Wednesday, 26 June 2024
TheStatesTimes

รู้จัก!! อาจารย์ ‘ตั๋ง’ แห่งโรงเรียนอมาตยกุล เจ้าตำรับ ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ ตัวจริงของไทย

จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน FB ของผู้ปกครองที่เป็น Blogger เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ได้โพสต์ข้อความที่เกี่ยวกับอาจารย์ ‘ตั๋ง’ (รศ.ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุล) และโรงเรียนอมาตยกุล จนกลายเป็นประเด็นดรามาขึ้น ทำให้มีผู้ข้องใจสงสัยในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอาจารย์ ‘ตั๋ง’ และโรงเรียนอมาตยกุล ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นลูกศิษย์ของท่าน จึงขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่านและสิ่งที่ท่านสอนมาบอกเล่าให้สังคมได้รับทราบ

อาจารย์ ‘ตั๋ง’ (รศ.ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุล) เคยเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนกระทั่งเกษียณอายุ สำหรับ ‘โรงเรียนอมาตยกุล’ นั้น อาจารย์ ‘ตั๋ง’ และ คุณครู ‘กบ’ ภรรยาได้ร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนนี้ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2535 นานกว่า 40 ปีแล้ว โดยนำแนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ (Neo-Humanist) มาเป็นหลักสูตรในการสอน

แนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ เป็นแนวคิดทฤษฎีที่มีความเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ว่า มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีพัฒนาการสูงที่สุด พื้นฐานจิตใจของมนุษย์นั้น มีความดีงาม มีคุณค่า ใฝ่รู้มีความต้องการจากภายในที่จะพัฒนาตนเองไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การพัฒนาคนตามแนว ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ จึงจะต้อง ช่วยพัฒนาศักยภาพแฝงเร้นที่มีอยู่ในตัวคนเราให้แสดงออกมาได้อย่างสูงสุดด้วย การทำให้ คนเราโดยเฉพาะในเด็ก ๆ ให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self Esteem) และการเข้าสู่สภาวะ คลื่นสมองต่ำ ในสภาวะนี้เองคนเราจะสามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ 

หลักสูตร ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ เน้นสอนให้ผู้เรียนได้รู้จักคิด และรู้จักการปฏิบัติตนต่อเพื่อนรอบตัวด้วยความเมตตา ความมีน้ำใจ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เป็นการพัฒนาคนแนวใหม่ด้วยวิธีการด้านบวก เพื่อที่จะพัฒนาคนให้สมบูรณ์ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การพัฒนาคนตามแนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ จึงเป็นการพัฒนาในทุก ๆ ด้านของคนเราให้กลายเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะดังนี้...

- Physically Fit มีร่างกายที่แข็งแรง 
- Mentally Strong มีจิตใจที่มั่นคง เปิดกว้าง เฉลียวฉลาด 
- Spiritual Elevated มีจิตสาธารณะ 
- Academic Knowledge มีความรู้ที่จะนำไปประกอบอาชีพตามที่ตัวเองถนัดและต้องการได้

สำหรับการพัฒนาตามหลัก ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ นั้นจะต้อง...
1. มีบรรยากาศที่สงบและเป็นมิตร เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนคลาย สงบ และปลอดภัย เพราะหลักสูตรนี้เชื่อว่าสภาวะที่เต็มไปด้วยความกดดันและความตึงเครียด ส่งผลต่อคลื่นสมอง ทำให้ไม่มีสมาธิและขาดความกระตือรือร้นต่อการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ดังนั้น ถ้าสภาพแวดล้อมเป็นมิตร เต็มไปด้วยความสุข เสียงเพลง เสียงหัวเราะ แล้วย่อมเกิดการเรียนรู้ที่ดีกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่า

2. เน้นการพัฒนาเซลล์ประสานประสาท (Synapses) เพราะเซลล์ประสาท เป็นตัวเชื่อมระหว่างเซลล์สมอง ยิ่งมีเซลล์เหล่านี้มากเท่าไหร่ สมองจะยิ่งทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้เรียนรู้ได้เร็ว มีความจำดี สมาธิดี และมีไหวพริบแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้พัฒนาการการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปแบบก้าวกระโดดด้วยเช่นกัน ซึ่งกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นการพัฒนาเซลล์ประสาท อาทิ โยคะ การเต้นรำ กีฬายิมนาสติก ฯลฯ

3. เน้นการให้ความรัก การมอบความรักและกำลังใจเชิงบวก คือหัวใจหลักของหลักสูตรนี้ เพราะการที่ได้รับคำชม คำพูดให้กำลังใจ ความเข้าใจ การให้อภัย การกอด และความรักอย่างเต็มที่ จะช่วยให้หัวใจอ่อนโยน และมีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ซึ่งหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความสุขนี้จะช่วยให้เติบโตขึ้นด้วยความงดงามอย่างแน่นอน

4. ปลูกฝังจิตสำนึกเชิงบวก หลักสูตรนี้เน้นปลูกจิตสำนึกเชิงบวกตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น มองโลกในแง่ดี และให้เคารพผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น เมื่อเติบโตขึ้น จะเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักคิด รู้จักทำ อ่อนน้อมถ่อมตน และพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความหวังดีจากหัวใจ

สิ่งที่จะได้รับการเรียนตามหลักสูตร ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ ได้แก่ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ), ความฉลาดทางศีลธรรม (MQ) และความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) ควบคู่กันไป ทำให้มีความสุขกับชีวิตจากเรื่องง่าย ๆ รู้สึกดีกับตัวเอง รู้สึกภาคภูมิใจ เชื่อมั่นใจตัวเอง อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส กล้าคิด กล้าพูด และกล้าแสดงออก เพราะได้รับความรักจากทั้งครูและคุณพ่อคุณแม่อย่างเต็มที่ พร้อมกันนั้นก็มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อทั้งเพื่อนมนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ พร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบข้างได้อย่างกลมกลืน และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด

หลายปีมาแล้วที่อาจารย์ ‘ตั๋ง’ ใช้แนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ ในการสอนลูกศิษย์ทุกคน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนกระทั่งปริญญาเอก ผู้เขียนมีโอกาสเรียนรู้ใกล้ชิดกับอาจารย์ ‘ตั๋ง’ หลายปี เพราะอาจารย์ ‘ตั๋ง’ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ของผู้เขียนด้วย ในช่วงหลายปีนั้นผู้เขียนไม่เคยเห็นอาจารย์ ‘ตั๋ง’ ตำหนิว่ากล่าวให้ร้ายใครเลยแม้แต่คนเดียว โดยเรื่องราวด้านลบที่อาจารย์ ‘ตั๋ง’ ยกมาเป็นตัวอย่างก็จะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวอาจารย์เอง 

ก่อนที่จะรับเอาแนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ มาปฏิบัติและสอนลูกศิษย์ จึงขอบอกเล่าเรื่องราวของอาจารย์ ‘ตั๋ง’ โรงเรียนอมาตยกุล และแนวคิด ‘นีโอ-ฮิวแมนนิสต์’ เพื่อให้เป็นที่เข้าใจของสังคมต่อไป

พพ. ปลื้ม 2 นวัตกรรมไทย ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน

Transformer Low Carbon & Submersible Transformer Low Carbon Plate Form บริหารจัดการพลังงานสะอาด Solar & Energy Storage  มุ่งสู่ Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response ปลอดภัย อัคคีภัย ทัศนียภาพ และอนุรักษ์พลังงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ERDI) - จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะผู้บริหารกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน นำโดย นางมัณลิกา สมพรานนท์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านพลังงาน, นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา ผู้อำนวยการกองกำกับและอนุรักษ์พลังงาน และนายอาวุธ  เครือเขื่อนเพชร พร้อมทีมงาน เยี่ยมชม Transformer Low Carbon & Submersible Transformer Low Carbon และสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมบรรยายหัวข้อ “ เรื่อง Transformer Low Carbon & Submersible Transformer Low Carbon Plate Form บริหารจัดการพลังงานสะอาด Solar & Energy Storage มุ่งสู่ Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response

นางมัณลิกา สมพรานนท์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านพลังงาน กล่าวถึง Transformer Low Carbon & Submersible Transformer Low Carbon ถือเป็นนวัตกรรมของ คนไทยตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพราะปัจจุบันเรื่องพลังงานถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทุกภาคส่วน รัฐบาลจึงได้กำหนดนโยบายให้คนไทยมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด ลดการนำเข้าพลังงาน หม้อแปลงดังกล่าวจึงเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการที่จะพลิกโฉมประเทศ สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า เน้นการเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น สร้างพลวัตใหม่ให้แก่เศรษฐกิจ ยังช่วยลดการใช้พลังงาน ลดค่าไฟฟ้า ลดคาร์บอน ลดเรือนกระจก และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด 

ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและผู้แทนพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าว ได้รับเกียรติบรรยายเรื่อง Transformer Low Carbon & Submersible Transformer Low Carbon Plate Form บริหารจัดการพลังงานสะอาด Solar & Energy Storage มุ่งสู่ Net Zero, Near Zero, Peak Demand และ Demand Response ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้ร่วมวิจัยและได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง Low Carbon และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Sustainable Green Energy Management System ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง Net Zero, Demand Response และ Saving Energy” ซึ่งจากการดำเนินงานพบว่าหม้อแปลงที่ใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวในข้างต้น ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม Smart Factory, Smart Building ในด้าน Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response การประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชนและผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด

นายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ กล่าว ขอขอบพระคุณ ทางกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.)  โดยหม้อแปลงดังกล่าว ตอบโจทย์การประหยัดพลังงานและอนุรักษ์พลังงาน ของภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการอาคารสถานที่ ที่สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 9% และลดคาร์บอนมากกว่า 100 ล้านตันคาร์บอน คืนทุนภายใน 2-5 ปี เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนสร้างความมั่นคงและความยืดหยุ่นด้านพลังงาน เพื่อผลัดดันการเปลี่ยนผ่านไป สู่พลังงานสะอาด ความยั่งยืนนี้จะส่งเสริมการเติบโตสีเขียวในภูมิภาค ทั้งนี้สถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้องประกาศนโยบายการลดคาร์บอน โดยประกาศเป้าหมายความเป็นกลางของแผนลดก๊าซคาร์บอนในปี 2575 จะเห็นภาพการใช้พลังงานทั้งด้านอุตสาหกรรมและภาคประชาชน ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับการ ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ดังนั้น หม้อแปลงที่กล่าวข้างต้นจึงตอบโจทย์ทุกหน่วยงาน ภาครัฐ, เอกชน และภาคอุตสาหกรรม ด้านการประหยัดพลังงานและลดคาร์บอน

ใช้จุดแข็งโดยรอบสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน แบบไม่ต้องรอรัฐ ปรับพื้นที่เป็น 'ตลาดน้ำ-ตลาดบก' ดึงค้าขายทางเรือเข้ามาร่วม

(16 มิ.ย.67) จากเพจ 'Bangkok I Love You' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'ได้เวลาคืนชีพให้คลองโอ่งอ่าง ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน อยู่ได้ด้วยตลาดน้ำของดีประเทศไทย' ระบุว่า...

หลายวันก่อน แอดไปธุระแถวเยาวราช ก็เลยเดินเลยไปแถวคลองโอ่งอ่าง ซึ่งหวังว่าจะมี อะไรที่คึกคักให้เดิน 

แต่พอไปถึง กลับกลายเป็นว่ามีแต่ความเงียบ และซบเซา อาจจะเป็นเพราะการที่ไม่ได้รับการสนับสนุน กิจกรรมต่างๆ จากทางพื้นที่ ซึ่งก็ลองถามชาวบ้านแถวนั้น ผมก็บอกว่าช่วงที่มีกิจกรรม นี้มีงาน แถวนี้ก็จะคึกคักเป็นครั้งๆ อยากจะให้มีการจัดกิจกรรมบ่อยๆ

แอดจึงมานั่งคิดว่าแทนที่จะมานั่งรอภาครัฐ ชุมชนควรแห่งนี้มีจุดเด่นหลายประการ ทั้งการคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเดินจากรถไฟฟ้าสามยอดมาได้โดยง่าย การเดินทางทางรถก็แสนจะสะดวกสบาย และที่สำคัญพื้นที่นี้ยังเชื่อมต่อกับ เยาวราช สำเพ็ง พาหุรัด แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอยู่แล้ว จึงไม่ยากที่จะสร้างความแข็งแกร่งของสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมา 

โดยกลยุทธ์หลักคือการปรับพื้นที่ให้เป็นตลาดน้ำ- ตลาดบก ให้มีการค้าขายทางเรือเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งตลาดน้ำนี้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยอยู่แล้ว ไม่น่าเป็นการยากที่เราจะโปรโมทให้นักท่องเที่ยวสนใจที่จะเดินทางมาเที่ยว และที่สำคัญ ก็มีหนังต่างประเทศหลายๆ เรื่องได้เข้ามาถ่ายทำในพื้นที่ย่อมทำให้คนรู้จักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

แอดมั่นใจครับว่า ถ้าชุมชนเข้มแข็งเราสามารถสร้างคลองโอ่งอ่างขึ้นมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานครได้แน่นอน

'บก.ลายจุด' วิจารณ์ Breaking the Cycle  เหมาะสำหรับคนเชียร์ 'อนาคตใหม่-ก้าวไกล'

(16 มิ.ย.67) นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด โพสต์ X โดยมีเนื้อหาว่าระบุว่า 

บ่ายวานนี้ได้แวะไปดูสารคดี Breaking the Cycle จึงขอแสดงความเห็นดังต่อไปนี้

1.เป็นสารคดีที่ไม่มีความลึก เป็นการตัดตอนการเมืองจากอดีตมาเริ่มต้นที่เกิดพรรคอนาคตใหม่เลย แม้จะแตะเรื่องการรัฐประหารบ้างแต่ไม่ปูพื้นความโกลาหนทางการเมืองไทยที่ซับซ้อนเลย ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เชิดชูตัวบุคคล ผมเข้าใจว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้เป็น FC ตัวยงคนหนึ่งของธนาธรและอนาคตใหม่ ทำให้หนังเรื่องนี้เล่าผ่านสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม แทบไม่มีความหลากหลายต่อมุมมองของเรื่องหลักเลย ทำให้ขาดมิติความเป็นสารคดีไปมากทีเดียว

2.จากข้อแรกทำให้หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ชมที่ไม่ใช่ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ เพราะดูแล้วแทบไม่ได้อะไรและคงไม่อินไปด้วย แต่ถ้าเป็น FC พรรคนี่เป็นชิ้นงานที่ทำเอาน้ำหูน้ำตาซึมได้เลย ใครที่เป็น FC พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล ควรไปดูเรื่องนี้

3.แม้จะรู้อยู่แล้วว่าธนาธรเป็นคนที่สำคัญที่สุดในพรรคอนาคตใหม่ แต่การที่หนังนำภาพชีวิตส่วนตัวของธนาธรออกมาสู่สายตาคนดูแม้จะเล็กน้อยแต่มันสร้างแรงสะเทือนใจได้ดีมาก ผมรู้สึกตัวสั่นเพื่อเห็นลูกๆและภรรยาของเขาอยู่ท่ามกลางการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แหลมคม ฉากที่ลูกชายเรียกพ่อไปเล่นด้วยในขณะที่ธนาธรอยู่ข้างหลังเวทีการปราศรัยใหญ่แล้วเขาเดินตามลูกไป นี่เป็นสิ่งที่หนังพาผมไปไกลมากในความซับซ้อนของตัวละครเอกอย่างธนาธร คนที่สังคมมองว่าเขาเป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยว แต่ต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งและเขาปรารถนาที่จะมีชีวิตเช่นคนธรรมดาทั่วไป และฝันที่จะมีชีวิตกับครอบครัวของเขาในพื้นที่ๆเป็นธรรมชาติ เอาจริงๆธนาธรเป็นมีโลกส่วนตัวสูงมาก

4.ผมเดาว่า Footage ที่ผู้กำกับถ่ายไว้มีไม่พอ อาจไม่ได้เฝ้าติดตามแบบเกาะติดตลอด หรือไม่ก็ไม่ชอบเล่าเรื่องในแบบชีวิตหลังฉากซึ่งผมคาดหวังจะได้เห็นฉากเหล่านั้นมากกว่าฉากที่เราเห็นในสื่อทั่วไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผมขอบคุณผู้กำกับทั้งสองคนที่สร้างงานชิ้นนี้ไว้ แม้ผมจะวิพากษ์วิจารณ์ไปเยอะ แต่สิ่งที่คุณทำมีคุณค่าต่อการบันทึกและสร้างวัฒนธรรมการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ทางการเมือง และหวังว่าจะมีผลงานชิ้นอื่นๆอีกไม่ว่าจะโดยทีมงานนี้หรือคนทำหนังสารคดีอื่นๆในโอกาสต่อไป และผมดีใจที่ได้ไปดูหนังสารคดีเรื่องนี้ ธนาธรคือเดอะแบกอย่างแท้จริง และพิธาคือนีโอใน The matrix เวอร์ชั่นที่2

‘ขนส่ง’ จัดประมูล ทะเบียนรถ เลขสวยพิเศษ กวาดรายได้ 56 ล้านบาท สุดปัง!! ‘มังกร 1’ ทะลุ 5.5 ล้านบาท เสนอราคาถึง 230 ครั้ง จนได้ผู้ชนะ

เมื่อวานนี้ (15 มิ.ย.67) นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมฯ โดยกองทุนเพื่อความปลอดภัย ในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) จัดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ ครั้งที่ 7 ของประเทศไทย ณ อาคาร GPS ชั้น 3 กรมการขนส่งทางบก

การประมูลในครั้งนี้มาในคอนเซ็ปต์เหนือระดับสำหรับ ‘คนพิเศษ’ มีผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลทางวาจา และประมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษออกประมูลจำนวน 53 หมายเลข

ส่วนหมายเลขทะเบียนที่ได้รับความนิยมจากผู้สนใจสูงสุด คือ ‘มังกร 1’ มีผู้ประมูลร่วมเสนอราคาถึง 230 ครั้ง จนได้ผู้ชนะประมูลในราคา 5,540,000 บาท รองลงมา ได้แก่ หมายเลขทะเบียน ‘เฮง 4444’ ประมูลได้ในราคา 1,960,000 บาท

นอกจากนี้ยังมีหมายเลขทะเบียนที่ได้รับความนิยมมาก เช่น ‘ต้น 8888’ ประมูลได้ในราคา 1,680,000 บาท ‘เฮง 88’ ประมูลได้ในราคา 1,620,000 บาท และ ‘ชอบ 1111’ ประมูลได้ในราคา 1,600,000 บาท

อีกทั้งยังมีหมายเลขทะเบียนที่ประมูลได้ในราคาเกิน 1 ล้านบาท อาทิ ‘หล่อ 9999’ ประมูลได้ในราคา 1,560,000 บาท ‘โชคดี 777’ ประมูลได้ในราคา 1,520,000 บาท และ ‘สุขสบาย 1’ ประมูลได้ในราคา 1,460,000 บาท

ทั้งนี้ มียอดเงินรายได้จากการประมูลนำเข้ากองทุนกปถ. รวมทั้งสิ้น 56,000,000 บาท โดยผู้ชนะการประมูลจะได้ครอบครองป้ายทะเบียนรถลักษณะพิเศษ ซึ่งมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร เป็นป้ายทะเบียนที่มีชื่อหรือความหมาย ตรงกับความต้องการ ที่ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แผ่นป้ายแตกต่างจากป้ายทะเบียนปกติ ตัวแผ่นป้ายไม่มีรอยดุนและไม่มีขอบ มีลวดลายกราฟิกและสามารถโอนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่นหรือโอนเป็นมรดกได้

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อว่า ได้นำเงินรายได้จากการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษสนับสนุนกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาล โครงการนักเรียนรุ่นใหม่มีใบขับขี่ รวมถึงสนับสนุนค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการอันเนื่องมาจากการประสบภัยที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน ฯลฯ

‘ธนกร’ เผย ‘รทสช.’ พร้อมพิจารณางบฯ 68 ชี้!! ยึดประโยชน์ ปชช.-ประเทศชาติ  ดักคอ!! ‘ฝ่ายค้าน’ อภิปรายงบไม่ใช่ซ้อมซักฟอกรัฐบาล แนะ ‘ใช้เวลาคุ้มค่า-สร้างสรรค์’

(16 มิ.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ มีความพร้อมในการร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19-21 มิถุนายนนี้ ซึ่งการใช้เวลา 3 วันถือว่าเพียงพอ  รัฐบาลทุกกระทรวงมีความพร้อมชี้แจงงบประมาณ รวมถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรมและที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมพิจารณางบประมาณ แผ่นดินอย่างรอบคอบ มีความคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ มั่นใจว่า จะผ่านการพิจารณาของสภา เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามกรอบเวลาไม่ล่าช้า

ทั้งนี้อยากเห็นการอภิปรายของฝ่ายค้านเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ รักษาเวลา รักษา ระเบียบการประชุม เพื่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศ หากมีการตรวจสอบและข้อเสนอแนะ สามารถทำได้ตามหลักการ ไม่ใช้อารมณ์ หรือ วาทกรรมทางการเมือง ตนไม่อยากเห็นการใช้เวทีอภิปรายงบประมาณ เป็นเวทีซักซ้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างที่เคยเกิดขึ้น  

“ฝากไปถึงฝ่ายค้าน ขอให้ใช้เวลาอภิปรายงบ 68 อย่างคุ้มค่า สร้างสรรค์ อยู่ในกรอบตามวาระ ไม่ใช่ ใช้เวทีสภาซ้อมซักฟอกรัฐบาลเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้วาทกรรมที่รุนแรง เลี่ยงการสร้างคอนเทนต์ดราม่าเพื่อเอาไปลงในโซเชียล ขอให้ยึดผลประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่คิดตีกินทางการเมือง” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

‘นิด้าโพล’ ฟันธง ‘บิ๊กแจ๊ส’ เต็งหนึ่ง คว้าเก้าอี้ นายก อบจ.  ชี้!! ‘ทักษิณ’ ลงพื้นที่ ปทุมธานี ไม่มีผลกระทบ

(16 มิ.ย.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ใครกล้า ฟันธง…เลือกตั้งนายก อบจ. ปทุมธานี 2567 ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-12 มิถุนายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านอยู่ในจังหวัดปทุมธานี กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,067 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้กำหนดวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

ในวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 2567 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 95.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่จะสนับสนุนให้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 31.87 ระบุว่าเป็น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองลงมา ร้อยละ 28.68 ระบุว่าเป็น นายชาญ พวงเพ็ชร์ ร้อยละ 17.43 ระบุว่า จะไปลงคะแนนไม่เลือกใคร ร้อยละ 8.98 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 4.22 ระบุว่า จะไม่ไปลงคะแนน ร้อยละ 3.19 ระบุว่าเป็น นายนพดล ลัดดาแย้ม ร้อยละ 1.97 ระบุว่าเป็น นายอธิวัฒน์ สอนเนย และร้อยละ 3.66 ระบุว่า ไม่ตอบ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี จากกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปจังหวัดปทุมธานี พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 81.91 ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบเลย รองลงมา ร้อยละ 5.25 ระบุว่า ไม่ค่อยส่งผลกระทบ ร้อยละ 5.06 ระบุว่า ค่อนข้างส่งผลกระทบ ร้อยละ 3.56 ระบุว่า ส่งผลกระทบอย่างมาก และร้อยละ 4.22 ระบุว่า ไม่ตอบ

‘รัฐบาล’ เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ ‘เว็บพนันบอลออนไลน์’ ย้ำ!! ผู้ปกครอง ดูแลลูกหลานให้ดี เชียร์ทีมที่ชอบ เพื่อความสนุก 

(16 มิ.ย.67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม 2567 มีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 17 หรือ ฟุตบอลยูโร 2024 รัฐบาลมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีพี่น้องประชาชนจำนวนมากต้องสูญเสียทรัพย์สินให้กับการพนัน ในช่วงเทศกาลฟุตบอลยูโร 2024 รัฐบาลฝากผู้ปกครองช่วยสอดส่องพฤติกรรมของลูกหลานอย่าให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนันบอล ขอให้ดูเพื่อความสนุก ติดตามเชียร์ทีมที่ชอบ อย่าหวังรวยจากการพนัน นอกจากจะเสียเงินแล้วอาจจะเสียอนาคตตามมา

รัฐบาลย้ำเตือนพี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อกลุ่มเว็บไซต์พนันบอล ใช้อุบายโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์อ้างผลตอบแทนสูงจูงใจให้ประชาชนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ ทำให้สูญเสียเงินและทรัพย์สิน หากพบเห็นการกระทำความผิดหรือพบเบาะแสเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ สามารถแจ้งไปยังสายด่วน 191 หรือสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผู้เล่น ผู้ชักชวน และผู้จัดให้มีการพนันฟุตบอลจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

‘สรรเพชญ’ ซัด ‘รัฐบาล’ กู้เงินสูงสุด เป็นประวัติการณ์  หวั่น!! ก่อหนี้ก้อนใหญ่ในอนาคต สวนทางนโยบาย ที่เคยหาเสียงไว้

(16 มิ.ย.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ได้ให้ข้อสังเกตต่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่กำลังจะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวันที่ 19 – 21 มิถุนายน 2567 นี้ โดยนายสรรเพชญ กล่าวว่า แม้ว่าเอกสารร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ซึ่งมีจำนวนกว่า 10,000 หน้า จะส่งมาให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ศึกษาทำความเข้าใจในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เพราะบรรดาเอกสารต่าง ๆ พึ่งมาถึงรัฐสภาและให้สมาชิกฯ ไปรับเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาซึ่งจะทำให้ทุกคนมีเวลาในการพิจารณาค่อนข้างน้อย แต่ตนมีความเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นลำดับต้น ๆ เพราะเกี่ยวเนื่องกับประชาชนโดยตรง อีกทั้งการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจของรัฐบาลในการทำหน้าที่ตามที่ได้แถลงนโยบายไว้ในรัฐสภา 

จากการที่ตนได้ศึกษาดูเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 แล้ว เห็นว่างบประมาณดังกล่าวไม่ค่อยแตกต่างอะไรกับงบประมาณในปีที่ผ่าน ๆ มามากนัก ทั้งที่รัฐบาลชุดนี้มีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณแทบจะ 100% สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับการจัดสรรงบประมาณในปี 2568 ที่มีการตั้งวงเงินกว่า 3.7 ล้านล้านบาท คือเรื่องของการกู้ขาดดุลที่มีการกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณถึง 865,700 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์และเกือบเต็มเพดานกรอบวงเงินที่รัฐบาลสามารถกู้ได้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และเมื่อพิจารณาที่ประมาณการสถานะการคลังระยะปานกลางรัฐบาลมีการประมาณการว่าในปี 2568 จะมีรายรับประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท และปี 2569 จะมีรายรับประมาณ 3 ล้านล้านบาท สิ่งที่น่ากังวลคือรัฐบาลจะมีรายได้ตามเป้าจริงหรือไม่ เพราะในปีที่ผ่าน ๆ มามักจะมีรายได้ไม่ตามเป้าแล้วจะทำให้รัฐบาลต้องกู้เพื่อชดเชยเงินคงคลังสูงขึ้นไปอีก ยิ่งกู้มากรัฐบาลก็เสี่ยงต่อการกู้ชนเพดานอันจะเกิดผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งจากการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีความจริงใจและไม่กล้าที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ยังทำงบประมาณแบบเดิม ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งสวนทางกับนโยบายที่จะให้คนไทยมีกิน มีใช้ ที่โฆษณาตอนหาเสียง 

ในงบประมาณปี 2568 นี้สิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนคือรัฐบาลมีการตั้งค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนกว่า 152,700 ล้านบาทในงบกลาง เพื่อทำนโยบาย Digital Wallet ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล ซึ่งตนไม่ได้ติดใจอะไรหากรัฐบาลต้องการที่จะทำนโยบายนี้ เพราะเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ถนัดในการทำนโยบายโปรยเงินแบบ Helicopter Money ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะหาเงินใหม่จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้าในประเทศเพื่อทำนโยบาย แต่รัฐบาลกลับใช้วิธีการแบบทางลัดโดยการกู้เงินเพื่อทำนโยบายดังกล่าว เสมือนเป็นการสูบเลือดของประชาชนดังที่ ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม เคยกล่าวไว้ว่า สิ่งที่รัฐบาลทำนั้นอธิบายง่ายๆ มันก็คือ หมอบอกว่าคนไข้ว่าต้องการเลือดใหม่ แต่แทนที่จะหาเลือดใหม่มาอัดฉีดให้กับคนไข้ แต่สิ่งที่หมอทำคือ ‘สูบเลือดออกจากคนไข้ แล้วนำมาฉีดคืนให้กับคนไข้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง’ 

นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องให้ความกระจ่างกับประชาชนคือ เงื่อนไขการใช้จ่ายเงินโครงการดิจิทัล วอลเล็ทสามารถซื้อโทรศัพท์ได้หรือไม่ เพราะถ้าหากซื้อได้ก็อาจเป็นการเอื้อนายทุนค่ายมือถือรายใหญ่ที่ขายเครื่องพร้อมแพคเกจให้กับประชาชนโดยใช้เงินจากโครงการของรัฐบาล  

“งบประมาณปี 2568 นี้ สิ่งที่รัฐบาลแสดงความสามารถให้เห็นได้ชัดเจนคือความสามารถในการกู้เงินและไปล้วงเงินจากที่อื่น ๆ มาได้ดีกว่าการหาเงินใหม่ ๆ เข้ามาในระบบ ซึ่งจนวันนี้แล้วรัฐบาลยังตอบไม่ได้ว่าจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้คืนหรือชดเชยคืนเงินที่เอามาทำนโยบาย Digital Wallet นี้เลย” นายสรรเพชญกล่าวในตอนท้าย

‘รอยเตอร์’ เผย ‘กองทัพสหรัฐฯ’ เปิดยุทธการลับบน ‘สื่อสังคมออนไลน์’ เพื่อป้ายสี ทำลายชื่อเสียง วัคซีนโควิดของจีน ในช่วงแพร่ระบาดโควิด-19

(16 มิ.ย.67) ยุทธการของเพนตากอน สำหรับทำลายชื่อเสียงวัคซีนจีน มีขึ้นระหว่างช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2020 ถึงกลางปี 2021 โดยมุ่งเน้นไปที่ฟิลิปปินส์ ก่อนขยายวงสู่พื้นที่อื่นๆ ของเอเชียและตะวันออกกลาง ตามรายงานของรอยเตอร์ที่กล่าวอ้างในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งเผยแพร่ในวันศุกร์ (14 มิ.ย.)

เพนตากอนพึ่งพิงบัญชีปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ แอบอ้างตัวเป็นผู้ใช้ชาวฟิลิปปินส์ เผยแพร่คำกล่าวอ้างอันเป็นเท็จว่า วัคซีนซิโนแวคของจีน เช่นเดียวกับชุดตรวจและหน้ากากอนามัยที่ผลิตโดยประเทศแห่งนี้มีคุณภาพที่ย่ำแย่

ซิโนแวค ซึ่งเริ่มต้นแจกจ่ายในเดือนมีนาคม 2021 กลายเป็นวัคซีนตัวแรกที่ชาวฟิลิปปินส์เข้าถึงได้ระหว่างโรคระบาดใหญ่

‘โควิดมาจากจีนและวัคซีนก็มาจากจีนเช่นกัน ดังนั้นอย่าไว้ใจจีน’ รูปแบบการโพสต์หนึ่ง ส่วนหนึ่งในยุทธการทำลายชื่อเสียง ภายใต้สโลแกน #ChinaAngVirus (จีนคือไวรัส) ตามรายงานของรอยเตอร์ ส่วนอีกโพสต์ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป กล่าวอ้างว่า ‘ทุกอย่างที่มาจากจีน ทั้งชุดป้องกัน หน้ากาก และวัคซีน ล้วนแต่เป็นของปลอม แต่โคโรนาไวรัสนั้นเป็นของจริง’

ยิ่งไปกว่านั้น เพนตากอนพยายามสื่อสารไปยังพวกผู้ใช้ชาวมุสลิมในเอเชียและตะวันออกกลาง สืบเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าบางครั้งวัคซีนอาจมีส่วนผสมของเจลาตินหมู ดังนั้น วัคซีนของจีนจึงอาจเป็นสิ่งต้องห้ามภายใต้กฎหมายอิสลาม

รอยเตอร์ระบุว่า จากการตรวจสอบของพวกเขา พบว่ามีอย่างน้อย 300 บัญชีบนทวิตเตอร์ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเอ็กซ์ ที่มีคุณลักษณะตรงตามกับคำกล่าวอ้างของอดีตเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ ที่เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับยุทธการนี้แก่สื่อมวลชน

เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ยืนยันกับรอยเตอร์ว่า ยุทธการลับๆ บนสื่อสังคมออนไลน์สำหรับป้ายสีซิโนแวคนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ปฏิเสธให้รายละเอียดเพิ่มเติม

โฆษกรายหนึ่งของเพนตากอน บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า กองทัพสหรัฐฯ ใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลาย ในนั้นรวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ สกัดอิทธิพลที่มุ่งร้าย ที่เล็งเป้าเล่นงานสหรัฐฯ พันธมิตรและคู่หู และปักกิ่งคือหนึ่งในนั้น ที่เริ่มเปิดยุทธการบิดเบือนข้อมูล กล่าวโทษอันเป็นเท็จ หาว่าสหรัฐฯ เป็นคนแพร่กระจายโควิด-19

ในปฏิกิริยาที่มีต่อรายงานของรอยเตอร์ ทางกระทรวงการต่างประเทศของจีน เน้นย้ำผ่านทางอีเมล ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ บงการสื่อสังคมออนไลน์และเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนมานานแล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top