 'คนดีของสังคม' จึงปรากฏออกมาให้เห็นบนจอสื่อแทบทุกช่อง เมื่อสื่อคิดแค่ว่าต้องหารายได้ คำว่าสื่อน้ำดีจึงมีเหลืออยู่น้อยเต็มทีในปัจจุบัน เพราะทันทีที่สื่อเปิดใจต้อนรับคนเทาดำอย่างขาดสติ ขาดอุดมการณ์ที่จะช่วยพยุงให้สังคมไทยนั้นดีขึ้น ชั่วโมงนี้เราจึงเห็น 'คนที่ไม่น่าไว้วางใจ' เล่นบทคนดีมานั่งเสนอหน้าในหลาย ๆ รายการเสมอ 

ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยัง 'คิดกันไม่เป็น' สื่อไทยก็ช่วยให้ 'คนเบาปัญญา' มองเห็นคนเลว ๆ เป็นแบบอย่างที่ดี ที่ควรเดินตาม 

บรรลัยล่ะครับ..ประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top