Thursday, 16 May 2024
คริปโตเคอเรนซี่

Bitcoin ร่วงหนักในรอบ 10 เดือน ราคาหลุดต่ำล้านบาทไทยแล้ว

Reuters รายงานว่า เมื่อวันอังคาร (10 พ.ค.) Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลกร่วงลงต่ำกว่า 30,000 เหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน ขณะที่ในภาพรวมมูลค่าในตลาดของ Cryptocurrency หายไปเกือบ 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนที่ผ่านมาตามข้อมูลของ CoinMarketCap เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น 

เมื่อเทียบกับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดรอบล่าสุด ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2016 Cryptocurrency เป็นตลาดที่ใหญ่กว่ามาก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างกันกับระบบการเงินอื่น

>> ตลาด Cryptocurrency ใหญ่แค่ไหน?
จากข้อมูลของ CoinGecko เมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา สกุลเงินดิจิทัลที่นิยมมากที่สุดอย่าง Bitcoin ทะยานสู่ระดับออลไทม์ไฮ ที่กว่า 68,000 เหรียญสหรัฐ ดันให้มูลค่าของตลาด Cryptocurrency ขยับขึ้นไปที่ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาตัวเลขนั้นลงมาอยู่ที่ 1.51 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้เป็นมูลค่าของ Bitcoin เกือบ 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วย Ethereum ที่ 285,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

แม้ว่า Cryptocurrency จะเติบโตแบบระเบิดระเบ้อ แต่ตลาดยังค่อนข้างเล็ก ขณะที่ตลาดทุนของสหรัฐฯ มีมูลค่าถึง 49 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนสมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินระบุว่ามูลค่าคงค้างของตลาดตราสารหนี้สหรัฐอยู่ที่ 52.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นปี 2021

>> ใครครอบครองและซื้อขาย Cryptocurrency?
Cryptocurrency เริ่มจากการซื้อขายของรายย่อย แต่ความสนใจของสถาบันอย่าง บริษัทแลกเปลี่ยนเงินตรา บริษัทต่างๆ ธนาคาร เฮดจ์ฟันด์ และกองทุนรวมเติบโตอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันในตลาด Cryptocurrency ค่อนข้างหายาก แต่ CoinBase ผู้ซื้อขาย Cryptocurrency รายใหญ่ที่สุดในโลกระบุว่า นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของสินทรัพย์บนแพลตฟอร์มของบริษัทในไตรมาสที่ 4

ลูกค้าสถาบันของ CoinBase ซื้อขาย Cryptocurrency มูลค่า 1.14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2021 เพิ่มจากปี 2020 ที่อยู่ที่ 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

Bitcoin และ Ethereum ที่หมุนเวียนอยู่ในมือของคนไม่กี่คนเท่านั้น รายงานของเดือน ต.ค. ของสำนักวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ (NBER) พบว่า นักลงทุน Bitcoin 10,000 คนทั้งบุคคลและนิติบุคคลควบคุม 1 ใน 3 ของตลาด Bitcoin และนักลงทุน 1,000 คนครอบครองเหรียญ Bitcoin ราว 3 ล้านเหรียญ โดยจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโกพบว่า จนถึงปี 2021 ราว 14% ของชาวอเมริกันลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล

>> การล่มสลายของคริปโตจะกระทบระบบการเงินไหม?
แม้ว่าในภาพรวมแล้วตลาด Cryptocurrency จะค่อนข้างเล็ก แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ กระทรวงการคลัง และคณะกรรมการเสถียรภาพการเงิน (FSB) ระบุว่า Stablecoin หรือเหรียญดิจิทัลที่ตรึงมูลค่าไว้กับมูลค่าของทรัพย์สินจริงๆ เป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพการเงิน

Stablecoins ส่วนใหญ่จะใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ โดยได้รับการหนุนหลังจากสินทรัพย์ที่อาจสูญเสียมูลค่าหรือขาดสภาพคล่องในช่วงเวลาที่ตลาดตึงเครียด ในขณะที่กฎและการเปิดเผยเกี่ยวกับทรัพย์สินเหล่านั้นและสิทธิ์ในการไถ่ถอนของนักลงทุนยังคลุมเครือ

'นักเศรษฐศาสตร์' เตือนสติคนรุ่นใหม่เล่น 'คริปโต' ไม่ต่างจาก 'ชาวป่าบุชแมน' ที่คลั่งขวดน้ำอัดลม

'ดร.สุวินัย' เตือนสติคนรุ่นใหม่เล่นมือถือเทรด 'คริปโต' ไม่ต่างจาก 'ชาวป่าบุชแมน' ที่คลั่งขวดน้ำอัดลมเปล่าคิดว่าเป็น 'ของวิเศษ-ของขวัญจากฟ้า' คนที่มีปัญญามองเห็นเป็น 'วัตถุชั่วร้าย' ชี้อัลกอริทึมนี้สามารถดักราคาได้แบบกินรวบ

13 พ.ค. 65 - ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความ เรื่อง 'The Gods Must Be Crazy in 2022 : ตลกร้ายภาคเหรียญคริปโต' มีเนื้อหาดังนี้

ในหนังตลกเรื่อง "The Gods Must Be Crazy" (1980) เป็นหนังล้อเลียนชาวป่าบุชแมน ที่อยู่ดีๆ ก็มีขวดน้ำอัดลมเปล่าใบหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า

ตอนแรกชาวป่าบุชแมนเชื่อว่าวัตถุประหลาดชิ้นนี้มันเป็น "ของวิเศษ" ที่พระเจ้าประทานมาให้พวกเขา

หลังจากนั้นไม่นานวัตถุประหลาดชิ้นนี้ได้กลายเป็นสิ่งกำหนดพฤติกรรมและเปลี่ยนพฤติกรรมของพวกชาวป่าบุชแมนไปโดยไม่รู้ตัว จนทำให้แผ่นดินของชาวป่าบุชแมนไม่มีความสงบสุขเหมือนเช่นเดิมอีกต่อไป

คนที่มีปัญญาที่สุดในหมู่ชาวป่าบุชแมนเริ่มมองเห็น "ของวิเศษ" ชิ้นนี้ เป็น "วัตถุชั่วร้าย" และเอามันไปฝังดิน

แต่สุดท้ายก็มี "เด็กรุ่นใหม่" ไปพบมันเข้า และนำวัตถุประหลาดนี้กลับหมู่บ้านชาวป่าบุชแมนอีกครั้ง และทำให้แผ่นดินของชาวป่าบุชแมนวุ่นวายอีกครั้ง

ที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่ทั่วโลกที่เปิดรับเหรียญคริปโตเข้ามาในชีวิต ล้วนมีความเชื่อร่วมกันว่า เหรียญคริปโต คือ "ของขวัญจากฟ้า" ที่สามารถพลิกชีวิตตัวเองให้กลายเป็นคนรวยในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ โดยแค่ "แห่เข้าไป" ซื้อเหรียญคริปโต...จากนั้นแค่รอให้มันราคาพุ่งขึ้นอย่างกับติดจรวด แล้วค่อยเทขายทำกำไรจำนวนมหาศาล

ตำนานความเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ของเหรียญคริปโต เป็น "เรื่องเล่า" (story) ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างแนบเนียน โดยเขียนบทให้สอดคล้องกับบริบทของยุคสมัยด้วยการใช้ชุดศัพท์ภาษาที่แปลกหูสำหรับคนทั่วไป เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ ผู้คนทั่วโลกจะได้หลงเชื่อและแห่เข้าไปเล่น "เกมการเงินแห่งเหรียญคริปโต" นี้

ถ้าใครที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ฟองสบู่ จะทราบเป็นอย่างดีว่า Story แบบนี้มันเคยเกิดกับดอกทิวลิปที่เรียกว่า "เหตุการณ์คลั่งทิวลิป" (Tulip mania) มาก่อนเมื่อปี ค.ศ. 1634 ก่อนที่จะล่มสลายในปี ค.ศ. 1637
ในช่วงนั้นชาวดัตช์ที่คลั่งทิวลิป ย่อมไม่ต่างอะไรกับชาวป่าบุชแมนที่คลั่งขวดน้ำอัดลมเปล่า เพราะคิดว่าเป็น "ของขวัญจากฟ้า"...แต่นี่คือเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงๆ มิใช่หนังตลกปี 1980 ที่สร้างขึ้นเพื่อล้อเลียนชาวป่าบุชแมน

ผ่านไปเกือบสี่ร้อยปี เหตุการณ์ "คลั่งคริปโต" ที่เหมือนรีเมค "เหตุการณ์คลั่งทิวลิป" ก็เกิดขึ้นมาอีกราวกับเป็นเรื่องตลกร้ายที่ "พระเจ้า" กำลังหยอกเย้าพวกมนุษย์ยุคนี้ ที่ยังคงโง่เขลาและไร้สติอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum พ้อ!! หลังตลาดคริปโตฯ ดิ่งแรง "ฉันไม่ใช่มหาเศรษฐี Crypto อีกต่อไป"

Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum โพสต์ทวีตว่าเขาไม่ใช่มหาเศรษฐี Crypto อีกต่อไป หลังกระแสคริปโตฯ ดิ่งลงเหวอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้เหรียญคริปโตฯ ต่าง ๆ ถูกลดทอนมูลค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ

จากการเปิดเผยของ U.Today ระบุว่า Vitalik ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ และคงไม่สามารถปฏิเสธได้ เมื่อตลาดคริปโตฯ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับมหาเศรษฐีคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Elon Musk หรือ Jeff Bezos ซึ่งอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

ทั้งนี้ Vitalik และนักพัฒนาอื่นๆ อีกหลายคน รวมถึง Charles Hoskinson (ผู้ก่อตั้ง Cardano) และ Joseph Lubin ซึ่งได้ร่วมกันสร้างแพลตฟอร์ม Ethereum ขึ้นในปี 2014 โดย Vitalik ได้เปิดเผยว่า กระเป๋าเงินดิจิทัลในเดือนพฤศจิกายนที่มาผ่านมา ได้เก็บเหรียญ ETH ที่มีมูลค่าประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นมาราคาของสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ก็ลดลงประมาณ 55% ซึ่งทำให้ Vitalik หลุดสถานะ 'ความเป็นมหาเศรษฐี' ไปโดยปริยายในตอนนี้

ปธ.ธนาคารกลางยุโรป ฟาด!! คริปโตฯ ไร้ค่า สู้ ‘ยูโรดิจิทัล’ ที่มี ECB หนุนหลังไม่ได้

ประธานธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ฟาดแรง Cryptocurrencies ไร้ราคา ไม่ได้อิงจากสิ่งใดเป็นหลัก และไม่ควรมีสินทรัพย์พื้นฐานที่จะทำหน้าที่เป็นจุดยึดความปลอดภัย พร้อมหนุน CBDC ที่มี ECB หนุนหลังมีความปลอดภัยและมีเสถียรภาพมากกว่า

จากการเปิดเผยของ Cryptoandcoin ระบุถึงถ้อยแถลงของนาง Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB โดยกล่าวว่า ยูโรดิจิทัลมีความสามารถและมีความมั่นคงให้ผู้ค้าปลีก และนักลงทุน อีกทั้งยังมีความปลอดภัย ตลอดจนมูลค่าที่แท้จริงซึ่งได้รับการยอมรับมากกว่าสกุลเงินดิจิทัล โดยขณะนี้ทางสหภาพยุโรปอยู่ในช่วงของกระบวนการพิจารณาความเหมาะสมของค่าธรรมเนียมในสกุลเงินยูโรดิจิทัล (CBDC) เพื่อกำหนดในการใช้ทำธุรกรรมต่อไปในอนาคต

“Cryptocurrencies นั้นไม่ได้อิงจากสิ่งใดเลย และต้องได้รับการควบคุมเพื่อปกป้องบุคคลจากโอกาสในการเก็งกำไรด้วยเงินออมทั้งชีวิต ฉันเป็นห่วงผู้คนที่ไม่เข้าใจอันตรายใดๆ ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียจากความผันผวนที่รุนแรง นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันคิดว่าต้องได้รับการควบคุม และจากการประเมินโดยรวม มันไม่มีคุณค่าและต่ำต้อยมาก มูลค่าที่แท้จริงมันไม่มีราคา ผู้คนที่ชื่นชมต่างมโนมูลค่ามันขึ้นมาเองจากความต้องการในการเก็งกำไร ความเป็นจริงที่ชุมชนคริปโตฯ รับรู้แต่พยายามปฏิเสธและไม่ยอมรับความจริงว่ามันไม่มีสินทรัพย์อ้างอิงที่จะทำหน้าที่เป็นจุดยึดความปลอดภัยได้” Christine Lagarde ประธานสถาบันการเงินกลางของยุโรปกล่าว

ขณะเดียวกัน Lagarde เผยว่า เงินยูโรดิจิทัลสามารถเข้าถึงง่าย ได้รับการยอมรับ และปลอดภัยกว่า โดยเธอยอมรับเพิ่มเติมว่า ไม่ได้ลงทุนใน Cryptocurrencies ใดๆ เลยเนื่องจากเห็นถึงปัจจัยเสี่ยงเชิงลบมากมาย และการใช้ Cryptocurrencies ในเส้นทางการเงินที่ผิดกฎหมาย กลับกันนั้น Euro Digital มีโอกาสในการเข้าถึงการยอมรับ และมีความปลอดภัยมากกว่า

“ในวันที่เราออกอัตราแลกเปลี่ยนดิจิทัลของสถาบันการเงินกลาง เงินยูโรดิจิทัลใดๆ ก็ตามจะได้รับการรับรอง ดังนั้นสถาบันการเงินกลางจะอยู่เบื้องหลัง และฉันเชื่อว่ามันแตกต่างอย่างมากจากปัญหาเหล่านี้โดยสิ้นเชิง”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top