Saturday, 19 April 2025
Ukraine

ยูเครนจับ 2 ทหารเกาหลีเหนือกลางเคิร์สก์ ท้าคิม-รัสเซียแลกตัวสะเทือนสงคราม

(13 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนเปิดเผยว่า ยูเครนสามารถจับกุมตัวทหารเกาหลีเหนือจำนวน 2 นายในพื้นที่สู้รบในภูมิภาคเคิร์สก์ โดยทหารทั้งสองถูกนำตัวมายังกรุงเคียฟเพื่อสอบปากคำและให้ข้อมูลกับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติยูเครน (SBU)  

“เชลยศึกทุกคน รวมถึงทหารเกาหลีเหนือทั้งสองนาย จะได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่จำเป็น” เซเลนสกีกล่าว พร้อมระบุว่าสื่อมวลชนจะได้รับโอกาสสัมภาษณ์พวกเขาในอนาคต  

ทั้งนี้ ยูเครนระบุว่าทหารเกาหลีเหนือมีบทบาทสนับสนุนการสู้รบในภูมิภาคเคิร์สก์ ซึ่งยูเครนเริ่มการบุกโจมตีเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และยังคงควบคุมพื้นที่หลายร้อยตารางกิโลเมตรในบริเวณนี้  

ทหารเกาหลีเหนือนายหนึ่งระบุว่าตนเกิดในปี 2548 และเข้าร่วมกองทัพเกาหลีเหนือในปี 2564 อีกนายหนึ่งเกิดในปี 2542 และเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่ปี 2559 โดยมีตำแหน่งเป็นพลซุ่มยิง พวกเขาอ้างว่าไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าว่าจะต้องเข้าสู่สมรภูมิในยูเครน โดยผู้บังคับบัญชาบอกเพียงว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการฝึกยุทธวิธี  

หนึ่งในทหารกล่าวว่า ต้องการกลับเกาหลีเหนือ ขณะที่อีกนายกล่าวว่า หากมีโอกาส เขาอยากอาศัยอยู่ในยูเครน  

เซเลนสกีเสนอว่า ยูเครนพร้อมพิจารณาแลกเปลี่ยนตัวเชลยเกาหลีเหนือ หากผู้นำคิม จอง-อึน ยินยอมจัดการแลกเปลี่ยนดังกล่าวกับทหารยูเครนที่ถูกรัสเซียควบคุมตัว  

สำนักงานความมั่นคงของยูเครนและสำนักข่าวกรองเกาหลีใต้ (NIS) ยืนยันการจับกุมตัวทหารเกาหลีเหนือทั้งสองราย ระหว่างการสู้รบในเคิร์สก์เมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา  

รายงานจากสำนักงานคณะเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ระบุว่า ตั้งแต่ทหารเกาหลีเหนือเข้าร่วมการสู้รบในสงครามรัสเซีย-ยูเครนเมื่อเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว มีทหารเกาหลีเหนือเสียชีวิตประมาณ 1,100 นาย ขณะที่ยูเครนประเมินตัวเลขไว้สูงกว่า คือประมาณ 3,000 นาย  

ยูเครนยืนยันว่าปฏิบัติต่อเชลยศึกตามหลักมนุษยธรรมและกรอบอนุสัญญาเวียนนา โดยการสอบปากคำเชลยศึกดำเนินการผ่านล่ามที่ได้รับการรับรองเพื่อความถูกต้องและเป็นธรรม  

จนถึงขณะนี้ รัสเซียและเกาหลีเหนือยังไม่มีการแสดงความเห็นต่อเหตุการณ์นี้ ขณะที่ยูเครนเตรียมพร้อมรับมือกับความเป็นไปได้ที่จะสามารถจับกุมตัวทหารเกาหลีเหนือเพิ่มเติมในอนาคต

รัสเซียเผยทหารเชลยยูเครน ติดพนันออนไลน์ แถมดื่มสุราอย่างหนัก ผลพวงเพราะเครียดสงคราม

(16 ม.ค.68) เจ้าหน้าที่ความมั่นคงทางชายแดนรัสเซียเผยกับสำนักข่าวสปุตนิกว่า ช่วงคืนวันคริสต์มาสออร์โธดอกซ์ บริเวณชายแดนกับเขตเบลโกโรดในทิศทางของเมืองคาร์คิฟ (Kharkov) มีกลุ่มทหารฝ่ายยูเครนเข้ายอมจำนนกับทางฝ่ายรัสเซีย ซึ่งต่อมาได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่รัสเซียถึงสภาพความเป็นอยู่ในช่วงสงคราม 

โดยระบุว่า ด้วยความตึงเครียดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อ ทำให้ทหารยูเครนจำนวนมากติดเล่นพนันออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย ถึงขนาดที่แม้แต่ผู้บังคับบัญชาหน่วยยังมีส่วนร่วมในเรื่องดังกล่าว

ยูโรสลาฟ เชเวลยุค หนึ่งในทหารยูเครนที่ยอมจำนนมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่รัสเซียเผยว่า ทหารยูเครนบางรายถึงกับขโมยเงินของทหารด้วยกันเองเพื่อไปซื้อสุราและเล่นพนันออนไลน์เพื่อแก้เครียด โดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ถูกระบุว่าติดพนันออนไลน์คือ อดีตผู้บัญชาการหน่วยของเขา ร.ต. ซาบิยากา

"เขายืมเงินจากคนในหน่วยจำนวนมากและเล่นเกมคาสิโนผ่านโทรศัพท์มือถือของเขา หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์บางอย่าง โทรศัพท์ของเขาถูกแฮ็ก และทุกอย่างก็ผิดปกติ เขาถูกส่งไปประจำที่แห่งใหม่ และเขายังไม่ได้คืนเงินให้กับคนที่ยืมไป" เชเวลยุคกล่าว

ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นช่วงสัปดาห์เดียวกัน เจ้าหน้าที่ชายแดนยูเครนสองคนจากกลุ่มเดียวกันได้กล่าวในวิดีโอที่ได้รับจาก RIA Novosti ว่า มีการใช้สารเสพติดและการดื่มสุราเพื่อหนีความเครียดจนถึงขั้นเสียชีวิตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในหมู่ทหารยูเครนเนื่องจากความเหนื่อยล้าทางร่างกายและสภาพจิตใจที่ย่ำแย่จากสมรภูมิอันยาวนาน

เคียฟเผาศพทหารทิ้งกลางสนามรบ ปิดบังความจริง-เลี่ยงจ่ายเงินชดเชยครอบครัว

(17 ม.ค.68) สำนักข่าวสปุตนิกเผยว่า นายอิวาน คุตส์ (Ivan Kuts) เจ้าหน้าที่หน่วยชายแดนยูเครนที่ถูกทหารฝ่ายรัสเซียจับกุม ได้ให้ข้อมูลว่า รัฐบาลเคียฟได้สร้างเตาเผาศพทหารแบบเคลื่อนที่เพื่อจัดการกับศพทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิ เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต

รายงานระบุว่า หนึ่งในเตาเผาศพแบบเคลื่อนที่อยู่ในเมืองคาร์คีฟ (Kharkiv) ซึ่งไม่สามารถรองรับศพของทหารจำนวนมากได้ จึงมีการนำเตาเผาศพเคลื่อนที่ออกมาใช้งาน 

"มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และผู้เสียชีวิตยิ่งมากขึ้น เตาเผาศพในเมืองคาร์คีฟไม่สามารถจัดการได้ จึงมีการนำเตาเผาศพเคลื่อนที่มาใช้งาน พวกเขาเผาศพทหารเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต" นายคุตส์กล่าวในคลิปวิดีโอให้การกับทหารรัสเซีย  

นอกจากนี้ คุตส์ยังกล่าวเสริมว่า ศพของทหารรับจ้างต่างชาติก็ถูกเผาเช่นกัน เพื่อปกปิดการมีอยู่ของพวกเขาในยูเครน  

ทั้งนี้ คุตส์และเจ้าหน้าที่ชายแดนอีก 5 คนจากหน่วยงานบริหารชายแดนของยูเครน ได้มอบตัวให้กับรัสเซียบริเวณชายแดนในภูมิภาคเบลโกรอด ในช่วงวันคริสต์มาสออร์โธดอกซ์ที่ผ่านมา

‘CIA’ ใช้!! ‘ยูเครน’ เป็นฐานข่าวกรอง เปลี่ยนเกมยุทธศาสตร์ NATO ในยุโรป

(19 ม.ค. 68) จากรายงานของ Sputnik International (18 ม.ค. 2025) ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เริ่มต้นจาก "ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร" เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2022 ได้เน้นถึงบทบาทสำคัญของ NATO และสหรัฐฯ ในการสร้างเครือข่ายข่าวกรองและขยายอำนาจทางทหารในยุโรป

การเริ่มต้นปฏิบัติการในยูเครน

รัสเซียอ้างว่าการปฏิบัติการในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อปลดปล่อยภูมิภาคดอนบาส หลังประชาชนในพื้นที่โดเนตสค์และลูกันสค์เผชิญการโจมตีจากกองกำลังของยูเครนอย่างต่อเนื่อง โดยความขัดแย้งนี้มีรากฐานมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร Euromaidan ในปี 2014 ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลยูเครนมีแนวโน้มสนับสนุนตะวันตกอย่างชัดเจน

ความร่วมมือระหว่าง CIA และยูเครน

หลังรัฐประหารในปี 2014 หน่วยข่าวกรองของยูเครนกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของ CIA รายงานเผยว่ามีการส่งมอบเอกสารลับของรัสเซียให้กับ CIA อย่างต่อเนื่อง รวมถึงข้อมูลอาวุธลับ เทคโนโลยีสงครามอิเล็กทรอนิกส์ และแผนการตัดสินใจทางการทหาร

CIA ได้สร้างฐานปฏิบัติการลับ 12 แห่งใกล้ชายแดนรัสเซีย และจัดตั้งโครงการฝึกอบรมหน่วยพิเศษยูเครนในชื่อ ‘Operation Goldfish’ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการต่อต้านรัสเซีย

อดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่าข้อมูลเหล่านี้มีมูลค่าสูงถึง "หลายร้อยล้านดอลลาร์" โดยมีความสำคัญต่อการพัฒนายุทธวิธีของ NATO

การติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ B61-12 ในยุโรป

สหรัฐฯ ได้เริ่มติดตั้งระเบิดนิวเคลียร์รุ่น B61-12 ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงล่าสุดในฐานทัพยุโรป โดยได้รับการอนุมัติให้ใช้งานภายใต้โครงการ "การแบ่งปันนิวเคลียร์" ของ NATO ระเบิดรุ่นนี้สามารถปรับพิสัยการทำลายล้างได้ตั้งแต่ 0.3-50 กิโลตัน

Jill Hruby หัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงนิวเคลียร์แห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่าการติดตั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณไปยังรัสเซียว่า NATO พร้อมรับมือทุกภัยคุกคาม

ความคิดเห็นนักวิเคราะห์

Michael Maloof อดีตนักวิเคราะห์กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ วิจารณ์ว่า NATO กำลังเปลี่ยนจากพันธมิตรป้องกันตัวเป็นองค์กรเชิงรุก และการติดตั้งอาวุธนี้ทำให้ยุโรปมีความเสี่ยงต่อความขัดแย้งทางนิวเคลียร์มากขึ้น

Maloof ระบุว่าการเคลื่อนไหวของ NATO อาจกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งที่ยากต่อการควบคุม โดยยุโรปอาจกลายเป็นเป้าหมายสำคัญหากความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและตะวันตกเพิ่มสูงขึ้น

บทสรุป

รายงานจาก Sputnik International ชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นมากกว่าการต่อสู้ในพื้นที่ แต่ยังเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ระดับโลกของ NATO และสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงในระยะยาว

ทรัมป์ไม่เอ่ยถึง ‘ยูเครน’ ในสปีชรับตำแหน่ง จับตา 'ปูติน' ส่งสัญญานพร้อมเจรจา

(21 ม.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ไม่ได้เอ่ยถึงความขัดแย้งในยูเครนโดยตรงระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ ขณะวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย แสดงความเต็มใจจะร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ในการจัดการความขัดแย้งดังกล่าว

“สหรัฐฯ เคยมีรัฐบาลที่จัดสรรเงินเพื่อปกป้องพรมแดนของต่างประเทศแต่ปฏิเสธจะปกป้องผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันหรือประชาชนของตัวเอง” ส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์จากทรัมป์ที่เหมือนพาดพิงถึงนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโจ ไบเดน ซึ่งสนับสนุนยูเครนเพื่อชัยชนะของยูเครนในความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย

ทรัมป์ระบุว่าสหรัฐฯ จะวัดความสำเร็จทั้งด้วยชัยชนะในการสู้รบและการยุติสงครามที่ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยว โดยทรัมป์นั้นกล่าวอ้างหลายครั้งว่าความขัดแย้งเรื้อรังในยูเครน ซึ่งเริ่มต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2022 จะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก หากเขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวลานั้น

บรรดานักวิเคราะห์ของสื่อมวลชนสหรัฐฯ พากันขบคิดหาสาเหตุว่าทำไมทรัมป์ดูเหมือนจงใจไม่เอ่ยถึงยูเครนโดยตรง ทั้งที่เขาเคยคุยโวก่อนหน้านี้ว่าเขาจะยุติความขัดแย้งในยูเครนโดยเร็วหลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ โดยเมื่อไม่นานนี้ ทรัมป์เผยว่ามีการเตรียมการประชุมหารือระหว่างเขากับปูติน

แถลงการณ์จากทำเนียบเครมลินของรัสเซียระบุว่าปูตินกล่าวระหว่างการประชุมกับสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งรัสเซียเมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ารัสเซียไม่เคยปฏิเสธการเจรจาและเปิดกว้างสู่ความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ มาโดยตลอด พร้อมใช้โอกาสนี้แสดงความยินดีกับทรัมป์ที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นักวิชาการไทยชี้ สงครามรัสเซีย-ยูเครนไร้ทางจบเร็ว แฉลึก ‘ธุรกิจอาวุธ’ สหรัฐฯ ฟันกำไรจากวิกฤติ

(23 ม.ค.68) ภายหลังที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนกลับขึ้นมาดำรงตำแหน่งในฐานะผู้นำสหรัฐสมัยที่สองอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าทรัมป์อาจผลักดันให้ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซียสิ้นสุดเร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จากความเห็นของ ผศ.ดร.กฤษฎา พรหมเวค จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าว TASS ของรัสเซีย เชื่อว่าความขัดแย้งในยูเครนไม่น่าจะคลี่คลายอย่างรวดเร็วภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่  

ผศ.ดร.กฤษฎา ในฐานะ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า

“ภายใต้การบริหารงานของโดนัลด์ ทรัมป์ ผมไม่เชื่อว่าความขัดแย้งนี้จะคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว เรายังไม่เห็นแผนที่ชัดเจนในการยุติสงครามจากเขาหรือทีมงานของเขา การแก้ไขความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ เงื่อนไขที่ทั้งยูเครนและรัสเซียยอมรับได้” 

เขาเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม เราสามารถเห็นได้ว่าจุดยืนปัจจุบันของทั้งสองฝ่ายยังไม่สอดคล้องกัน ซึ่งทำให้การเจรจาเป็นไปได้ยาก”  

กฤษฎา ยังมองว่า กลุ่มอำนาจรัฐพันลึกในสหรัฐฯ (Deep State) อาจไม่อนุญาตให้โดนัลด์ ทรัมป์ ยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ “ปัจจุบัน เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการเมืองภายในและนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ถูกกำหนดและควบคุมโดยกลุ่มอำนาจรัฐพันลึก โดยเฉพาะบริษัทอาวุธที่มองว่าสงครามเป็นผลประโยชน์ของพวกเขา โดยเฉพาะในด้านการค้าอาวุธ”  

อาจารย์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงยังให้ความเห็นอีกว่า มีแนวโน้มที่บางประเทศยุโรปที่  'เริ่มถอนการสนับสนุนจากยูเครน' โดยเขากล่าวว่า “วาทกรรมที่มุ่งต่อต้านรัสเซีย (Russophobia) ของประเทศในยุโรปทำให้ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถยอมรับได้ว่ารัสเซียจะเป็นฝ่ายชนะในสงครามรัสเซีย-ยูเครน เรามักได้ยินการโฆษณาชวนเชื่อจากสื่อชาติตะวันตกว่า รัสเซียจะไม่หยุดที่ยูเครน แต่จะบุกประเทศอื่นต่อไป วาทกรรมนี้ทำให้ประเทศตะวันตกยังคงสนับสนุนยูเครนอย่างต่อเนื่อง”  

ตามรายงานของ Wall Street Journal ทรัมป์ได้มอบหมายให้ คีธ เคลล็อก ผู้แทนพิเศษด้านยูเครนของเขาเป็นผู้รับผิดชอบในการยุติความขัดแย้งในยูเครนภายใน 100 วัน อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า “การเจรจากับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย อาจเป็นเรื่องยากกว่าที่ทรัมป์สัญญาไว้ระหว่างการหาเสียง โดยเขาเคยกล่าวว่าจะยุติความขัดแย้งนี้ก่อนเข้ารับตำแหน่ง” ขณะที่คีธ เคลล็อก กล่าวว่าเขาต้องการทำตามเป้าหมายภายใน 100 วัน  

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ไม่นานหลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตน ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าสหรัฐฯ อาจหยุดการส่งอาวุธให้ยูเครน และย้ำถึงความพร้อมที่จะพบกับปูติน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังระบุด้วยว่าสหรัฐฯ อาจเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย หากรัสเซียปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพ  

ด้านปูตินกล่าวก่อนหน้านี้ว่า รัสเซียพร้อมที่จะเจรจาเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครนกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของวิกฤติ พร้อมยืนยันว่ารัสเซียกำลังจับตาถ้อยแถลงของทรัมป์และทีมงานที่แสดงถึงความต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ และการทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3

ชาติตะวันตกส่งทหารล็อตใหญ่ 50,000 นาย ช่วยรับมือสู้ศึกรัสเซีย ปูทางสู่การยุติสงคราม

(23 ม.ค.68) เว็บไซต์สปุตนิกรายงานว่า รัฐบาลยูเครนเชื่อว่าบรรดาชาติพันธมิตรตะวันตกอาจส่งทหารอีกจำนวน 50,000 นาย มายังยูเครนเพื่อช่วยรับมือศึกรัสเซีย อันเป็นส่วนหนึ่งของการยุติความขัดแย้งระหว่างสองชาติ

ตามรายงานของไฟแนนเชียลไทมส์ ที่อ้างแหล่งข่าวในรัฐบาลเคียฟระบุว่า 
ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ได้กล่าวเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรตะวันตกส่งทหารไปยูเครนเพื่อรักษาความปลอดภัยหากมีข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย ในขณะเดียวกัน เขากล่าวว่า ทหารต่างชาติจะไม่ได้ถูกส่งไปยังเคียฟตามที่บางประเทศในยุโรปต้องการ พร้อมเสริมว่า ยูเครนต้องการกองทัพขนาดหนึ่งล้านนายซึ่งต้องรักษาไว้

รายงานจากไฟแนนเชียลไทมส์ อ้างอิงแหล่งข่าวที่มีส่วนร่วมในการหารือระหว่างเคียฟและพันธมิตรตะวันตก ว่า เจ้าหน้าที่ของยูเครนเชื่อว่า ตะวันตกอาจส่งทหารระหว่าง 40,000 ถึง 50,000 นายเพื่อรักษาความปลอดภัยบนแนวรบยาว 1,000 กิโลเมตร (621.4 ไมล์) 

อย่างไรก็ตามมีการประเมินว่า กำลังทหารประมาณ 40,000 นายอาจไม่เพียงพอที่จะสร้างความแข็งแกร่งจนไม่ตกเป็นเป้าโจมตีของรัสเซีย และอาจไม่มีขนาดใหญ่พอที่จะไม่ต้องการกำลังเสริม หากว่าต้องเผชิญหน้ากับรัสเซีย ซึ่งทหารจำนวน 50,000 นายนี้จะต้องไม่ถูกมองว่าเป็นการผูกมัดลับของนาโต้ด้วย

ด้าน Camille Grand อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของนาโต้ เสริมว่า กองทัพนี้น่าจะเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มชั่วคราวที่นำโดยสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ พร้อมด้วยการเข้าร่วมจากประเทศในแถบบอลติกและนอร์ดิก

อย่างไรก็ตาม โฆษกเครมลิน ดมิทรี เพสคอฟ กล่าวก่อนหน้านี้ว่า การหยุดความขัดแย้งในยูเครนไม่สามารถยอมรับได้สำหรับรัสเซีย ในเดือนธันวาคม 2024 ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินกล่าวว่า รัสเซียไม่ต้องการแค่การหยุดยิง แต่ต้องการสันติภาพที่ยั่งยืนโดยมีการรับประกันความปลอดภัยที่เชื่อถือได้สำหรับประเทศและประชาชนของตน

แฉบริษัทอาวุธมะกัน โกยเงินสงครามยูเครน หุ้นโตพุ่ง-ออเดอร์อื้อ ไม่สนวิกฤตขัดแย้งโลก

(28 ม.ค.68) ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่เห็นปลายทางของจุดจบ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมทางทหารหลายแห่งของสหรัฐฯ กลายเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากความขัดแย้งของสองชาติ โดยผู้เชี่ยวชาญหลายรายให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว  Sputnik ว่า บรรดาบริษัทผู้ผลิตอาวุธในสหรัฐฯ ได้ทำกำไรมหาศาลจากการจัดหาอาวุธสำหรับสงครามในยูเครน ซึ่งผลักดันโลกให้เข้าใกล้จุดวิกฤติของสงครามเต็มรูปแบบ

รายงานระบุว่า บรรดาผู้ผลิตอาวุธจากสหรัฐฯ ได้รับผลประโยชน์จากการขายอาวุธให้แก่รัฐบาลต่างชาติ ส่งผลให้ยอดขายอาวุธของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 29% ในปี 2024 หรือคิดเป็นมูลค่าที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 318.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ   

ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ของสหรัฐ อาทิ Lockheed Martin, General Dynamics และ Northrop Grumman ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางหุ้นสายเทคโนโลยีบริษัทอื่นๆที่มักผันผวน แต่หุ้นของอุตสาหกรรมอาวุธในสหรัฐฯ ต่างเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นของ Lockheed Martin เติบโต 38.49% ในปีที่ผ่านมา แตะจุดสูงสุดที่ 611.74 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนตุลาคม ขณะที่หุ้นของ General Dynamics เพิ่มขึ้น 27.81% แตะระดับสูงสุดที่ 313.39 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2024  ส่วนหุ้นของ Northrop Grumman มีการเติบโต 25.5% ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2024  

ตามการวิเคราะห์ของ Sputnik ที่อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงการคลังยูเครนและมหาวิทยาลัย Kiel พบว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา NATO ได้สนับสนุนงบประมาณแก่รัฐบาลยูเครนถึง 191.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ เป็นผู้บริจาคความช่วยเหลือทางทหารรายใหญ่ที่สุด มูลค่ารวม 68.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่าประเทศที่เป็นผู้ซื้ออาวุธรายใหญ่จากสหรัฐฯ ได้แก่ ตุรกี สั่งซื้อ เครื่องบิน F-16 และการปรับปรุงระบบ มูลค่า 23 พันล้านดอลลาร์ อิสราเอล สั่งซื้อเครื่องบินรบ F-15 มูลค่า 18.8 พันล้านดอลลาร์  ญี่ปุ่น สั่งซื้อ เครื่องบิน KC-46A มูลค่า 4.1 พันล้านดอลลาร์ และขีปนาวุธ Tomahawk มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์  เยอรมนี สั่งซื้อขีปนาวุธ Patriot มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์  อินเดีย สั่งซื้อโดรน MQ-9B มูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ เกาหลีใต้ สั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์ AH-64E Apache มูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ โรมาเนีย สั่งซื้อรถถัง M1A2 Abrams มูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์)

ดร.เคน แฮมมอนด์ นักเขียนและศาสตราจารย์ กล่าวกับ Sputnik ว่า การแสวงหากำไรจากสงครามโดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติอย่างร้ายแรง โดยยูเครนถูกส่งอาวุธจากตะวันตกอย่างไม่หยุดยั้ง  

อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือทางทหารจำนวนมหาศาลที่ตะวันตกส่งให้ยูเครนส่วนใหญ่กลับไร้ผลในสนามรบ อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายโจมตีที่ชอบธรรมของรัสเซีย และยังมีส่วนหนึ่งที่หลุดไปอยู่ในมือของพ่อค้าอาวุธผิดกฎหมายในตลาดมืด

คนยูเครนเกินครึ่งเบื่อสงคราม หนุนถกรัสเซีย ปูตินเปิดช่องสันติภาพ แต่ไม่ขอคุยกับเซเลนสกี

(29 ม.ค. 68) ผลสำรวจล่าสุดเผย ชาวยูเครนครึ่งหนึ่งสนับสนุนแนวทางการเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย ท่ามกลางแรงกดดันจากนานาชาติให้ยุติสงครามที่ดำเนินมากว่า 3 ปี

ผลสำรวจของ Socis สำนักโพลของยูเครนที่เมื่อไม่นานมานี้  แสดงให้เห็นว่าประชากรยูเครน 50.6% สนับสนุนแนวทางการเจรจาสันติภาพ โดยมีตัวกลางจากนานาชาติเข้ามามีบทบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 36.1% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 สะท้อนถึงความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของชาวยูเครน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นในสมรภูมิรบ

ในขณะเดียวกัน อัตราการสนับสนุนให้เดินหน้าต่อสู้เพื่อทวงคืนชายแดนสู่แนวเดิมในปี 1991 ลดลงจาก 33.5% ในช่วงต้นปี 2024 เหลือเพียง 14.7% ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ขณะที่แนวคิดการตรึงสมรภูมิไว้ในแนวปัจจุบันก็ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นจาก 8.2% เป็น 19.5%

ด้านประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย แสดงท่าทีว่าพร้อมพิจารณาการเจรจาสันติภาพ แต่ปฏิเสธการพูดคุยโดยตรงกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ซึ่งเขามองว่าเป็นผู้นำที่ "ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" เนื่องจากหมดวาระไปแล้วในช่วงกฎอัยการศึก อย่างไรก็ตาม ปูตินเปิดทางให้มีการเจรจาผ่านตัวแทนจากทั้งสองฝ่าย

เซเลนสกี ตอบโต้ท่าทีของปูติน โดยระบุว่ารัสเซียพยายามยื้อเวลาและกลัวการเจรจาจริงจัง เขาย้ำว่าแนวทางเดียวที่ยอมรับได้คือสันติภาพที่รักษาอธิปไตยของยูเครน พร้อมเรียกร้องให้พันธมิตรตะวันตกเดินหน้าสนับสนุนเคียฟต่อไป

ด้านสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเพิ่มแรงกดดันต่อทั้งสองฝ่ายให้บรรลุข้อตกลงโดยเร็ว ทรัมป์เตือนว่าหากรัสเซียไม่ยอมรับการเจรจา อาจเผชิญมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม นอกจากนี้ เขายังแต่งตั้งคีธ เคลลอกก์ ทูตพิเศษด้านยูเครนคนใหม่ พร้อมกำหนดระยะเวลา 100 วันให้ดำเนินการหาข้อตกลงสันติภาพให้ได้

มอสโกยังคงยืนยันจุดยืนว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อยูเครนละทิ้งความต้องการเข้าร่วมนาโต รวมถึงยอมรับสถานะใหม่ของดินแดนที่ถูกรัสเซียผนวกไปก่อนหน้านี้ ขณะที่เคียฟยืนกรานว่าการเจรจาต้องนำไปสู่การฟื้นฟูอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมด รวมถึงไครเมียที่ถูกยึดไปตั้งแต่ปี 2014

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายยังคงมีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่แรงกดดันจากประชาคมโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ อาจทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ทั้งสองประเทศจะต้องหันหน้าสู่โต๊ะเจรจาในอนาคตอันใกล้

ทหาร 1 แสนนายหนีทัพ รัสเซียเผยสูญเสียหนัก เซเลนสกีไม่มีทางเลือก แก้กม.ดึงเด็ก 18 ปีสู้ศึกแทน

(30 ม.ค.68) กระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันพฤหัสบดีว่า มีทหารยูเครนราว 100,000 นาย ละทิ้งหน้าที่จากหน่วยของตนเองและหลบหนีไป โดยกรณีการหนีทัพดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในเวลานี้

รายงานระบุว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทัพยูเครนสูญเสียกำลังพลโดยเฉลี่ยประมาณ 50,000 คนต่อเดือน

"จากข้อมูลทางการ ทหารยูเครนประมาณ 100,000 คน ได้ละทิ้งหน่วยทหารของตนโดยพลการและหลบหนีไป" กระทรวงฯ กล่าวในแถลงการณ์ นอกจากนี้ ยังเสริมว่า อัตราการระดมพลในยูเครนไม่สามารถชดเชยการสูญเสียได้ ส่งผลให้จำนวนกำลังพลของยูเครนลดลงอย่างต่อเนื่อง

กลาโหมรัสเซียยังเผยอีกว่า ด้วยสภาพดังกล่าวทำให้รัฐบาลเคียฟมีทางเลือกไม่มาก โดยอาจใช้วิธีการแก้ไขกฎหมายลดอายุเกณฑ์การระดมพลจาก 25 ปีเหลือ 18 ปี ซึ่งเป็นเพียงวิธีเดียวที่ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี จะสามารถทำได้เพื่อยืดเวลาการรบในแนวหน้าโดยเฉพาะที่ภูมิภาคดอนบาสออกไปอีกไม่กี่เดือน แต่นั่นก็ทำให้ยูเครนถูกบรรดาชาติตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top