Sunday, 8 June 2025
สนธิลิ้มทองกุล

‘สนธิ’ เปิดหน้าแฉ ทนายดาวไถ ผกก.โจ้ 10 ล้าน ชาวเน็ตห่วง ‘ทนายเดชา’ จบไม่สวยตามรอย ‘ทนายตั้ม’

(14 พ.ย. 67) เดือด ‘สนธิ’ ถาม ‘ทนายเดชา’ พอทราบไหมมีทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน ตบทรัพย์ ผกก.โจ้ 10 ล้าน สะกิดข้อเท็จจริงสืบไม่ยาก เข้าไปเจออดีตนายตำรวจคงทราบชื่อนักกฎหมายจอมไถ ก่อนอีกฝ่ายโร่ย้ำรายการช่องดัง ถูกใส่ร้ายท้าไปดูสรุปสำนวนที่ สน.

จากกรณีเปิดศึกน้ำลายออกมากล่าวหาไปจนพาดพิงกันนอกรอบ ระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ โดยปมเดือดล่าสุดเป็นประเด็นที่เจ้าของและผู้ก่อตั้งนสพ.ผู้จัดการ ได้ปลุกผีคดีผู้กำกับโจ้ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ซึ่งมีคดีซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยแต่ลดโทษจากประหารเหลือจำคุกตลอดชีวิต

โดยนายสนธิมีการเกริ่นเนื้อหาบางช่วงที่ระบุ “มีทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน ตบทรัพย์ ผกก.โจ้ 10 ล้าน” ก่อนจะร่ายยาวในรายการ sondhitalk ระบุ ตนไม่ได้ข่มขู่ใครส่วนนายเดชาเคยไปข่มขู่ใครหรือไม่ ตนไม่อาจทราบได้จริง ๆ แต่มีคนเล่าให้ฟังถึงผู้กำกับโจ้ว่ามีทนายคนหนึ่งมีคลิปว่าคนตายนั้นเสียชีวิตจากที่ผกก.โจ้นั้นคลุมถุง ถ้าไม่ให้เปิด ขอ 10 ล้าน แต่ทนายความของนายตำรวจปฏิเสธ คลิปจึงถูกส่งต่อมาที่ทนายตั้ม

“ตนไม่ทราบว่าใคร ใครทราบช่วยแจ้ง คุณเดชาพอทราบหรือไม่”

หลังจากเปิดโปงพฤติกรรมจนชัดเจนในความไม่ชอบมาพากล นายสนธิยังยืนกรานเรื่องนี้ตรวจสอบไม่ยาก เพียงแค่ตนทำเรื่องขอเข้าไปสอบถามผู้กำกับโจ้ในเรือนจำคลองเปรม “โจ้ครับ มีเรื่องนี้จริงไหม ถ้าเขาบอกว่าจริงก็อาจรบกวนให้ช่วยบอกชื่อหน่อยได้หรือไม่“

ขณะที่นายเดชาหลังถูกพาดพิงก็ออกมาชี้แจงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าทุกครั้ง โดยกล่าวในรายการคนดังนั่งเคลียร์ของช่อง 8 ยืนกรานไม่ใช่คนที่ได้คลิปคลุมถุงผกก.โจ้ ก่อนแล้วไปเรียกเงิน พอไม่ได้จึงส่งให้ทนายตั้ม

ทนายเดชาย้ำเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแน่นอน เนื่องจากสรุปสำนวนคดีอยู่ที่ สน.โคกคราม พร้อมกับเตือนไปถึงคนที่พาดพิง ถ้ายังนำมาเป็นประเด็นนี้มาใส่ร้ายก็เตรียมรอหมายศาลได้เลย

“อันนี้ไม่จริงเป็นความเท็จ และผมได้แจ้งความดำเนินคดีกับทนายตั้มไว้ที่ สน.โคกครามแล้วก็พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปพบผกก.โจ้แล้วสอบปากคำเรียบร้อยแล้วว่าทนายเดชาไม่ได้เข้าไปเรียกเงินแต่อย่างใด สามารถไปขอดูหลักฐานดังกล่าวได้ ถ้าใครอยากจะได้ตนก็พาไปได้ เรื่องพวกนี้เป็นข่าวใส่ร้าย อันนี้ 100% ถ้าใครยังพูดอยู่ เดี๋ยวผมก็จะเอาหมายศาลใส่ไปให้ที่บ้าน” นายเดชา ระบุ

‘สนธิ’ ลั่นเดินหน้าฟ้องกราวรูด ‘ช่องวัน’ พร้อมผู้เกี่ยวข้อง แม้ออกแถลงการณ์ขออภัย แต่ช้าไปต่างจาก ‘TOP News’ ที่ทำทันที

(20 พ.ย.67) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ 'คุยทุกเรื่องกับสนธิ' หรือ Sondhitalk กล่าวถึงกรณีสื่อ 2 ช่อง TOP Newsและ ช่องวัน นำเสนอข้อมูลจากนายเดชา กิตติวิทยานันท์ กล่าวพาดพิงทำให้เสียหาย โดยระบุว่า ทางช่อง TOP News ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการออกแถลงการณ์ขออภัยทันที กรณีเสนอข่าวบทสัมภาษณ์ทนายเดชาคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง พร้อมทั้งได้บริจาคเงินจำนวน 100,000 บาท ให้กับมูลนิธิสงเคราะห์สัตว์ของพลตรีจําลอง ศรีเมือง อีกด้วย

“ยังเหลืออีกหนึ่งราย คือช่องวัน ไม่ต้องแถลงขอโทษแล้ว เพราะว่าผมรอคุณมานานแล้ว รอไปเจอผมที่ศาลก็แล้วกันคุณส่งคําแถลงมาขอโทษที่ล่าช้าไป ผมไม่รับแล้วตอนนี้ คุณต้องขึ้นศาล และฝากไปบอกผู้บริหารช่องวันด้วยว่า ผมจะฟ้องถึงผู้บริหาร ทั้งคุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ หากยังมีชื่อเป็นผู้บริหารอยู่ก็ต้องโดนด้วย เผลอ ๆ จะรวมไปถึงผู้ถือหุ้นด้วย ใครเป็นผู้ถือหุ้นช่องวันก็ระวังไว้ละกันทั้งหมดทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง”

นายสนธิ ยังย้ำด้วยว่า ก่อนหน้านี้ได้เปิดโอกาสให้ขอโทษแล้ว ก็ไม่ยอมขอโทษ ส่วนกับ TOP News นั้นไม่มีอะไรต่อกันแล้ว เพราะได้แก้ไขปัญหาทันที โดยยื่นความจํานงมาตั้งแต่ต้นว่า จะขอโทษ ซึ่งตนก็ตั้งเงื่อนไขช่องวันแบบเดียวกับ TOP News ซึ่งทาง TOP News ได้ตอบสนองในทันที พร้อมแก้ไขปัญหาแบบง่าย ๆ แต่แสดงออกถึงความจริงใจ ในขณะที่ช่องวัน กลับไม่ยอมตอบสนอง อาจจะถือตนว่าเป็นช่องไฮโซหรืออย่างไร ทั้ง ๆ ที่เพิ่งโดนชาวบ้านด่าทั่วบ้านทั่วเมืองในเรื่องของการทรมานสัตว์ สุดท้ายขอย้ำอีกครั้งว่า เตรียมตัวรับหมายศาลจากตนได้เลย

‘สนธิ’ ประเมิน!! การเมืองใกล้สุกงอม พร้อมลงถนน ถ้าจำเป็น จวก!! การเมืองโจรสีเทา เล็งเข้าพบ ขอคำตอบจาก ‘แพทองธาร’

(24 พ.ย. 67) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการและเจ้าของรายการสนธิทอล์ค กล่าวถึงการประกาศทิศทางทางการเมือง ในการจัดงาน ‘ความจริง มีหนึ่งเดียว เพื่อชาติ ครั้งที่ 4’ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันนี้ ว่าหลักๆ แล้วผู้ปราศรัยแต่ละคนจะมีประเด็นที่พูดถึงสังคมและชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียอธิปไตยของชาติ MOU 44 กฎหมายใหม่ ข้อตกลงใหม่ของ WHO องค์การอนามัยโลก จะเป็นผลร้ายต่อประเทศอย่างไร และส่วนตัวจะเป็นคนพูดสรุปปิดท้าย พยายามชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่จำเป็นว่าจะเป็นรัฐบาลการเมืองหรือรัฐบาลทหาร ยังมีปัญหาที่คนไทยทุกคนต้องทนกับมันมาตลอด โดยไม่มีใครเข้ามาแก้ไข กระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวทุกอย่าง โดยจะยกตัวอย่างหลายเรื่อง เช่น กรณีทนายตั้ม การฉ้อโกงที่มีมากอย่างผิดปกติ เรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังไม่จบ เรื่องเขากระโดง ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทำให้คนไทยช้ำใจที่ศาลฎีกาพิพากษาแล้วว่าเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่อธิบดีกรมที่ดินออกมาแถลงว่าไม่ใช่ จึงจะชี้ให้ประชาชนเห็นทุกอย่าง วันนี้คือประเทศไทยที่เราอยู่มา และตั้งคำถาม ถามว่าเราอยากจะอยู่ในประเทศนี้หรือไม่ จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปหรือต้องหาวิธีคิดที่จะทำอะไร เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะทุกวันนี้นักการเมืองไม่ได้สนใจอะไร การเมืองประชาธิปไตยในบ้านเรา สามารถตั้งพรรคการเมืองกันได้ง่าย ไม่พอใจไปตั้งพรรคซึ่งไม่ใช่การเมืองที่สร้างสรรค์และคนที่เข้ามาในการเมืองแต่ละคนไม่เหมือนต่างชาติ ระบอบการเมืองไทยเปิดโอกาสให้โจรคนสีเทา คนมีเงินเข้ามาเล่นการเมือง และเมื่อมีอำนาจทางการเมืองก็จะเกิดเหตุอย่างเช่น เขากระโดง

นายสนธิยังประเมินสถานการณ์การเมือง ณ วันนี้ว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทยฟาดฟันพรรคภูมิใจไทย เรื่องเขากระโดง เพราะต้องการเกิดการต่อรองเรื่อง สนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งการเมืองมีอยู่แค่นี้ มีแต่ความเลวทราม และตนจะพูดถึงชั้น 14 ด้วยว่าเป็นไปได้อย่างไร ถือเป็นการขยี้กระบวนการยุติธรรมไทย ตนคิดว่าถึงเวลาต้องรวบรวมกลุ่มคนที่เห็นด้วยหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้สังคมไทยหรือนักการเมืองเลวๆ ได้รับรู้

ส่วนการรวบรวมคนจะมีม็อบหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า ไม่รู้ ต้องวัดไปตามสถานการณ์ อย่าตั้งคำถามว่าจะให้ตนออกถนนหรือเปล่า เพราะไม่รู้ ตนไม่อยากลง แต่ถ้าจำเป็น เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตก็จะทำ ซึ่งตอนนี้เริ่มร้อนแรงแล้ว อาจต้องรอให้เดือดกว่านี้อีกนิดหน่อย และคิดว่าสถานการณ์ขณะนี้สำหรับประชาชนอย่างตนใกล้สุกงอมแล้ว แต่สำหรับนักการเมือง พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ดูรายงาน สว.สีน้ำเงิน ไม่มีใครแตกถ้านักการเมืองคุม สส. สว. ได้ แล้วประเทศไทยจะเหลืออะไร

เมื่อถามถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าพร้อมคุยกับนายสนธิและทุกฝ่ายนั้น นายสนธิ กล่าวว่า ได้เตรียมตัวแล้ว โดยจะรวบรวมเรียบเรียงคำร้องเรียนที่จะพูด เพื่อจะเข้าพบนายกรัฐมนตรี จะยื่นรายละเอียดให้ดู และจะถามคำตอบอย่างตรงไปตรงมาในหลายเรื่อง ซึ่งทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น

ภูมิธรรม ย้ำ!! รัฐบาลรับฟังปม ‘เอ็มโอยู 44’ ขอ!! ‘สนธิ’ อย่าลงถนน ทำประเทศเสียหาย

(8 ธ.ค. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมยื่นหนังสือถึงนายกฯ ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 44 ในวันที่ 9 ธ.ค.ว่า

ถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีความเห็นต่างก็สามารถเสนอความคิดเห็นเข้ามาได้ รัฐบาลพร้อมรับฟัง ยืนยันว่าเอ็มโอยู 44 ยังไม่ไปถึงไหน คณะกรรมการชุดเดิมได้หมดอายุลงแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่า จะตั้งคณะกรรมการในลักษณะใด มีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง ซึ่งรัฐบาลกำลังฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายอยู่ ซึ่งขณะนี้ก็มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและเห็นต่าง ซึ่งเราพร้อมรับฟัง

เมื่อถามว่า หลังจากนายสนธิยื่นหนังสือแล้ว ประเมินว่าจะมีสถานการณ์รุนแรงจนนำไปสู่การรัฐประหารหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เชื่อว่าจะไม่มีเหตุรุนแรงอะไร เพราะรัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย ส่วนที่นายสนธิประกาศจะลงถนนนั้น ขอว่าอย่าทำแบบนั้นเลย เพราะจะทำให้ประเทศเสียหาย กระทบไปถึงภาคเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว รวมถึงความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ หากเกิดสภาวะที่ไม่ปกติ ความเชื่อมั่นก็จะหาย การฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ไม่เกิด จึงหวังว่าอย่ามีใครสร้างสถานการณ์ทำให้เกิดความวุ่นวาย ขอให้ดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญ

“ขณะที่กองทัพเข้าใจสถานการณ์ดี ทุกเหล่าทัพ มีหน้าที่รักษาความมั่นคงของประเทศ และพร้อมช่วยกันประคับประคองเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ ให้ทุกอย่างอยู่ในภาวะปกติที่สุด ส่วนตัวเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เหตุที่ทำให้เกิดการรัฐประหารได้ หากมีกลุ่มไหนสร้างสถานการณ์ทำให้เกิดความวุ่นวาย เราก็พร้อมดำเนินการตามกฎหมาย” นายภูมิธรรม กล่าวทิ้งท้าย

‘อ.ปานเทพ’ เผย ‘ทนายเดชา’ ติดต่อขอไกล่เกลี่ย ด้าน ‘สนธิ’ ลั่นไม่ต้องมา ขอเดินหน้าแบบสุดซอย

(6 ก.พ. 68) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในรายการ News Hour ทาง สถานีข่าว NEWS1 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา ซึ่งมีการฟ้องร้องกันไปมา โดยระบุว่า ทนายเดชา ซึ่งรู้จักกับคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ได้ไหว้วานให้ช่วยเป็นคนกลาง นําพาทนายเดชา เข้าไปขอขมาคุณสนธิ เพื่อจะได้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่าง ๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ซึ่งปรากฏว่า ทางคุณอัจฉริยะได้ปฏิเสธไป เพราะมองว่า เป็นเรื่องของคนสองคน ที่เขาไม่ควรเข้าเกี่ยวข้องด้วย

นายปานเทพ ยังบอกด้วยว่า คุณสนธิ ได้ฝากข้อความหลังจากได้ทราบเรื่องแล้ว โดยระบุว่า ทนายเดชาไม่ต้องมาขมาหรือขอไกล่เกลี่ย เพราะคุณสนธิเขาจะเดินหน้าจัดการสุดซอยอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ถือว่าเป็นความความคืบหน้าของคดีความที่พิพาทกันระหว่างคนสองคนดังกล่าว

‘สนธิ’ เผย!! ‘บิ๊กโจ๊ก’ ถอนฟ้อง คดีหมิ่นประมาท ให้แล้วทุกคดี ชี้!! ทำพลาดที่สุดในชีวิตที่ไปฟ้อง อ้อน!! ขอให้เมตตาเหมือนเดิม

(8 ก.พ. 68) นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ประธานที่ปรึกษาสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ เป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ ได้จัดรายการ SONDHITALK ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep : 279 และได้กล่าวถึง ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีใจความว่า ...

ผมโดน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ฟ้องคดีหมิ่นประมาท ทั้งหมด 8 คดี 7 คดี ฟ้อง ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ใน 7 คดีนั้นมีอยู่ 6 คดี ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ชี้ว่ามีมูล แล้ว 6 คดี ก็มีคำสั่งมาจากท่านอธิบดีว่า ให้จบภายใน 6 เดือน แล้วเขาก็ใช้คุณมินนี่ ฟ้อง อีกคดีที่จังหวัดเลย เป็นคดีหมิ่นประมาทเช่นเดียวกัน 

ซึ่งผม นายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าสู้คดีอย่างสุดฤทธิ์ โดยที่ไม่เกรงกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น ปรากฏว่า บิ๊กโจ๊ก ถอนฟ้องคดีทุกคดี โดยระบุว่าโจทก์และจำเลย ตกลงกันได้ แต่เนื่องจากเขาถอนฟ้อง โดยไม่ได้คุยอะไรกัน ก็กลายเป็นว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย จนกระทั่ง ‘ทนายนกเขา นิติธร ล้ำเหลือ’ ได้มาแจ้งว่า บิ๊กโจ๊ก ได้ถอนฟ้องหมดแล้ว ถอนฟ้องโดยไม่มีเงื่อนไข สรุปแล้วทั้ง 8 คดี ถอนฟ้องหมดเลย

และสิ่งที่ บิ๊กโจ๊กพูด สิ่งที่เขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็คือ การมาฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล

และบิ๊กโจ๊ก ก็ได้มีโอกาสมาเข้าพบ ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ถอนฟ้องแล้ว ก็มาบอกว่า ขอโทษ และให้ช่วยเมตตาเหมือนเดิม ซึ่งคำว่าเมตตานั้น ถ้าผมเห็นว่าคุณทำผิด แล้วผมจะพูดผิด ให้กลายเป็นถูกนั้น ผมทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าคุณทำอะไรแล้ว มันก้ำกึ่ง ผมจะให้ความยุติธรรมกับคุณ

‘สนธิ’ แจง!! ไม่เคยพูดว่า ‘พีระพันธุ์’ เกี่ยวข้องกับคนบนเรือในคดีแตงโม แต่เชื่อ!! รู้จักกับ ‘ปอ ตนุภัทร’ สนิทถึงขั้นให้เรียก ‘อาตุ๋ย’ อย่างเป็นกันเอง

(16 ก.พ. 68) นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส และเจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ขอชี้แจงเรื่องคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

ผมขอชี้แจงเรื่องที่ผมพูดไปใน "สนธิเล่าเรื่อง" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา(12ก.พ.) ว่า คุณปอ ตนุภัทร หนึ่งในคนบนเรือ ได้มีการโทรศัพท์คุยกับคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้น ผมยืนยันว่าไม่ได้เป็นข้อมูลที่มาจาก DSI เลย และไม่มีทางที่ DSI จะส่งข้อมูลนี้มาให้ผม แต่ผมได้ข้อมูลและการวิเคราะห์จากแหล่งข่าวของผมเอง

ข้อแรก เมื่อคืนวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ จัดรายการ "โคนันเมืองไทย" แล้วใบ้คำถึงคนบนเรือ โทรคุยกับนักการเมืองคนหนึ่ง แล้วใบ้คำว่าหนึ่ง เป็นรัฐมนตรีในชุดที่แล้วและรัฐมนตรีชุดนี้ สอง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง สาม เป็นคนดูแลกระทรวงสำคัญ และสี่ เป็นผู้ที่จบและมีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ผมเห็นข้อมูลแล้ววิเคราะห์ได้ว่าน่าจะหมายถึงคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และไม่ใช่ผมคนเดียว เพราะคอมเมนต์ในคลิปคุณอัจฉริยะ ก็มีคนคิดแบบผมพิมพ์เข้ามาเยอะมาก ในที่สุดผมก็เลยต้องให้ทีมงานไปค้นรูปเก่าๆ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพีระพันธุ์ กับคนบนเรือ ว่ามีหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณปอ ซึ่งเป็นคนค้าขายเรือและรถหรู น่าจะรู้จักนักการเมืองเยอะ ผมก็เลยเจอรูปจริงๆ ผมเลยเชื่อว่าคุณปอ จะต้องโทรหาคุณพีระพันธุ์ 

ประกอบกับผมมีพยานกลับใจคนหนึ่งมาบอกว่า คุณปอ โทรหาคุณพีระพันธุ์ และมีการพูดคุยกันจริง แล้วผมก็วิเคราะห์และเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้ นอกจากสื่อมวลชนและ DSI ต้องไปสอบคุณพีระพันธุ์ เอาเอง ผมแค่ยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้รับข้อมูลจากที่ไหนเลย แต่ได้มาจากแหล่งข่าวและการวิเคราะห์ของผมเอง

และผมก็ได้ข่าวว่า คุณปอเรียกคุณพีระพันธุ์ว่า "อาตุ๋ย" ทุกคำ เพราะช่วงก่อนเลือกตั้งปี 2566 นายปอ เข้าไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มานำเสนอโปรแกรมระบบไอที ตอนนั้นในพรรคก็ต่อต้าน เพราะกลัวนายปอ จะแย่งงาน แสดงว่านายปอ กับคุณพีระพันธุ์ รู้จักและสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ส่วนจะโทรและคุยกันเรื่องอะไร ไม่ทราบ เพียงแต่ว่าในวันที่โทรนั้นเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากที่พบว่าแตงโม ได้เสียชีวิตไปแล้ว ให้ผมเดา ผมไม่กล้าเดา ก็เป็นไปได้ว่าจะโทรไปปรึกษาหารือเรื่องคดีความ แต่จะเป็นอะไรนั้น ผมไม่รู้จริงๆ เอาเป็นว่า ข้อแรก ความจริงก็คือว่า ทั้งคุณพีระพันธุ์ และคุณปอ รู้จักกันดี ถ้าไม่รู้จักกันดีจะเรียกว่า อาตุ๋ย ได้อย่างไร และสอง ได้มีการโทรไปจริง นี่ผมวิเคราะห์จากสิ่งแวดล้อมแล้ว

‘สนธิ’ ลั่นเดินหน้าสุดซอยสั่งสอนเด็กเมื่อวานซืน ‘Nailname’ ปมใช้ข้อมูลเท็จใส่ร้าย แถมฟ้องหมิ่นแก้เกี้ยว แต่สุดท้ายศาลยกฟ้อง

‘สนธิ’ ลั่นเดินหน้าสุดซอยฟ้อง Nailname ปมใช้ข้อมูลเท็จปั้นน้ำเป็นตัวประเด็น "สนธิ VS ทักษิณ ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลือง-แดง"

(4 มี.ค. 68) จากกรณีนางสาวรติศา วิเชียรพิทยา ยูทูบเบอร์สาวที่ใช้ชื่อว่า Nailname ที่เคยออกออกมาไลฟ์สดโดยมีหัวข้อว่า “สนธิ vs ทักษิณ ตํานานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงินจุดเริ่มต้นสงครามเหลือง-แดง” กระทั่งถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ฟ้องหมิ่นประมาท และทางยูทูบเบอร์สาว ก็ได้ฟ้องหมิ่นประมาทนายสนธิด้วยเช่นเดียวกัน

ล่าสุด นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า หลังจากที่คุณเนลเนม ได้ออกมาไลฟ์สด ด้วยการเอาข่าวที่ไหนมาก็ไม่รู้ มาบอกว่าสาเหตุที่ตนทะเลาะกับทักษิณ ชินวัตรเพราะว่าไปยืมเงินไม่ได้ จากนั้นก็ออกมาฟาดฟันทักษิณ พูดง่าย ๆ ก็คือ พูดง่าย ๆ ที่ตนออกมาประท้วงทักษิณนั้น เป็น เพราะว่าไปยืมเงินทักษิณแล้วทักษิณไม่ให้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ดังนั้น ตนจึงฟ้องหมิ่นประมาท และจากการไต่สวนสวนมูลฟ้องแล้ว ในที่สุดศาลอาญาบอกมีมูล 

“ตอนที่เธอถูกฟ้องอยู่นั้น ทนายผมบอกว่า เธอติดต่อมาว่า จะขอไกล่เกลี่ย ขอขมาลาโทษแล้วเธอก็ไม่ติดต่อไปอีกเลย ที่เธอไม่ติดต่อมาอีก คือเธอก็สวมวิญญาณของคุณเดชา (ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์) โดยไปฟ้องผมที่ศาลนนทบุรีว่า ระหว่างที่ผมพูดถึงเรื่องเธอนั้น ได้หมิ่นประมาทเธอหลายเรื่อง ผมก็สู้ด้วยการเข้าไปชี้แจง จนกระทั่งในที่สุดแล้วศาลนนทบุรี ก็มีคําสั่งออกมา ว่ายกฟ้อง เพราะศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า สิ่งที่คุณเนลเนมยกมานั้น ไม่มีมูล”

ทั้งนี้ สุดท้ายแล้วปรากฏว่า ข้ออ้างข้อกล่าวหา ที่เนลเนม บอกว่าตนไปหมิ่นประมาทเธอ อย่างเช่นคําว่า “เด็กเมื่อวานซืน” เธอฟ้องด้วยนะว่าหาว่าหมิ่นเธอ ซึ่งศาลก็บอกว่า ในข้อเท็จจริงแล้วโจทย์ก็อายุน้อยกว่าจำเลยมาก การที่พูดว่าเด็กเมื่อวานซืนจึงไม่ใช่เรื่องผิด หรือแม้กระทั่งที่บอกว่าเธอเคยทํางานในร้านนวด เธอก็เห็นว่า เป็นการดูหมิ่น และด้อยค่า ทางศาลก็ได้ระบุว่า อาชีพหมอนวดเป็นอาชีพสุจริต ทั้งมีวิญญูชนทั่วไป ก็ไม่น่าจะคิดว่าผู้ประกอบเช่นนี้จะไม่สามารถทํางานสื่อได้ ข้อความส่วนนี้จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาท

ส่วนคำว่า เด็กเมื่อวานซืน ซึ่งเป็นการพูดเชิงเปรียบเทียบมา เนื่องจากโจทย์มีอายุน้อยกว่า อีกทั้งยังมีประสบการณ์น้อยกว่าจำเลยมาก ซึ่งเป็นความจริงจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทย์ และสุดท้ายแล้วศาลก็ยกฟ้อง 

ดังนั้น กระบวนการที่จะฟ้องตนให้คดีมีมูลแล้วนำเอาคดีมาแลกกันนั้น ก็ถือว่าล่มสลายไปแล้ว หลังจากนี้ ในส่วนคดีที่ตนเป็นโจทย์ฟ้องเนลเนมนั้นก็จะยังคงดำเนินต่อ โดยศาลท่านให้ดำเนินการเรื่องสืบพยานโจทย์ ซึ่งทางทนายได้แจ้งมาว่า คุณเนลเนมได้เลื่อนมาหลายครั้งแล้ว แต่หลังจากนี้ตนจะไม่ให้เลื่อนอีกแล้ว 

นายสนธิ ย้ำว่า สำหรับคดีที่ตนถูกฟ้องนั้น ก็จะสู้คดีโดยไม่ถอย แต่หากเป็นกรณีที่ตนฟ้องคนอื่น ถ้าอะไรที่ยอมได้ก็จะยอมให้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ก็จะไม่ยอม จะไม่ไกล่เกลี่ยเด็ดขาด ต้องดำเนินการไปให้สุดซอย

การบินไทยแจง 6 ข้อ ปมเหมาซื้อ ‘Boeing 787’ กว่า 80 ลำ ลั่นโปร่งใสตามแผนฟื้นฟู ไม่มีคอมมิชชั่นแอบแฝง พร้อมเปิดรับการตรวจสอบ

(17 เม.ย. 68) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ออกหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางการจำนวน 6 ประเด็นหลัก เพื่อตอบข้อสงสัยกรณีจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 787 (Boeing  787) รวมกว่า 80 ลำ ซึ่งถูกหยิบยกในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เมื่อวันที่ 6 เมษายน โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสม ความปลอดภัย และแรงจูงใจในการจัดซื้อ

การบินไทยระบุชัดเจนว่า การจัดซื้อเครื่องบินรุ่น Boeing 787-9 Dreamliner จำนวน 45 ลำ พร้อมสิทธิ์จัดซื้อเพิ่มเติมอีก 35 ลำ ภายในปี 2576 เป็นไปตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างเคร่งครัด ซึ่งมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพฝูงบิน รักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน และสนับสนุนการเติบโตในเส้นทางการบินระยะไกล พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่มีบุคลากรของบริษัทฯ คนใดได้รับผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนใด ๆ จากผู้ผลิตเครื่องบิน

ในจดหมายดังกล่าว ฝ่ายสื่อสารองค์กรของการบินไทย ชี้แจงโดยละเอียดว่า

1. เครื่องบินโบอิ้ง 787-9 พร้อมเครื่องยนต์ GEnx ของ GE Aerospace ถูกเลือกจากเหตุผลด้านสมรรถนะ ความประหยัดพลังงาน และความสามารถในการบำรุงรักษา อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

2. กระบวนการจัดซื้อเป็นไปตามมาตรฐานสากล ที่สายการบินชั้นนำทั่วโลกใช้อย่างแพร่หลาย พร้อมย้ำว่าไม่มีการแทรกแซงจากกลุ่มผลประโยชน์ใด

3. เครื่องยนต์ GEnx ของ GE มีชั่วโมงบินสะสมมากกว่า 50 ล้านชั่วโมงทั่วโลก เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในอุตสาหกรรมการบิน

4. การบินไทยเลือกใช้เครื่องบินและเครื่องยนต์ที่ผ่านการรับรองจาก FAA (สหรัฐฯ), EASA (ยุโรป) และ กพท. (ไทย) รวมถึงอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ

5. บริษัทเลือกใช้ Boeing 787-9 รุ่นล่าสุด ซึ่งต่างจากรุ่น 787-8 ที่เคยมีปัญหาในอดีต โดยนำบทเรียนครั้งนั้นมาใช้ในการตัดสินใจในครั้งนี้

6. ย้ำว่าการจัดซื้อครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างศักยภาพฝูงบินของประเทศ และช่วยผลักดันกรุงเทพฯ สู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

การบินไทยยังกล่าวขอบคุณนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เป็นสื่อกลางสะท้อนข้อสงสัยจากสาธารณชน พร้อมเชิญชวนหากมีข้อมูลเพิ่มเติมโดยเฉพาะเรื่องคอมมิชชัน ให้แจ้งหรือเปิดเผยต่อบริษัทฯ เพื่อการตรวจสอบโดยโปร่งใส ยืนยันว่าบริษัทเปิดรับข้อมูลจากทุกฝ่าย และมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้จริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ

‘NailName’ ขอโทษ!! ‘สนธิ’ กรณีจุดเริ่มต้น สงครามเหลืองแดง หลังออก!! คลิป YouTube บิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่ตรวจสอบ

(17 พ.ค. 68) รายการ 'แฮชแท็ก' จากช่อง YouTube NailName ออกมาแสดงความรับผิดชอบและกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการต่อ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล หลังจากที่คลิปวิดีโอตอน '#สนธิ vs ทักษิณ: ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลืองแดง' ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์

คลิปดังกล่าวพยายามอธิบายเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต โดยมีเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง

ในคลิปขอโทษล่าสุด เนม – รติศา วิเชียรพิทยา ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวยอมรับความผิดพลาดในการนำเสนอข้อมูลและขอโทษต่อ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการเผยแพร่ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของรายการและเคารพต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในคลิปนั้นมีใจความว่า …

"ตามที่ข้าพเจ้า เนม รติศา วิเชียรพิทยา หรือ nailname เผยแพร่คลิปวิดีโอ ชื่อหัวข้อ #สนธิ vs ทักษิณ ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลืองแดง เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 เผยแพร่ใน YouTube ช่อง NailName ซึ่งเนื้อหาในคลิปวิดีโอดังกล่าว ข้าพเจ้าขอยอมรับว่าไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานหรือข่าวใด ๆ ที่ยืนยันได้ว่า คุณสนธิไปยืมเงินคุณทักษิณ โดยปรากฏข่าวว่าคุณสนธิปฏิเสธว่าไม่ใช่เพื่อนรักกับคุณทักษิณ และมีบุคคลอื่น เคยขอโทษคุณสนธิเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังที่ปรากฏข้อมูลไว้ในคลิปวิดีโอดังกล่าว โดยเนื้อหาในคลิปวิดีโอ ทำให้คุณสนธิได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียง ข้าพเจ้ารับทราบแล้วจึงขออภัยและขอโทษมาด้วยความจริงใจ ต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และขอบคุณคุณสนธิยินดีที่จะไกล่เกลี่ยและไม่เอาความ มา ณ โอกาสนี้"

เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงบทเรียนสำคัญในวงการสื่อออนไลน์ ที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบุคคลและองค์กรได้อย่างมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top