Sunday, 20 April 2025
ตะวันออกกลาง

ยุทธศาสตร์คานงัดเศรษฐกิจไทย 10 ล้านล้าน โอกาสที่ 'อาเซียน-จีน-ตะวันออกกลาง' พร้อมเสิร์ฟ

“...ปีนี้จะเป็นปีแห่งโอกาสในวิกฤติทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวของไทย...”

“…เราทำเงินจากโอกาสการค้าของไทยกว่า 10 ล้านล้านบาท ในตลาดอาเซียน-จีน-ตะวันออกกลาง...”

นี่คือคำกล่าวโดยนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ และอดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นภาคต่อ (ติดตามตอนแรก >> https://thestatestimes.com/post/2023031438) ในการฉายภาพเศรษฐกิจไทยที่กำลังพุ่งทะยาน โดยมีประชาธิปัตย์ทันสมัยเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนผ่านกระทรวงเกษตรฯ 

สำหรับในตอนล่าสุดนี้ นายอลงกรณ์ ได้พา THE STATES TIMES ไปโฟกัสถึงโอกาสขนาดใหญ่ที่ไทยกำลังปั้นให้เกิดเป็นผลลัพธ์จาก ตลาดอาเซียน-จีน-ตะวันออกกลาง ซึ่งเข้ามามีบทบาทต่อการเติบโตของภาคเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้...

ปลายปี 2565 ไทยเป็นเจ้าภาพในการประชุม APEC ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและมีผลต่อเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคอาเซียนอย่างมาก รวมถึงการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ในรอบ 30 ปี ถือเป็น 'ลมส่งท้าย' ถึงปีนี้ ซึ่งจะเป็นปีแห่งโอกาสในวิกฤติของไทยทางด้านการค้า, การลงทุน, การท่องเที่ยว

เริ่มต้นปีด้วยข่าวดี เมื่อจีนเริ่มผ่อนคลายนโยบายการควบคุมโควิดและเปิดประเทศในเดือนมกราคม

ทั้งนี้ภาคการเกษตรของไทยถือเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยพร้อมกับยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรไทย ภายใต้วิสัยทัศน์เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในประเทศ พร้อมทั้งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรม องค์ความรู้ ศาสตร์พระราชาภูมิปัญญาไทยโดยจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) ทั้ง 77 จังหวัด และศูนย์ AIC ประเภทศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence) อีก 23 ศูนย์ เมื่อ 1 มิถุนายน 2563 ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่สำคัญของการยกระดับอัพเกรดการพัฒนาประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 และยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตบนความร่วมมือระหว่าง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์กับ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ

สำหรับโอกาสการค้าการลงทุนของไทยในจีน-ตะวันออกกลาง และอาเซียน ประเทศไทยถือได้ว่ามีศักยภาพสูงโดยใช้จุดแข็งของไทยที่ขอเรียกว่า...

>> '8 ลมใต้ปีก' ช่วยผลักดันโอกาสของไทยและหุ้นส่วนเศรษฐกิจให้เดินหน้าสู่ความสำเร็จ ได้แก่...

1. การฟื้นสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย 
- สร้างระเบียงเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Corridor) ระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย อาเซียนและตะวันออกกลาง

2. รถไฟลาว-จีน เชื่อมไทย เชื่อมโลก 
- การพัฒนาโลจิสติกส์เชื่อมการขนส่งการค้า และการลงทุนของไทยไปยังตลาดทุกมณฑลในจีน อาเซียนตะวันออกกลาง เอเซียกลาง ยุโรป และอังกฤษเพราะการขนส่งสินค้าจะเร็วขึ้น ต้นทุนจะลดลง โดยเฉพาะอีสานเกตเวย์ และท่าเรือหวุ่งอ๋างเปิดเส้นทางสู่แปซิฟิก

3. 'ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค' (RCEP:Regional Comprehensive Economic Partnership)
- เป็นเขตการค้าเสรี (FTA) ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ภาษีนำเข้าสินค้าไทยเหลือศูนย์ทันทีเกือบ 30,000 รายการ ใน 14 ประเทศที่ร่วมเป็น FTA Partner ของ RCEP เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 โดยมีสมาชิก 15 ประเทศรวมทั้งจีน และประเทศอาเซียนซึ่งผู้มีบทบาทสำคัญคือรองนายกรัฐมนตรีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีพาณิชย์และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นประธานการประชุมตั้งแต่ต้นจนบรรลุข้อตกลงRCEP

4. มินิ-เอฟทีเอ (Mini-FTA)
- เป็นกลยุทธ์ใหม่เพิ่มโอกาสความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนเปิดตลาดเมืองรองในประเทศต่างๆ ปูทางสร้างโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยรัฐมนตรีพาณิชย์เดินหน้าเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองต่างๆในหลายประเทศ เช่น ไห่หนาน, กานซู และเสิ่นเจิ้นของจีน / เมืองโคฟุของญี่ปุ่น / เมืองเตลังกานาของอินเดีย และปูซานของเกาหลีใต้ เป็นต้น

5. FTA และการเปิดเจรจา FTA รอบใหม่ 
- ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีผลบังคับใช้แล้วถึง 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ ทำให้ไทยมีศักยภาพในการเป็นจุดหมายการลงทุนและการค้า รวมทั้งการเปิดเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป อังกฤษ EFTA และ UAE

6. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
- เป็นอีกปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญต่อการค้าการลงทุนในการสร้างศักยภาพเศรษฐกิจ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น โครงการรถไฟสี่รางทางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 โครงการทางหลวงระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์)

จีน แนะ ซาอุฯ - อิหร่าน - อิรัก - UAE - กาตาร์ - บาห์เรน ผนึกกำลัง สร้างพันธมิตรกองทัพเรือร่วมกัน เพื่อความมั่นคง

อัล จาดีด สำนักข่าวตะวันออกกลางรายงานว่า ประเทศในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ได้แก่ ซาอุดิอารเบีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตท์ (UAE) กาตาร์ และ บาห์เรน กำลังวางแผนที่จะสร้างพันธมิตรกองทัพเรือร่วมกัน เพื่อความมั่นคงในการคมนาคมขนส่งในตะวันออกกลาง โดยมีจีนทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจาครั้งนี้ 

ข่าวนี้ ได้รับการยืนยันจากกองทัพเรืออิหร่าน เมื่อ พลเรือตรี ผบ.ทร ชาห์ราม อิรานี ได้กล่าวออกสื่อโทรทัศน์ในอิหร่านเมื่อวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า อิหร่านยินดิที่จะเข้าร่วมพันธมิตรกองทัพเรือกับชาติอื่นในตะวันออกลาง และหากทำสำเร็จ อาจมีการรวมกองทัพเรือของอินเดีย และ ปากีสถาน มาร่วมด้วย

พลเรือตรี ชาห์ราม อิรานี ได้กล่าวเสริมว่า ประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้เล็งเห็นแล้วว่า การผนึกกำลังร่วมมือกันเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างความมั่นคงในดินแดนแถบนี้ได้ 

และนับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของจีน ในฐานะคนกลางในการเจรจาสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง โดยก่อนหน้านี้ ในช่วงเดือนมีนาคม จีนสามารถพาคู่พิพาทระหว่างซาอุดิอารเบีย และ อิหร่าน กลับมาจับมือ และ สานสัมพันธ์ทางการทูตได้อีกครั้งหลังจากที่บาดหมางกันมานานหลายสิบปี 

ทำให้นักวิเคราะห์ที่เฝ้าสังเกตการในตะวันออกกลางมองว่า จากการที่จีนประสบความสำเร็จในการจัดการกับข้อพิพาทระหว่างชาติในตะวันออกกลางด้วยแผนการร่วมมือในเชิงเศรษฐกิจ และ ความมั่นคงเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียอย่างชัดเจน ในขณะที่อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาเริ่มอ่อนจางไป 

และเห็นได้ชัดเจนยิ่งขี้น จากการที่ UAE ได้ถอนตัวออกจากกลุ่มกองกำลังร่วมทางทะเลที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ที่มีไว้เพื่อรักษาความปลอดภัยในย่านอ่าวเปอร์เซียที่เป็นเส้นทางการค้าน้ำมันที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งโลก ก่อนที่จะมีข่าวว่าเข้าร่วมในพันธมิตรกองทัพเรือที่เป็นแผนการของจีนในอีก 2 วันต่อมา 

แต่การประกาศร่วมมือกันในการสร้างกองทัพเรือของประเทศพันธมิตรในตะวันออกกลาง ที่มีอิหร่านร่วมด้วย สร้างความไม่พอใจแก่อิสราเอล ที่เคยพยายามกดให้ชาติพันธมิตรตะวันออกลางร่วมโดดเดี่ยวอิหร่าน ด้วยข้อกล่าวหาว่าอิหร่านแทรกซึม และสนับสนุนองค์กรก่อการร้าย อย่างกลุ่ม ฮิซบอลลาห์ ในเลบานอน หรือกลุ่มกบฎฮูตี ในเยเมน และอาจมีปัญหากับสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน เนื่องจาก กลุ่ม  Iranian Revolutionary Guard Corps หรือ กองพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพอิหร่านถูกขึ้นทะเบียนเป็นกลุ่มก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา

อีกทั้งยังเป็นการท้าทายอำนาจของสหรัฐอเมริกาโดยตรง อันเนื่องจากสหรัฐฯ ได้คว่ำบาตรทางการค้ากับอิหร่าน และกดดันประเทศพันธมิตรในการซื้อ-ขายน้ำมันจากอิหร่าน แต่เมื่อจีนได้พาอิหร่านมาจับมือกับชาติมหาอำนาจในตะวันออกกลางได้ ก็จะเปิดช่องทางการค้าให้กับอิหร่านอย่างเปิดเผย รวมถึงการสร้างความมั่นคงปลอดภัยในเส้นทางขนส่งทางทะเลผ่านแผนการสร้างพันธมิตรกองทัพเรือ ก็จะยิ่งลดบทบาทของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคนี้ลงไปเรื่อยๆ 

แต่ถึงแม้กลิ่นสันติภาพจะแรงในตะวันออกกลาง แต่บรรยากาศในทะเลจีนใต้ยังคงคุกรุ่น เมื่อจีนพยายามที่จะสร้างอิทธิพลในตะวันออกกลาง แต่กับไต้หวัน ดินแดนใกล้ตัว กำลังอ่อนไหวพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ อันเนื่องจากเขตพื้นที่ในตะวันออกกลาง สหรัฐฯ อาจยอมที่จะหลับตาข้างหนึ่งไปก่อน เพราะกำลังเปลี่ยนเป้าสายตามาลงที่ย่านอินโด-แปซิฟิค นั่นเอง 

บทสรุปราคาน้ำมันอาเซียน ใต้ ‘อุณหภูมิโลก-ตะวันออกกลาง’ เดือด ราคาเบนซินไทยเกาะกลุ่มกลางตาราง ส่วนดีเซลราคายังรั้งท้าย

เดือดปุดทั้งอาเซียน สมกับเป็นหน้าร้อนจริง ๆ เมื่อราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเร็วและแรงไปทั่วโลก จากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ผสานเข้ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่พุ่งไม่แพ้กัน จากโลกที่ร้อนเข้าขั้นเดือด เพราะดวงอาทิตย์มาอยู่แถวนี้พอดี ซึ่งโดยรวม ๆ แล้วทั้งโลก และหมายรวมถึงอาเซียนบ้านเรา ก็คงได้รับผลกระทบจากราคาที่ปรับขึ้นนี้ไปตาม ๆ กัน

ว่าแล้ว วันนี้เลยขอถือโอกาสมาเช็กราคาน้ำมันเชิงเปรียบเทียบ เอาแค่ในประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนดูกันสักเล็กน้อย ว่า ณ ตอนนี้ ที่ไหน ถูก- แพง กันบ้าง? เผื่อคนไทยเราจะสบายใจกันขึ้นเล็ก ๆ

อย่างไรก็ตาม อยากให้เข้าใจก่อนว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันถูกหรือแพงนั้น จะขึ้นอยู่กับ…

1. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ประเทศไหนสามารถผลิตเองได้ ก็นับว่าโชคดีไป ที่บรรพบุรุษหามาให้เป็นทรัพย์สมบัติ
2. ค่าขนส่งน้ำมัน ถ้าประเทศที่ต้องนำเข้าคงไม่ต่างกันมากนัก แต่ประเทศที่ผลิตเองได้ ก็จะทำให้ค่าขนส่งถูกลง
3. ประเทศที่มีโรงกลั่นน้ำมันเอง ซึ่งในอาเซียน มีอยู่ 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์, ไทย, มาเลเซีย และ เวียดนาม 
4. ภาษีต่าง ๆ ที่ในแต่ละประเทศเรียกเก็บ

ทั้งนี้ หากในส่วนของอาเซียน ก็มีประเทศที่สามารถขุดน้ำมันมาใช้เองได้ โดยแทบไม่ต้องนำเข้าด้วย ได้แก่... 
1. มาเลเซีย
2. บรูไน
3. อินโดนีเซีย

ส่วน ประเทศไทย และ เวียดนาม ผลิตใช้เองได้เล็กน้อย คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของปริมาณความต้องการเท่านั้น

คราวนี้ ก็ได้เวลาพามาดูราคาน้ำมันสำเร็จรูป ในกลุ่มอาเซียน ที่รายงานอยู่บนเว็บไซต์ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 พบว่า…

>> ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ในสิงคโปร์ แพงที่สุด คือ 80.29 บาทต่อลิตร ตามมาด้วย ลาว 57.57 บาทต่อลิตร, กัมพูชา 48.33 บาทต่อลิตร, เมียนมา 43.32 บาทต่อลิตร, ไทย 40.35 บาทต่อลิตร, ฟิลิปปินส์ 40.23 บาทต่อลิตร, เวียดนาม 36.61 บาทต่อลิตร, อินโดนีเซีย 33.23 บาทต่อลิตร, มาเลเซีย 15.79 บาทต่อลิตร และ บรูไน 14.33 บาทต่อลิตร

>> ส่วนราคาน้ำมันดีเซล แพงสุดก็ยังเป็น สิงคโปร์ 72.99 บาทต่อลิตร, กัมพูชา 45.59 บาทต่อลิตร, เมียนมา 43.32 บาทต่อลิตร, ลาว 36.62 บาทต่อลิตร, ฟิลิปปินส์ 36.61 บาทต่อลิตร, อินโดนีเซีย 35.85 บาทต่อลิตร, เวียดนาม 31.11 บาทต่อลิตร, ไทย 30.94 บาทต่อลิตร, มาเลเซีย 16.56 บาทต่อลิตร และ บรูไน 8.38 บาทต่อลิตร

ทั้งนี้ ต้องบอกให้ทราบกันก่อนว่า ราคาจากประเทศที่มีเห็นว่าน้ำมันถูกนั้น ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลแต่ละประเทศจะมีการอุดหนุนทั้งสิ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซีย มาเลเซียและบรูไน ที่แม้จะเป็นประเทศที่สามารถผลิตน้ำมันใช้เองได้ก็ตาม

แต่จากภาวะสงครามความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้แต่ละประเทศเริ่มอุ้มไม่ไหวแล้ว จะเริ่มลอยตัวราคาน้ำมันตามกลไกตลาดกันแล้ว เพราะการอุ้มนาน ๆ จะทำให้เศรษฐกิจส่วนอื่นไม่รู้ต้นทุนจริง สุดท้ายประเทศจะไม่มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

อย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายราฟิซี รามลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจมาเลเซีย ก็ได้ออกมาระบุว่า มาเลเซียเตรียม ‘ลดการอุดหนุน’ ราคาน้ำมันเบนซินในปีนี้ เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งสาเหตุที่รัฐบาลมาเลเซีย เตรียมลดการอุ้มราคาน้ำมันนั้น เป็นเพราะผลจากการอุ้ม ทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณประเทศที่มีตัวเลขพุ่งไปแตะ 5% ของ GDP ในปี 2566 จนกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และไม่เพียงเท่านั้น ยังส่งผลให้สกุลเงินริงกิตของมาเลเซียใกล้แตะระดับต่ำสุดในรอบ 26 ปี ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินในเอเชียเมื่อปี 2541 อีกด้วย

ดังนั้น รัฐบาลมาเลเซีย จึงตั้งเป้าหมายในปีนี้ว่า จะลดภาวะขาดดุลงบประมาณจาก 5% ของ GDP ลงเหลือ 4.3% ของ GDP โดยเริ่มจากลดการอุดหนุนน้ำมันเบนซิน RON95 ซึ่งเป็นประเภทเบนซินราคาถูกที่สุด และชาวมาเลเซียใช้มากที่สุดด้วย โดยในปีที่แล้วรัฐบาลใช้งบประมาณไปกับการอุดหนุนเหล่านี้มากถึง 81,000 ล้านริงกิต หรือราว 622,000 ล้านบาท

*** ขนาดประเทศที่ผลิตน้ำมันใช้ได้เองอย่างมาเลเซียยังวิกฤต ก็เลยไม่อยากให้คิดว่าเมืองไทยไม่ทำอะไร ปล่อยแพงเอา ๆ

เพราะถ้าลองหันกลับมาดูประเทศไทยเราดี ๆ จะพบว่าราคาน้ำมันของไทย อยู่ในระดับกลาง ๆ ค่อนไปทางราคาถูกด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล เพราะมีการใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเข้าไปอุ้มอยู่ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หรืออุ้มน้ำมันดีเซลนาน ๆ ประเทศก็จะสูญเสียการแข่งขันเช่นกัน 

เนื่องจากตอนนี้ กองทุนน้ำมันบ้านเรา ได้เข้าอุ้มน้ำมันดีเซลอย่างเดียวก็ร่วม 60,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งถ้าจะให้พูดเชิงสำนึกกันสักหน่อย ก็น่าจะหมายถึงว่า “เวลาที่ภาคประชาชนต้องช่วยกันประหยัดน้ำมันกัน มันมาถึงแล้ว” เพราะต้องตระหนักรู้ด้วยว่า ประชาชนทุกคนที่ไม่ได้ใช้น้ำมันดีเซลก็มีเยอะ และเขาก็ต้องมาช่วยอุ้มน้ำมันดีเซลด้วยเช่นกันในตอนนี้

อย่างไรก็ดี ยังมีอีกสาเหตุที่ประเทศไทย ราคาน้ำมันไม่แพงพุ่งกระฉูด เพราะเรามีโรงกลั่นน้ำมันของเราเอง อยู่ที่จังหวัดระยอง, ชลบุรี และกรุงเทพฯ ที่มีความสามารถในการกลั่นเองมาใช้เองภายในประเทศได้หมด แถมส่งออกได้อีกต่างหาก เรียกว่าประเทศไทยแทบไม่ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป แต่ทว่าก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบอยู่

อีกเรื่องที่จะมองข้ามไม่ได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยทำให้ราคาน้ำมันพุ่งหรือไม่ คือ สงครามในภูมิภาคตะวันออกกลาง อันมีจุดเริ่มต้นจาก ‘อิสราเอล’ กับ ‘กลุ่มฮามาส’ ที่กำลังลุกลามยกระดับไปเป็น ‘อิสราเอล’ กับ ‘อิหร่าน’ แล้วนั่นเอง!!

ทำไมต้องจับตามอง? เพราะนอกจากจะส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบพุ่งแล้ว โดยภูมิศาสตร์ภูมิภาคแถบนั้น การขนส่งน้ำมัน 30 %ของโลกต้องผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ของอิหร่านทั้งสิ้น ดังนั้นถ้าเกิดสงครามลุกลามขึ้นมา แล้วอิหร่านคิดจะกดดันด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซแบบเบ็ดเสร็จ ก็ต้องมีการขนอ้อมไปทางอื่น ซึ่งจะทำให้ค่าขนส่งพุ่งกระฉูดอีกทางหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นคงไม่ต้องคิดว่าคนไทยและชาวโลกจะเดือดร้อนขนาดไหน

อย่างไรก็ตาม เห็นข่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กำลังเร่งจัดทำระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ หรือ SPR เพื่อสำรองน้ำมัน เตรียมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เป็นเวลา 90 วัน ซึ่งจะทำให้ราคาในประเทศไม่ผันผวนตามตลาดโลกแม้มีภาวะสงคราม ซึ่งเรื่องนี้อยากให้ได้รับความสนใจจากทุกหน้าสื่อสักหน่อย 

ส่วน THE STATES TIMES เองก็สนใจเรื่องนี้พอสมควร ไว้ขอไปศึกษาและคราวหน้าจะเอารายละเอียดมาฝาก...

เรื่อง: กองบรรณาธิการ THE STATES TIMES

เชื้อไฟสงครามปะทุ!! เตรียมดันราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น หลังภัย 'ตะวันออกกลาง' และ 'รัสเซีย' ยังคุกรุ่น

(25 มิ.ย.67) หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลก ประจำสัปดาห์วันที่ 17-21 มิ.ย. 67 และแนวโน้มในสัปดาห์วันที่ 24-28 มิ.ย. 67 โดยระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์สงครามคุกรุ่นในตะวันออกกลางและรัสเซีย

- นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล นาย Benjamin Netanyahu ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 67 ว่า การโจมตีกลุ่มฮามาส (ในฉนวนกาซา) กำลังจะสิ้นสุดลง และเป้าหมายของกองทัพอิสราเอลจะเปลี่ยนไปเป็นที่ชายแดนทางตอนเหนือของอิสราเอลติดกับเลบานอน ทั้งนี้กองทัพอิสราเอลประกาศจะปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ ต่อฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ทางตอนใต้ของเลบานอน ซึ่งอาจส่งผลให้ความขัดแย้งลุกลามกลายเป็นสงครามในภูมิภาค

- วันที่ 21 มิ.ย. 67 ทหารยูเครนใช้โดรน (Unmanned Aerial Vehicles) โจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย 4 แห่ง กำลังการกลั่นรวมกว่า 400,000 บาร์เรลต่อวัน (ประมาณ 6% ของกำลังการกลั่นรวม) ทำให้เกิดเหตุระเบิดและไฟไหม้ อนึ่งรัสเซียใช้โรงกลั่นดังกล่าวผลิตเชื้อเพลิงให้เรือรบที่ปฏิบัติการในทะเลดำ

- Energy Information Administration (EIA) รายงานว่าอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 มิ.ย. 67 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 1.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 21.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากประชาชนจำนวนมากออกมาใช้รถยนต์ช่วงฤดูขับขี่ท่องเที่ยว (วันที่ 27 พ.ค.-2 ก.ย. 67)

- Petroleum Planning and Analysis Cell (PPAC) ของอินเดียรายงานว่าปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบในเดือน พ.ค. 67 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.7% อยู่ที่ 5.12 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เร่งผลักดันเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดระบบ 

หมายเหตุ >> SPR : Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ ภายใต้การเร่งผลักดันให้เกิดโดย ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะเข้ามามีบทบาททำหน้าแทนที่กองทุนน้ำมันได้มากขึ้น โดยในอนาคตเมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ถือครองปริมาณน้ำมันมากที่สุดในประเทศจนเพียงพอสำหรับการใช้งานในประเทศได้ถึง 90 วันแล้ว รัฐบาลย่อมสามารถนำปริมาณสำรองเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นธรรมในประเทศได้ 

30 ธันวาคม 2549 ประหารชีวิต ‘ซัดดัม ฮุสเซน’ อดีตประธานาธิบดีอิรัก

ย้อนกลับไปในอดีต ซัดดัม ฮุสเซน มีบทบาทสำคัญในการก่อรัฐประหารในอิรักเมื่อปี พ.ศ. 2511 ซึ่งทำให้พรรคบะอัธของเขาขึ้นสู่อำนาจ และเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองประธานาธิบดี ก่อนจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2522

ซัดดัมกลายเป็นที่จับตามองของโลกในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย พ.ศ. 2534 เมื่ออิรักบุกยึดครองคูเวต ส่งผลให้เกิดสงครามกับประเทศพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกา สงครามกินระยะเวลาประมาณ 5 สัปดาห์ และอิรักก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แม้ว่าสงครามจะสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2538 แต่ผลพวงจากสงครามยังคงยืดเยื้อไปหลายปี

ซัดดัม ฮุสเซน กลายเป็นศัตรูสำคัญของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2533 ถึงแม้ว่าในช่วงแรกสหรัฐฯ เคยช่วยอิรักในการทำสงครามกับอิหร่าน แต่เมื่อซัดดัมบุกยึดคูเวตเพื่อใช้แหล่งน้ำมันกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถดถอยจากสงครามยาวนานกับอิหร่าน การกระทำนี้ถูกประณามจากนานาชาติและนำไปสู่การคว่ำบาตร รวมถึงการเริ่มต้นสงครามอ่าวเปอร์เซียในวันที่ 16 มกราคม 1991 เมื่อสหประชาชาติอนุมัติการใช้กำลังเพื่อลงโทษอิรัก

สงครามสิ้นสุดใน 6 สัปดาห์ เมื่อกองกำลังพันธมิตรสามารถขับไล่อิรักออกจากคูเวต หลังจากนั้น ซัดดัมตอบโต้การก่อจลาจลจากกลุ่มชีอะฮ์และชาวเคิร์ดด้วยการใช้กำลังอย่างรุนแรง

ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง อิรักถูกห้ามผลิตอาวุธเคมี ชีวภาพ และนิวเคลียร์ แต่การที่อิรักไม่ให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบของสหประชาชาติ ทำให้สหรัฐฯ และอังกฤษใช้เหตุผลนี้ในการโจมตีทางอากาศในปี 1998 พร้อมกับประกาศสนับสนุนกลุ่มที่ต้องการโค่นล้มซัดดัม

หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 สหรัฐฯ พยายามเชื่อมโยงซัดดัมกับกลุ่มก่อการร้ายและยืนยันในการปลดอาวุธรัฐบาลซัดดัม ในปี 2002 ซัดดัมยินยอมให้ฝ่ายตรวจสอบจากยูเอ็นเข้าประเทศ แต่ไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทำให้สหรัฐฯ และอังกฤษไม่พอใจและตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิรัก

วันที่ 17 มีนาคม 2003 จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ข่มขู่ให้ซัดดัมลงจากตำแหน่งภายใน 48 ชั่วโมง หากไม่เช่นนั้นจะประกาศสงคราม และเมื่อซัดดัมปฏิเสธ สหรัฐฯ และพันธมิตรจึงเปิดฉากโจมตีอิรักในวันที่ 20 มีนาคม

การโจมตีอย่างหนักทำให้ซัดดัมต้องหลบหนีพร้อมกับสมบัติของชาติ แต่ลูกชายของเขาสองคนถูกฆ่าตายในเมืองโมซุลเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 จนกระทั่งวันที่ 13 ธันวาคม ซัดดัมถูกจับกุม

ซัดดัมถูกนำตัวขึ้นศาลพิเศษในปี 2548 และถูกกล่าวหาว่าสั่งสังหารชาวชีอะห์ 148 คนในเมืองอัล-ดูจัย์ล ในเดือนกรกฎาคม 2549 ศาลตัดสินให้เขามีความผิดในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และสั่งประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ

ทรัมป์ขู่อิหร่าน หยุดหนุนฮูตี ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งคำเตือนถึงอิหร่าน ยุติการส่งอาวุธให้กลุ่มฮูตีโดยทันที รวมถึงกลุ่มติดอาวุธในเยเมน ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง 

“การโจมตีของสหรัฐฯ ต่อกลุ่มฮูตีจะเลวร้ายลงอีก และพวกเขาจะถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง!” ทรัมป์ระบุผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social

คำเตือนของทรัมป์มีขึ้นหลังจากกลุ่มฮูตีเปิดฉากโจมตีเรือสินค้าและเรือรบที่ผ่านทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ต่ออิสราเอลจากสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อเส้นทางการค้าโลก

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งให้กองทัพสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของฮูตีในเยเมน เพื่อตอบโต้การโจมตีเรือสินค้า และย้ำว่า ปฏิบัติการดังกล่าวจะดำเนินต่อไปจนกว่าฮูตีจะยุติการโจมตีในทะเลแดง

ทรัมป์ยังเน้นย้ำว่า อิหร่านต้องรับผิดชอบต่อการสนับสนุนกลุ่มฮูตี และเตือนว่าหากมีการโจมตีใดๆ เกิดขึ้นในอนาคตจากกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว อิหร่านจะต้องเผชิญกับผลกระทบอย่างรุนแรง

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการควบคุมสถานการณ์ในทะเลแดง และส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่มีการลดละความพยายามในการทำลายศักยภาพของกลุ่มฮูตี หากพวกเขายังคงคุกคามเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศ

สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนบนเวทีโลก โดยหลายฝ่ายจับตาดูว่าคำเตือนของทรัมป์จะส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้นหรือไม่

‘ก.ต่างประเทศ’ แถลงการณ์!! แสดงความผิดหวังต่อการใช้กำลังใน ‘ฉนวนกาซา’ เรียกร้อง!! ให้มีการปล่อยตัวประกัน ส่งคืนร่าง ‘ชาวไทย’ ที่เสียชีวิต กลับประเทศ

(22 มี.ค. 68) ‘กระทรวงการต่างประเทศ’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ...

แถลงการณ์: ประเทศไทยขอแสดงความผิดหวังยิ่งต่อการกลับมาใช้กำลังในฉนวนกาซา

ประเทศไทยรู้สึกห่วงกังวลและผิดหวังอย่างยิ่งต่อการกลับมาสู่การสู้รบในฉนวนกาซา ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 อันส่งผลกระทบให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเสียชีวิตและบาดเจ็บ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคได้รับความเสียหายอย่างหนัก 

ประเทศไทยร้องขอให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้นสูงสุด ยุติการสู้รบ และกลับสู่การเจรจาเพื่อปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและปล่อยตัวประกัน รวมทั้งอำนวยการขนส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซา เพื่อทำให้มั่นใจว่าภูมิภาคตะวันออกกลางจะมีเสถียรภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืน

ประเทศไทยเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันทุกคนที่เหลืออยู่ในฉนวนกาซาโดยเร็วที่สุด ซึ่งรวมถึงชาวไทย 1 คน และการส่งคืนร่างตัวประกันชาวไทยที่เสียชีวิต 2 ร่างกลับประเทศไทย

Statement: Thailand Is Profoundly Disappointed at the Return to Hostilities in the Gaza Strip

Thailand is profoundly concerned about and disappointed at the return to hostilities in the Gaza Strip since 18 March 2025, resulting in heavy casualty of innocent civilians, injuries, and severe damage to critical infrastructure and public utilities.

Thailand urges all sides to exercise utmost restraint, cease the hostilities and resume negotiations to implement the ceasefire and hostage agreement, as well as facilitate humanitarian assistance into the Gaza Strip to ensure stability and security in the Middle East. 

Thailand calls for the release of the remaining hostages in the Gaza Strip soonest, including one Thai national, and the retrieval of bodies of two Thai nationals.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top