Thursday, 15 May 2025
World

ร่ำรวยบนกองเลือด สงครามเป็นเหตุ ดันยอดขายอาวุธชาติมหาอำนาจพุ่ง  มี 'ยูเครน' เป็นผู้นำเข้าอาวุธสงครามอันดับ 3 ของโลก 

แม้ว่าเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว หลายประเทศกำลังเจอวิกฤติเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง แต่ธุรกิจค้าอาวุธสงครามกลับไปได้สวย และมียอดส่งออกพุ่งสวนกระแส กลายเป็นหนึ่งในรายได้หลักของบางประเทศไปแล้ว 

ล่าสุด สถาบัน Stockholm International Peace Research Institute (SIPRI) รายงานข้อมูลว่า ชาติในยุโรปมีอัตราการนำเข้าอาวุธพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในระยะเวลาเพียง 5 ปีที่ผ่านมา (2018-2022) มียอดการนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มสูงขึ้นถึง 47% โดยเฉพาะในกลุ่มชาติสมาชิก NATO ได้เพิ่มการนำเข้าอาวุธสงครามในช่วงเวลานี้มากกว่า 67%

นอกจากจะสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาหนักในยุค Covid-19 แล้ว ยังสวนกระแสโลกด้วย ซึ่งตัวเลขจากทั่วโลกมียอดนำเข้าอาวุธลดลง -5.1% แต่ยอดขายกลับไปเติบโตอย่างก้าวกระโดดในโซนยุโรป เพราะสงครามในยูเครนเป็นเหตุ สังเกตง่ายๆ ได้จากการที่ทำให้รัฐบาลหลายชาติในยุโรปเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม และนำเข้าอาวุธมาเติมในคลังแสงอย่างเร่งด่วน 

และกับยูเครน ประเทศที่เป็นศูนย์กลางของสงคราม จากเดิมเป็นผู้ผลิตอาวุธส่งออก ตอนนี้กลายเป็นผู้นำเข้าอาวุธสงครามเป็นอันดับ 3 ของโลกแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาวุธมือสองที่นำเข้ามาจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี และ โปแลนด์ 

แต่ในทางกลับกัน สงครามในยูเครนก็ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิต และ ผู้ส่งออกอาวุธสงครามรายใหญ่ของโลกเช่นกัน อย่าง รัสเซีย ที่เป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มียอดส่งออกลดลง จากเดิมที่เคยครองสัดส่วน 22% ลดลงเหลือเพียง 16% ส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการอาวุธในประเทศเพิ่มขึ้น และผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่กดดันชาติพันธมิตรไม่ไห้นำเข้าอาวุธจากรัสเซีย 

ด้วยอุปสรรคของการส่งออกอาวุธของรัสเซีย ส่งผลให้ฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหม่ ที่มาแรงมากในวงการนี้แทนที่รัสเซีย 

หากดูตัวเลขย้อนหลังในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ยอดการส่งออกอาวุธของฝรั่งเศสเพิ่มสูงถึง 50% และ ในปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศสได้แย่งดีลใบสั่งซื้อของประเทศอียิปต์ หนึ่งในคู่ค้าอาวุธรายใหญ่ของรัสเซียมาได้ ที่เป็นผลพวงจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของชาติตะวันตก และฝรั่งเศสยังขึ้นแท่นอันดับ 2 ของผู้ส่งออกอาวุธให้กับกลุ่มชาติสมาชิก NATO ด้วยกัน เป็นรองเพียงสหรัฐฯ เท่านั้น

ส่วนผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ไม่มีใครเทียบได้ก็ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ที่ครองตลาดโลกในสัดส่วนสูงสุดที่ 40% เพิ่มขึ้นจากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถึง 7% ทีเดียว 

แต่ถึงแม้ยอดการสั่งซื้ออาวุธจากยูเครนจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่ยูเครนก็ยังไม่ใช่ลูกค้ารายใหญ่ระดับพรีเมียมของสหรัฐฯ เนื่องจากอาวุธที่ส่งออกให้ยูเครนส่วนมากเป็นอาวุธมือสอง หรือตกรุ่นเหลือค้างสต็อกแล้ว ซึ่งลูกค้าเกรด A ด้านอาวุธของสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศในย่านตะวันออกกลาง อย่าง คูเวต ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์  ที่นิยมสั่งซื้ออาวุธรุ่นใหม่ ล้ำสมัยที่สุดในตลาด 

มกุฎราชกุมารซาอุฯ เปิดตัว ‘ริยาด แอร์’  สายการบินแห่งชาติใหม่ เพิ่มรายได้ภาค non-oil

ริยาด, 13 มี.ค. (ซินหัว) — สำนักข่าวซาอุดีอาระเบีย (SPA) รายงานว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อับดุลอาซิซ อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ประกาศเปิดตัวสายการบินแห่งชาติใหม่ ซึ่งมีชื่อว่าริยาด แอร์ (Riyadh Air) เมื่อวันอาทิตย์ (12 มี.ค.) ที่ผ่านมา

สำนักข่าวฯ คาดว่าสายการบินดังกล่าว ซึ่งถือครองโดยกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของซาอุดีอาระเบียอย่างสมบูรณ์ จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมจากกิจกรรมที่ไม่ใช่น้ำมัน (non-oil) เพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.89 แสนล้านบาท) และสร้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 200,000 อัตรา

อาลัย ‘มาซาโทชิ อิโตะ’ มหาเศรษฐีญี่ปุ่น ผู้ปั้น ‘7-11’ สู่แฟรนไชส์ดังทั่วโลก

‘มาซาโทชิ อิโตะ’ มหาเศรษฐีญี่ปุ่นผู้ปั้น ‘7-11’ เป็นแฟรนไชส์ดังไกลระดับโลก เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 98 ปี

สำนักข่าว BBC รายงานในวันนี้ (13 ม.ค.) ว่า นายมาซาโทชิ อิโตะ มหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่นผู้ปลุกปั้น 7-11 ให้เป็นอาณาจักรแฟรนไชส์ระดับโลก และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Seven & i Holdings ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของร้านสะดวกซื้อ 7-11 เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 98 ปี

แถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า นายอิโตะเสียชีวิตลงด้วยโรคชรา เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มี.ค.2566 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัท Seven & i Holdings ที่นายอิโตะถือหุ้นใหญ่ ยังเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า Ito Yokado ห้างเก่าแก่กว่า 100 ปีของญี่ปุ่น

วิเคราะห์!! ธนาคารดังยุโรปจะแห่ล้มตาม SVB หรือไม่? ในวันที่หลายแบงก์มะกัน เชื่อ!! ไม่เกิด Bank Run ซ้ำรอย

(14 มี.ค.66) World Maker ได้ตั้งคำถามถึงวิกฤตสภาพคล่องธนาคาร ว่าจบลงหรือยัง? แล้วธนาคารดังในยุโรปจะล้มตาม SVB หรือไม่? ซึ่งถือเป็นคำถามสำคัญที่สุดของภาคการเงิน ณ วินาทีนี้เลยก็ว่าได้ หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมามีรายงาน ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารเกือบทั้ง Sectors ยังคงโดนเทขายร่วงลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Commerzbank AG ของยุโรปที่ร่วงเกือบ -13% ในคืนนี้

ขณะเดียวกัน สิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญและกลายเป็นข่าวใหญ่ก็คือการที่ Credit Default Swap หรือ CDS ของ Credit Suisse ซึ่งเป็นตราสารอนุพันธ์ที่จะมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อบริษัทเสี่ยงที่จะผิดชำระหนี้ ได้พุ่งทำระดับ All Time High ใหม่สูงกว่า 452 หน่วยหลังเปิดตลาด พร้อมกับราคาหุ้นที่ร่วงลงเกือบ -6%

นั่นเป็นการบ่งชี้ว่า นักลงทุนกำลังกลัวว่า Credit Suisse จะไม่สามารถชำระหนี้ได้? หรืออาจถึงขั้นล้มละลาย? ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธ ว่าความเสี่ยงนั้น 'มีจริง' แต่ต้องเข้าใจด้วยว่านี่ไม่ได้เป็นการการันตีแต่อย่างใดว่าธนาคารจะล้มจริงๆ เพราะในช่วงปลายปี 2022 ก็เคยมีข่าวว่า Credit Suisse จะล้มและ CDS ดีดทำ All Time High เช่นกัน แต่สุดท้ายธนาคารก็รอดวิกฤตครั้งนั้นมาได้โดยไม่ล้มละลาย ดังนั้นครั้งนี้จึงต้องลุ้นกันต่อไปว่าจะล้มหรือไม่?

ทั้งนี้ Credit Suisse ยังถือว่ามีเรื่องฉาวในภาคการเงินมานานหลายปี และอยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่หลังจากราคาหุ้นร่วงยับ ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนจะกังวลเกี่ยวกับบริษัทนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อมีวิกฤตสภาพคล่องของ SVB เข้าไปเสริม จึงไปกระตุ้นให้นักลงทุน Bet ว่าบริษัทจะไม่สามารถชำระหนี้ได้และทำให้ CDS พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงเผชิญการเทขายจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง (สอดคล้องกับราคาหุ้นที่ร่วงลงในระยะสั้น) แม้รัฐบาลสหรัฐฯ และ FED จะก้าวเข้ามาอุ้มเงินฝากภายใน SVB แล้วก็ตาม แต่อย่างที่ World Maker บอกไปว่าเรื่องนี้ต้องพิจารณาแยกกับอารมณ์ (Sentiment) ของตลาดและราคาหุ้น ซึ่งเคลื่อนไหวเป็นอิสระและไม่ได้เกี่ยวข้องกับการอุ้มของหน่วยงานกำกับดูแล

โดยเฉพาะ First Republic ซึ่งร่วงมากกว่า -70% ในช่วง Premarket วันนี้ รวมไปถึง Charles Schwab ที่ร่วงเกือบ -20% หรือแม้แต่ธนาคารยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ใน Wall Street ของสหรัฐฯ เช่น JPMorgan, Goldman Sachs, Citigroup, Well Fargo, Bank of America, Morgan Stanley ล้วนร่วงกันหมดยกแผงคืนนี้ แม้จะไม่หนักเท่ากับธนาคารเล็กๆ ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม First Republic ยังให้ความมั่นใจกับนักลงทุน โดยกล่าวว่าได้รับสภาพคล่องเพิ่มเติมจาก JPMorgan และ Federal Home Loan Bank มาอย่างน้อย 7 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้ไม่น่าจะเกิด Bank Run ซ้ำรอย SVB แต่ทั้งนี้ก็ต้องจับตาดูกันต่อไป

ความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ แสดงให้เห็นว่าภาคการเงินของสหรัฐฯ-ยุโรป มีความเชื่อมโยงถึงกัน และกำลังช่วยกันดูแลสภาพคล่องในตลาด รวมไปถึงการได้รับแรงหนุนจากภาครัฐและธนาคารกลางที่ดูเหมือนจะไม่อยากให้เกิด Domino Bank Run เหมือนในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าวิกฤตสภาพคล่องจะจบที่ SVB แล้ว เพราะยังไม่มีอะไรการันตีเลยว่าจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่นักลงทุนยังคงเทขายหุ้นธนาคารหรือเข้าสู่โหมด Risk-Off อย่างที่เราเห็นว่า Bond Yield ปรับตัวร่วงลงพร้อมกับราคาพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น รวมไปถึงทองคำที่พุ่งทะลุ 1900 $/Oz ไปในวันนี้

อนึ่ง นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า Bank ใหญ่ๆ ระดับ Top ของสหรัฐฯ ไม่น่าจะเกิดวิกฤต Bank Run อย่าง SVB หรือธนาคารเล็กๆ อื่นๆ เนื่องจากยังมีงบดุลค่อนข้างแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปี 2008 นั้นมีความแตกต่างกันอย่างหลาย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่ผลกระทบของ Bank Run ครั้งนี้จะเป็นลูกโซ่แค่ในวงจำกัด?

และถึงแม้ว่าธนาคารต่างๆ จะยังมีการขาดทุนค้างพอร์ตจากหลักทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึงพันธบัตรอยู่สูงถึง -21.5 ล้านล้านบาทหรือ -6.2 แสนล้านดอลลาร์ แต่สามารถกล่าวได้ว่า การขาดทุนเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นจริง ตราบใดที่รัฐบาลและ FED เสริมสภาพคล่องให้ธนาคารมากเพียงพอที่พวกเขาจะ Run ระบบต่อไปได้โดยไม่ต้องขายหลักทรัพย์ที่ถืออยู่ก่อนครบกำหนด

อย่างไรก็ตามการล้มของ SVB ก็ได้ทำให้ตลาดมีแรงสะเทือนไปบ้างแล้วในหลายจุด โดยเฉพาะการคาดการณ์เรื่องดอกเบี้ยของ FED ที่ถูกปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว แม้ว่า FED เองจะยังไม่ได้ออกมาพูดชัดเจนว่าจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย แต่ตลาดก็คาดการณ์ไปแล้ว ดังนั้นจึงมีกรณีที่ต้องระวังอยู่บ้าง เพราะถ้าอยู่ๆ ในการประชุมวันที่ 21-22 มีนาคมนี้ FED ยืนยันจะขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีก ตลาดก็อาจมีการ Risk-Off มากกว่าเดิมได้

ที่น่าจับตามองต่อไปจากวิกฤต Bank Run ก็คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากวิกฤตของ SVB นั้นมีสาเหตุหลักอย่างหนึ่งมาจากผลกระทบด้านดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารที่เข้าไปถือพันธบัตรอยู่สูงมากต้องยอมเทขายหลักทรัพย์ออกมาในราคาขาดทุน เมื่อลูกค้าแห่ถอนเงินจนมีเงินสดไม่เพียงพอจะไปชำระคืน

ดังนั้น ภาคอสังหาฯ ที่มีการลงทุนในพันธบัตรอย่างเช่น Mortgage Backed-Secuirty หรือ MBS ซึ่งได้รับผลกระทบไม่ต่างจากพันธบัตรรัฐบาลเมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น จึงถือว่ามีความเสี่ยงโดยตรง ขณะที่ตลาดอสังหาฯ ก็เริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัวไปแล้ว หลังราคาบ้านพุ่งสูงลิ่วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนไปถึงระดับที่หลายคนเอื้อมไม่ถึง

และเมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น จึงทำให้ภาระของผู้ผ่อนบ้านหนักหนาสาหัสเข้าไปอีก ดังนั้นหากเกิดวิกฤตสภาพคล่องในตลาดอสังหาฯ ก็อาจคล้ายคลึงกับลักษณะของ Bank Run ที่จะต้องมีการเทขายหลักทรัพย์ออกมา ซึ่งก็รวมถึงตัว MBS หรือตัวบ้าน อพาร์ตเมนต์ คอนโด หรืออื่นๆ

โดยเฉพาะพวกกองทุนอสังหาฯ อย่าง REIT ซึ่งมีการกู้ยืมเงินและระดมทุนจากนักลงทุนไปพัฒนาโครงการอสังหาฯ หรือแม้แต่การนำไปเก็งกำไรราคาที่อยู่อาศัย ซึ่งแม้ว่าการใช้ระดับ Leverage จะไม่สูงและแพร่หลายเท่ากับในช่วงวิกฤตการเงินโลก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการใช้ Leverage เลย ดังนั้นมันจึงถือเป็นความเสี่ยงที่ปฏิเสธไม่ได้

‘เมืองผูเอ่อร์’ แหล่งปลูกเมล็ดกาแฟชั้นเยี่ยม รวมมูลค่า ส่งออกกาแฟสดสีเขียวกว่า 2 พันล้านบาท

ปักกิ่ง, 14 มี.ค. (ซินหัว) — สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ในปี 2022 มูลค่าการส่งออกเมล็ดกาแฟสดสีเขียว (green coffee beans) ที่ผลิตในเมืองผูเอ่อร์ของจีนสูงถึง 462 ล้านหยวน (ราว 2.32 พันล้านบาท) โตขึ้นร้อยละ 296.4 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยผูเอ่อร์เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) และเป็นที่รู้จักด้านการเป็นแหล่งผลิตชาผูเอ่อร์ของจีน

เมืองผูเอ่อร์ตั้งอยู่ที่ละติจูด 24 องศาเหนือ และพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 1,000 – 2,000 เมตร ที่นี่มีสภาพอากาศค่อนข้างร้อนชื้น ดินมีความอุดมสมบูรณ์ มีแสงแดดที่เพียงพอ มีปริมาณน้ำฝนอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีสภาพแวดล้อมทางนิเวศที่ดี นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องปลูกชาแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งปลูกเมล็ดกาแฟชั้นเยี่ยม กระทั่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “นครหลวงแห่งกาแฟ” ของจีน

เมล็ดกาแฟผูเอ่อร์ให้รสชาติที่มีความสมดุล ไม่เปรี้ยวหรือขมเกินไป กลมกล่อมด้วยกลิ่นหอมแบบผลไม้ และมีเนื้อเนียนละเอียด เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคทั่วโลก เห็นได้จากยอดการส่งออกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

รายงานระบุว่าปลายทางการส่งออกเมล็ดกาแฟสีเขียวของเมืองผูเอ่อร์ได้แก่ ยุโรป อาเซียน อเมริกา ตะวันออกกลาง และภูมิภาคอื่น ๆ

ในปี 2022 เมืองผูเอ่อร์มีพื้นที่ปลูกกาแฟราว 45,267 เฮกตาร์ (ราว 2.28 แสนไร่) และมีผลผลิต 55,700 ตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในจีน

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมืองผูเอ่อร์ได้เพิ่มความพยายามหลายด้านเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมกาแฟ เช่น ผลักดันการปลูกกาแฟ การวิจัยและพัฒนา การแปรรูป การขาย และการจัดเก็บกาแฟ

เมืองผูเอ่อร์ยังเปิดตัวโครงการนำร่องด้านประกันสินค้าในปี 2019 เพื่อการกำหนดราคาเมล็ดกาแฟสีเขียวของเมือง โดยมุ่งลดภาระของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้ปลูกกาแฟ ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมให้ยั่งยืน

ผลที่ได้รับคือ ผลิตภัณฑ์กาแฟผูเอ๋อร์หลายชนิด เช่น กาแฟสำเร็จรูป เมล็ดกาแฟอบ ถุงกาแฟหูห้อย และกาแฟแคปซูล ต่างได้รับความนิยมและเป็นหนึ่งในสินค้าขายดีทางออนไลน์
 

ภารกิจต่างดาว ‘เพนตากอน’ ชี้!! วัตถุประหลาด อาจเป็นยานแม่ต่างดาว ทำหน้าที่ปล่อยยานสำรวจขนาดเล็ก ระหว่างเคลื่อนที่ผ่านโลก

(14 มี.ค. 66) มีความเป็นไปได้ที่ย่านแม่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลกและยานสำรวจ อาจเดินทางเยือนดาวเคราะห์ต่าง ๆ ในระบบสุริยะของเรา จากความเห็นของหัวหน้าสำนักงานวิจัยปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) เผยในร่างรายงานฉบับหนึ่ง ซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

“วัตถุระหว่างดวงดาวไม่เป็นไปตามธรรมชาติอันหนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นยานแม่ที่ปล่อยยานสำรวจขนาดเล็กมากมาย ระหว่างที่มันเคลื่อนผ่านโลกในระยะใกล้ รูปแบบของปฏิบัติการ ไม่ต่างจากภารกิจของนาซาเท่าไหร่” ฌอน เคิร์กแพทริก ผู้อำนวยการสำนักงาน All-domain Anomaly Resolution Office (AARO) ของเพนตากอน เขียนในรายงานการวิจัยร่วมกับ อับราฮัม อาวี โลบ ประธานคณะดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ทั้งนี้ สำนักงาน AARO มีหน้าที่ตรวจสอบ สืบสวน และระบุวัตถุที่ไม่สามารถระบุได้ รวมถึงวัตถุบินเหนืออากาศและใต้น้ำ ที่อาจเป็นภัยคุกคาม เพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ

‘อดีต จนท.มะกัน’ ชี้ เทคโนโลยีชิปทั่วโลกอาจได้รับผลกระทบ หาก ‘สหรัฐฯ’ ทำลายโรงงานชิปไต้หวัน ก่อน ‘จีน’ บุกยึดสำเร็จ

(14 มี.ค. 66) อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เผย วอชิงตันอาจตัดสินใจ ‘ทำลาย’ โรงงานชิปของไต้หวัน ในกรณีที่จีนส่งทหารรุกราน เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีในการผลิตชิประดับก้าวหน้าตกไปอยู่ในมือของปักกิ่ง

‘โรเบิร์ต โอไบรเอน’ (Robert O’Brien) ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นของของทำเนียบขาวในยุคประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ข่าว Semafor ว่า สหรัฐฯ และพันธมิตร ‘ไม่มีทางปล่อยให้โรงงานชิปเหล่านั้นตกไปอยู่ในมือจีนอย่างแน่นอน’

บริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง คอมพานี (TSMC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก ครองส่วนแบ่งตลาดชิปประมวลผลก้าวหน้าถึง 90% โดยชิปที่ TSMC ผลิตนั้น ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิด ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ เรื่อยไปจนถึงขีปนาวุธนำวิถี

โอไบรเอน ชี้ว่า หากบุกเกาะไต้หวันและสามารถยึดโรงงานของ TSMC ได้ จีนจะกลายเป็นเสมือน ‘OPEC ของซิลิคอนชิป’ และจะสามารถควบคุมระบบเศรษฐกิจโลกได้เลยทีเดียว

อดีตที่ปรึกษาผู้นี้เปรียบเทียบความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะทำลายโรงงานของ TSMC ว่าไม่ต่างอะไรกับตอนที่นายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลล์ แห่งอังกฤษ สั่งทำลายกองเรือรบฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อเยอรมนี

แอปเปิล (Apple) ถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ TSMC ในปัจจุบัน และ TSMC ยังเป็นผู้ผลิตชิปประมวลผลให้สมาร์ทโฟนที่จัดส่งทั่วโลกราว 1.4 พันล้านเครื่องในแต่ละปี ขณะที่ค่ายรถยนต์อีกราว 60% ของโลกใช้ชิปจาก TSMC เช่นกัน

โอไบรเอน ไม่ใช่คนแรกที่ออกมาพูดเรื่องการทำลายโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันในกรณีที่จีนบุก ก่อนหน้านี้เคยมีนักวิชาการสหรัฐฯ 2 คนเอ่ยถึงความเป็นไปได้นี้มาแล้วในรายงานที่ตีพิมพ์โดย US Army War College เมื่อปี 2021

“เริ่มแรกเลย สหรัฐฯ และไต้หวันต้องร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ เพื่อทำให้เกาะไต้หวันไม่เพียงกลายเป็นดินแดนที่ไม่น่าดึงดูดใจ (unattractive) หากถูกยึดด้วยกำลัง แต่ยังเป็นดินแดนที่จีนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลในการรักษาไว้ วิธีที่ได้ผลที่สุด ก็คือขู่ทำลายโรงงานของ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลกและเป็นซัปพลายเออร์รายใหญ่ของจีน” รายงานดังกล่าวระบุ

ชาวจีน แห่ร่วมงานเทศกาลไทยในปักกิ่ง  หลายคนตั้งตารอเยือนเมืองไทยอีกครั้ง 

ปักกิ่ง, 14 มี.ค. (ซินหัว) — ประชาชนต่อแถวยาวเหยียดรอเข้าร่วมงานเทศกาลไทย ประจำปี 2023 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11-12 มี.ค. ที่ผ่านมา ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน ท่ามกลางสภาพอากาศอันแปรปรวนในช่วงเดือนมีนาคม

งานเทศกาลไทยปีนี้เพียบพร้อมด้วยบูธขายอาหารและขนมไทย โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อนนำเข้าจากไทยที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมจำนวนมาก ขณะผู้เข้าชมสามารถเลือกที่จะแต่งกายด้วยชุดไทยโบราณเดินถ่ายภาพภายในงาน ซึ่งให้บรรยากาศราวกับเดินอยู่ในตลาดเมืองไทย

งานเทศกาลไทยประจำปีเป็นหนึ่งในกิจกรรมทางวัฒนธรรมไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง โดยงานปีนี้ได้ดึงดูดผู้เข้าร่วมมากกว่า 6,000 คน ทั้งยังรวบรวมอาหารไทยมากกว่า 50 เมนูจากร้านอาหารไทยชื่อดังเกือบ 20 แห่งทั่วปักกิ่ง

อรรถยุทธ์ ศรีสมุทร เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศจีน เผยว่าอาหารไทยรสชาติต้นตำรับที่มีให้เลือกสรรหลากหลายถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของงานปีนี้ โดยต้มยำกุ้ง ส้มตำ และคอหมูย่างเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

พง เชฟชาวไทยประจำร้านอาหารไทย “เวรี่ สยาม” (Very Siam) เผยว่าเขามาออกบูธที่งานเทศกาลไทยบ่อยครั้งจนมีลูกค้าติดใจฝีมือและตามไปกินถึงที่ร้าน

สวนสาธารณะ ‘เจียติ้ง’ จัดแข่งรถจักรยานแบบขาไถ แก๊ง ‘นักซิ่งตัวน้อย’ สวมชุดป้องกัน ร่วมแข่งคึกคัก

(14 มี.ค. 66)  สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แก๊งนักซิ่งตัวน้อยสวมชุดและเครื่องป้องกันเข้าร่วมสมรภูมิแข่งรถจักรยานแบบขาไถกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งจัดขึ้นที่สวนสาธารณะท้องถิ่นเขตเจียติ้ง เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน

'ชัยวุฒิ' ร่วมประชุม WSIS ชู กฎหมายใหม่ไทย ทันต่อภัยคุกคาม พร้อมเสนอประเทศสมาชิก 'ใส่เกราะ-ระวังภัย' โลกไซเบอร์ร่วมกัน    

(15 มี.ค.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้เเทนไทย ได้ร่วมงาน World Summit on the Information Society Forum ประจำปี ค.ศ. 2023 (WSIS Forum 2023) จัดโดย สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) และองค์การระหว่างประเทศภายใต้สหประชาชาติ  ระหว่างวันที่ 13 - 17 มีนาคม 2566 ณ ศูนย์การประชุมนานาชาตินครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส

ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคมของไทย ได้ร่วมกล่าวการประชุม High-Level Policy Session หัวข้อ 'Building confidence and security in the use of ICTs' ได้กล่าวถึงความสำคัญของนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และกฎหมายด้านดิจิทัล ของไทยที่พร้อมรับมือกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการจัดทำร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ ที่ทันต่อภัยคุกคาม และส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในการร่วมกันเพื่อช่วยแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที 

ในการประชุมดังกล่าว รัฐมนตรีชัยวุฒิ ได้เสนอแนวทางร่วมแก้ปัญหา Online Scams ที่เป็นปัญหาของทุกประเทศทั่วโลก และต้องใช้ความร่วมมือ ระหว่างประเทศในการแก้ปัญหา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top