Friday, 9 May 2025
TheStatesTimes

‘ภูมิธรรม’ แจงชัด ถอยทหารแค่จุดรุกล้ำตาม ‘MOU 43’ ยืนยัน ‘ปราสาทตาเมือนธม’ ยังอยู่ในความดูแลไทย วอนหยุดบิดเบือน

(6 พ.ค. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงกรณีถอยกำลังทหารจากพื้นที่รอบปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ว่าเป็นเพียงการปฏิบัติตามข้อตกลง MOU43 และไม่มีการเสียดินแดนตามที่มีการกล่าวอ้าง ยืนยันไม่มีการเจรจาลับ และไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ

นายภูมิธรรม ระบุว่าการหารือเกิดขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) โดยมีตัวแทนระดับสูงจากทั้งสองฝ่ายร่วมรับฟังอย่างเปิดเผย ฝ่ายไทยนำโดยตนเอง ร่วมกับปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

นอกจากนี้ ยังมีการหารือแบบ 1 ต่อ 1 กับรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อยืนยันแนวปฏิบัติตาม MOU 43 โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่หลักแต่อย่างใด โดยเฉพาะในจุดที่ทหารไทยดูแลอยู่เดิม เช่น บริเวณปราสาทตาเมือนธม

นายภูมิธรรมย้ำว่า คำว่า “ถอยทหาร” หมายถึงการถอยจากจุดที่รุกล้ำเพิ่มเติม ไม่ใช่ถอนกำลังทั้งหมด และยังคงยืนยันอธิปไตยในพื้นที่เดิม ทหารยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ โดยมีแม่ทัพภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด

ท้ายที่สุด นายภูมิธรรมเรียกร้องให้หยุดนำเสนอข่าวที่บิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะอาจกระทบความเชื่อมั่นในรัฐบาลโดยไม่จำเป็น พร้อมยืนยันว่ากองทัพยังยึดมั่นในการปกป้องแผ่นดิน และไม่มีใครขายชาติอย่างที่มีบางฝ่ายพยายามกล่าวหา

‘สี จิ้นผิง-ปูติน’ เตรียมร่วมหารือเชิงยุทธศาสตร์กลางพิธีรำลึกสงครามโลก ท่ามกลางคำขู่ของ ‘เซเลนสกี’ ลั่นชาติตะวันตก…คิดให้ดีก่อนร่วมงานที่รัสเซีย

(6 พ.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ทำเนียบเครมลินประกาศผ่านแอปพลิเคชันเทเลแกรมว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เตรียมหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ถึงการกระชับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศ พร้อมลงนามในเอกสารสำคัญหลายฉบับในช่วงงานรำลึกวันแห่งชัยชนะของรัสเซีย

สำหรับเนื้อหาการหารือจะครอบคลุมทั้งความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์และสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยคาดว่าจะมีผู้นำจากหลายประเทศ เช่น บราซิล เซอร์เบีย และสโลวาเกีย เดินทางไปร่วมงานรำลึก ซึ่งตรงกับวันที่ 9 พฤษภาคม รำลึกการที่สหภาพโซเวียตสามารถขับไล่นาซีกลับไปเบอร์ลินได้ในสงครามโลกครั้งที่ 2

ด้านประธานาธิบดีปูตินเสนอหยุดยิงกับยูเครนเป็นเวลา 3 วันในช่วงวันดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ปฏิเสธแนวคิดนี้ พร้อมยืนยันว่า “การหยุดยิงที่ไม่มีเงื่อนไข” ควรมีระยะเวลาอย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้มีผลอย่างแท้จริง โดยระบุว่า “ในเวลาเพียง 3 วัน 5 วัน หรือ 7 วัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้มันมีความหมายอะไรขึ้นมา”

เซเลนสกียังเตือนผู้นำต่างชาติที่วางแผนเดินทางไปรัสเซียในช่วงวันงานว่า “สำหรับทุกประเทศที่วางแผนจะเดินทางไปรัสเซียในวันที่ 9 พฤษภาคม เราไม่สามารถรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนของรัสเซียได้” โดยเป็นถ้อยแถลงระหว่างการแถลงข่าวตามรายงานของอินเตอร์แฟกซ์-ยูเครน

‘สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย’ เร่งขยายเฟสแรก งบ 5,870 ล้าน สร้างอาคารหลังใหม่ พร้อมดันศักยภาพรองรับผู้โดยสารแตะ 6 ล้านคนต่อปี

(6 พ.ค. 68) กระทรวงคมนาคมร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เดินหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 ใช้งบประมาณ 5,870 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจากปัจจุบันประมาณ 1.9 ล้านคนต่อปี ให้เพิ่มเป็น 6 ล้านคนภายในปี 2575 เพื่อตอบรับการเติบโตของการเดินทางและท่องเที่ยวในภาคเหนือ

ในแผนงานระยะที่ 1 (ปี 2568–2571) จะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ (อาคาร 2) พร้อมปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม ก่อสร้างลานจอดอากาศยาน ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้สนามบินสามารถรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากการขยายอาคารผู้โดยสาร ยังมีแผนลงทุนปรับปรุงโครงข่ายถนนรอบสนามบิน เช่น ทางลอดและทางแยกต่างระดับ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรและเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างเมือง พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะจากจีน ลาว และเมียนมา

ทอท. คาดการณ์ว่าในปี 2573 จำนวนผู้โดยสารของสนามบินแม่ฟ้าหลวงจะพุ่งแตะ 3 ล้านคนต่อปี จึงเร่งวางแผนพัฒนาเชิงรุกระยะยาว โดยมีแผนเฟส 2 เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับถึง 8 ล้านคนภายในปี 2578 สอดรับเป้าหมายของไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบน

‘สี จิ้นผิง’ ประกาศยุทธศาสตร์ ‘เอเชียบริหารเอเชีย’ หวังลดบทบาทสหรัฐฯ ในภูมิภาค พร้อมประกาศแผนสร้างเสถียรภาพใหม่

(6 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้เปิดตัวยุทธศาสตร์ความมั่นคงใหม่ที่มุ่งเน้นการลดบทบาทของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย พร้อมประกาศ “เอเชียบริหารเอเชีย” โดยระบุว่า “เรื่องของเอเชีย คนเอเชียต้องจัดการเอง” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ว่าอาจถึงเวลาที่จะลดอิทธิพลในภูมิภาคนี้และเปิดทางให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเสถียรภาพ

ยุทธศาสตร์นี้ได้รับการขยายผลทันทีในการเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา โดยสี จิ้นผิงใช้โอกาสนี้เน้นย้ำการเป็น “เพื่อน” ของจีนในภูมิภาคและเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ร่วมมือกันต่อต้านแรงกดดันจากภายนอก ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการตอบโต้การกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจในเอเชีย

การผลักดันแนวคิด “เอเชียบริหารเอเชีย” นั้นมีรากฐานมาจาก “Asian Security Concept” ที่จีนเคยประกาศไว้ในปี 2014 ซึ่งเสนอทางเลือกใหม่ให้กับประเทศในเอเชียในการรักษาความมั่นคงโดยไม่พึ่งพาการแทรกแซงจากสหรัฐฯ หรือประเทศตะวันตก โดยสีจิ้นผิงเชื่อว่าภูมิภาคเอเชียสามารถจัดการปัญหาภายในได้ด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำหรับจีนยังคงมีอยู่ เนื่องจากความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และความไม่ไว้วางใจจากบางประเทศในภูมิภาคที่ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับเจตนาของจีนในระยะยาว แม้จะมีการเสนอแนวทางการร่วมมือ แต่หลายฝ่ายยังคงจับตาดูว่าใครจะเป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารเอเชียในที่สุด

‘ยูซีเซอร์เคิล’ วงกลมเล็กที่ครอบคลุมครึ่งโลก ทั้งประชากร-GDP-เทคโนโลยี โดยไร้เงาชาติตะวันตก

(6 พ.ค. 68) ยูซี (Yuxi) เมืองเล็กในมณฑลยูนนานของจีน อาจดูไม่มีอะไรโดดเด่นด้วยจำนวนประชากรเพียง 2.5 ล้านคน แต่หากใช้เป็นจุดศูนย์กลางแล้ววาดวงกลมรัศมี 2,500 ไมล์ (ราว 4,000 กม.) จะพบว่าวงกลมนี้ครอบคลุมประชากรกว่า 4.3 พันล้านคน หรือมากกว่าครึ่งของประชากรโลก

พื้นที่ภายใน “วงกลมยูซี” นี้ ยังคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของ GDP โลก (เมื่อคำนวณแบบ PPP) และเป็นแหล่งผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ ไมโครชิพ แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ ที่สำคัญ ไม่มีประเทศตะวันตกอยู่ในวงกลมนี้เลยแม้แต่ประเทศเดียว

ประเทศที่อยู่ในวงกลมนี้ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย เวียดนาม พม่า บังกลาเทศ เนปาล ไทย ฟิลิปปินส์ และอีกหลายประเทศ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย โดยไม่ต้องพึ่งพามหาอำนาจตะวันตก

แต่สำหรับประเทศตะวันตก วงกลมนี้อาจไม่ใช่แค่ “จุดแข็ง” ของเอเชีย แต่ยังเป็น “ความเสี่ยง” ต่ออิทธิพลเดิมที่ตนเคยมี จึงมีความพยายามแทรกแซงในรูปแบบต่างๆ ทั้งฐานทัพ กองกำลัง “เพื่อสันติภาพ” หรือแม้แต่การหนุนหลังความขัดแย้งในประเทศอ่อนแอ

ในบริบทนี้ ผู้สังเกตการณ์บางรายเตือนว่า หากประเทศใดภายในวงกลมยูซีไม่ระวังให้ดี อาจกลายเป็นจุดอ่อนของทั้งภูมิภาค เปิดทางให้การแทรกแซงแฝงมาในรูปแบบใหม่ ซึ่งอาจไม่ได้มาเพื่อร่วมมือ แต่เพื่อถ่วงรั้งอำนาจเอเชียไม่ให้เติบโตเทียบเท่าตะวันตกในอนาคต

เรื่องราวชีวิตของจางเจี้ยนเหอ ผู้สร้าง ‘หว่านไจ๋หม่าโถว’ แม่เลี้ยงเดี่ยวที่พลิกชีวิตจากความสิ้นหวังสู่อาณาจักรเกี๊ยวระดับโลก

(6 พ.ค. 68) จางเจี้ยนเหอ หรือ “Chong Kin Wo” คือแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เปลี่ยนเกี๊ยวจีนข้างถนนให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก “หว่านไจ๋หม่าโถว” ด้วยยอดขายกว่า 6,000 ล้านหยวน 

ชีวิตของเธอเริ่มต้นจากความลำบาก หลังสามีทิ้งไปและเธอเดินทางมาฮ่องกงกับลูกสาวเพื่อหาสามีที่หายไป แต่พบว่าถูกทิ้งจนต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากและต้องทำงานหลายอย่างเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ โดยเธอเริ่มจากการขายเกี๊ยวริมถนนที่ท่าเรือ และต่อมาก็สร้างโรงงานผลิตเกี๊ยวภายใต้ชื่อ “หว่านไจ๋หม่าโถว” ซึ่งเริ่มขยายเข้าสู่ตลาดเกี๊ยวแช่แข็งและกลายเป็นเจ้าตลาดในฮ่องกงภายในไม่กี่ปี

ความสำเร็จของเธอไม่ได้มาจากโชคชะตา แต่เป็นผลจากความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ โดยในช่วงต้นเธอปฏิเสธความช่วยเหลือจากรัฐบาลและเงินชดเชยที่เสนอให้ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีและสอนลูกๆ ให้รู้จักพึ่งพาตัวเอง จางเจี้ยนเหอได้เริ่มต้นจากแผงลอยบนถนนและสร้างแบรนด์ด้วยความตั้งใจและการเลือกพันธมิตรที่เหมาะสม จนกระทั่งได้รับการร่วมทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่จากอเมริกา General Mills

การขยายแบรนด์หว่านไจ๋หม่าโถวไม่เพียงแค่ส่งสินค้าคุณภาพไปทั่วโลก แต่ยังคำนึงถึงเสียงจากลูกค้าด้วย จางเจี้ยนเหอได้ปรับกระบวนการผลิตตามคำแนะนำของลูกค้า และยึดมั่นในคุณภาพสูงสุด โดยใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดและการควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวด

ในปี 2001 บริษัท General Mills ได้ซื้อกิจการ Pillsbury และเข้ามาเป็นเจ้าของแบรนด์ “หว่านไจ๋หม่าโถว” ด้วยการลงทุนอย่างมหาศาล และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับปรุงกระบวนการผลิต ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพสินค้าให้ดียิ่งขึ้น จางเจี้ยนเหอได้เห็นว่าความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูงนั้นสำคัญในการทำธุรกิจในระดับโลก

แม้เธอจะพบความสำเร็จ แต่ก็ไม่เคยลืมจุดเริ่มต้น เธอยังคงมีความเชื่อมั่นในวิธีการทำธุรกิจที่มีความละเอียดอ่อนและเอาใจใส่ลูกค้า เธอเคยกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่เรามีในวันนี้ เป็นเพราะคำแนะนำและเสียงสะท้อนจากลูกค้า”

จนถึงที่สุด แบรนด์ “หว่านไจ๋หม่าโถว” กลายเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยสามารถส่งสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ผ่านระบบ cold chain ที่แข็งแกร่ง และยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพสูงและความพรีเมียม

จางเจี้ยนเหอเสียชีวิตในปี 2019 ด้วยวัย 74 ปี แต่เรื่องราวของเธอคือการต่อสู้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนหลายล้านคน เธอไม่เพียงแค่สร้างแบรนด์หมื่นล้าน แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นและศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมแพ้ในทุกสถานการณ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top