Monday, 29 April 2024
สนธิลิ้มทองกุล

‘ทอม เครือโสภณ’ ยอมโพสต์ขอโทษหมิ่น ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ ยอมรับ พูดลอย ๆ ขึ้นมาเอง ขาดความรอบคอบ-ไม่เช็กก่อนพูด

(30 มี.ค.66) นายจุลภาศ เครือโสภณ ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Tom Krues’ โดยระบุว่า…

วันที่ 30 มีนาคม 2566
เรื่อง ขอโทษคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
เรียน คุณสนธิ ลิ้มทองกุล

ตามที่ข้าพเจ้านายจุลภาศ เครือโสภณ ได้ถ่ายทอดสดกล่าวพาดพิงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผ่านทางเฟสบุ๊ค (Facebook) ที่ใช้ชื่อว่า ‘Tom Julpas Kruesopon’ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2563 มีความคลาดเคลื่อนในประเด็นดังต่อไปนี้

1. การออกใบอนุญาต (license) ทีวี ขณะนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีข้าพเจ้าขอเรียนว่า ในขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่เคยมี license (ใบอนุญาต) ทีวีใหม่ ๆ ออกมาแต่อย่างใด คุณสนธิฯ ไม่เคยได้รับผลประโยชน์จากการออกใบอนุญาตทีวี
2. คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ไปเลี้ยงฉลองแชมเปญกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น
หรืออนันตรา และยกแก้วและพูดว่า ‘ทักษิณจงเจริญ ทักษิณ จงเจริญ’

ข้าพเจ้าขอเรียนว่าข้าพเจ้าไม่เคยพบเจอคุณสนธิ ลิ้มทองกุล โรงแรมโฟร์ซีซั่น หรือ อนันตรา คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่เคยไปเลี้ยงฉลองแชมเปญกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่โรงแรม โฟร์ซีซั่นหรืออนันตรา และไม่เคยยกแก้วและพูดว่า ‘ทักษิณจงเจริญ ทักษิณ จงเจริญ’ เหตุการณ์ดังกล่าว ไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าเป็นผู้กล่าวลอยๆ ขึ้นมาเอง คุณสนธิฯ ไม่เคยมีเรื่องผลประโยชน์ มาเกี่ยวข้องระหว่างคุณสนธิฯ และนายทักษิณฯ

ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ข้อความที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวพาดพิงคุณสนธิฯ ผ่านทางเฟสบุ๊ค (Facebook)
ที่ใช้ชื่อว่า ‘Tom Julpas Kruesopon’ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2563 นั้นไม่เป็นความจริง 

เนื่องจาก คุณสนธิฯ ไม่เคยมีสัญญาหรือมีข้อตกลงว่าจะต้องได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการทุจริตคอรัปชั่นของนายทักษิณ ชินวัตร และในขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่เคยมี license (ใบอนุญาต) ทีวีใหม่ ๆ ออกมาแต่อย่างใดและคุณสนธิฯ ไม่เคยไปเลี้ยงฉลองแชมเปญกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่โรงแรม โฟร์ซีซั่น หรืออนันตรา และไม่เคยยกแก้วและพูดว่า ‘ทักษิณจงเจริญ ทักษิณจงเจริญ’ เกี่ยวกับการปลดหนี้แบงค์กรุงไทยนั้นนายทักษิณ ชินวัตร ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ

นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ

นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กล่าวในรายการ SONDHI TALK เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เรื่อง ‘พิธา-ก้าวไกล’ จิ๊กซอว์ตัวใหม่ของความวุ่นวาย โดยระบุว่า “จำคำพูดผมเอาไว้เลยว่า

อเมริกาต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ในไทย เขามีเครื่องมือที่พร้อมให้ใช้ได้แล้ว คือพรรคก้าวไกล นายพิธา นายธนาธร กับพวกนักวิชาการขายชาติ”

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด ‘SONDHI TALK’ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ แสดงจุดยืน

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด ‘SONDHI TALK’ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ แสดงจุดยืน ประกาศพร้อมลงถนน ไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เพื่อเอื้อสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 โดยระบุว่า…

“ผมไม่ยอมแน่ๆ วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ ผมพร้อมจะลงถนนทันที พรรคก้าวไกลต้องการจะคุมกระทรวงกลาโหม เพื่อทำให้ทหารอ่อนแอ ลดงบประมาณทหาร ลดกำลังพล ผมไม่นึกเลยว่า ผมอายุขนาดนี้แล้ว จะเจอความเลวทรามต่ำช้าของคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคนรุ่นใหม่ หากเห็นด้วยกับผม กระจายคำพูดของผมออกไปหาแนวร่วม ถามทุกคนว่า หากไม่อยากให้มีสงคราม บอกไปเลยว่า พรรคก้าวไกล จะเป็นคนนำสงครามเข้ามา นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดในประเทศไทยตอนนี้”

‘สนธิ’ แจง ปฏิบัติการ 10 ข้อ เพื่อนำไปสู่ การแบ่งแยกดินแดน ยกตัวอย่างการประท้วงในฮ่องกง สู่การพยายามเปลี่ยนแปลงใน ‘ปาตานี’ 

นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ผู้ก่อตั้งในเครือผู้จัดการ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้จัดรายการ สนธิทอล์ค เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2566 เล่าถึง การพยายามแบ่งแยกดินแดนของ ‘ปาตานี’ ยกตัวอย่างอ้างอิงจาก ฮ่องกงโมเดล โดยนายสนธิ ได้เล่าว่า ...

ฮ่องกงโมเดล คือตัวอย่างที่บุคคลบางกลุ่ม สมคบคิดกับคนต่างชาติ เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการปกครองเป็นการขายชาติ แต่ชูป้ายว่าเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งถึงณปัจจุบันนี้ ฮ่องกงโมเดลได้อวสานไปแล้ว เมื่อรัฐบาลจีนได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง เป็นเหตุให้ประเทศเจ้าแห่งอาณานิคม จำเป็นต้องย้ายฐานปฏิบัติการจะให้บุคลากรต่างๆ มาที่ประเทศไทย เพื่อจะผลักดันปาตานีโมเดล เพื่อให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ของไทย ซึ่งเนื้อหาในการปฏิบัติการเพื่อแบ่งแยกดินแดนนั้นสรุปได้ 10 ประการดังนี้

ข้อที่ 1 เขียนประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ให้แตกต่างกัน เพื่อเป็นการแบ่งแยกผู้คนออกจากกัน ใช้วัฒนธรรมมาอ้างเพื่อแบ่งแยกทางอัตลักษณ์

ข้อที่ 2 อ้างค่านิยมสากล สร้างความเชื่อว่า เป็นค่านิยมที่ต้องยึดถือเช่น ประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม

ข้อที่ 3 สร้างประวัติศาสตร์ว่าถูกกดขี่ ไม่เท่าเทียม

ข้อที่ 4 เรียกร้องโดยไม่สนใจหลักการใดๆทั้งสิ้น

ข้อที่ 5 ขยายผลจากการขับไล่ผู้นำไปสู่การเรียกร้องเอกราช

ข้อที่ 6 สร้างแนวร่วมนักการเมือง NGO สื่อมวลชน

ข้อที่ 7 การสร้างฮีโร่ในการเคลื่อนไหว ฮีโร่ผู้กล้าหาญที่จะท้าทายผู้มีอำนาจ เหมือนกับเพนกวินเหมือนกับรุ้ง แล้วลงไปสู่ในระดับเด็ก อย่างตะวัน หรือหยกและอีกหลายๆคน ยิ่งถ้าเป็นเด็กก็ยิ่งดีถ้าถูกมาตรการปราบปรามจากภาครัฐก็จะมองได้ว่าเป็นการที่ผู้ใหญ่รังแกเด็ก เป็นสงครามระหว่างรุ่นสร้างกระแสได้ว่าให้มันจบที่รุ่นเรา

ข้อที่ 8 มีการสร้างสัญลักษณ์ร่วม เพื่อให้สื่อมวลชนและสังคมจดจำได้อย่างง่ายดาย เช่นสีเสื้อ การสวมเสื้อสีดำการกางร่มสีเหลือง การปฏิวัติร่มในประเทศฮ่องกง การใช้สัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว

ข้อที่ 9 การสร้างเครือข่ายเคลื่อนไหวในระดับสากล การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบันมิได้กำหนดจำกัดอยู่แค่ภายในประเทศของตัวเองเท่านั้น แต่ประเทศที่หนุนหลังนั้นก็ได้ขยายการเคลื่อนไหวไปสู่ประเทศอื่นๆด้วย โดยอ้างพาราดอนภาพหรือความเป็นพี่เป็นน้องกัน

ข้อที่ 10 สร้างความชอบธรรมโดยการสนับสนุนของต่างชาติ เป็นการเปิดประตูให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงในการภายในของประเทศ

'สนธิ' ชำแหละ!! 'หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้า' แนวทางการปลุกระดม โดยใช้ 'วิชาการ' บังหน้า!!

จากรายการ 'คุยทุกเรื่องกับสนธิ' (สนธิทอล์ก) เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ส.ค.66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงกรณีที่ 'คณะก้าวหน้า' ที่มีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธาน ได้จัดหลักสูตร 'เยาวชนก้าวหน้า' ครั้งที่ 3 ดังนี้...

เมื่อวันที่ 27 ก.ค.66 เฟซบุ๊ก 'คณะก้าวหน้า' ได้โพสต์ภาพโปสเตอร์และข้อความเกี่ยวกับโครงการเยาวชนก้าวหน้าครั้งที่ 3 ไว้ว่า เป็นหลักสูตรที่จะพาคุณทะลุกะลาที่เขาครอบหัวเราไว้ เพาะเมล็ดพันธุ์ของผู้ไม่ยอมจำนน เพื่อเปิดประตูความเป็นไปได้ใหม่ๆ สู่สังคมที่ดีกว่าหลักสูตรนี้รับ 40 คนเท่านั้น เรียนทุกเสาร์-อาทิตย์ 6 สัปดาห์ ช่วงสิงหาคม-กันยายน ที่สำคัญ สำหรับเยาวชนรุ่นใหม่กรุงเทพฯ และปริมณฑล อายุตั้งแต่ 15-25 ปีเท่านั้น ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เงื่อนไขคือ ผู้สมัครต้องเข้าร่วมกิจกรรมตลอดหลักสูตร และผู้สมัครต้องทำโครงการเมื่อจบหลักสูตร

ทั้งนี้ หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้า ครั้งแรกจัดเมื่อวันที่ 8-9 ตุลาคม 2565 มีการเปิดให้เรียนรู้หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้า ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ครั้งที่สอง จัดที่ขอนแก่น 12 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคม 2565

ในครั้งนั้นเพจ Common School เคยโพสต์กิจกรรมคณะก้าวหน้า ระบุว่า หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้า ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดขอนแก่น เนื้อหาการบรรยายครอบคลุมทั้งรัฐศาสตร์, นิติศาสตร์, ประวัติศาสตร์, ปรัชญาการเมือง, เศรษฐศาสตร์ และการสื่อสาร ทั้งรูปแบบการบรรยายและกิจกรรมเวิร์กชอป

สำหรับโครงการในครั้งนั้น มีการเปิดรายชื่อวิชาและวิทยากร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคอลัมนิสต์ นักวิชาการสายฟ้าเดียวกัน รวมทั้งสมาชิกคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ที่อยู่เบื้องหลังม็อบสามนิ้ว ประกอบด้วย 'ประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย' โดย รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ (อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ) สายก้าวไกลเต็มตัว และสายม็อบสามนิ้วเต็มตัว

'การเมืองวัฒนธรรม จาก 2475 ถึงปัจจุบัน' โดย ณัฐพล ใจจริง (ซึ่งเสกสรรค์ปั้นแต่ง พูดจาโกหก ข้อมูลผิดเพี้ยนในตำราที่ตัวเองแต่ง แล้วเอาความผิด เอาความโกหกที่ตัวเองเขียนนั้นมาสอนเด็กรุ่นหลัง ให้เป็นความจริง ทั้งๆ ที่สิ่งที่ตัวเองเขียนนั้นได้ถูกพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าโกหก)

'การเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย' โดย ประจักษ์ ก้องกีรติ (รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์)

'ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจการเมืองไทย' โดย อภิชาต สถิตนิรามัย (เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์)

'บทบาทการเมืองระหว่างประเทศต่อการเมืองไทย' โดย ลลิตา หาญวงษ์ (สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)

'บทบาทกองทัพกับการเมืองไทย' โดย สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

'อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของการขูดรีดเกษตรกรไทย' โดย เดชรัต สุขกำเนิด (เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเป็น สส. พรรคก้าวไกล)

'ประวัติศาสตร์กลุ่มทุนไทย และ การบริหารจัดการเมืองสมัยใหม่' โดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

'Constitutional Monarchy และ ประวัติศาสตร์ปฏิวัติ' โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล

'เทคโนโลยีกับการเมือง : ความก้าวหน้าและความท้าทาย' โดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (สส. และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล)

'Workshop ประชาธิปไตย' โดย ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ

'ระบบราชการและงบประมาณ' โดย ศิริกัญญา ตันสกุล

'การสื่อสารทางการเมือง' โดย พรรณิการ์ วานิช

อีกทั้งยังมีการเปิดเผยเนื้อหาหลักสูตรในครั้งก่อนๆ  อาทิ กิจกรรม Landlord เป็นกิจกรรมรูปแบบ Active Learning ให้ผู้เรียนได้สัมผัสถึงโครงสร้างอำนาจแบบศักดินาที่กดขี่ผู้ขุดด้วยอำนาจดิบเถื่อน ใช้อำนาจตามอำเภอใจโดยไม่มีใครสามารถควบคุม ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นอำนาจที่กดทับศักยภาพที่แท้จริงของประชาชนเอาไว้ พาไปสำรวจโครงสร้างแบบศักดินาในทุกๆ ระดับของสังคมอย่างถึงราก พร้อมทั้งเรียนรู้อำนาจตามแบบที่ทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการเมืองมากขึ้น

ต่อด้วยการบรรยายที่อัดแน่นด้วยเนื้อหาที่อาจไม่เคยมีในหนังสือเรียนมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการบรรยาย ความเหลื่อมล้ำและเศรษฐกิจการเมืองไทย สภาพและสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในสังคมการเมืองไทย ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนกับการเมือง โดยอภิชาต สถิตนิรามัย แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย โดย รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ที่บรรยายเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างราวฟ้ากับเหว ระหว่างการกระจายอำนาจและการรวมศูนย์อำนาจได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมที่สุด ผ่านภาพถ่ายดาวเทียมในยามค่ำคืน ที่ทำให้เห็นว่าประเทศใดบ้างที่มีแสงไฟสว่างไสวปกคลุมไปทั่วประเทศบ้าง และประเทศใดบ้างที่มีแสงไฟส่องสว่างอยู่เพียงที่จุดศูนย์กลางเมืองหลวงของประเทศ และยังมีเกร็ดประวัติศาสตร์และความรู้ทางรัฐศาสตร์มากมาย ในสไตล์การบรรยายแบบธำรงศักดิ์ ที่ทั้งแฝงข้อคิด สาระ และความชวนหัวไปพร้อมกัน

ปิยบุตร แสงกนกกุล ได้มาบรรยายถึงเรื่องการเปรียบเทียบกับการกำเนิดขึ้นของ Constitutional Monarchy ในประเทศต่างๆ การต่อสู้ระหว่างชนชั้นกระฎุมพีกับสถาบันกษัตริย์ในยุโรป การปรับตัวของสถาบันกษัตริย์ท่ามกลางกระแสธารของประชาธิปไตย เพื่อวิเคราะห์วิธีการธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สอดคล้องและเคียงคู่ไปกับระบบประชาธิปไตยในโลกสมัยใหม่

ปิดท้ายด้วยรับชมภาพยนตร์เรื่อง The Young Karl Marx ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวชีวิตของปัญญาชนนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก มีอิทธิพลทางความคิด การเคลื่อนไหวทางการเมืองและเป็นต้นธารของการต่อสู้กับระบบทุนนิยมเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ออกจากพันธนาการ ด้วยจินตนาการถึงสังคมใหม่ ที่ทุกคนเท่าเทียมและมีเสรีภาพอย่างแท้จริง

“เป็นที่ชัดเจนว่าหลักสูตรนี้คือ แนวทางการปลุกระดมเยาวชนพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า คนกลุ่มนี้กำลังใช้คำว่า 'วิชาการ' บังหน้า เป็นการปลุกระดมเด็ก ให้ข้อมูลที่ผิดๆ อาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ เห็นได้ชัดกรณีความพยายามยัดข้อมูลจนเกิดการทดลองทำประชามติแบ่งแยกรัฐปาตานี ที่ มอ.วิทยาเขตปัตตานี”

“ที่สำคัญ การล้างสมองเปิดรับคนอายุ 15-25 ปี เข้าอบรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะมีนายทุนผู้สนับสนุนงบประมาณอยู่แล้ว ใช่หรือเปล่า เป็นคุณธนาธรเอง หรือเจ้าของตั๋วปารีส ที่หนีคดีอยู่ที่ฝรั่งเศส มีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ ตอบผมหน่อยครับ”

“เพราะว่าบทเรียนต่างๆ หัวข้อต่างๆ นั้นหลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่เสกสรรค์ปั้นแต่ง มีข้อมูลข้อเท็จจริงอยู่เพียงน้อยนิด แต่ที่เหลือแซมไปด้วยคำโกหกพกลม เหมือนอย่างที่ทุกวันนี้พรรคก้าวไกลโกหกพกลมทุกๆ เรื่อง คุณพิธา ก็โกหกพกลมทุกๆ เรื่อง แล้วคนที่อยู่ในโซเชียลมีเดียสายคอนด้อมส้ม ก็โกหกพกลมไปทุก ๆ เรื่อง เพื่อที่จะให้โลกสมมติที่ถูกสร้างขึ้นมาจากโซเชียลมีเดียนั้น ให้ดูเป็นจริงเป็นจัง และทำให้คนหลงเชื่อ จนกระทั่งตัวเองได้อำนาจมาเรียบร้อยแล้ว ความจริงที่เป็นหนึ่งเดียวที่ผมพูดมาตลอดนั้นก็ปรากฏขึ้นมา ทำให้รู้ว่าที่เชื่อพรรคก้าวไกลมาในอดีตนั้น ก็เพราะว่าพรรคก้าวไกลโกหก เชื่อคำโกหกแต่มารู้ความจริงอันเป็นหนึ่งเดียวทีหลัง เหตุการณ์ก็สายไปแล้ว เพราะว่าพรรคก้าวไกลก็เริ่มได้ยึดอำนาจเข้ามาเรียบร้อยแล้ว” นายสนธิ กล่าว

‘สนธิ’ บุกสรรพากรยื่นสอบ ‘ชูวิทย์’ ปมหมกเม็ดโอนที่เลี่ยงภาษี ชี้!! เป็นนิติกรรมอำพราง ทำรัฐเสียรายได้เข้าแผ่นดินเกือบพันล้าน

(21 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้เดินทางเข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ให้ตรวจสอบการเสียภาษีอากร กรณีการซื้อขายที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดอะเดวิส บางกอก

นายสนธิ กล่าวด้วยว่า ที่มายื่นเรื่องเพราะมีคนร้องเรียนมาว่าคุณชูวิทย์ ขายที่เลี่ยงภาษีให้ตระกูลตัวเอง โดยเป็นการขายจากบริษัทของตัวเองไปให้ลูกๆ และลูกๆ นำไปขายต่อให้อีกบริษัทที่เป็นของตัวเองเช่นกัน โดยคิดราคาที่ดินในการโอนทอดแรกแก่ลูกวาละ 2 แสนบาท และนำไปโอนต่ออีกทอดหนึ่งที่เป็นบริษัทของครอบครัวเหมือนกัน

“บริษัทที่โอนมาเป็นของตัวเองแบ่งที่เป็น 4 แปลง โอนให้ลูก 4 คน หลังจากนั้นโอนต่อให้อีกบริษัทที่ลูกๆ เป็นเจ้าของ คนที่ส่งมาบอกว่าเป็นนิติกรรมอำพราง โอนครั้งแรกเสียภาษีแค่ 11 ล้าบาท แต่ถ้าเป็นนิติกรรมอำพรางคุณชูวิทย์ ต้องเสียภาษี 359 ล้านบาท ถ้าผิดจริงต้องโดนอีกเท่าตัว และรวมหมดตระกูลคุณชูวิทย์ต้องเสีย 900 กว่าล้าน ผมขี้เกียจทะเลาะกับคุณชูวิทย์ เขามั่นใจว่าเขาไม่ผิด เขาทำงานมาเขาเป็นนักบัญชี แต่ความจริงมีหนึ่งเดียว คนที่ชี้ขาดเรื่องนี้ได้น่าจะเป็นสรรพากร ผมจึงนำหลักฐานมาให้ และถ้าเป็นนิติกรรมอำพรางคุณชูวิทย์ ต้องเสียภาษี ถ้าไม่ใช่ก็จบไป ยุติธรรมมาก ไม่ต้องเถียงกัน นั่นคือสิ่งที่ผมมาวันนี้” นายสนธิ กล่าว

ทั้งนี้ ในหนังสือร้องเรียนมีการระบุว่า มีการสมรู้ร่วมคิดกันทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลบเลี่ยงภาษีอากรอันถึงชำระ อันเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 มาตรา 37 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

สำหรับข้อมูลที่เข้าร้องเรียนในครั้งนี้ มีรายละเอียดบางส่วนระบุดังนี้

ข้าพเจ้า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตรวจพบหลักฐานการทำนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและการชำระภาษีที่เกิดจากการซื้อขายที่ดินที่ผิดปกติและอาจมีการจงใจหลีกเสี่ยงการชำระภาษี กรณีการซื้อขายที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดวิส บางกอก โฉนดที่ดินเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539 ระหว่างบริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ผู้ขาย กับนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ ผู้ซื้อ และการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539 ระหว่างนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ ผู้ขาย กับบริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้โฟร์ จำกัด หรือบริษัท เดวิส 24 จำกัด ในปัจจุบัน เหตุเกิดระหว่างวันที่ 23 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 27 กันยายน 2562 ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ช่วงปี 2542 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของครอบครัวนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ครอบครองที่ดินบริเวณหลังโรงแรมเดวิส บางกอก จำนวน 2 แปลง เนื้อที่แปลงละ 278.5 ตารางวารวม 557 ตารางวา (ปัจจุบันเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 1778, 1779, 3538, 3539) ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 1-4

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 เวลา 09.00 น. บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2562 มีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยมี น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ เข้าร่วมประชุมด้วย นายชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว อนุมัติให้บริษัทฯ ขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 1778, 1779 ให้ผู้ถือหุ้นได้แก่ นายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ และนายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์

และในวันเดียวกัน คือวันที่ 23 กันยายน 2562 เวลา 11.00 น. บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2562 มีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยมีนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ และนายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ เข้าร่วมประชุมด้วย นายชูวิทย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแต่เพียงผู้เดียว อนุมัติให้บริษัทฯ ขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 3538, 3539 ให้ผู้ถือหุ้นได้แก่ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูล กมลวิศิษฏ์ รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 5-8

ภายหลังจากที่ทำสัญญาซื้อขายกับผู้ซื้อรายเก่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 อีก 3 วันถัดมา คือวันที่ 27 กันยายน 2562 บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายให้ลูกของนายชูวิทย์ 4 คน ได้แก่ นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล คนละ 1 แปลง ระบุราคาซื้อขายที่แปลงละ 27.86 ล้านบาท รวม 4 แปลง เป็นราคา 111.4 ล้านบาท คิดเป็นตารางวาละ 200,000 บาท รายละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 9-12

และในวันเดียวกันนั้น นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกนายชูวิทย์ทั้ง 4 คน โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายต่อให้บริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตั้งไว้รอการร่วมทุนระหว่างครอบครัวกมลวิศิษฏ์ กับบริษัทไรมอน แลนด์ (มหาชน) จำกัด ระบุราคาขายที่แปลงละ 502,388,500 บาท รวม 4 แปลง ราคา 2,009,554,000 ล้านบาท คิดเป็นราคาตารางวาละ 3.6 ล้านบาทเศษ รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 14-17 ซึ่งบริษัท เดวิส ไรมอน แลนด์ ทเวนตี้ โฟร์ จำกัดมีนายต้นตระกูล กมลวิศิษฏ์ นายเติมตระกูล กมลวิศิษฏ์ น.ส.ตระการตา กมลวิศิษฏ์ และนายต่อตระกูลกมลวิศิษฏ์ เป็นผู้ถือหุ้น รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 18-19 การซื้อขายที่ดินดังกล่าวเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามูลค่าการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินเป็นการโอนที่ดิน 2 ทอดในวันเดียวกันแต่กลับซื้อขายในราคาที่ต่างกันถึง 18 เท่าตัว โดยการโอนที่ดินทอดแรกจาก ‘บริษัทกงสี’ ให้ ‘ทายาท’ ในราคา ‘ต่ำเป็นพิเศษ’ ซึ่งในวงการอสังหาฯ รู้ดีว่าเป็น ‘นิติกรรมอำพราง’ เพื่อเลี่ยงภาษีเงินได้ของบริษัทจำกัด ในที่นี้คือ บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด บริษัทกงสีของตระกูลกมลวิศิษฏ์ ซึ่งตามแนวปฏิบัติของกรมสรรพากร ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 65 ทวิ(4) ที่เกี่ยวกับ ‘ภาษีเงินได้นิติบุคคล’ สาระสำคัญความว่า บริษัทจำกัดจะต้องโอนขายทรัพย์สินในราคาไม่ต่ำกว่าราคาตลาด มิฉะนั้น เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินค่าตอบแทน ‘ตามราคาตลาดในวันที่โอน’ ได้ตาม ‘ข้อเท็จจริง’ จึงถือว่าราคา 2,009 พันล้านบาทเศษ เป็น ‘ราคาตลาดในวันโอน’ ทำให้บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ต้องถูกประเมินให้มีกำไรในทางภาษีราว 1,900 ล้านบาท (หักจากราคาที่ขายให้กับนายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกๆ นายชูวิทย์ 111.4 ล้านบาท) และต้องเสียภาษีเงินได้ 380 ล้านบาท หรือ (1,900x20%) ซึ่งไม่สามารถยึดราคาขายให้แก่นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกๆ ของ นายชูวิทย์ 4 คน เพื่อชำระภาษีเพียง 11.4 ล้านบาทเศษได้ รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 20

ซึ่งหากคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัท สมบัติเติมตระกูล จำกัด ต้องชำระตาม "ข้อเท็จจริง" คือ ภาษีเงินได้ 380 ล้านบาท บวกด้วยเบี้ยปรับ 1 เท่าตัว หรือ 380 ล้านบาท และเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน (ตั้งแต่ มิถุนายน 2563-กรกฎาคม 2566) หรือราว 205 ล้านบาท รวมภาษีที่นายต้นตระกูล นายเติมตระกูล น.ส.ตระการตา และนายต่อตระกูล ลูกทั้ง 4 คนของชูวิทย์ ต้องจ่ายรวมประมาณ 965 ล้านบาท หัก 11.4 ล้านบาทที่ได้ชำระไปแล้ว เท่ากับว่าการโอนที่ดินกรณีดังกล่าวอาจมีการหลบเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน และทำให้รัฐเสียรายได้เข้าแผ่นดินถึง 954 ล้านบาท รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย

‘สนธิ’ ชื่นชม ‘สำนักข่าวอิศรา’ ยกสื่อดีที่ควรปกป้อง มุ่งเน้นข้อมูลเท็จจริง และไม่เลือกเข้าข้างใคร

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด ‘SONDHI TALK’ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ ช่องยูทูบ ‘Sondhitalk’ หรือ ‘Sondhitalk’ (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีการกล่าวชื่นชมการทำงานของ ‘สำนักข่าวอิศรา’ และ ‘นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์’ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา ในประเด็นเกี่ยวกับข่าว ‘ปาล์มอินโด EARTH-STAR เปิดโปง ขบวนการ สวาปาม (ภาคต่อ)’ โดยระบุว่า…

“ผมต้องขอชมเชย ‘สำนักข่าวอิศรา’ และผู้บริหารงานของสำนักข่าวอิศรา คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ หรือ ‘คุณเก๊’ พวกเราและทุกๆ คนที่รักในความเป็นธรรม ต้องการความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จึงต้องขอขอบคุณสำนักข่าวอิศรา ที่แบ่งปันข้อมูลต่างๆ มาให้แก่ทางผม”

“ผมขอชื่นชมคุณประสงค์ สื่อดีๆ แบบนี้หายาก ยิ่งกว่ายาก ต้องดูแลปกป้องเพื่อให้อยู่รอดตลอดไป เพราะเขาเป็นคนที่ไม่เข้าข้างใครเลย เขายืนอยู่บนความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว และไม่เกรงกลัวต่ออำนาจมืด หรืออิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น”

ย้อนฟัง ’สนธิ‘ ชำแหละ!! ‘กระบวนการล้มเจ้า’ 11 ปีก่อน ชี้!! ต้นเหตุเกิดจากคนนอกประเทศ หนุนคนไทยให้ล้มชาติ

ย้อนกลับไปเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ เคยออกมาพูดเกี่ยวกับ ‘กระบวนการล้มเจ้า’ ที่ไม่ได้เกิดจากคนไทยด้วยกันเอง แต่เป็นกระบวนการจากต่างประเทศที่เข้ามาแทรกแซงและหนุนหลังอยู่ โดยระบุว่า…

สถาบันกษัตริย์และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถูกกัดกร่อนไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีใต้ดิน บนดิน วิชามาร หรือวิธีที่โสมม ซึ่งตัวตนที่แท้จริงของกระบวนการที่จะล้มพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ที่นําโดยเด็กรุ่นหลังได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ พร้อมทั้งคณะครูบาอาจารย์นักเขียนร้อยกว่าคน ซึ่งทําไมมันถึงมีกระบวนการเช่นนี้ แล้วทําไมถึงไม่มีใครทำอะไรกับมัน? โดยทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทยด้วยคนไทย แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นจากกระบวนการในต่างประเทศเข้ามาสู่คนไทยที่ต้องการจะขายและล้มชาติบ้านเมือง 

ทั้งนี้ การที่อเมริกาประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าจะกลับมาที่เอเชียแปซิฟิก และจะอยู่ที่นี่อย่างถาวร จะอยู่อย่างมั่นคง หรือถ้าแปลอย่างนักเลงก็คือ…จะเข้ามาปล้นความมั่งคั่งพื้นภูมิภาคนี้อย่างแน่นอน 

ซึ่งภาพรวมของทั้งหมด…จีนก็ยังเป็นอะไรบางอย่างที่คอยเป็นหนามยอกอกของอเมริกาอยู่ โดยอเมริกาไม่ต้องการคบจีนอย่างเท่าเทียม ซ้ำยังต้องการมีอํานาจเหนือจีน ในขณะที่จีนก็ไม่ยอม เพราะก็ถือว่านี่คือขอบขัณฑสีมาของตนที่มีอิทธิพลเช่นกัน…

…อเมริกาจับมือกับอินเดียเรียบร้อยแล้ว ขณะที่จีนก็จับมือปากีสถาน ซึ่งอเมริกาก็เริ่มแทรกแซงเข้าไปในปากีสถานเพื่อแย่งออกมาจากจีน เพราะฉะนั้นแล้วถ้าอเมริกาได้อินเดีย ปากีสถาน เวียดนาม เขมร ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย…เท่ากับว่าอเมริกาได้ปิดล้อมจีนไว้หมดเลย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top