Wednesday, 21 May 2025
TheStatesTimes

‘บอสชาตรี’ ปลื้มบิ๊กอีเวนต์ ONE สร้างเงินสะพัดระดับชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มูลค่ากว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี

(20 พ.ค. 68) ชาตรี ศิษย์ยอดธง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ONE แชมเปียนชิพ แสดงความภาคภูมิใจ หลังรายงานล่าสุดจาก Nielsen ชี้ว่า ONE มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี ผ่านการจัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลก และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา

รายงานระบุว่า 82% ของผู้ชมต่างชาติ ซึ่งมาจากประเทศมีกำลังซื้อสูง เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และแคนาดา เดินทางมาไทยเพื่อชมการแข่งขันของ ONE และกว่า 65% ของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ยังเลือกขยายทริปเที่ยวในจังหวัดอื่น ทำให้ใช้เวลาในประเทศไทยเฉลี่ยมากกว่า 10 วัน

ด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ภาคค้าปลีกและนันทนาการได้รับรายได้สูงสุดจากอีเวนต์ของ ONE รวมกว่า 105 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,675 ล้านบาท) ตามด้วยภาคที่พัก 1,890 ล้านบาท และภาคอาหารเครื่องดื่ม 1,330 ล้านบาท

บิ๊กบอสชาตรี กล่าวย้ำว่า ONE ไม่เพียงเป็นเวทีการต่อสู้ระดับโลก แต่ยังเป็นเครื่องมือทรงพลังในการส่งเสริมภาพลักษณ์และเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณแฟนคลับ นักกีฬา พันธมิตร และทีมงานทุกคนที่ร่วมผลักดัน ONE ให้เป็นฟันเฟืองสำคัญในแนวคิด 5F ของการท่องเที่ยวไทยอย่างแท้จริง

‘กอบศักดิ์’ ชี้ บริโภค – อุตสาหกรรมไทยถดถอย แนะเร่งแก้หนี้ครัวเรือน - ผลัดใบอุตสาหกรรมใหม่

 ‘ดร.กอบ’ ชี้ 2 จุดอ่อนหลักฉุดเศรษฐกิจไทย ทั้งการบริโภค - อุตสาหกรรมถดถอย เครื่องยนต์เศรษฐกิจเริ่มดับ แนะเร่งแก้หนี้ครัวเรือน-ผลัดใบอุตสาหกรรมใหม่

วันที่ (20 พ.ต. 68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊ก กอบศักดิ์ ภูตระกูล ระบุว่า

ปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทย !!!

เมื่อวานนี้ทางสภาพัฒน์ได้ประกาศ GDP ไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ขยายตัว +3.1% ออกมาได้ดีกว่าที่หลายคนคิด จากการเร่งส่งออก ที่ช่วยให้การส่งออกสินค้า +13.8% ซึ่งจะดีต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2

โดยผู้ประกอบการสหรัฐคงพยายามเร่งนำเข้าก่อนที่จะหมด 90 วัน มีของไว้ก่อน ดีกว่า แม้ว่าจะถูก Tariffs 10% เพราะในอนาคตไม่รู้ว่าจะจบกันอย่างไร

ในข้อมูล GDP ของสภาพัฒน์ที่แถลงออกมา มีตัวเลข 2 ตัวที่น่าจับตามองที่จะกดดันเศรษฐกิจไทยไปในช่วงหลายปีข้างหน้า

1. การบริโภคภาคเอกชน ที่ขยายตัวได้เพียง +2.6% ซึ่งน่ากังวลใจ เพราะปกติแล้ว การบริโภคภาคเอกชนจะมีขนาดประมาณ 55% ของเศรษฐกิจ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย จะคึกคักหรือไม่ ก็จะขึ้นกับว่า คนใช้จ่ายหรือไม่ ซึ่งตัวเลขนี้ควรจะขยายตัวได้ 5-6% แต่ช่วง 4 ไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวได้เพียงประมาณ 3% กว่าๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยโต และอีกส่วนคงมาจากการที่เราเป็นหนี้กันมาก มีหนี้ครัวเรือนสูง มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น

2. ตัวเลขที่ยิ่งน่ากังวลใจไปกว่านั้น ก็คือ การผลิตของภาคอุตสาหกรรม ภาคนี้ คือ ภาคที่สร้างรายได้หลักของประเทศ ล่าสุดมีสัดส่วนประมาณ 28% ของ GDP ในช่วงที่เราขยายตัวดีๆ ภาคนี้จะเป็นหัวหอก เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยผลักเศรษฐกิจไทย ช่วงปี 2000-2007 ขยายตัวที่ +9.5% ช่วงปี 2010-2018 ขยายตัวที่ +4.1% แต่ 5 ไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวเฉลี่ยเพียง +0.5%

เครื่องยนต์ดับ !!!!
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าอุตสาหกรรมไทยกำลังตกรุ่น โรงงานกำลังปิด หรือ ลดกำลังการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มยานยนต์ที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ถ้าเราอยากเห็นเศรษฐกิจไทยคึกคักอีกรอบ นี่คือโจทย์สำคัญที่เราต้องแก้ให้ได้

แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และ สร้างหรือผลัดใบภาคอุตสาหกรรมไทย ที่จะมาเป็นรายได้ใหม่ๆ ให้กับประเทศ ทดแทนการปิดตัวของโรงงานแบบเดิม ๆ

ถ้าเราแก้ไม่ได้ เศรษฐกิจไทยก็ยากจะกลับไปโตอย่างที่เราหวังกัน ถูกเพื่อนบ้านแซง หรือ ทิ้งไว้ข้างหลัง โชคดีช่วงนี้ คลื่นการลงทุนรอบใหม่ในอาเซียนกำลังมา หลายๆ ประเทศกำลังหลั่งไหลเข้ามาลงทุน หลังจากทิ้งเราไปหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง

ถ้าหากว่า เราได้ส่วนแบ่งที่พอสมควร อีก 3-5 ปีให้หลัง เราจะมีภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่จะออกดอกออกผลอีกครั้งเป็นเครื่องยนต์ใหม่ให้เศรษฐกิจไทยไปอีก 15-20 ปี

ขอเป็นกำลังใจให้กับ BOI ที่พยายามต่อสู้ ช่วงชิงโอกาสให้ประเทศไทย ในช่วงเช่นนี้ หาก BOI มีงบ มีคนเพิ่มเติมอนาคตของไทยก็จะสดใสมากขึ้นครับ

คนจีนรุ่นใหม่แห่เรียน ‘ภาคค่ำ’ อัปสกิลแค่หลักพัน คอร์สหลากหลาย ตั้งแต่ใช้ AI ขับโดรน จนถึงชงกาแฟ-แต่งหน้า

(20 พ.ค. 68) หลังฤดูกาลหางานช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนผ่านไป คนหนุ่มสาวชาวจีนเริ่มหันมามองหาโอกาสใหม่ ๆ ไม่ใช่แค่สมัครงานหรือโปรโมตตัวเองในที่สาธารณะ แต่ยังเลือกเข้าเรียนใน “โรงเรียนภาคค่ำ” ซึ่งกำลังเป็นทางเลือกยอดนิยมในการอัปสกิลด้วยงบหลักพันบาท

กระแสโรงเรียนภาคค่ำกลับมาเป็นที่สนใจหลังโครงการ “โรงเรียนกลางคืนสำหรับประชาชน” ในเซี่ยงไฮ้กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ ด้วยค่าเรียนเพียงราว 500 หยวน (ราว 2,300 บาท) หลักสูตรหลากหลายตั้งแต่การใช้ AI ไลฟ์ขายของ ไปจนถึงขับโดรนหรือทำเครื่องดื่ม ซึ่งตอบโจทย์ทั้งสายอาชีพและงานอดิเรก บางคอร์สยังมีโอกาสได้งานพาร์ตไทม์ต่อยอดหลังเรียนจบ

โรงเรียนเหล่านี้แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักคือ โรงเรียนที่ดำเนินการโดยภาครัฐ/ชุมชน และโรงเรียนของภาคเอกชนหรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ จุดเด่นคือราคาเข้าถึงง่ายและไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาเฉพาะทาง ผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานที่มีเป้าหมายชัดเจน ทั้งเพิ่มทักษะ รับมือกับเทคโนโลยีใหม่ หรือเตรียมตัวเปลี่ยนอาชีพในอนาคต

นอกจากผู้เรียนแล้ว ยังมีคนทำงานบางส่วนผันตัวมาเป็นผู้สอนในโรงเรียนภาคค่ำ โดยใช้ประสบการณ์ตรงเป็นใบเบิกทาง เช่น เสี่ยวเชียนในกว่างโจวที่สอนแต่งหน้า พร้อมช่วยแนะงานให้นักเรียนแบบไม่เป็นทางการ กลายเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนทั้งความรู้และเครือข่ายงาน

โรงเรียนภาคค่ำจึงไม่ใช่แค่คลาสเรียนหลังเลิกงาน แต่เป็นเวทีสร้างโอกาส ลดความเสี่ยงในการเปลี่ยนอาชีพ และเปิดทางเลือกใหม่ให้คนจีนรุ่นใหม่ได้พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ในราคาที่จับต้องได้และเรียนรู้ได้จริงจากประสบการณ์ตรง

‘เปรมชัย กรรณสูต’ ป่วยหนักระบบหายใจ เรือนจำส่งตัวด่วน!..เข้า รพ.ราชทัณฑ์

(20 พ.ค. 68) นายเปรมชัย กรรณสูต หนึ่งในผู้ต้องหาในคดีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ถูกส่งตัวด่วนไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ หลังมีอาการทางเดินหายใจผิดปกติและมีโรคประจำตัวหลายโรค ประกอบกับอายุมาก แพทย์จึงพิจารณารับตัวไว้ดูแลอย่างใกล้ชิด

ก่อนหน้านี้ ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาในคดีนี้จำนวน 15 ราย แม้จะยื่นขอประกันด้วยหลักทรัพย์รายละ 6-8 แสนบาท โดยให้เหตุผลว่าเป็นคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าจะหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า นายพิมล เจริญยิ่ง อายุ 85 ปี วิศวกรที่ร่วมเป็นผู้ต้องหาในคดีเดียวกัน มีอาการเครียดและภาวะทางกายซีกซ้ายอ่อนแรง เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลแล้ว ส่วนผู้ต้องขังรายอื่นยังถูกควบคุมตัวภายในเรือนจำภายใต้มาตรการเฝ้าระวังสุขภาพอย่างใกล้ชิด

‘ปราชญ์ สามสี’ ผู้เขียนบท ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิบัติ’ ย้ำชัด ขอยืนหยัดตีแผ่ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ด้วยข้อเท็จจริง หวังคนรุ่นหลังได้ตื่นรู้

(20 พ.ค. 68) ณ วันที่ ข้าพเจ้านั่งลงเขียนเกี่ยวกับหนังสือและภาพยนตร์ '2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ' สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ใช่แค่การเขียนคำนำธรรมดา ๆ หากแต่เป็นการถ่ายทอดข้อเท็จจริงที่ต้องการฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลัง ผู้ที่เฝ้ามองและตั้งคำถามกับอดีตและอนาคตของสังคม

ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาและลงมือเขียนบท ข้าพเจ้าได้ค้นพบว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนที่ทิ้งร่องรอยไว้ให้เราได้หยิบขึ้นมาเรียนรู้และทบทวนในทุกยุคสมัย สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริงเพราะ ความจริงมันปรากฎอยู่บนหนังสือมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่อยู่ที่การยอมรับและการไม่ปล่อยให้อคติและโทสะบดบังสายตาแห่งความจริง

การเขียนหนังสือเล่มนี้ เหมือนกับการยืนหยัดในท่ามกลางพายุแห่งการบิดเบือนและการตั้งคำถาม ซึ่ง ข้าพเจ้าได้รับทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ การกดดัน และคำท้าทายจากผู้ที่ไม่ต้องการให้ความจริงถูกเปิดเผย แต่ข้าพเจ้ากลับเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือแรงผลักดันที่ทำให้เรายืนหยัดมั่นคงยิ่งขึ้น

ในท้ายที่สุดแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการเขียนครั้งนี้คือการประกาศถึงสัจธรรมอันเป็นนิรันดร์ว่า 'ความจริง แม้จะขมขื่น แต่มันก็ยังคงเป็นความจริง' ดังที่ เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ 'ไม่มีใครถูกเกลียดมากไปกว่าผู้ที่พูดความจริง' และในวันนี้ ข้าพเจ้ายังคงยืนหยัดในคำพูดนั้นเช่นเดิม

ท้ายนี้ ข้าพเจ้าอยากฝากถึงผู้อ่านทุกคนว่า จงอย่าเพียงแค่จ้องมองอดีตผ่านกระจกขุ่นมัว แต่จงหยิบยกบทเรียนจากประวัติศาสตร์มาเป็นคบไฟส่องทางในปัจจุบันและอนาคต หากท่านสนใจและต้องการสนับสนุน สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ 2475 Animation หรือหาซื้อหนังสือและสื่ออื่น ๆ ได้ที่ Shopee โดยจะมีลิงก์ให้นะครับ
https://www.facebook.com/share/1AKLpE3mrB/
https://th.shp.ee/nyAER28

‘เอกนัฏ’ เดินหน้าปราบ “อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ” ตั้งทีมสกัดกลุ่มสินค้า สายไฟ เหล็ก ยางล้อ พลาสติก

(20 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศ และสถานการณ์การค้าของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ซึ่งในวันนี้ต้องยอมรับว่า การใช้วิธีการเดิม ๆ นั้น ไม่ทันต่อการปราบปรามและแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปราบปรามการผลิต นำเข้า และจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์  กำหนดรายการสินค้าที่ต้องเฝ้าระวังการลักลอบสวมสิทธิ์เป็นสินค้าไทยเพิ่มเติม เร่งปิดช่องโหว่ทางกฎหมายที่เอื้อต่อการสวมสิทธิ์ เพิ่มบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด ตรวจสอบโรงงานต่างชาติฝ่าฝืนกฎหมาย ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินทุนจดทะเบียน ทบทวนเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนให้มีการจ้างแรงงานไทยและการใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศ และยกระดับการติดตามตรวจสอบให้เป็นไปตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด 

“ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม 2567- มีนาคม 2568) “ชุดตรวจการสุดซอย” ของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ปราบปราม “อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ” ซึ่งเป็นการกระทำความผิดหลากหลายรูปแบบ อาทิ โรงงานต่างชาติที่มีลักษณะเข้าข่ายเป็นนอมินี ซึ่งอยู่ในระหว่างการขยายผลร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน โดยพฤติกรรมผู้กระทำความผิดมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และไม่มีตัวตนในประเทศไทย การลักลอบสวมสิทธิ์ผลิตสินค้าที่กำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน และส่งออกโดยอ้างว่าเป็นสินค้าไทย การจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแพลตฟอร์มออนไลน์เชื่อมโยงกับกลุ่มทุนศูนย์เหรียญ โดยยึดอายัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานกว่า 692.14 ล้านบาท”  นายเอกนัฏ กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา สมอ. ได้เสนอวาระเร่งด่วนให้บอร์ดพิจารณาแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม" ทำหน้าที่ในการศึกษาการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ด้วยการพัฒนากระบวนการทั้งระบบ ตั้งแต่การกำหนดมาตรฐาน การตรวจสอบรับรอง และการกำกับดูแล เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมไทย และคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 

นอกจากนี้ บอร์ดยังได้มีมติเห็นชอบร่างมาตรฐาน จำนวน 46 มาตรฐาน โดยแบ่งเป็นสินค้าควบคุม  2  มาตรฐาน ได้แก่ เคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคมภายนอกอาคารชนิดแขวนในอากาศรับน้ำหนักตัวเองได้ และ เคเบิลเส้นใยนำแสงชนิด ADSS แขวนตามแนวสายไฟฟ้า และมาตรฐานทั่วไป จำนวน 44 มาตรฐาน เช่น ถุงพลาสติกบรรจุอาหาร ถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟ ยานยนต์ที่ใช้บนถนน – ส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์ระบบการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง อนุภาคนาโนกักเก็บสารสกัดใบกระท่อม รหัสอักษรเบรลล์คอมพิวเตอร์สำหรับประเทศไทย เป็นต้น 

พร้อมทั้งเห็นชอบรายชื่อมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำเพิ่มเติมในปี 2568 อีก 160 มาตรฐาน ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอุตสาหกรรมส่งเสริมผู้ประกอบการ จากเดิมที่บอร์ดอนุมัติรายชื่อมาตรฐานไปแล้ว 611 มาตรฐาน รวมเป็น 771 มาตรฐาน 

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าว จะประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถจากหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม    การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น และจะเร่งเสนอรายชื่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อให้บอร์ดให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งต่อไป โดยจะนำร่องใน 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ต้องควบคุมกำกับดูแลเป็นพิเศษก่อน เนื่องจากมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศและความปลอดภัยของประชาชนในวงกว้าง ได้แก่ กลุ่มสายไฟ เหล็ก และโครงสร้างเหล็กประกอบสำเร็จ(Prefabrication) ยางล้อ และกลุ่มพลาสติก เพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผล ไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ต่อไป” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

‘รูบิโอ’ เผยเสียงสะท้อนจากวาติกันถึงทำเนียบขาว ชี้ ‘ยุโรป’ บางประเทศพูดถึงแต่ ‘สงคราม’ มากกว่าสันติภาพ

(20 พ.ค. 68) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เผยว่า ระหว่างเดินทางเยือนกรุงโรม เขาได้รับฟังมุมมองสะเทือนใจจากนักบวชชั้นสูงรายหนึ่ง ซึ่งมองว่าโลกในขณะนี้กลับตาลปัตร โดยมีผู้นำสหรัฐฯ อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการสันติภาพ ขณะที่บางประเทศในยุโรปกลับพูดถึงการทำสงครามอยู่เสมอ คำพูดดังกล่าวถูกถ่ายทอดในงานเลี้ยงของคณะกรรมการศูนย์เคนเนดีที่ทำเนียบขาว ซึ่งสะท้อนความรู้สึกของหลายฝ่ายในยุโรปอย่างชัดเจน

รูบิโอระบุเพิ่มเติมว่า หนึ่งในคาร์ดินัลที่เขาพบก่อนพิธีมิสซาของสมเด็จพระสันตะปาปากล่าวว่า “เป็นเรื่องแปลกที่เรามีประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ต้องการสันติภาพ แต่กลับมีชาวยุโรปบางคนที่พูดถึงเรื่องสงครามตลอดเวลา” ซึ่งเป็นความเห็นที่ตอกย้ำภาพลักษณ์ใหม่ของสหรัฐฯ ในสายตาของผู้นำทางศาสนาในยุโรป

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย โดยทั้งสองเห็นพ้องถึงการสานต่อการติดต่อโดยตรงระหว่างรัสเซียและยูเครนในทุกระดับ รวมถึงการเจรจาในระดับผู้นำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สะท้อนความพยายามลดความตึงเครียดในเวทีโลกของทรัมป์ผ่านแนวทางทางการทูตมากกว่าทางทหาร

จับจริง! ปราบน้ำมันเถื่อน สำนักงานตำรวจแห่งชาติโชว์ผลปฏิบัติ 4 เดือน จับแล้วเกือบ 400 คดี

(19 พ.ค. 68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.ตร.) เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยในส่วนของการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง ศปนม.ตร. มีผลการดำเนินงานในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 เมษายน 2568 ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 4 มิติหลักอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ดังนี้

1. มิติการตรวจป้องกัน : ดำเนินการตรวจทั้งทางบกและทางน้ำรวม 4,642 ครั้ง มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ (4,400 ครั้ง) คิดเป็น 105.5% โดยตรวจทางบก 4,480 ครั้ง และทางน้ำ 162 ครั้ง

2. มิติการดำเนินคดี : สามารถจับกุมคดีที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 393 คดี แบ่งเป็นคดีที่อยู่ในชั้นสอบสวน 166 คดี และคดีที่เปรียบเทียบปรับแล้ว 227 คดี รวมมีผู้ต้องหา 335 คน เป็นชาย 249 คน หญิง 106 คน ในจำนวนนี้มีผู้ต้องหาต่างชาติ 4 คน และเป็นนิติบุคคล 22 ราย

3. มิติของกลาง : ของกลางที่ยึดได้จากการดำเนินคดีมีปริมาณน้ำมันกว่า 832,000 ลิตร คิดเป็นมูลค่ากว่า 24.9 ล้านบาท และก๊าซปิโตรเลียมเหลวกว่า 58,000 กิโลกรัม มูลค่าราว 2.1 ล้านบาท

4. มิติเงินค่าปรับ : จากคดีที่เปรียบเทียบปรับแล้ว 226 คดี ได้เงินค่าปรับรวมกว่า 4.3 ล้านบาท และยังมีคดีที่อยู่ระหว่างสอบสวนอีก 166 คดี ซึ่งคาดว่าจะมีค่าปรับเพิ่มขึ้นอีกหลังการดำเนินการเสร็จสิ้น

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา เป็นความสำเร็จที่สะท้อนถึงความจริงจังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการลดความเสียหายด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ โดยหลังจากนี้จะมีการเร่งสืบสวนขยายผลไปถึงเครือข่ายผู้อยู่เบื้องหลังอย่างเข้มข้น โดยไม่มีการละเว้นผู้กระทำผิดไม่ว่าเป็นใคร

พร้อมกันนี้ ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันสอดส่อง และแจ้งเบาะแส หากพบการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน หรือจำหน่ายก๊าซผิดกฎหมาย รวมถึงหากพบเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1599
เพื่อร่วมกันปกป้องความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top