Wednesday, 14 May 2025
World

ค่าเงินพม่ายวบ จาก ‘1,500’ มาอยู่ที่ ‘4,400’ จ๊าดต่อดอลลาร์  สะท้อนความมั่งคั่งของคนพม่ากำลังลดลง 3 เท่าตัว 

(28 พ.ค.67) จากเพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ค่าเงินจ๊าดพม่าหายไป 2 เท่าในห้วงเวลา 3 ปี จากมกราคม 2021 ถึงปัจจุบัน จาก 1,500 จ๊าดต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 4,400 จ๊าดต่อดอลลาร์ แค่ช่วง 5 เดือนของปีนี้ค่าเงินจ๊าดอ่อนลงไปอีก 20%

คนไทยอยู่กันสบายมากแล้ว พร้อมทั้งแชร์ข้อความจากผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก 'Jojoe Sue' ที่โพสต์รายละเอียดเพิ่มเติมไว้ว่า “แหละแล้วสิ่งที่คาดการณ์ไว้ก้อมาถึง แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะมาถึงไวกว่าที่คาดการณ์ไว้” 

เตือนเพื่อนคนพม่าไปหลายคนให้ระวังค่าเงิน 2 ช่วง

1. ช่วงแรกเดือนพฤษภาถึงมิถุนา

2. ช่วงที่สองเดือนกรกฎาถึงกันยา

ต้นเดือนมกรา ค่าเงินพม่าอยู่ที่ 99 จ๊าดต่อบาท วันนี้ได้ยินว่าไป 120 จ๊าดต่อบาท หรือประมาณ 4,400 จ๊าดต่อดอลล์แหละ โดยเฉพาะเดือนนี้ต้นเดือนอยู่ที่ 107 จ๊าดต่อบาท เดือนเดียวค่าเงินพม่าอ่อนไป 13% 

สงสัยจะได้เห็น 5,000 จ๊าดต่อดอลล์ตามที่ได้ยินข่าวลือในช่วงที่สองแน่นอนแหละ น่าสงสารคนพม่า จะอยู่กันยังไง ตอนมกราปี 2021 ค่าเงินยังไม่ถึง 1,500 จ๊าดต่อดอลล์เลย ผ่านมา 3 ปีกว่า ค่าเงินไป 4,400 จ๊าด ขึ้นมาเกือบ 3 เท่า หมายถึงความมั่งคั่งของคนพม่าลดลง 3 เท่าตัว 

แต่ผมยังเชื่อว่าพม่าจะกลับมาได้ เพราะประเทศนี้เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ

ได้แต่รอวันนั้นครับ

'จีน-ญี่ปุ่น' พร้อมเดินหน้ายกระดับความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ จับมือขับเคลื่อนหลากมิติ เพื่อผลประโยชน์ 2 ประเทศ

เมื่อวานนี้ (27 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เรียกร้องให้ญี่ปุ่นทำงานร่วมกับจีนในทิศทางเดียวกัน และดำเนินตามฉันทามติสำคัญที่บรรลุโดยผู้นำสองประเทศ

ทั้งนี้ ระหว่างการพบปะกับ ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นอกรอบการประชุมสุดยอดไตรภาคีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ครั้งที่ 9 โดยหลี่แสดงความหวังว่าทั้งสองประเทศจะเดินหน้าเสริมสร้างความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ดำเนินความร่วมมืออย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น จัดการความแตกต่างอย่างเหมาะสม และสร้างความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นที่สร้างสรรค์และมีเสถียรภาพซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดในยุคสมัยใหม่

หลี่กล่าวว่าสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และคิชิดะได้บรรลุฉันทามติสำคัญระหว่างการพบปะกันในนครซานฟรานซิสโกเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยทั้งสองยืนยันจุดยืนของการเดินหน้าความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์และที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างจีนและญี่ปุ่นอย่างครอบคลุมรอบด้าน ซึ่งส่งมอบการชี้นำทางการเมืองที่สำคัญสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี

หลี่ระบุว่าประวัติศาสตร์และไต้หวันเป็นประเด็นสำคัญของหลักการที่เกี่ยวข้องกับรากฐานทางการเมืองของความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น รวมถึงประเด็นพื้นฐานอย่างความเชื่อและความซื่อสัตย์ โดยปัญหาไต้หวันถือเป็นแกนกลางของผลประโยชน์หลักของจีน และเป็นเส้นแดงของจีน

หลี่เผยว่าจีนหวังว่าญี่ปุ่นจะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา พร้อมสร้างบรรยากาศที่ดีสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีอย่างต่อเนื่อง

หลี่กล่าวว่าการพัฒนาของจีนและญี่ปุ่นนับเป็นโอกาสสำคัญของทั้งสองฝ่าย ปัจจุบันเศรษฐกิจของจีนและญี่ปุ่นมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด นำผลประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ประชาชนทั้งสองประเทศ พร้อมเสริมว่าความเกื้อกูลทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและญี่ปุ่นจะคงอยู่ต่อไปอีกเนิ่นนาน อีกทั้งยังคงมีศักยภาพมหาศาลสำหรับความร่วมมือในด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสำรวจตลาดแห่งที่สามอื่น ๆ

ขณะเดียวกัน หลี่กล่าวว่าจีนและญี่ปุ่นควรช่วยเหลือกันและกันให้ประสบความสำเร็จ ร่วมรักษาห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานที่มีเสถียรภาพและไร้อุปสรรค รวมทั้งปกป้องระบบการค้าเสรีทั่วโลก โดยจีนยินดีที่จะเดินหน้าดำเนินการแลกเปลี่ยนฉันมิตรกับญี่ปุ่นในด้านต่าง ๆ ผ่านหลายช่องทาง ณ ระดับที่หลากหลายต่อไป พร้อมเกื้อหนุนการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและการแลกเปลี่ยนระหว่างคนรุ่นใหม่อย่างแข็งขัน เพื่อเสริมสร้างการสนับสนุนจากสาธารณชนสำหรับความร่วมมือฉันมิตรจีน-ญี่ปุ่น

หลี่กล่าวว่าการปล่อยน้ำเสียปนเปื้อนนิวเคลียร์จากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะส่งผลต่อสุขภาพของมนุษยชาติ สภาพแวดล้อมทางทะเลทั่วโลก และผลประโยชน์สาธารณะระหว่างประเทศ พร้อมระบุว่าจีนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายสำคัญ รัฐบาลและประชาชนจีนกังวลเกี่ยวกับประเด็นนี้อย่างมาก ซึ่งจีนหวังว่าญี่ปุ่นจะแสดงความจริงใจและทัศนคติที่สร้างสรรค์ในประเด็นดังกล่าว เช่น การจัดให้มีการเฝ้าติดตามระหว่างประเทศในระยะยาว การแก้ไขข้อกังวลอันชอบด้วยกฎหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างจริงจัง ตลอดจนการปฏิบัติตามความรับผิดชอบและพันธกรณีของตนอย่างกระตือรือร้น

ด้านคิชิดะกล่าวว่าการรักษาแรงขับเคลื่อนการพัฒนาที่ดีของความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-จีนไม่เพียงแต่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งประเทศ แต่ยังเอื้อประโยชน์ต่อโลกอีกด้วย ญี่ปุ่นพร้อมที่จะทำงานร่วมกับจีนเพื่อปฏิบัติตามฉันทามติสำคัญที่บรรลุโดยผู้นำสองประเทศ รักษาการแลกเปลี่ยนระดับสูง เสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อาทิ เศรษฐกิจสีเขียว การดูแลทางการแพทย์ ตลาดแห่งที่สามอื่นๆ รวมถึงเกื้อหนุนการแลกเปลี่ยนบุคลากร กระชับความร่วมมือระดับภูมิภาคอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตลอดจนร่วมกันจัดการการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และประเด็นอื่นๆ ทั่วโลก

นอกจากนั้น คิชิดะเผยว่าญี่ปุ่นยังยินดีที่จะสร้างความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-จีนที่สร้างสรรค์และมีเสถียรภาพอย่างแข็งขัน ยกระดับความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์และที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างจีนและญี่ปุ่นอย่างครอบคลุมรอบด้าน รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ดีในระยะยาว

คิชิดะกล่าวว่าญี่ปุ่นยึดมั่นในจุดยืนของตนต่อปัญหาไต้หวันตามที่ระบุในแถลงการณ์ร่วมญี่ปุ่น-จีนซึ่งลงนามเมื่อปี 1972 และสิ่งนี้ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างการเจรจาและการสื่อสารในทุกระดับ จัดการเจรจาทางเศรษฐกิจระดับสูงจีน-ญี่ปุ่น และการประชุมกลไกการปรึกษาการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประชาชนระดับสูงรอบใหม่ในเวลาที่เหมาะสม เดินหน้าส่งเสริมการปรึกษาหารือและการเจรจาเกี่ยวกับการปล่อยน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์จากโรงไฟฟ้าฯ บนพื้นฐานความคืบหน้าที่มีอยู่ และรักษาการสื่อสารและการประสานงานในด้านกิจการระหว่างประเทศและภูมิภาค

อนึ่ง ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นระหว่างประเทศและภูมิภาคที่เป็นข้อกังวลร่วมกันด้วย

เวียนว่าย!! เมื่อ 'บัตรชมพู' ทำให้ 1 ชีวิตมีหลายตัวตน 'ประวัติเสีย-หนีคดี' รอดหมด!! หากคดีไม่จรดมาถึงเมืองไทย

ในบทความครั้งที่แล้ว เอย่า ได้กล่าวถึงการฟอกขาวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ในความเป็นจริงการฟอกขาวแบบนี้เกิดขึ้นมานานแล้วในประเทศไทย

ในอดีตการฟอกขาวทำได้ยาก เนื่องจากคนที่อยากฟอกขาวจริง ๆ คือ เข้ามาสวมบัตรคนตายเป็นส่วนใหญ่ และรัฐบาลไทยเองก็มีการประกาศขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวเป็นช่วง ๆ แต่ปัจจุบันการฟอกขาวทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคพลเอกประยุทธ์ที่ให้ขึ้นทะเบียนแรงงานคนต่างด้าว 

แม้การขึ้นทะเบียนจะเป็นสิ่งที่ดีต่อประเทศไทย โดยการให้คนต่างด้าวที่แอบพักอาศัยในไทยมาขึ้นทะเบียนซะ เพื่อจะได้จัดเก็บอย่างเป็นระบบ แต่ทว่าในระบบดังกล่าวกลับยังมีช่องโหว่ที่ให้คนลักลอบหาผลประโยชน์ด้วยความที่ฝั่งไทยไม่ได้มีการตรวจเช็กว่าบุคคลนี้เคยทำบัตรชมพูมาหรือไม่

หลายคนพอบัตรหมดอายุ ก็เลือกจะไม่ไปต่ออายุด้วยเหตุผลหลายประการ แต่ประการหนึ่งที่เอย่าทราบคือ พวกเขาไม่ได้เดือดร้อนที่บัตรชมพูจะมีอายุหรือหมดอายุ เพราะว่าสุดท้ายทางไทยก็เปิดทำบัตรใหม่ ซึ่งเขาก็ใช้ชื่อใหม่หรือคำสะกดที่ใกล้เคียงคำเดิมไปออกบัตรใบใหม่ โดยที่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยไม่มีการเช็กประวัติอะไรเลย

นั่นคงไม่ได้มีปัญหาอะไรถ้าปัจจุบันมีชาวต่างชาติที่หลบหนีเข้ามาอาศัยในไทยเป็นจำนวนมาก หลายคนพักพิงในย่านชุมชนเมียนมาในประเทศไทยรอวันที่จะมาทำบัตร เมื่อทำบัตรแล้ว คนเหล่านี้ก็จะมีตัวตนสามารถหางานทำได้อย่างถูกต้อง แม้ว่าเขาจะเคยมีประวัติเสียหรือมีคดีมาจากประเทศต้นทางก็ตาม หากคดีไม่ได้มาถึงไทยก็เท่ากับว่าคนเหล่านี้เป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าพวกเขาจะก่อเรื่องในไทย

ถามว่านี่มันแฟร์กับคนไทยอย่างงั้นหรือ...?

เอย่าเข้าใจภาคแรงงานที่ต้องการแรงงานต้นทุนต่ำมาทำงานเพื่อลดต้นทุน อย่างไรก็ตามมาตรการในการควบคุมผู้เข้ามาอยู่ในไทย ก็ควรมีมาตรฐานด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ 1 ชีวิตมีหลายตัวตน จนฟอกขาวกลายเป็นคนไทยได้ในที่สุด

‘จีน’ เปิดตัว ‘หุ่นยนต์สุนัขติดไรเฟิล’ ระหว่างซ้อมรบกับต่างชาติ ตอกย้ำ!! เทคโนโลยีสงครามของประเทศก้าวหน้าไประดับหนึ่ง

(29 พ.ค. 67) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ในระหว่างการซ้อมรบ Golden Dragon 2024 ของกองทัพกัมพูชา และจีน กองทัพจีนได้เปิดตัว ‘หุ่นยนต์สุนัข’ ที่ติดตั้งอาวุธปืนไรเฟิลอัตโนมัติไว้ที่หลัง ซึ่งเทคโนโลยีนี้ได้เปลี่ยนเพื่อนรักแสนรู้ของมนุษย์ ไปอยู่ในรูปแบบของ ‘เครื่องจักรสังหาร’

‘เฉิน เว่ย’ ทหารจากกองทัพจีน กล่าวผ่านวิดีโอการซ้อมรบที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวซีซีทีวีของรัฐบาลจีนว่า

ในการเปิดตัวหุ่นยนต์สุนัข กองทัพจีนได้แสดงให้เห็นว่า หุ่นยนต์นี้สามารถเดิน กระโดด นอน และเดินถอยหลังได้ ภายใต้การควบคุมของรีโมตสั่งการ

นอกจากนี้ ในการซ้อมรบ กองทัพจีนยังได้เปิดตัวปืนไรเฟิลอัตโนมัติที่ติดตั้งอยู่ใต้โดรนแบบ 6 ใบพัด แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของอุปกรณ์อัจฉริยะที่ไร้มนุษย์ควบคุมของจีน

แน่นอนว่าหุ่นยนต์สุนัขที่ใช้ทางทหาร และโดรนติดตั้งอาวุธนี้ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ แต่รายงานของซีซีทีวีตอกย้ำว่า สุนัขอิเล็กทรอนิกส์แบกปืนไรเฟิลของจีน มีส่วนร่วมในการฝึกซ้อมระหว่างกองทัพจีน และชาติอื่น ๆ มากขึ้น อาทิ กองทัพกัมพูชา กองทัพลาว กองทัพมาเลเซีย กองทัพไทย และกองทัพเวียดนาม

อีกทั้งยังดูเหมือนว่า หุ่นยนต์สุนัขนี้จะได้รับการประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักมากมาย เพื่อแสดงถึงความก้าวหน้าของกองทัพปลดปล่อยประชาชน และหุ่นยนต์ชนิดนี้ปรากฏอยู่ในโซเชียลมีเดียของจีนมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี

ตามข้อมูลของโกลบอลไทม์ส สื่อรัฐบาลจีน ระบุว่า การปรากฏของหุ่นยนต์สุนัขสังหารในการฝึกซ้อมร่วมกับกองทัพต่างชาติบ่งชี้ถึงการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงของจีน

นักวิชาการคนหนึ่งเผยกับโกลบอลไทม์สว่า “ปกติแล้ว อุปกรณ์ใหม่ ๆ จะไม่นำมาร่วมฝึกซ้อมกับประเทศอื่น ดังนั้น หุ่นยนต์สุนัขจะต้องมีความพร้อมทางเทคนิคในระดับหนึ่งแล้ว”

‘เกาหลีเหนือ’ ปล่อย ‘ลูกโป่งติดขยะ’ ลอยเข้า ‘เกาหลีใต้’ 150 ลูก ตอบโต้เอาคืน!! หลังโดนโสมขาวส่งใบปลิวต่อต้านรัฐบาลมาให้

(29 พ.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กองทัพเกาหลีใต้แถลงวันนี้ว่า เกาหลีเหนือได้ส่งลูกโป่งหิ้วขยะมากกว่า 150 ลูกลอยข้ามพรมแดนเข้ามาในเกาหลีใต้ หลังจากเกาหลีเหนือเตือนว่า จะตอบโต้ที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวเกาหลีใต้ส่งลูกโป่งติดใบปลิวต่อต้านรัฐบาลเกาหลีเหนือลอยข้ามพรมแดนเข้าไปในเกาหลีเหนือ

ด้านคณะเสนาธิการร่วมหรือเจซีเอส (JCS) ของเกาหลีใต้แถลงว่า นับตั้งแต่คืนวันอังคารที่ผ่านมา ลูกโป่งเหล่านี้ได้ลอยข้ามพรมแดน 2 เกาหลีกระจายไปยังหลายพื้นที่ทั่วเกาหลีใต้ โดยลอยไปไกลที่สุดถึงจังหวัดคยองซังใต้ ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ และเมื่อตกถึงพื้นก็ทำให้ขยะที่ติดมากับลูกโป่งกระจายเกลื่อนพื้น การกระทำของเกาหลีเหนือละเมิดกฎหมายสากลอย่างชัดเจน และคุกคามความปลอดภัยของประชาชนเกาหลีใต้ ขอเตือนเกาหลีเหนืออย่างจริงจังให้ยุติการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและหยาบช้า

เจซีเอสแนะนำประชาชนอย่าแตะต้องลูกโป่งและขยะที่ผูกติดมา โดยขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจใกล้เคียง และเตือนว่าลูกโป่งเหล่านี้อาจสร้างความเสียหายได้หากตกลงมาใส่ ดังที่เคยทำให้ยวดยานและหลังคาบ้านเสียหายในปี 2559 เจซีเอสจะร่วมกับตำรวจและรัฐบาลหามาตรการรักษาความปลอดภัย และกำลังประสานงานกับกองบัญชาการสหประชาชาตินำโดยสหรัฐที่ดูแลความเคลื่อนไหวในเขตปลอดทหารที่แบ่ง 2 เกาหลี

ทั้งนี้ เกาหลีเหนือประกาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะส่งกองขยะและเศษกระดาษข้ามพรมแดนเพื่อตอบโต้ที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวเกาหลีใต้ส่งลูกโป่งติดใบปลิวชักชวนให้ชาวเกาหลีเหนือลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาล เกาหลีเหนือเรียกร้องมาโดยตลอดให้เกาหลีใต้ยุติการกระทำนี้

‘ศาลจีน’ สั่งประหารชีวิต ‘ไป๋ เทียนฮุย’ อดีตผู้จัดการใหญ่สถาบันการเงิน ฐานรับสินบน 1.1 พันล้านหยวน ตามบรรทัดฐาน รบ.จีน ‘โกง=ประหาร’

ศาลนครเทียนจินได้อ่านคำตัดสิน พิพากษาประหารชีวิต ‘ไป๋ เทียนฮุย’ อดีตผู้จัดการใหญ่บริษัท China Huarong International Holdings หนึ่งในสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐบาลจีน ด้วยข้อหารับสินบนก้อนโตถึง 1.1 พันล้านหยวน (ประมาณ 5.5 พันล้านบาท) 

‘ไป๋ เทียนฮุย’ เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปให้กับ Huarong Asset Management ที่เป็นบริษัทจัดการหนี้เสียในเครือ China Huarong และได้ถูกตัดสินว่ากระทำผิดจริงในข้อหารับสินบน โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาในการแอบอ้าง รับผลประโยชน์และข้อเสนอพิเศษจากการซื้อ-ขายโครงการก่อสร้างต่าง ๆ และการจัดหาเงินทุนให้กับองค์กร นับรวมมูลค่าเงินสินบนที่เขาได้รับนั้นสูงถึง 1.1 พันล้านหยวน 

และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการไต่สวนคดีทุจริตของผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง China Huarong 

ย้อนกลับไปในปี 2018 มีข่าวการจับกุม ‘ไล่ เสี่ยวหมิน’ ประธานใหญ่ของบริษัท Huarong Asset Management ในข้อหารับสินบน ฉ้อโกง และ คบชู้ มาแล้ว

และหลังจากตรวจค้นอพาร์ตเมนต์หรูของ ‘ไล่ เสี่ยวหมิน’ ในกรุงปักกิ่ง ตำรวจจีนพบเงินสดกว่า 200 ล้านหยวนซุกอยู่ในตู้กับข้าว นอกจากนี้ยังพบว่า เขาได้ซุกซ่อนทองคำแท่ง รถหรู สินค้าแบรนด์เนม และเงินสดในธนาคารโดยใช้บัญชีชื่อแม่ของเขามากถึง 100 ล้านหยวน 

และได้กระจายทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์ให้กับภรรยาเก็บที่เขาเคยมีสัมพันธ์ด้วยถึง 100 คน ที่ทำให้ประธานใหญ่ของสถาบันการเงินฉาวแห่งนี้ถูกตัดสินประหารชีวิต ด้วยข้อหาทุจริต รับสินบนรวมมูลค่าถึง 1.79 พันล้านหยวนในช่วงเวลา 10 ปีที่เขาดำรงตำแหน่ง พ่วงด้วยข้อหาคบชู้กับหญิงสาวจำนวนมาก

ไล่ เสี่ยวหมิน ถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2021 หลังจากที่ศาลเทียนจินตัดสินคดีเขาถึงที่สุดเพียง 24 วัน

คดีของ ไล่ เสี่ยวหมิน และ การทุจริต China Huarong เป็นหนึ่งในนโยบายปราบปรามการคอร์รัปชันในแวดวงธุรกิจการเงินของ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่มักถูกมองเป็นแวดวงของกลุ่มผู้มีอิทธิพลสูงในรัฐบาลจีน 

ซึ่งแผนการปราบโกงในแวดวงกลุ่มคนธนาคารก็มีทั้งผู้สนับสนุนให้รัฐบาลจีนกวาดล้างการคอร์รัปชันในระบบให้เด็ดขาด และกลุ่มผู้ต่อต้าน ที่มองว่า ‘สี จิ้นผิง’ ใช้นโยบายปราบโกงเป็นเครื่องมือประหารขั้วตรงข้ามทางการเมืองของเขา 

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พายุในแวดวงสถาบันการเงินจีนยังไม่จบง่าย ๆ เมื่อทางการจีนได้ออกหมายจับกุม ‘ไป๋ เทียนฮุย’ อดีตผู้จัดการใหญ่ของ China Huarong ด้วยข้อหาทุจริต รับสินบนในวงเงินระดับพันล้านหยวนเช่นกัน และได้ถูกตัดสิน ณ ศาลของนครเทียนจินด้วยโทษประหารชีวิต ไม่ต่างจากคดีของประธานบริษัทเมื่อ 3 ปีก่อน 

นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารสถาบันการเงินจีน ที่ถูกดำเนินคดีทุจริตอีกหลายคนในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อาทิ หลิว เหลียงเก๋อ ประธานธนาคาร Bank of China ที่ออกมารับสารภาพหลังถูกสอบสวนว่าเขาเคยรับสินบน และปล่อยสินเชื่ออย่างผิดกฎหมาย และล่าสุด ‘หลี เสี่ยงเผิง’ ประธานใหญ่บริษัท Everbright Group ก็กำลังถูกสอบสวนดำเนินคดีจากการกระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงหลายข้อหาอยู่ในขณะนี้ 

ด้านผู้นำระดับสูงในคณะรัฐบาลจีนได้ประกาศในที่ประชุมโปลิตบูโร เมื่อวันจันทร์ (27 พ.ค. 67) ที่ผ่านมาว่า เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านการเงิน ผู้ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างซื่อตรง ต้องถูกตรวจสอบ และ ถูกลงโทษอย่างรุนแรง 

และกลายเป็นบรรทัดฐานในระบบยุติธรรมจีนว่า ‘โกง = ประหาร’ ที่ดำเนินการอย่างรวดเร็ว เด็ดขาด และน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่งในสายตาคนนอกประเทศ

‘นักวิจัยญี่ปุ่น’ สร้าง ‘LignoSat’ ดาวเทียมไม้ดวงแรกของโลก เตรียมส่งขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวดขนส่ง ‘สเปซเอ็กซ์’ กันยายนนี้

(29 พ.ค.67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ดาวเทียมไม้ดวงแรกของโลก ที่มีทรงลูกบาศก์ พัฒนาโดยทีมนักวิจัยญี่ปุ่น มีกำหนดจะถูกจรวดขนส่งของบริษัท สเปซเอ็กซ์ ส่งขึ้นสู่อวกาศในเดือนกันยายนนี้

ดาวเทียมไม้ดวงแรกนี้ ได้รับการตั้งชื่อว่า ดาวเทียม LignoSat ทำจากไม้จากต้นแมกโนเลีย มีขนาดกว้างคูณยาวเพียง 10 เซนติเมตร ได้รับการพัฒนาโดยทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต ร่วมกับบริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสตรี ถูกคาดหมายว่าจะเผาไหม้โดยสมบูรณ์เมื่อกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกอีกครั้ง ซึ่งผู้พัฒนาคาดหวังว่าด้วยวิธีการนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงการใช้ดาวเทียมที่สร้างจากอนุภาคโลหะ ซึ่งอาจก่อผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและการโทรคมนาคม

‘ดาวเทียมที่ไม่ได้ทำจากโลหะควรกลายเป็นกระแสหลัก’ ทาคาโอะ โดอิ นักบินอวกาศและศาสตราจารย์พิเศษแห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต กล่าวในการแถลงข่าวเปิดตัวดาวเทียมไม้ดวงแรกของโลก

ทีมผู้พัฒนามีแผนที่จะมอบดาวเทียมไม้ดวงนี้ให้กับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) ในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นจะถูกส่งขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวดขนส่งของสเปซเอ็กซ์ ที่ศูนย์อวกาศเคนเนดี้ ในเดือนกันยายน เพื่อมุ่งหน้าสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) ต่อไป

จากสถานีไอเอสเอส ดาวเทียมไม้ LignoSat จะถูกปล่อยจากโมดุลทดลองของญี่ปุ่นบนไอเอสเอส ที่จะทำการทดสอบความแข็งแรงและความทนทานของดาวเทียมไม้ดวงแรกนี้

“ข้อมูลจากดาวเทียมไม้จะถูกส่งกลับมายังทีมนักวิจัยที่สามารถตรวจสอบสัญญาณของแรงตึงและดูว่าดาวเทียมสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิครั้งใหญ่ได้หรือไม่” โฆษกหญิงของบริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสตรี กล่าว

‘พลเมืองสหรัฐฯ’ เสียชีวิตจากน้ำมือ 'ตำรวจ' สูงเป็นประวัติการณ์ปี 2023 สะท้อน!! วิธีแก้ปัญหาเกินกำลังกว่าเหตุ ซ้ำ!! ยังเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานข้อมูลข่าวสารแห่งคณะรัฐมนตรีจีนออกรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ ประจำปี 2023 ซึ่งระบุว่า สหรัฐฯ พบจำนวนประชาชนถูกตำรวจสังหารมากสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีก่อน นับตั้งแต่เริ่มติดตามข้อมูลทั่วประเทศเมื่อปี 2013

รายงานอ้างอิงข้อมูลจากแมปปิง โพลิส ไวโอเลนซ์ (Mapping Police Violence) กลุ่มวิจัยที่ไม่แสวงหากำไรแห่งหนึ่ง ระบุว่าตำรวจในสหรัฐฯ สังหารประชาชนเมื่อปีก่อนอย่างน้อย 1,247 ราย หมายความว่ามีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือตำรวจโดยเฉลี่ยประมาณ 3 รายต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ระบบความรับผิดชอบเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจนั้นไร้ประโยชน์

รายงานอ้างอิงหนังสือชื่อ ‘การจับกุมความเป็นพลเมือง : ผลพวงประชาธิปไตยของการควบคุมอาชญากรรมของอเมริกา’ (Arresting Citizenship: The Democratic Consequences of American Crime Control) ระบุว่า หน่วยงานตำรวจอเมริกันชิงชังพลเมืองที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายในการบังคับใช้กฎหมายของพวกเขา และกลไกในการให้ตำรวจรับผิดชอบต่อการกระทำมิชอบด้วยกฎหมายนั้นแทบไม่มีประโยชน์อันใด

ทั้งนี้ แม้ว่าปัญหาการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในสหรัฐฯ แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้กำลัง

เปิดมูลค่า Nvidia บริษัทเดียวมากกว่า GDP ไทยทั้งประเทศถึง 6 เท่า สะท้อนเศรษฐกิจโลกในอนาคต ที่ 'ชิป' จะเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนสูง

(30 พ.ย. 67) Business Tomorrow รายงานว่า บริษัท Nvidia ผู้ผลิตชิปประมวลผลกราฟิกและระบบปัญญาประดิษฐ์ชั้นนำของโลก กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงเกินกว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งประเทศ 6 เท่าตัวแล้ว

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Nvidia ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเติบโตของตลาดปัญญาประดิษฐ์และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ส่งผลให้หุ้นของบริษัทพุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล โดยมีมูลค่าตามราคาตลาดสูงถึง 2.801 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 102 ล้านล้านบาท

โดยปัจจุบัน GDP ไทยมีมูลค่าอยู่ที่ราว 18 ล้านล้านบาท หรือเรียกได้ว่า GDP ไทยน้อยกว่า Nvidia เพียงบริษัทเดียวมากถึง 5.67 เท่าหรือเกือบ 6 เท่ากันเลยทีเดียว

สำหรับความสำเร็จของ Nvidia หากมองในเชิงรายได้และกำไรจะพบว่า เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยปี 2566 Nvidia มี รายได้กว่า 26.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +44% จากปี 2565 และนักลงทุนต่างมั่นใจว่า Nvidia จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ส่งผลให้มูลค่าตลาดถูกผลักดันให้สูงขึ้น

อีกทั้ง Nvidia ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าใดกลุ่มหนึ่ง แต่มีฐานลูกค้าที่หลากหลาย ตั้งแต่ ผู้บริโภคทั่วไป ที่ซื้อการ์ดจอสำหรับเล่นเกมไปจนถึง บริษัทขนาดใหญ่ที่ใช้ชิปของ Nvidia ใน Data Center และ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่พัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ จึงไม่แปลกใจว่าทำไม Nvidia ที่สามารถครองลูกค้าทั่วโลกได้มีมูลค่าบริษัทมากกว่า GDP ของไทยเกือบ 6 เท่า

ความสำเร็จของ Nvidia สะท้อนให้เห็นถึงอนาคตของโลกที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลนำพาสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล บริษัทที่มีขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีก้าวหน้าสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่าขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศเสียอีก

อย่างไรก็ตาม Nvidia เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจที่บริษัทในวงการเทคโนโลยีสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วจนทำมูลค่ามหาศาลเท่าตัวเศรษฐกิจของประเทศ บ่งบอกถึงบทบาทสำคัญของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในอนาคต

จำนวน 'คนไร้บ้าน' ในสหรัฐฯ พุ่งแตะจุดสูงสุดในรอบ 16 ปี สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ 'รวย-จน' กำลังขยายวงกว้างขึ้น

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานข้อมูลข่าวสารแห่งคณะรัฐมนตรีจีนออกรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ ประจำปี 2023 ซึ่งเปิดเผยว่าจำนวนคนไร้บ้านในสหรัฐฯ ได้พุ่งแตะจุดสูงสุดในรอบ 16 ปี

รายงานอ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงการเคหะและพัฒนาเมืองสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2023 ซึ่งระบุว่าจำนวนคนไร้บ้านในสหรัฐฯ พุ่งสูงกว่า 650,000 คนแล้ว มากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรายงานเกี่ยวกับประเด็นนี้เมื่อปี 2007

รายงานระบุว่าคนไร้บ้านร้อยละ 40 อาศัยอยู่ตามท้องถนนโดยปราศจากสิ่งกำบัง ตามอาคารร้าง หรือสถานที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้มีไว้สำหรับให้มนุษย์อยู่อาศัย โดยคนกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่ต้องผจญกับความเสี่ยงในการถูกตัดสินว่ากระทำความผิดทางอาญาเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

รายงานชี้ให้เห็นว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนกำลังขยายกว้างกว่าเดิมในสหรัฐฯ โดยมีสารพัดปัญหาที่กำลังเลวร้ายลง อาทิ "ความยากจนในการทำงาน" (working poor) การขาดแคลนอาหาร อัตราการฆ่าตัวตาย รวมทั้งการใช้ยาเสพติดและสารเสพติดที่เพิ่มขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top