Monday, 28 April 2025
TheStatesTimes

ธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อลมหายใจธุรกิจเอสเอ็มอี แก้กฎหมายสินเชื่อซอฟต์โลน เปิดทางขอกู้ได้ 2 ครั้ง แต่ยอดรวมต้องไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง พร้อมยืดเวลาขอสินเชื่อได้ถึง เม.ย.64

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แจ้งว่า ขณะนี้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ลงนามในประกาศ ธปท. เรื่องการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ออกตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เอสเอ็มอี (ซอฟต์โลน)

เพื่อเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอี สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อซอฟต์โลนได้ไม่เกิน 2 ครั้ง จากเดิมที่กำหนดให้ขอสินเชื่อซอฟต์โลนได้เพียงครั้งเดียว แต่กำหนดให้วงเงินกู้ซอฟต์โลนทั้ง 2 ครั้งรวมกันต้องไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้างสิ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2562

ขณะเดียวกันยังขยายระยะเวลาให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียื่นขอสินเชื่อได้จนถึงเดือนเมษายน พ.ศ.2564 และสามารถขยายต่อไปได้อีก 6 เดือนจนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ.2564 เพื่อประคับประคองการประกอบธุรกิจ และเยียวยาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จากสถานการณ์การระบาดในประเทศ และต่างประเทศทั่วโลกยังคงมีความรุนแรง และมีแนวโน้มยืดเยื้อต่อไป

อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าการปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลน ณ วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2563 พบว่า ได้มีการปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 1.22 แสนล้านบาท จำนวนเอสเอ็มอี 73,500 ราย เฉลี่ยสินเชื่อ 1.7 ล้านบาทต่อราย โดยแบ่งเป็น เอสเอ็มอีขนาดเล็ก 56,200 ราย หรือ 76.5% รองลงมาคือ เอสเอ็มอีขนาดกลาง 12,633 ราย และเอสเอ็มอีขนาดใหญ่ 4,667 ราย

กลายเป็นฝันร้าย ฝันสยองของชาวโลก เมื่อทั่วโลกได้รู้ข่าวการกลายพันธุ์ล่าสุดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในประเทศอาฟริกาใต้ และไม่ใช่เชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ของอังกฤษเสียด้วย

เชื้อไวรัส Covid-19 กลายพันธุ์ตัวล่าสุดก็ได้ชื่อแล้วอย่างเป็นทางการว่า 501.V2

เชื้อไวรัสโคโรน่า 501.V2 มีการตรวจพบครั้งแรกเมื่อราว ๆ ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา บริเวณอ่าวเนลสัน แมนเดอร่า เป็นเชื้อ Covid ที่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้รวดเร็วยิ่งกว่า Covid-19 สายพันธุ์เดิม และมีเอกลักษณ์คือ เป็นเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่นี่ติดง่ายในกลุ่มคนวัยหนุ่ม-สาว และเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าการระบาดครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้

ศาตราจารย์ ซาลิม อับดูล คาริม หัวหน้าคณะที่ปรึกษาปัญหา Covid-19 ของแอฟริกาใต้ ได้เร่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และใช้มาตรการล็อคดาวน์ในหลายพื้นที่ รวมถึงบริเวณหน้าหาด ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีรายงานว่าเป็นจุดที่พบการแพร่เชื้อสูง

ตัวเลขผู้ติดเชื้อล่าสุดในแอฟริกาใต้มียอดสะสมทั้งหมดประมาณ 930,000 ราย และเสียชีวิตแล้วถึง 24,900 คน

ตอนนี้ยังไม่รู้ว่า วัคซีน Covid-19 ที่มีอยู่ตอนนี้จะสามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่นี้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็สร้างความหวั่นวิตกให้หลายประเทศ ที่ประกาศระงับเที่ยวบินจากแอฟริกาใต้แล้ว เช่น อิสราเอล ตุรกี เยอรมัน ซาอุดิอารเบีย สวิสเซอร์แลนด์ เป็นต้น

ทำให้ตอนนี้โลกต้องเผชิญหน้ากับเชื้อ Covid-19 ที่กลายพันธุ์แล้วถึง 2 ตัว และแพร่กระจายสู่คนเร็วยิ่งกว่าเดิม ได้แก่สายพันธุ์ของอังกฤษ รหัส VUI 202012/01 และ สายพันธุ์ของแอฟริกาใต้ 501.V2

เป็นเหมือนข่าวร้ายส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ที่ยังคงต้องเผชิญหน้ากับคลื่นการระบาดของไวรัสโคโรน่ากันต่อไป ที่อาจจะส่งผลกระทบร้ายแรงยิ่งกว่าเกิดสงครามโลกเสียอีก และเป็นฝันร้ายของนักวิจัยที่พยายามคิดค้นวัคซีนเพื่อต่อต้านมัน แต่ยังไม่อาจไล่ทันความสามารถในการเอาตัวรอดของไวรัสได้เลย


แหล่งข้อมูล

https://www.aljazeera.com/news/2020/12/22/south-africa-says-virus-variant-driving-resurgence

https://www.voanews.com/covid-19-pandemic/south-africa-identifies-new-virulent-strain-covid-19

https://www.africanews.com/2020/12/21/south-africa-detects-new-variant-of-coronavirus//

https://www.express.co.uk/news/world/1374779/covid-strain-latest-new-coronavirus-variant-south-africa-young-adults

เครดิต : หรรสาระ By Jeans Aroonrat

หัวหน้าพรรคก้าวไกล 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ' จัดหนักแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี รายประเด็น ชี้ควรปรับทัศนคติดด่วน เลิกโทษคนอื่น ระบุโควิดรอบใหม่มาจากรัฐหละหลวม จี้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่มีเอี่ยวขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติหรือไม่

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นภายหลังการแถลงข่าวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาโดยระบุว่า ข่วงหนึ่งของการแถลงเมื่อวานนี้ มีประโยคที่ว่า “เพียงคนไม่กี่คนที่ละเลยความรับผิดชอบต่อสังคม และมีพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัว จะสร้างปัญหาให้คนเป็นล้าน ๆ ได้” แสดงถึงทัศนคติของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่โทษคนอื่นยกเว้นตนเองและรัฐบาล

อย่างที่เคยเป็นมาหลายครั้งแล้วนั้น ตนจำเป็นต้องออกมาสื่อสารเพื่อขอให้ท่านทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกใหม่ มีต้นเหตุมาจากความหละหลวม และการปล่อยปละละเลย การลักลอบเข้าประเทศของแรงงานต่างชาติ และความด้อยประสิทธิภาพในการจัดการกับแรงงานต่างชาติ ที่ยังคงอยู่ในประเทศไทย หลังจากที่ถูกเลิกจ้าง หรือสถานประกอบการปิดตัวไป

ในประเด็นแรก เรื่องการลักลอบเข้าประเทศของแรงงานต่างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ควรไปโทษผู้ว่าราชการ จ.สมุทรสาคร แต่ถ้าท่านนายกเปิดใจสืบสวนข้อมูลในเชิงรุก ก็จะทราบว่ามีข้อสงสัยที่เชื่อได้ว่ามีขบวนการในการลักลอบพาแรงงานต่างชาติเข้าประเทศตามช่องทางธรรมชาติ อย่างผิดกฎหมาย โดยมีเรื่องพัวพันกับการรับสินบนของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนด้วย ซึ่งประเด็นข้อสงสัยนี้ ลำพังเพียงการปฏิเสธสั้น ๆ จากกองทัพ ไม่เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนมีความมั่นใจได้

ดังนั้น ในข้อครหานี้ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใด ไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือพลเรือน เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ หรือการลักลอบพาแรงงานต่างชาติเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย

รัฐบาลก็ควรต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยไม่มีข้อยกเว้น ต้องยอมรับว่า การปฏิเสธสั้นๆ แบบกำปั้นทุบดินว่า “ไม่มีการรับสินบนใด ๆ เลย ในกรณีการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย” นั้น ไม่อาจทำให้ประชาชนเชื่อได้

ประเด็นที่สอง หลังจากที่โควิด-19 ระบาดในระลอกแรก ทำให้มีแรงงานต่างชาติจำนวนมากทั้งที่ถูกกฎหมาย และที่ผิดกฎหมาย อยู่ในสภาวะว่างงานจากการปิดตัวลงของสถานประกอบการ แรงงานต่างชาติต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ และอยู่ปะปนกันภายในจังหวัด

โดยไม่มีมาตรการด้านสาธารณสุขใด ๆ ดูแล หากเจ็บป่วย ก็ต้องซื้อยารับประทานเอง ไม่สามารถเข้าไปรับการตรวจรักษาโรคได้ ที่แย่ที่สุดก็คือ แรงงานต่างชาติที่เป็นแรงงานถูกกฎหมาย เมื่อสถานประกอบการปิดตัวลง หลายคนไม่ได้รับเอกสารการเลิกจ้างจากนายจ้าง ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถลงทะเบียนใหม่ได้ ทำให้จากเดิมที่เป็นแรงงานต่างชาติถูกกฎหมาย ก็ต้องกลายสภาพเป็นแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายไปโดยปริยาย ปัญหาการระบาดของโรคที่อาจะเกิดขึ้นจากแรงานต่างชาติ ก็มีหลายภาคส่วนส่งสัญญาณเตือนไปยังรัฐบาลตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมาแล้ว หลังจากที่ประเทศสิงคโปร์ เกิดการระบาดของโควิด-19 ในหอพักแรงงานต่างชาติ

แต่ก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มิได้นำพา ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลนี้ ควรเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการล็อคดาวน์ในจุดเสี่ยงต่าง ๆ ก็คือ การบริหารจัดการแรงงานต่างชาติที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ ที่มีความจำเป็นต้องใช้แรงงานต่าง ๆ โดยเปิดให้มีการลงทะเบียน และดำเนินมาตรการคัดกรองโรค กักกันโรค และดำเนินการตามมาตรการทางสาธารณสุขต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม และหลักสิทธิมนุษยชนด้วย ถ้ารัฐบาลยังคงซุกปัญหานี้เอาไว้ใต้พรม การควบคุมการระบาดของโรค ก็จะไม่มีทางได้ผลอย่างเต็มประสิทธิภาพเลย

ประการสุดท้าย ต้องยอมรับว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลที่ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอย่างยาวนานมาก โดยเหตุผลที่ใช้อ้างก็คือ เพื่อการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กลับไม่ได้มีการวางระบบที่เป็นรูปธรรมในการควบคุมการระบาดของโรคเลย อย่างในกรณีของสถานกักกันโรคโดยองค์กร (Organizational Quarantine) เพื่อเอาไว้ใช้ในการกักกันโรคของแรงงานต่างชาติ ที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย ก็มีความล่าช้าอย่างมาก ที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการคัดกรองโรค และกักกันโรค ของแรงงานต่างชาติ ในปัจจุบันก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากราว 20,000 บาทขึ้นไป

ด้วยระดับค่าใช้จ่ายที่สูงขนาดนี้ จึงเอื้อให้เจ้าหน้าที่บางราย ใช้เป็นช่องทางในการเรียกรับผลประโยชน์กับผู้ประกอบการ หรือแรงงานต่างชาติ เพื่อแลกกับการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ รัฐบาลควรเร่งดำเนินการจัดให้มีสถานกักกันโรคในพื้นที่ระดับจังหวัด (Local Quarantine) และสถานกักกันโรคโดยองค์กร (Organizational Quarantine) อย่างเพียงพอ และเร่งด่วน รวมทั้งการพยายามดำเนินการต่าง ๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการกักกันโรคลง เพื่อให้มาตรการการกักกันโรคของแรงานต่างชาติ ที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย ทั้งในส่วนของแรงงานประมง แรงงานภาคบริการ แรงงานภาคเกษตร มีเรายังคงมีความจำเป็นในการใช้แรงงานต่างชาติ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้รับการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ที่ประชาชนไว้ใจได้

สุดท้ายนี้ สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเร่งปรับเปลี่ยน ก็คือ ทัศนคติของตัวเอง ที่ในทุก ๆ ครั้งที่ปัญหาเกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ มักจะโทษปัญหาทั้งหมดไปที่ประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และผลักความรับผิดชอบไปที่ประชาชน แทนที่จะมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐ ซึ่งรัฐต้องเร่งวางระบบ วางมาตรการ และสร้างกลไกที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา การระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ กรณีสนามมวยลุมพินี คณะ VIP ทั้งกรณีลูกทูต และทหารอียิปต์ กรณีการลักลอบเข้าประเทศของคนไทยที่ไปทำงานที่โรงแรม 1G1 ฝั่งท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน จนมาถึงกรณีแพปลา จ.สมุทรสาคร สะท้อนว่ารัฐบาลไม่เคยที่จะเรียนรู้ และดำเนินการวางระบบในการควบคุมการระบาดของโรคอย่างเป็นรูปธรรมเลย พอมีปัญหาที ก็โทษประชาชน แล้วปลูกผักชีโรยหน้า แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นคราวๆ ไป

ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องเรียกร้อง ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งปรับทัศนคติของตนเองอย่างเร่งด่วน เลิกโทษประชาชน เลิกผลักความรับผิดชอบไปที่ประชาชน แล้วให้หันมามองตัวเอง เร่งถอดบทเรียนที่เกิดขึ้น เลิกซุกปัญหาไว้ใต้พรม การขึ้นเสียง ทำท่าขึงขังแบบเผด็จการแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วหันมาวางระบบในกาแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมได้แล้ว

รู้ไหม Apple จะไม่ได้มีขายแค่สมาร์ทโฟนอีกต่อไป นั่นก็เพราะภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Project Titan ซึ่งถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2014 ได้วางแผนที่จะสร้าง Apple Car อย่างจริงจัง

โดยรายงานจาก Reuters ได้เผยว่า Apple กำลังกลับมาจริงจังกับโครงการนี้ และตั้งเป้าว่าจะผลิตรถยนต์ Apple Car ให้ได้ภายในปี 2024 

สำหรับเป้าหมายของการผลิตรถยนต์ Apple Car คือ มุ่งสู่ตลาดรถยนต์ส่วนบุคคล ไม่ใช่ตลาดขนส่งมวลชน หรือสาธารณะ เหมือนกับคู่แข่ง เช่น บริษัท Waymo ของ Alphabet (Google) ซึ่งต้องการสร้างแท็กซี่ ที่ให้บริการแบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือไร้คนขับ

จุดเด่นหลัก ๆ ของ Apple Car คือเรื่องของ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่ได้ถูกออกแบบและพัฒนาใหม่ทั้งหมด และจะทำให้รถยนต์สามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ให้ได้
 
นั่นจึงทำให้ Apple พยายามตรวจสอบหาแนวทางในการใช้ แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ฟอสเฟต (LFP) ที่ทำให้เกิดความร้อนน้อยกว่า และปลอดภัยกว่า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนประเภทอื่นๆ

ทั้งนี้ Apple กำลังพิจารณาเลือกพันธมิตรภายนอก เพื่อมาร่วมสร้างและผลิต Apple Car เช่น ผู้ผลิตเซ็นเซอร์ Lidar ที่ช่วยให้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติทำงานได้ดีขึ้น โดยสามารถตรวจจับภาพแบบ 3 มิติ ได้รอบคัน

แน่นอนว่าพอมีข่าวนี้ออกมา ราคาหุ้นของผู้ผลิตเซ็นเซอร์ Velodyne Lidar ก็เลยพุ่งขึ้นเกือบ 23% และ Luminar พุ่งขึ้นกว่า 27% หลังจากมีข่าวว่า Apple กำลังมองหาพันธมิตรใหม่ทางด้านนี้

ทั้งนี้ หนึ่งในความท้าทายที่สุดของ Project Titan คือ การผลิตตัวรถยนต์เป็นจำนวนมาก เพราะทาง Apple ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน และตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่า ใครจะเป็นพันธมิตรของ Apple ในการทำหน้าที่ประกอบรถยนต์ Apple Car

ก็ต้องนับถอยหลังกันดูว่าในอีกราวไม่เกิน 4 ปี (2024) Apple จะสามารถผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ออกสู่ตลาดได้ตามเป้าที่ตั้งไว้หรือไม่ละกัน

 

ลุงตู่ เปิดโครงการทดลองเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา MINE SMART FERRY : “MISSION NO EMISSION” River Mass Transit

ที่ท่าเรือ แคท ทาวเวอร์ กสท เขตบางรัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดโครงการทดลองเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา หรือ Mine smart ferry พร้อมเปิดท่าเรือสะพานพุทธยอดฟ้า

ท่าเรืออัจฉริยะ หรือ Smart Pier โดยกรมเจ้าท่า ร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด มหาชน พัฒนาเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า ผลิตโดยคนไทย และ ดำเนินการจดทะเบียนเรือโดยสารไฟฟ้าลำแรกของประเทศไทย

พร้อมนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงท่าเรือสะพานพุทธให้เป็นท่าเรืออัจฉริยะ มีเครื่องสแกนอุณหภูมิอัตโนมัติ ป้ายอัจฉริยะแจ้งเวลาเรือเข้าเทียบท่า เครื่องจำหน่ายบัตรโดยสารอัตโนมัติ ระบบตรวจสอบเส้นทางเดินเรือและตารางเรือ ระบบความปลอดภัยและตรวจนับความหนาแน่นของผู้โดยสารในแต่ละวัน รวมถึงไฟส่องสว่างด้วยระบบโซลาร์เซลล์และอารยสถาปัตย์ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการเดินทางในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไร้มลพิษ

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 ให้กับคนไทยทุกคน โดยจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปทดลองใช้บริการฟรี ในช่วงระหว่างวันที่ 23 ธ.ค. 2563 ถึงวันที่ 14 ก.พ. 2564 โดยวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ให้บริการฟรี จอดรับส่งผู้โดยสารบริเวณท่าเรือ 11 แห่ง ตั้งแต่ท่าเรือพระราม 5 ไปจนถึงท่าเรือสาทร ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ให้บริการฟรีเฉพาะท่าเรือที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว 5 แห่ง ได้แก่ ท่าช้าง วัดอรุณฯ วัดกัลยาณมิตร กรมเจ้าท่า ท่าเรือ CAT Tower จากนั้นจะเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายเป็นเวลา 6 เดือน ก่อนปรับอัตราจัดเก็บค่าโดยสารตามระยะทางต่อไป

จากนั้น นายกรัฐมนตรี นำคณะโดยสารเรือพลังงานไฟฟ้า ออกจากท่าเรือ CAT Tower ไปยังท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรืออัจฉริยะแห่งใหม่ พร้อมทักทายประชาชนที่มาใช้บริการในบริเวณดังกล่าว ขณะเดียวกันมีประชาชนบางส่วนได้เดินทางมาให้กำลังใจพร้อมมอบดอกกุหลาบให้กับนายกฯ ก่อนเดินทางกลับอีกด้วย

Nikon ผู้ผลิตกล้องถ่ายรูปชั้นนำระดับโลกเผย ประกาศเตรียมย้ายฐานการผลิตกล้องมาไทยเพิ่มเติม ขณะที่ สายพานการผลิตในประเทศญี่ปุ่นจะสิ้นสุดลงในปี 2564

Nikon ผู้ผลิตกล้องถ่ายรูป แบรนด ชั้นนำระดับโลก ประกาศเตรียมยุติสายพานการผลิตกล้องถ่ายภาพในโรงงานที่เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2564 และย้ายไลน์ผลิตทั้งหมดมาที่ประเทศไทยเพื่อควบคุมต้นทุน เพราะตลาดกล้องถ่ายรูปยังหดตัวอย่างต่อเนื่อง

การประกาศเลิกผลิตกล้องในญี่ปุ่นของ Nikon ในครั้งนี้ เป็นการปิดฉาก 70 ปีที่ Nikon ทำการผลิตกล้องถ่ายรูปโดยมีฐานการผลิตที่ประเทศญี่ปุ่น

แต่ด้วยอัตราต้นทุนที่สูงทำให้ทาง Nikon ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ กล้องแบบ Mirrorless ตระกูล Z6 และ Z7 นั้น ถูกย้ายฐานการผลิตจนแล้วเสร็จในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ขณะที่ การเตรียมย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยจะถูกดำเนินการในเดือนตุลาคม โดยการผลิต D6 Digital SLR จะถูกย้ายมายังประเทศไทยไม่เกินปลายปี 2564 ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม Nikon จะย้ายไลน์ผลิตกล้องถ่ายรูปทั้งหมดมาที่โรงงานประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ Nikon มีการนำกล้องแบบ Mirrorless ระดับสูงเช่น Z6 และ Z7 เข้ามาผลิตในประเทศไทย ส่วนรุ่นถัดไปที่จะถูกย้ายมาผลิตที่ประเทศไทยคือกล้องระดับมืออาชีพรุ่น D6 โดยรุ่นดังกล่าวจะถูกย้ายมาภายในปี 2021

ปัจจุบันโรงงานในประเทศไทยถือเป็นโรงงานหลักของ Nikon ผ่านการผลิตกล้องถ่ายรูปรุ่นต่าง ๆ รวมถึงเลนส์หลากหลายแบบ ในทางกลับกันโรงงานที่ญี่ปุ่นหลังจากนี้จะถูกใช้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับกล้องวีดีโอแทน รวมถึงเป็นสถานที่พัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อสนับสนุน Nikon ในอนาคต

สำหรับประวัติความเป็นมาโรงงาน Sendai ของนิคอน เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1971 มีกล้องตัวแรกที่ผลิตคือ Nikon EM เรียกได้ว่าปิดตำนาน 41 ปี ที่โรงงานแห่งนี้ได้เปิดทำการมา และเป็นอันยุติฐานการผลิตกล้องนิคอนทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

สมาคมนักข่าวบันเทิงส่งท้ายปี 2563 ด้วย 10 ฉายาศิลปิน-ดารา ถือเป็นธรรมเนียมที่ต้องมีออกมาหยอกสร้างรอยยิ้มกันทุกปี โดยในปีนี้ 10 ศิลปินดาราที่ได้รับความนิยมสูงสุด พร้อมได้รับฉายา ได้แก่

1.) “เบลล่า - ราณี” กับฉายา “อีเรียมกู้ชาติ” เนื่องจากภาพยนตร์อีเรียมกู้ชาติที่เบลล่าเป็นนางเอก ทำรายได้ถล่มทลาย กู้คืนชื่อเสียงวงการภาพยนตร์ไทย

2.) “แต้ว - ณฐพร” กับฉายา “นาคีลอกคราบ” เหตุเพราะสลัดลุคนางเอกสายหวานเป็นสวยแซ่บเซ็กซี่หลังเปิดตัวคบกับหวานใจ “ไฮโซณัย ประณัย”

3.) “อั้ม - พัชราภา” กับฉายา “ตัวแม่ทำแทนไม่ได้” เพราะยืนหนึ่งในวงการ ไม่มีใครแทนที่ได้ ละครที่กลับมารับเล่นก็เรตติ้งเปรี้ยงปร้างไม่มีแผ่ว

4.) “หนุ่ม - ศรราม” กับฉายา “คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เทเมียทิ้ง” เพราะเรื่องราวกับภรรยาเก่า ที่มีเรื่องหนี้สินเข้ามาเกี่ยวข้อง จนหมดความอดทน ทำให้ตอนนี้แยกทางกัน กลายเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวเต็มตัว

5.) “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” หรือ “รัชนก สุวรรณเกตุ” กับฉายา “ฉาวทั้งอำเภอเพราะเธอคนเดียว” เจ้าของค่ายเพลงได้หมดถ้าสดชื่น ที่มีคดีกับ “เก้า-เกริกพล” นักร้องที่มาร่วม featuring ในเพลงจะเลิกคุยทั้งอำเภออันโด่งดัง สาเหตุเพราะถูกกล่าวหาว่าเบี้ยวค่าตัว

6.) “ซาร่า - คาซิงกินี” กับฉายา “แม่ม่ายสายโป๊ะ” เหตุเพราะถูกจับโป๊ะที่บอกว่าตนเองเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่เคยจ้างพี่เลี้ยง แต่เบิกเงินค่าพี่เลี้ยงจาก “ไมค์-พิรัชต์” ปีละ 3 แสนบาท

7.) “แมท - ภีรนีย์” กับฉายา “นางเอกมือปราบสายเกรียน” เห็นเงียบ ๆ แม่ฟาดเรียบ ลุยฟ้องเกรียนคีย์บอร์ดแบบไม่ปราณี เรียกค่าเสียหายรายละ 1 ล้านบาท เพราะทนกับถ้อยคำหยาบคายที่ถูกต่อว่าบนโซเชียลมีเดียมาอย่างยาวนาน

8.) "รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น" กับฉายา “แก้วลอย คอยที่ศาล” จากกรณีที่ถูก “ไฮโซแชมป์” ปาแก้วใส่และใช้ขวดตีจนได้รับบาดเจ็บในผับแห่งหนึ่ง สาเหตุเพราะหึงหวง “น้ำหวาน เดอะเฟซ” แฟนสาว 

9.) “ธัญญ่า - ธัญญาเรศ” ฉายา “เมียหลวงเนเวอร์ดาย” เพราะความคาสโนว่าของหนุ่ม “เป๊ก - สัณณ์ชัย” สามี ทำให้เมียหลวงอย่างธัญญ่าต้องออกมาจัดการบ้านเล็กบ้านน้อย ที่ไม่ยอมต่างคนต่างอยู่ แถมคราวนี้พาลมายุ่งกับลูกสาวสุดที่รัก จึงต้องทำให้รู้บ้างว่าใครเป็นใคร 

10.) “ไบร์ท - วชิรวิชญ์ และ วิน - เมธวิน” กับฉายา “คู่จิ้นฟินหลาย (ล้าน)” เป็นปรากฎการณ์คู่จิ้นวายอีกหนึ่งคู่ที่สร้างรายได้มหาศาล เพราะไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็งานรุ่งพุ่งสุด ๆ


สำหรับฉายาปีนี้ของแต่ละคนถือได้ว่ายังเบา ๆ เพราะ รักหรอกจึงหยอกเล่น หวังว่าฉายาปีนี้จะโดนใจใครหลาย ๆ คนน้า

แม้กระแสพิฆาตเจ้า, ล้ม ม.112และร่วมกันออกมาหักล้างทุกแอคชั่นของภาครัฐจากกลุ่มสารพัดม็อบจะเคลื่อนขบวนสมทบเป็นพลังแห่งแกนเปลือกโลก แต่อยู่ ๆ ทำไมช่วงหลังมานี้...ลมหายใจของสารพัดม็อบ 3 นิ้ว เริ่มแผ่วเบาลง?

หากวิเคราะห์กันแบบตื้นเขินของผู้เขียน เกมที่จุดติดของการ ‘ล้มตู่’ ลุกลามไปถึง ‘ล้มเจ้า’ ของหัวโจก กวิ้น / รุ้ง / ไผ่ดิ้น / ไมค์ไม่น่าอภิรมย์ ล้วนได้แรงหนุนมาจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ปลุกผีโซเชี่ยล’ ทั้งสิ้น

ยิ่งผสานแรงหนุนจากผู้ใหญ่ (จริงๆ ก็แรงหลักแหละ กระแดะเขียนเป็นแรงหนุนไปอย่างงั้น) อย่าง ‘พรรคส้ม’ ผู้ช่วยล้มแบบเกือบลับ ภายใต้ ‘หัวหน้าแก๊งค์แลนด์สไลด์’ นักสอนสถิติ เพื่อหลอกตัวเอง แม้เก้าอี้สนามจะจบลงที่ 0 (เลือกตั้งอบจ.) ก็ยิ่งทำให้พลังของเด็กรุ่นใหม่แข็งแกร่งขึ้นพอ ๆ กับ ‘ชัชชาติ’ จนให้วิดพื้นโชว์ด้วย 3 นิ้วก็ยังไหว

ฟากหนึ่งปลุกด้วยดิจิทัล อีกฟากหนึ่งปลุกไปยังเทรดิชันนั่ล โอ้โห!! โคตรลงตัว

จากกลุ่มก้อนเล็กๆ ก็เลยค่อยๆ ขยายวงใหญ่ เป็นอีเว้นท์ระดับม็อบประเทศ ที่เรียกแขกได้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้นก็นำภาพและสีสันกลับมาขยี้ต่อในโซเชี่ยล วนไปวนมาแบบนี้ เกิดเป็นภาพที่สุดแสนงดงามในเชิงของกลศึกล้มช้าง

นานวันเข้า รัฐบาล ก็เริ่มบิดตัว และพยายามลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง แต่ก็ดูเหมือนพังผืดที่เกาะตามข้อ พอขยับตัวหน่อย ก็ยิ่งกลายเป็นโชว์เต่า เพราะอะไรที่ทำไป เหมือนเขารู้หมด ไม่ว่าจะไอโอเนี่ยน หรือนักวิชาเกินที่รู้เยอะ แต่ออกมาพูดแบบเสียเหลี่ยมมากมาย

ผลสุดท้ายเกมนี้ ยังไงรัฐบาลก็แพ้ทุกประตู ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘สื่อ’

ว่ากันว่ายุคนี้คือยุคของการสื่อสาร ที่ ‘ไวรัล’ และการแชร์มีพลังมหาศาล ทวิตเตอร์ คือ เครื่องอาวุธสั้นมหากาฬ ก่อนจะไปทรมานคู่กรณีต่อในเฟซบุ๊ก และไม่มีขั้วตรงข้ามม็อบที่ออกมาต่อต้านกลุ่มม็อบด้วยเชิงชนกลเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ยุทธศาสตร์อย่าง ‘การสื่อสาร’ ค่อยๆ เปลี่ยนเกมกลับมา แต่ขอโทษ!! ไม่ใช่พลังหรือยุทธศาสตร์ก้าวทันใด ๆ ของรัฐ หากแต่เป็นพลังของหน่วยทะลวงฟัน ที่ออกมาดันกันเองในรูปแบบของ ‘ประชาชน’ ที่เหลืออด

แต่แน่นอนว่า การออกมาโต้แย้ง มันก็ไม่ใช่ว่าจะทำแล้วเห็นผล ทุกคนที่ออกมาแย้ง กลายเป็นบุคคลที่เห็นต่าง และบางคนที่อารมณ์มากกว่าเหตุผล ซึ่งก็เข้าใจแหละในสถานการณ์ที่เจอเด็กมันเอา ‘ตรีน’ มาเกาคางพวกหัวหงอก

อย่างไรก็ตาม หากดูแบบนี้แล้ว เกมคงจบที่อาจจะมีประชาชนกลุ่มอื่นๆ เข้ามาสมทบให้สารพัดม็อบยิ่งฮึกเหิม

เพียงแต่ ‘สื่อ’ ก็คือ ‘สื่อ’ พลังของมันมีมากมหาศาล หากใช้ได้อย่างถูกจุด จากคนที่มาถูกจังหวะ ก็ทลายข้อความที่ก่อเป็นกำแพงใหญ่ให้โครมร่วงลงมาในช่วงพริบตา

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีชื่อ 2 บุคคล ที่ออกมาตอบโต้ทุกมูลเหตุ ทั้งเรื่องของม็อบ ผู้อยู่เบื้องหลัง ข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และเป้าหมายการเดินหน้าของพรรคการเมืองฝ่ายขั้วตรงข้ามรัฐบาลได้แบบถึงพริกถึงขิง

พลังในการสื่อสารของทั้ง 2 ท่านนั้นน่าเหลือเชื่อ โดยคนแรกเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุ 28 ปี ที่หลายคนเรียกกันว่า ‘ดร.นิว’

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ เป็นนักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่พยายามออกมานำสิ่งที่เป็นรากฐานของสังคมไทย ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามอ้างอิงว่าเป็นวัฒนธรรมแบบแปะมือ และกลายเป็นกลุ่มแบ่งแยกสังคมไทย โดยเฉพาะ ‘รุ่นใหม่ - รุ่นเก่า’ เขย่าสถาบันครอบครัวที่เป็นรากฐานจนสั่นคลอน และกระดอนไปสู่สถาบันการเมือง

ดร.นิว พยายามออกมาเป็นกันชนหน้าด่าน ในแบบของปัญญาชนคนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่าไม่ทะเลาะหาเรื่องกับใคร แต่ชี้แจงให้เห็นถึงกระบวนกวน ปั่นหัวคน ด้วยความไม่รู้จริง ขาดตรรกะ จนนำไปสู่การสร้างวาทกรรมบิดเบือนในโลกออนไลน์ แล้วก็ไป ‘บูลลี่’ จนคนเห็นต่างเหมือนควาย เมื่อมีทั้งความรู้ และมีทั้งการควบคุมอารมณ์ในทุกถ้อยวลี ทำให้ ดร.นิว ค่อยๆ เป็นหน่วยทะลวงฟันข้อมูลเท็จ ‘ที่ผิดเพี้ยน’

เช่น การเรียกร้องประชาธิปไตยบนการไม่ยอมรับฟังผู้อื่น การปราศรัยของแกนนำม็อบราษฎรที่นำพามวลชนไปสร้างความขัดแย้ง เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนน้อยที่คุมการเคลื่อนไหวทางความคิด

เขาพยายามดึงสติคนรุ่นใหม่ ให้รับรู้ว่าการปราศรัยที่กักขฬะหยาบคาย ไม่ได้มีหลักการหรือหลักวิชาที่ถูกต้องใด ๆ มีแต่การใช้อารมณ์กับความเชื่ออันบิดเบี้ยว ยุยงให้ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นรวมถึงกฎหมายอาญา ผิดจากวิสัยของปัญญาชน ขาดความปลอดภัยและมีความเสี่ยงในการชุมนุม มันไม่ใช่การเรียกร้องที่ถูกต้อง และฮ่องกงโมเดล ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนผู้มีอริยธรรม

นี่ยังไม่รวมอีกทุก ๆ การเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนสังคมไทยให้ผิดเพี้ยนของกลุ่มม็อบและผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีการโพสต์ให้ความรู้มาตลอดระยะเวลาหลายปี

ข้อมูลและการแสดงออกทางสื่อต่าง ๆ ที่ผ่านมาของ ดร.นิว จึงถือเป็นการตกตะกอนความคิดให้เด็กรุ่นใหม่บางกลุ่มเริ่มคิดตามสมองตัวเอง มากกว่าเพลินตามปากผู้อื่น เพราะในท้ายที่สุดแกนนำเขาก็ไปนั่งกินบุฟเฟ่ต์ในโรงแรมหรู ส่วนหนู ๆ ก็ต้องออกไปตากแดดตากฝนแทน ขณะที่บางช่วงหลัง ๆ ยังชอบแกงกันเอง ทะเลาะกันเอง ตีกันเอง ยิงกันเอง ทำตัวเป็นภาระสังคม ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ หวังบ่อนทำลายเศรษฐกิจของชาติ มันเละเทะจนต้องยอมกลับไปกราบตักคุณพ่อคุณแม่ที่เคยล่วงเกินท่านเสียจะดีกว่า

ต่อมา จากสื่อแบบดิจิทัล ออกมาสู่สื่อใหญ่ที่เรียกว่าทีวี ซึ่งทุกวันนี้มีบางรายการช่วยปั่นและป้อนให้ ‘แมสมีเดีย’ ไปอยู่ข้างม็อบอย่างเมามัน เช่น รายการของสื่อหัวเขียวที่มีพิธีกร ‘จอมแขวะ’ มาฟาดคนของรัฐ ที่ก็ต้องยอมรับว่าทำได้ดี เพราะหลาย ๆ ท่านที่มาเป็นตัวแทนของฟากภาครัฐ และมาดีเบตกับกลุ่มแกนนำม็อบ หรือผู้เกี่ยวข้อง ยิ่งฉุดเรตติ้งรัฐบาลลงมิดพสุธา แบบไม่ต้องฝังกลบก็ไม่มีปัญญาปีนขึ้น

เพราะการออกรายการแนวนี้ พิธีกร จอมแขวะ สามารถปั้นให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใช่เป็นไม่ใช่ โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้คนที่ยังงงๆ กับเรื่อง ‘สถาบันกษัตริย์’ ต้องแอบหลับตาข้างนึง ตามกลเก๋าของนักข่าวมือฉมัง จนช่วยเติมพลังให้คนฟากม็อบยิ่งมีแต่เฮ ๆ

แต่จนแล้วจนรอด จะด้วยความมั่นใจว่าในทุกวัน คือ ‘รันเวย์ของฉัน’ หรือไม่ก็ไม่ทราบ การต่อยอดแผนกระชากสถาบันให้จมดิ่ง กลายเป็นทำให้ ‘ม็อบ’ จนมุมอับเอาดื้อๆ แทน

นั่นก็เพราะ หน่วยทะลวงฟันอีกราย คือ ‘ของจริง’ ที่ออกมาถกประเด็น พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 2561 และคนๆ ก็คือ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ และ ‘รุ้ง-ปนัสยา’ แกนนำม็อบราษฎร ได้เผชิญหน้ากัน ในรายการถามๆ กับจอมขวัญ ที่เชื่อกันว่าเกมนี้รุ้งน่าจะได้มาโชว์เชือดเรียกคะแนนไปแบบใสๆ ตามสไตล์ หัวหน้าแก๊งค์ที่มีแบ็คดันเต็มเหนี่ยว แถมมีพิธีกรเทรนนิ่งมาก่อนเข้าสนาม จึงรับรองได้ว่าคู่ใจโชว์ความฉลาดให้รุ้งได้อย่าง 100%

แต่ผลลัพธ์กลับพลิกจากหน้ามือเป็น หลังเท้า เพราะทุกประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาของรุ้ง และผู้ช่วยของรุ้ง (พิธีกร) ไม่ได้สร้างบาดแผลใดๆ ให้กับ ดร.อานนท์ เลยแม้แต่น้อย หากแต่ยังถูก ดร.อานนท์ สอนมวย ด้วยองค์ความรู้ที่ทั้งรุ้งและพิธีกร เหมือนคนมานั่งถกแบบไร้ข้อมูล จนแม้แต่ในเพจและชาแนลยูทูปของสื่อหัวเขียว ยังรับไม่ได้กับความอ่อนด้อยของทั้ง 2 สาวเลยแม้แต่น้อย

และสุดท้ายก็โดนปิดฉากน็อคตายแบบตาไม่หลับในรายการด้วย ถ้อยคำที่กลายเป็นวาทะแห่งปีว่า “คุณรู้ไม่จริงคุณอย่าพูดซี้ซั้ว ไปทำการบ้านก่อนมั้ย คุณพูดอะไรพูดไปเดี๋ยวผมจะสอน ใจเย็นๆ ผมอาจจะดุไปบ้างนิดนึง พอคุณไม่แม่น ผมก็อาจต้องสอนหน่อย” และนี่ก็ทำให้ชื่อของ ดร.อานนท์ กลายเป็นชื่อที่ฟากตรงข้ามรัฐเริ่มเกรง จนถึงขั้นไม่กล้าไปดีเบตกับ ดร.อานนท์ เลยสักคน

ทั้งนี้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ หรือ อาจารย์ อานนท์ มีตำแหน่งเป็น อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีดีกรี ด็อกเตอร์ ด้าน Phychomertrics and Quantitative Psychology จากมหาวิทยาฟอร์ดแฮม สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็น อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

โดยเมื่อปีพ.ศ.2561 ดร.อานนท์ นั้นได้ดำรงตำแหน่งในฐานะผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าดพล และได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการวิชาการเอาไว้ด้วย หลังที่ตัดสินใจลาออก จากตำแหน่ง ผอ.นิด้าโพล หลังจากนั่งเก้าอี้เพียง 14 วัน เนื่องจากสถาบันระงับการเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นเรื่อง ‘นาฬิกาหรูที่ยืมเพื่อน เป็นเรื่องบิดเบือนหรือเรื่องจริง?’

และเมื่อย้อนไป ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เคยขึ้นเวที กปปส.ร่วมเป่านกหวีด ซัตดาวน์ประเทศและประชาธิปไตยมาแล้ว โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ดร.อานนท์ นับเป็นนักวิชาการคนหนึ่งที่ใช้โซเชี่ยลมีเดีย เป็นพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น และมุมมองเชิงวิชาการ ให้ข้อมูลในประเด็นที่สังคมสนใจมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ความเหมือน-ต่าง ‘คณะราษฎร 2475 กับ 2563’, 12 ความจริงของภาษี..ที่ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง และหัวข้อทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็นของรัฐ (ราษฎร) หรือ เป็นของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น

ที่จะบอก คือ รัฐก็ยังคงเป็นรัฐที่รั่วในการปิดจุดอ่อนด้านการสื่อสารและการให้ข้อมูล ส่วนคนที่เห็นต่างกับม็อบ ก็ขาดซึ่งศิลปะในการสื่อและข้อมูลที่จะมา ‘อุด’ และ ‘แบะ’ ความผิดเพี้ยนในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของสถาบันกษัตริย์ และการเมืองเรื่องน้ำเน่า

แต่การที่ 2 ท่านนี้ เริ่มออกมาแสดงตัว และแสดงข้อมูลอันแท้จริงต่าง ๆ แบบผู้มีจริยธรรม ก็ทำให้สังคมตาสว่างมากขึ้น นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งในม็อบเริ่มบาง (อันนี้คิดเอง)

ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง คือ ธนาธร ที่เคยกล่าวอย่างมั่นใจก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่ชั่วโมงว่าจะชนะแบบ ‘แลนด์สไลด์’ นั่นคือ ถล่มทลายกันเลยทีเดียวนั้น กลับต้องมา ‘แพ้แบบแลนด์สไลด์’ ก็พอจะบอกได้ว่าเจอเอฟเฟ็กต์ของ 2 ผู้หมู่ทะลวงฟันไม่มากก็น้อย

อันนี้ก็คิดเองนะ...อย่าเกรี้ยวกราดล่ะ!!

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีการขยายผลสืบสวนขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ว่า ขณะนี้มีเบาะแสแล้ว แต่การดำเนินคดีจะต้องมีพยานหลักฐานด้วย ซึ่งทุกฝ่ายกำลังดำเนินการอยู่ ทั้งฝ่ายตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง

ทั้งนี้ ทางนายกรัฐมนตรี ได้มอบ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ดูแลในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องแรงงานต่างด้าวนั้น เน้นเรื่องจัดการกับขบวนการขนคน ไม่ได้เน้นจับคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามา เพราะตอนนี้จะหนีหรือไม่หนีนั้นไม่รู้

แต่ถ้าเป็นผู้ป่วยต้องดูแล และต้องทำให้เขารู้สึกว่ารัฐไทยมีมนุษยธรรมที่จะดูแล เพราะถ้าเราไม่ดูแลเขา คนไทยเองก็จะมีปัญหา จึงฝากถึงผู้ใช้แรงงานชาวเมียนมาจะเข้ามาผิดหรือถูก ก็เรื่องหนึ่ง แต่ขอให้เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเคร่งครัด

ส่วนขบวนการลักลอบนำแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายมี เจ้าหน้าที่รัฐ เกี่ยวข้องหรือไม่นั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า อยู่ระหว่างการสืบสวนดำเนินการ ถ้าหลักฐานชัดเจนก็ดำเนินคดีหมด ไม่ว่าจะเป็นใคร โดยเป็นเรื่องที่ นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำเป็นพิเศษ

แต่อย่างไรก็ตาม ขบวนการขนคนเข้าเมืองนั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ ยอมรับว่า เป็นเหมือนของคู่สังคมไทย ถ้าทุ่มทรัพยากรเข้าไปปราบปราม ก็จะเบาบางลงไป หากถามว่าจะหมดไปจากประเทศหรือไหม ตนเองมองว่ายาก เพียงแต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องทุ่มทุ่มทรัพยากรลงไปลงไปจัดการ แต่หากจะทำอย่างต่อเนื่อง

มีข้อจำกัดหลายๆเรื่อง จึงมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะจัดการให้หมดสิ้นไป แต่ตอนนี้นโยบายหลักของรัฐบาลมีความชัดเจน ที่ต้องการให้ดำเนินการกับขบวนการแรงงานเถื่อน โดยเฉพาะกระบวนการนำเข้าแรงงานข้ามชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เส้นทางธรรมชาติ ทั้งทางบกและทางเรือ

ถือว่าเป็นช่วงที่งานรุ่งแต่รักร่วง สำหรับสาว “ฟ้า ษริกา สารทศิลป์ศุภา” ที่กำลังจะมีผลงานภาพยนตร์รักวัยรุ่นเรื่องใหม่ “วอน(เธอ)” ของค่าย M39 ร่วมกับ แมดอะไรดี กำหนดเข้าฉายในวันที่ 24 ธันวาคม 2563

งานนี้เรียกได้ว่าฟ้าได้รับบทนางเอกแบบเต็มตัว หลังจากโลดแล่นในวงการบันเทิงและแสดงความสามารถมาหลากหลายรูปแบบ แต่ก็ไม่วายมีเรื่องเศร้า เมื่อความรัก 7 ปีกับแฟนหนุ่ม “เฟิด คาริญญ์ยวัฒ ดุรงค์จิรกานต์” นักร้องนำวงสล็อตแมชชีน ต้องจบลง สร้างความเศร้าให้สาวฟ้าไม่น้อย แล้วอะไรคือจุดหักเหที่ทำให้ความรักครั้งนี้ต้องจบ

“ฟ้า ษริกา” นักแสดงอิสระ และบิวตี้บล็อกเกอร์สาวสวย ที่ก่อนหน้านี้ได้คบหาดูใจกับ “เฟิด” นักร้องนำวงสล็อตแมชชีน โดยฟ้าเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ชอบความเป็นผู้ใหญ่ของเฟิด มีทัศนคติในการใช้ชีวิตที่คล้าย ๆ กัน คบกันแล้วช่วยเหลือกันพากันไปในทางที่ดี เลยทำให้มีความสุข

แต่แล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา ฟ้าได้ออกมาเปิดใจในรายการไนน์เอนเตอร์เทน ว่ายุติความสัมพันธ์กับเฟิดได้ 1 เดือนกว่าแล้ว หลังคบหาดูใจกันมายาวนานถึง 7 ปี โดยก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้ลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเมื่อต้นปี 63

หากมองความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันในเรื่องของอายุ ที่ห่างกันถึง 10 ปี แต่ก่อนหน้านี้ฟ้าและเฟิดเคยให้สัมภาษณ์คู่กันไว้ว่า สำหรับความห่างเรื่องอายุนั้นอาจมีปัญหาบ้าง แต่ไม่มีปัญหาเรื่องความคิด เพราะว่าฟ้ามีความคิดเป็นผู้ใหญ่ และทั้งคู่คุยกันด้วยเหตุผล เวลามีปัญหาก็เหมือนเพื่อนคอยปรึกษากัน

หลายคนมุ่งเป้าไปที่ตัวเลขอาถรรพ์รัก 7 ปี ที่ทำให้รักครั้งนี้ต้องจบ แต่ฟ้าก็ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นเพียงตัวเลข ระยะเวลาที่นาน อาจทำให้เกิดความอิ่มตัว เลิกกันครั้งนี้ตนก็เฮิร์ต เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่รู้สึกดี แต่แค่เรื่องของทัศนคติและเป้าหมายที่ไม่เวิร์ก ในเรื่องของชีวิตคู่มีหลายอย่างที่ต้องปรับ ต้องเข้าใจ ต้องมองเป้าหมายที่ไปในทางเดียวกัน แต่ถ้าไม่ไปทางเดียวกัน มันก็ไปด้วยกันยาก โดยเฉพาะวิธีคิดในเรื่องชีวิตคู่ในอนาคต

ส่วนเหตุผลหลักที่ฟ้าเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอเลือกจบความสัมพันธ์ก่อนนั้นมาจากเรื่องของทัศนคติ เป้าหมายการใช้ชีวิต เพราะพอมีคำว่าชีวิตคู่ ตนมองว่ามันต้องมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน คิดร่วมกัน ต้องแชร์กัน ซึ่งบางทีอาจไม่ลงตัว ไม่ใช่ว่าเห็นไม่ตรงกันซะทีเดียว แต่แค่ไปคนละทาง

และถึงแม้วันนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะจบลง แต่ฟ้าก็กล่าวว่าตนไม่เสียดาย เพราะเต็มที่ทุกครั้งที่มีความรัก ได้อะไรดี ๆ และประสบการณ์ดี ๆ จากอีกฝ่ายเยอะ หากต้องเสียดายคงเสียดายที่ไม่ได้ไปกันต่อ และยืนยันว่าไม่มีเรื่องของมือที่สามแน่นอน เพราะถ้ามีมือที่สามคงจะตัดใจได้ง่ายกว่านี้

จากคำให้สัมภาษณ์และความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านแววตาของฟ้า ษริกา ตอนที่พูดถึงความรักครั้งนี้ หากใครได้ชมบทสัมภาษณ์ก็อาจเผลอน้ำตาคลอตาม เพราะสิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้คือความรักตลอด 7 ปีนั้นยังอยู่ เพียงแต่ปัจจัยที่จะทำให้ความรักไปต่อไม่ได้มีเพียงแค่รักกัน แต่ในวัยที่โตขึ้น อายุที่มากขึ้น ทัศนคติและเป้าหมายก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยกันอย่างคู่ชีวิต แต่หากยังไม่ใช่ก็ต้องแยกย้ายกันไปเพื่อค้นหาสิ่งที่พอดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top