Tuesday, 3 June 2025
ทหารไทย

‘พลทหารหนุ่ม’ อัดคลิปติ๊กต็อก ตอกกลับชาวเน็ตปากแจ๋ว หลังเจอคอมเมนต์เหมารวม ถาม “ศักดิ์ศรีของทหาร ยังมีอยู่หรือ?”

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งชื่อ ‘9bill official’ ได้ออกมาพูด ถึงกรณี ‘ศักดิ์ศรีของทหาร’ โดยเจ้าตัวเผย ว่า ตนเป็นทหารยศสิบเอก เป็นทหารชั้นผู้น้อย การที่ตนได้ออกมาทำคลิปดังกล่าวนั้น เป็นการทำเพื่อสาธารณประโยชน์ และให้ความรู้ ความเข้าใจแก่น้อง ๆ เยาวชน เพื่อนำไปใช้สำหรับประกอบการตัดสินใจ ในการสมัครทหาร หรือการสอบนายสิบ

โดยพลทหารหนุ่มได้กล่าวต่อว่า ทหารทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณฐานตามแนวชายแดน และในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ การที่ทหารเหล่านี้ต้องจับปืน ออกไปเสี่ยงภัย ไปทำหน้าที่เพื่อปกป้องประชาชน และความสงบสุขของประเทศชาติ ยังไม่เสียสละพออีกหรือ?

นอกจากนี้ พลทหารหนุ่มได้ย้อนถามกลับผู้ที่เข้ามาคอมเมนต์ว่าร้ายทหารแบบเหมารวม ว่า มีความกล้าแบบนี้หรือไม่ แม้แต่เกณฑ์ทหารยังไม่กล้าเลย

“ชายไทย อายุ 21 ปี ต้องเกณฑ์ทหาร เราเป็นชายไทย เกิดเป็นผู้ชายก็ต้องผ่านการเกณฑ์ทหาร ถูกต้องไหม? ซึ่งคุณจะสมัคร หรือหยิบใบดำใบแดงก็แล้วแต่คุณ แต่อย่ามาพูดแบบนี้อีกนะน้องนะ พี่เตือนไว้นะ อย่าไปพูดแบบนี้อีก ถ้าด่าผมคนเดียว ผมไม่ว่าอะไรเลย ผมจะไม่ตอบกลับเลย แต่นี่คุณเหมือนด่าองค์กรผม ผมขอบอกเอาไว้เลยนะครับว่า องค์กรทหาร เป็นองค์กรที่ศักดิ์สิทธิ์ ทหารไม่ได้เพิ่งมีเมื่อปี 24 นะครับ ทหารมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย สืบทอดกันมา ทหารเรามีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ดูแล ปกป้องประชาชน เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ทรงพระราชทานเงินเดือน 26 ล้านบาท ตลอดการเป็นทูลกระหม่อมอาจารย์ 35 ปี แก่ ‘รร.นายร้อย จปร.’

ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงพระราชทานเงินเดือน 26 ล้านบาทของพระองค์ ตลอดเวลา 35 ปีที่เป็นทูลกระหม่อมอาจารย์ พร้อมดอกเบี้ย ให้กับโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) เหล่าศิษย์ จปร.ต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

 

โดย ผู้พันเบิร์ด พันเอกวันชนะ สวัสดี ได้เปิดเผยกับ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร ว่า ได้รับทราบจาก พลโทสิทธิพล ชินสำราญ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2560 นักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 5 ได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมบ้านสวนปทุม หลายท่านอาจสงสัยว่าเป็นสถานที่อะไร สถานที่นี้ คือ ‘พระตำหนักของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ’ ซึ่งใช้เป็นที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ ของที่ระลึกที่ได้รับมาจากสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งของที่ทรงซื้อมาโดยพระองค์เอง

 

ซึ่งในวันนั้น พระองค์จะเป็นผู้บรรยายเรื่องราว ประสบการณ์ในที่ต่างๆ ผ่านข้าวของแต่ละชิ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความรู้ที่น่าสนใจ และน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก

 

หลังเสร็จสิ้นการบรรยายและเดินชมของในทุกห้องแล้ว พลโท สิทธิพล จึงได้มีโอกาสสอบถามข้าราชบริพารว่า ปกติแล้วมีคณะอื่นเข้ามาที่บ้านสวนปทุมแห่งนี้หรือไม่ ข้าราชบริพารตอบว่า มีกลุ่มนักเรียนนายร้อย ซึ่งนับเป็นโชคดีมากเพราะไม่มีคณะอื่นเข้ามาเลย นอกจากนักเรียนนายร้อยเท่านั้น

 

แต่ยังมีเรื่องที่ผู้บัญชาการเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง มีความสำคัญและซาบซึ้งกินใจเช่นกัน นั่นก็คือในวันนั้นพระองค์ได้พระราชทานเช็คเป็นจำนวน 19,201,788.48 บาท เงินจำนวนนี้ แท้จริงแล้วคือ เงินเดือนของพระองค์เอง

 

พลโทสิทธิพล เล่าให้ฟังต่อว่า ในปี 2558 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้พระราชทานเงินเดือนทั้งหมดของพระองค์ ที่รับราชการมาตลอด 35 ปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 26 ล้านบาท โดยในปีนั้นได้พระราชทานมาแล้ว 7 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย ส่วนที่เหลือพระองค์บอกว่ายังอยู่ในธนาคารอีก 19,000,000 บาท และจะครบกำหนดเบิกได้ในปี 2560

 

กระทั่งเมื่อปี 2560 มาถึง พระองค์ได้ทรงพระราชทานส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด ให้กับ ‘กองทุนพัฒนาโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า’ รวมทั้งหมด 26,894,502.19 บาท

 

โดยทรงพระราชทานเช็คให้ ‘กองทุนพัฒนาโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า’ มาแล้ว 7,431,194.22 บาท เมื่อ 29 กย. 2558

 

จากนั้น เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2560 ทรงพระราชทานเช็คเงินจำนวน 19,201,788.48  บาท ลงวันที่ 26 มิ.ย. 2560 และให้ดอกเบี้ย ตั้งแต่ 13 ต.ค. 2558–13 ก.ค. 2560 อีกจำนวน 271,519.49 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 26,894,502.19 บาท

 

ซึ่งเอาไว้สำหรับพัฒนาการศึกษาของนักเรียนนายร้อย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อเหล่านักเรียนนายร้อย ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันอย่างหาที่สุดมิได้

 

แต่อันที่จริงแล้ว คุณประโยชน์ทั้งหมดนี้ ก็ไม่ได้ก่อเกิดกับเฉพาะนักเรียนนายร้อยเท่านั้น เพราะในท้ายที่สุดแล้วนักเรียนนายร้อยเหล่านี้ ก็จะออกมารับใช้ประเทศชาติในงานด้านความมั่นคง นำมาซึ่งความผาสุกของประชาชนคนไทยทั้งชาติ

 

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า พระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ จึงมีต่อปวงชนชาวไทยทุกคน และประเทศชาติไทยอย่างแท้จริง

 

‘สุทิน’ วอน!! เลิกด้อยคุณค่าการเป็น ‘ทหาร’ ให้ข้อมูลผิดๆ ทำเด็กสับสน จนไม่อยากเป็น

(1 เม.ย. 67) ที่กองพันทหารสื่อสารที่ 1 เขตสาทร กทม. นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ตรวจเยี่ยมการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2567 โดยมีทหารกองเกินที่สมัครรายงานตัววันนี้ 85 คน ผ่อนผัน 38 คน หลีกเลี่ยง 1 คน อายุครบเกณฑ์ 21 ปี มี 15 คน ส่วนคนที่อายุ 22-29 ปี มี 26 คน คนขาดของปีที่แล้ว 5 คน และมีคนแจ้งสมัครใจ 1 คน ยอดความต้องการ กองทัพบก 4 นาย / กองทัพเรือ 4 นาย

โดยเมื่อนายสุทิน มาถึงได้ร่วมเคารพธงชาติกับทหาร และผู้ที่มารับการตรวจเลือก ในเวลา 7.20 น. ซึ่งมีการอัดเสียงการเคารพธงชาติเหมือนในเวลา 8.00 น. มาเปิดช่วงเวลาดังกล่าวด้วย

นายสุทิน กล่าวกับผู้เข้ารับการตรวจเลือกฯ ตอนหนึ่ง ว่า เป็นโอกาสสำคัญของลูกผู้ชายไทย เนื่องจากบางประเทศไม่ได้จับสลากเพื่อเข้ารับการตรวจเลือก หลายประเทศต้องเป็นทหารทันทีเมื่ออายุถึงเกณฑ์ เช่นเกาหลีใต้ และบางประเทศแม้แต่ผู้หญิงก็ต้องเป็นทหาร เช่นอิสราเอล ในขณะที่ของประเทศไทย ผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารทั้งหมด โดยใช้วิธีจับสลากจำนวนเท่าที่จำเป็น ดังนั้นการเป็นชายไทย มีโอกาส มีเสรีภาพที่สูงมาก แต่ก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เพราะมีความจำเป็นที่ต้องรักษาความมั่นคง

ทั้งนี้ ตนเข้าใจว่าหลายคนที่มารับการคัดเลือกมีความวิตกกังวลในหลายเรื่อง เช่น กลัวจับใบดำใบแดงแล้วต้องเป็นทหาร ต้องเสียโอกาส ไม่ได้เรียนต่อ หรือต้องออกจากงาน หรือชีวิตจะลำบาก ไม่มีคนดูแลพ่อแม่ บางคนก็กลัวครูฝึกจะฝึกแบบโหด แบบนอกลู่นอกรอย จึงขอแจ้งกับทุกคนว่า ในปีนี้รัฐบาลชุดใหม่ และตนซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ จึงมีการปรับเปลี่ยนการคัดเลือกหลายอย่าง เพื่อไม่ให้ผู้ที่เข้ารับราชการเป็นทหาร ต้องเสียสิทธิ์ต่าง ๆ ไป ทั้งยังได้สิทธิ์เพิ่มขึ้น ใครเรียนอยู่แล้วจะได้เรียนต่อ โดยให้แจ้งความจำนงที่หน่วย เพราะกลาโหมได้เซ็น MOU กับกระทรวงศึกษาธิการไปแล้ว ซึ่งกระทรวงศึกษาฯ ยินดีจัดการศึกษาให้ถึงหน่วย และปรับเวลาให้เรียนหลังการฝึก ดังนั้นทุกวันนี้การศึกษาก็จะเรียนได้หลายระบบ และในทุกระดับ ยืนยันว่าไม่เสียสิทธิ์การเรียนแน่นอน นอกจากนี้ยังได้เรื่องของอาชีพ รวมถึงมีบริษัทเอกชนเปิดรับหลังจบเกณฑ์ทหาร 

นายสุทิน กล่าวอีกว่า ลูกผู้ชายต้องมีประสบการณ์ที่เบาบ้างเข้มบ้าง เบาอย่างเดียวก็จะอ่อนแอ ผู้ชายต้องเป็นมนุษย์หินบ้างในบางโอกาส เพราะฉะนั้นการฝึกทหารก็จะมีด่านที่ให้ทำให้แข็งแกร่ง เข้มแข็ง อดทน อึด บึก เพราะฉะนั้นระบบฝึกก็จะมีทั้งเข้มแข็ง เบาหนัก แต่ถ้านอกลู่นอกรอย บังคับขู่เข็ญทำร้าย มีน้อยมาก ส่วนที่เป็นข่าวคือมีคนจงใจ แต่ยอมรับบางส่วนอาจจะมีจริงบ้าง ซึ่งต่อไปนี้จะกวดขันอย่างเด็ดขาด กำชับไม่ให้มีการลงโทษนอกรูปแบบ แต่ให้เป็นไปตามระเบียบเท่านั้น ต่อไปจะมีศูนย์ออนไลน์ให้ร้องทุกข์ ใครถูกกลั่นแกล้ง ถูกลงโทษนอกระเบียบ ก็ให้ออนไลน์ร้องทุกข์ได้ ขอให้ไม่ต้องกังวล พร้อมยืนยันการตรวจเลือกโปร่งใสทุกขั้นตอน ใครเห็นกระบวนการที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม ให้เรียกร้องได้ทันที

นายสุทิน กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ในโอกาสที่วันนี้เป็นวันแรก ของการตรวจเลือกทหารกองเกิน จึงถือโอกาสมาดูความเรียบร้อย เพื่อให้ความมั่นใจกับเยาวชนและผู้ปกครอง วันนี้ก็ได้เห็นกระบวนการตรวจเลือกซึ่งมีทั้งพยานบุคคล ระบบ ระเบียบ และขั้นตอนที่ชัดเจน จึงขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่า กระบวนการตรวจเลือกทหารไว้ใจได้ เชื่อถือได้ ซึ่งหลายคนคงได้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนขึ้น และน่าจะมีผู้สมัครใจมากขึ้นด้วย ส่วนเรื่องที่ยังคงห่วงใย คือความรู้สึกของเด็กที่ยังสับสนอยู่ เพราะว่าในขณะที่ตนพยายามชี้แจง ทำความเข้าใจ ถึงคุณค่าของการเป็นทหาร ก็ยังมีอีกฝ่าย หรือหลายฝ่ายที่พยายามด้อยคุณค่าของการเป็นทหาร ซึ่งข้อมูลมีทั้งกระแสบวกและกระแสลบ อาจทำให้เด็กสับสน 

“ผมขอร้องและขอฝากไปยังกระบวนการที่ทำให้เด็กไขว้เขว หรือพยายามทำให้เด็กไม่สมัคร ไม่อยากเป็นทหาร ตนมองว่าเป็นความคิดที่ไม่มีประโยชน์ต่อประเทศ ถึงแม้จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ในระยะยาว จึงอยากจะขอให้เบาลงหรือเลิกพฤติกรรมเหล่านี้” นายสุทิน กล่าว 

หลังเกิดเหตุ ‘กองทัพกะเหรี่ยง’ KNLA ทิ้งระเบิดใส่ฐานเมียนมา ห่างชายแดนไทย 1 กม.

(3 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊กข่าวทหาร เปิดเผยภาพทหารไทยหน่วยเฉพาะกิจราชมนู และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 35 กองกำลังนเรศวร ยังคงตรึงกำลังตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาอย่างเข้มงวด จากเหตุการณ์กองกำลังกะเหรี่ยง KNLA โจมตีฐานทหารเมียนมา (ทมม.) ที่ฐานปูลูตู่วานนี้

โดยมีการใช้โดรนทิ้งระเบิดใส่ฐานปฏิบัติการของทมม. บริเวณเนิน 1248 อำเภอแลงปอย จังหวัดผาอัน รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านตะละออกา ตำบลแม่อุสุ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ห่างจากแนวชายแดนไทยประมาณ 1 กิโลเมตร ส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้บริเวณเพิงพักของฐานและลุกลามไปยังพื้นที่โดยรอบ

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมา (ผภสม.) ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

ขณะเดียวกันยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย

พี่ทหารพาน้องนักเรียนเที่ยว 'One Day Trip' ที่ ‘ปราสาทตาเมือนธม’ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ซึมซับความพอเพียงและศรัทธา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

(9 พ.ค. 68) กองกำลังสุรนารีจัดกิจกรรม 'One Day Trip' นำคณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนดงรักวิทยา และโรงเรียนจันทน์หอมตาเสก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เดินทางทัศนศึกษายังแหล่งสำคัญใน จ.สุรินทร์ และ จ.อุบลราชธานี โดยจุดแรกได้พาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย เพื่อศึกษาอารยธรรมโบราณที่เปี่ยมด้วยคุณค่าและความงดงามทางประวัติศาสตร์

จากนั้นคณะได้เดินทางต่อไปยังโครงการทหารพันธุ์ดี ร.6 พัน.3 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เพื่อเรียนรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางศาสตร์พระราชาในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปิดท้ายทริปด้วยการเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดพระธาตุหนองบัว เพื่อเสริมสิริมงคลในชีวิต

กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน เสริมสร้างประสบการณ์ตรงจากแหล่งเรียนรู้จริง และเข้าใจบทบาทของกองทัพในพื้นที่ชายแดน อีกทั้งยังช่วยจุดประกายแรงบันดาลใจและความตระหนักรู้ในหน้าที่พลเมืองที่ดีของชาติ

ทั้งนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เคยกล่าวถึงประเด็นพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมว่า ไทยยังคงรักษาอธิปไตยตามกรอบ MOU 43 พร้อมย้ำแนวทางหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญลุกลามเป็นความขัดแย้ง พร้อมยืนยันว่าการลดกำลังทหารต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติอย่างมั่นคง

อุบลราชธานี-ด่วน!!! 'เสียงปืนแตก' ยิงปะทะทหารกัมพูชาที่ช่องบก ล่าสุดทหารไทยปลอดภัย ยังคงตรึงกำลังเข้มในพื้นที่

(28 พ.ค.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ว่าเมื่อเวลา 05.30 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี รายงานว่าได้เกิดเหตุปะทะกับกำลังทหารกัมพูชาที่เข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างสองประเทศ

ฝ่ายไทยได้ส่งชุดประสานงานเข้าพูดคุยตามแนวทางปกติ แต่เกิดความเข้าใจผิดจากฝ่ายกัมพูชาที่เข้าใจว่าเป็นการเคลื่อนกำลัง จึงเปิดฉากใช้อาวุธยิงใส่ ทำให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้ โดยการปะทะกินเวลาราว 10 นาที

ต่อมาในเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ฝ่ายไทย เพื่อยุติการปะทะ ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังในพื้นที่

ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อหาข้อยุติในประเด็นการอ้างสิทธิ์ และวางแนวทางปฏิบัติร่วมกันอย่างสันติ โดยกองทัพบกยืนยันว่า กำลังพลฝ่ายไทยทุกนายปลอดภัย ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต พร้อมรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมให้ทราบในโอกาสต่อไป

‘ฮุน เซน’ ลั่นอาวุธพร้อม...รอสอยเครื่องบินรบไทย มั่นใจระบบป้องกันภัย KS-1C ยิงไกล 70 กม.

(29 พ.ค. 68) ภายหลังจากเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี วานนี้ (28 พ.ค.) ล่าสุด สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์สื่อยืนยันว่า กัมพูชามีระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมยิงตอบโต้เครื่องบินรบหากถูกคุกคาม โดยระบุว่าสามารถสกัดเป้าหมายได้ในระยะหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งเพียงพอต่อการป้องกันประเทศ

ปัจจุบัน กัมพูชาได้รับมอบระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ Kaishan-1C (KS-1C) จากรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นระบบพื้นสู่อากาศระยะกลางที่มีระยะยิงไกลสุด 70 กิโลเมตร และเพดานยิงสูงสุด 27 กิโลเมตร โดยเป็นหนึ่งในระบบที่สมเด็จฮุน เซนกล่าวถึงในการยืนยันศักยภาพของประเทศด้านการป้องกันภัยทางอากาศ

คำแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเพจ “กองทัพอากาศไทย” เผยแพร่ภาพการฝึกยุทธวิธีของฝูงบิน 211 จากกองบิน 21 อุบลราชธานี ซึ่งจำลองการรบทางอากาศและการโจมตีเป้าหมายภาคพื้น เพื่อเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงและปกป้องอธิปไตยของชาติหากเกิดเหตุจำเป็น

โซเชียลกัมพูชาผุดแคมเปญ ‘หยุดใช้สินค้าไทย’ เชิญชวนกลับมาสนับสนุนสินค้าชาติให้เติบโต

(30 พ.ค. 68) จากกรณีเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี จนทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และกลายเป็นประเด็นร้อนระหว่างประเทศ

ล่าสุด บนโลกโซเชียลมีเดียฝั่งกัมพูชากำลังเกิดกระแส เผยแพร่ข้อความเชิญชวนให้ “หยุดใช้สินค้าไทย” โดยระบุว่าเป็นการแสดงจุดยืนทางความเชื่อและทัศนคติทางการเมือง พร้อมย้ำว่าจะเลิกใช้สินค้าจากประเทศไทยทันที โดยข้อความต้นทางระบุว่า 

“นี่คือโอกาสสำคัญที่เราทุกคนจะหันกลับมาสนับสนุนสินค้าในประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพ พัฒนาอุตสาหกรรมและหัตถกรรมของชาติ รวมถึงส่งเสริมการเคลื่อนไหวทางชาตินิยมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น”

แม้ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดถึงกลุ่มผู้ริเริ่มแคมเปญดังกล่าว แต่ข้อความนี้ได้ถูกแชร์ต่อในหลายแพลตฟอร์มอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งผู้สนับสนุนที่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว และผู้คัดค้านที่มองว่าเป็นการกระทำที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

ผู้เขียน ‘Why Nations Fail’ มอง!! ผู้นำทหารในการเมือง ยกกรณี ‘เกาหลีใต้’ สร้างชาติได้เข้มแข็ง วางรากฐานมั่นคง

(1 มิ.ย. 68) หลังจากที่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือ Why Nation fail. ของ คุณ James A Robinson. ขอสรุปไว้ดังนี้ครับ

ข้าพเจ้ามองว่า " ผู้เขียน Why Nations Fail อาจเลือกเปรียบเทียบไทยกับเกาหลีใต้ เพราะต่างเคยเผชิญการล่าอาณานิคมในช่วงใกล้เคียงกัน ในหัวข้อของการนำทหารออกจากการเมืองนั้น การเปรียบเทียบต้องพิจารณาบริบทภายในที่แตกต่างกัน ไทยถูกทหารบางฝ่ายแทรกแซงตั้งแต่ ปี2475 แม้ในนามประชาธิปไตย แต่กลับกลายเป็นจุดด่างดำของประวัติศาสตร์ ขณะที่ทหารไทยเองในยุคสมัยต่อมาก็ทำให้บ้านเมืองเจริญงอกงามได้อย่างไม่มีที่ติ ดูสิแม้แต่ เกาหลีใต้ เริ่มจากผู้นำทหารหลังยุคสงครามแต่ก็สามารถวางรากฐานรัฐเข้มแข็งได้จริง ที่เราควรสนใจจริงๆคือเราจะสร้างระบบยุติธรรมที่จัดการคนโกงได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ ชาติล่มสลาย หรือเปล่า?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top