Sunday, 2 June 2024
TheStatesTimes

‘สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว’ เข้าร่วมพิธีมอบ ‘เครื่องราชอิสริยาภรณ์’ ในฐานะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ ‘ญี่ปุ่น-ไทย’

เมื่อไม่นานมานี้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ‘The Order of the Rising Sun, Gold and Silver Star’ สำหรับชาวต่างชาติประจำฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2567 ได้เข้าร่วมพิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่จัดขึ้น ณ พระราชวังอิมพีเรียล โดยมีนายกรัฐมนตรีคิชิดะเป็นผู้มอบ

โดยนายสีหศักดิ์ ได้รับเครื่องราชฯ  ‘The Order of the Rising Sun, Gold and Silver Star’ จากผลสำเร็จในประเทศไทย ในฐานะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์และมิตรภาพอันดีระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกระชับสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพระหว่างญี่ปุ่นและไทย โดยผ่านประสบการณ์ใน การปฏิบัติงานในสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ถึง 2 ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ มีผลสำเร็จและบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างญี่ปุ่น-ไทย นอกจากนี้ ในฐานะที่ปรึกษาพิเศษของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนและกิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย

‘ดีอี’ จับมือหน่วยงานพันธมิตร เร่งปราบ ‘โจรออนไลน์’ ระยะที่ 2 ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี กวาดล้างบัญชีม้าไปแล้ว 1 แสนบัญชีต่อเดือน พร้อมเร่งรัดหาวิธีคืนเงินผู้เสียหายให้เร็วที่สุด

วันที่ 16 พฤษภาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงความคืบหน้าปราบโจรออนไลน์ตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้ประชุมร่วมกับ ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดีอี และ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมด้วยผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อหารือเรื่องการกวาดล้างบัญชีม้าและเร่งรัดการคืนเงินให้ผู้เสียหาย ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่ได้มอบหมายให้กระทรวงดีอี ร่วมกับตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์เป็นระยะที่ 2 ต่อเนื่องจากระยะแรก 30 วัน (1-30 เมษายน 2567) โดยผลการประชุมที่สำคัญ ดังนี้ 

1. การเร่งรัดกวาดล้างบัญชีม้า : ปปง. ธปท. สมาคมธนาคาร กสทช. สมาคมโทรคมนาคมฯ และ ดีอี ได้ร่วมกันดำเนินการขยายผลกวาดล้างบัญชีม้า จากการใช้ข้อมูลรายชื่อเจ้าของบัญชีม้า และรายชื่อผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทำการปิดบัญชีธนาคารทุกธนาคาร จากชื่อบุคคลดังกล่าว โดยตั้งเป้าระงับ/ปิด บัญชีม้ามากกว่า 12,000 คนต่อเดือน หรือ 100,000 บัญชีต่อเดือน พร้อมทั้งกำหนดมาตรการและเงื่อนไขการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อป้องกันการนำไปกระทำความผิดโดยเพิ่มกระบวนการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง Customer Due Diligence หรือ CDD โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง ธนาคารต้องตรวจสอบให้เคร่งครัดมากขึ้นก่อนอนุมัติเปิดบัญชี โดยทาง ธปท.จะมีการออกประกาศภายในเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งปัจจุบันบางธนาคารได้มีการดำเนินการแล้ว โดยได้มีการเชื่อมระบบข้อมูลของธนาคารทุกธนาคาร มอบหมายให้ กสทช. เป็นผู้ดำเนินการจัดทำระบบรวบรวมข้อมูล ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน 2 สัปดาห์ สำหรับการกวาดล้างบัญชีม้า และซิมม้าในระบบ mobile banking ที่ประชุมมอบหมายให้ กสทช.เร่งรัดตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่ผูกกับระบบ mobile banking จำนวนประมาณ 106 ล้านเลขหมาย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จใน 120 วัน 

นายประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับผลการกวาดล้างบัญชีม้าถึง 30 เมษายน 2567 ได้ระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 700,000 บัญชี แบ่งเป็น ธนาคารระงับเอง 300,000 บัญชี AOC ระงับ 101,375 บัญชี ปปง.ปิด 325,586 บัญชี ในส่วนของตำรวจดำเนินการการจับกุมคดี บัญชีม้า-ซิมม้า เม.ย. 67 มีจำนวน 361 คน เพิ่มขึ้น 1.9 เท่า เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 187 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567

2. การแก้กฎหมายพิเศษเป็นการเร่งด่วน : เพื่อให้การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ตลอดจนช่วยเหลือคืนเงินให้ผู้เสียหาย ได้มีการหารือเรื่องการแก้กฎหมายในประเด็น ดังนี้ 2.1 การเร่งรัดคืนเงินให้ผู้เสียหาย โดยที่ผ่านมาการคืนเงินให้ผู้เสียหายจากคดีออนไลน์ ต้องใช้เวลานาน หลายๆ กรณีใช้เวลาหลายปี กว่าจะสามารถคืนเงินให้ผู้เสียหายได้ ประกอบกับ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ทาง AOC 1441 โดย ดีอี ตำรวจ สมาคมธนาคาร ได้ร่วมมือ เร่งการระงับ/อายัด บัญชีม้าได้รวดเร็วเฉลี่ยภายใน 10 นาที และมีเงินที่ถูกอายัดได้จำนวนมาก ซึ่งในวันนี้จึงได้ประชุมพิจารณาถึงการหาวิธีคืนเงินให้รวดเร็วขึ้น โดยพิจารณาการออกกฎหมายพิเศษเพื่อเร่งการคืนเงิน 

2.2 การเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล โดยถือว่าการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมในวงกว้าง จึงต้องมีการกำหนดบทลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องและคนร้ายในอัตราโทษจำคุกเพิ่มขึ้นจาก 1 ปี เป็น 5 ปี  นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงการป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะที่เป็นแพลทฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศที่ผิดกฏหมาย 

“วันนี้เราประชุมเพื่อหามาตรการเร่งรัดกวาดล้างบัญชีม้า และ หาวิธีคืนเงินให้ผู้เสียหายรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยที่ประชุมได้หารือถึงการออกพระราชกำหนด เป็นกฎหมายพิเศษเพื่อเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหายและเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูล ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งการปราบปรามจับกุมคนร้าย กวาดล้างบัญชีม้า ซิมม้า ปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงต่อเนื่อง แก้ปัญหาหลอกลวงซื้อขายออนไลน์ และช่วยลดความเดือนร้อนของประชาชน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกล่าว 

'เจ้าพ่อเฮดจ์ฟันด์' ชี้!! มีโอกาสเกิดสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ ลั่น!! นาทีนี้ ถ้าเลือก ปธน.ได้เอง ขอเลือก 'เทย์เลอร์ สวิฟต์' ดีกว่า

เจ้าพ่อเฮดจ์ฟันด์ออกโรงเตือน อเมริกาเสี่ยงเกิดสงครามกลางเมือง แนะนักลงทุนโยกเงินออกจากสหรัฐ 

เรย์ ดาลิโอ อภิมหาเศรษฐีนักลงทุน และ ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates หนึ่งในบริษัทจัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แสดงความวิตกกังวลถึงบรรยากาศการเมืองสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ที่สุ่มเสี่ยงต่อการแตกแยกครั้งใหญ่และมีโอกาสเกิดสงครามกลางเมืองได้ถึง 1 ใน 3 

โดย เรย์ ดาลิโอ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ Financial Times เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การแบ่งขั้วทางการเมืองได้สร้างความปั่นป่วนในสังคมคนอเมริกันที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และตอนนี้เราอยู่ในจุดที่แตกหักแล้ว จึงมีโอกาสที่จะเกิดสงครามกลางเมืองครั้งที่ 2 ได้ถึง 35% - 40% 

เพียงแต่สงครามกลางเมืองในยุคสมัยนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะหันไปคว้าปืน คว้าระเบิดมายิงใส่กันอย่างที่แล้วมา แต่ผู้คนในสังคมจะเลิกมองหาจุดกึ่งกลางในการประนีประนอมทางการเมืองที่แตกต่าง และอีกไม่นาน เราอาจเห็นชาวอเมริกันยอมย้ายบ้านไปอยู่ในรัฐที่มีแนวทางการเมืองตรงจริตของแต่ละคน และไม่ยอมฟังคำสั่งของรัฐบาลกลางที่มาจากขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้ามอีกต่อไป 

ความเห็นของ เรย์ ดาลิโอ ก็สอดคล้องกับผลสำรวจล่าสุดจาก Pew Research Poll พบว่าชาวอเมริกันมีแนวคิดทางการเมืองแบ่งเป็น 2 ขั้วชัดเจนกว่าแต่ก่อนมาก และมีชาวอเมริกันเพียง 32% ที่ให้น้ำหนักความเชื่อทางการเมืองทั้งด้านอนุรักษ์นิยม และ เสรีนิยมก้ำกึ่งกัน ซึ่งลดลงจากปี 2004 ที่มีชาวอเมริกันสายกลางอยู่ที่ 49%

ถึงแม้ว่าหลายคนอาจมองว่าเจ้าพ่อเฮดจ์ฟันด์ เรย์ ดาลิโอ คาดการณ์เกินจริงเรื่องโอกาสที่สหรัฐอเมริกาจะถอยไปสู่ยุคสงครามกลางเมืองอีกครั้ง แต่มีกลุ่มชาวอเมริกันผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกว่า 40% มองว่าสหรัฐอเมริกาเคยแตะถึงจุดอันตรายนั้นมาแล้ว เมื่อตอนที่เกิดการลุกฮือของกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บุกเข้ายึดอาคารรัฐสภา (The Capital) เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เป็นความตึงเครียดที่ไม่ต่างจากการเกิดสงครามกลางเมือง

เรย์ ดาลิโอ ยังกล่าวอีกว่า การเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนนี้ (2024) ระหว่างโจ ไบเดน และ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นจุดตัดสินทางการเมืองที่สำคัญ และยังเป็นบททดสอบประชาธิปไตยของอเมริกันชนว่ายังยอมรับ กฎ กติกา ทางการเมืองได้อยู่หรือไม่ 

และยังมีปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมอย่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และ ปัญหาความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ที่จะมีผลต่อการใช้ชีวิตในสังคมมากขึ้น ยังไม่นับรวมความเสี่ยงจากหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่กระทบต่อราคาของพันธบัตรรัฐบาลอีก 

ดังนั้น ด้วยมุมมองของนักลงทุนระดับอภิมหาเศรษฐี วัย 74 ที่อยู่นิวยอร์กมาทั้งชีวิต เขาจึงแนะนำว่า นักลงทุนควรพิจารณาย้ายเงินไปตลาดต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง 

โดยชี้เป้าประเทศน่าลงทุน ได้แก่  อินเดีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม ควบคู่ไปกับประเทศย่านอ่าวในตะวันออกกลาง เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีรายได้มากกว่ารายจ่าย และมีการจัดการงบดุลที่ดี มีระเบียบภายใน และเป็นกลางในความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จึงน่าดึงดูด

และเมื่อถามว่า เรย์ ดาลิโอ อยากให้ใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาตอบทันทีว่า ถ้านาทีนี้ ผมขอเลือก เทย์เลอร์ สวิฟต์ ดีกว่า อย่างน้อยเธอก็มีพลังที่ทำให้คนหลากหลายเชื้อชาติมารวมพลัง เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำทางการเมืองในยุคนี้ทำไม่ได้ 

ก็ถือเสียว่าเป็นความเห็นหนึ่งของนักลงทุนรายใหญ่ในสหรัฐฯ ที่มองเห็นความเสี่ยงในสถานการณ์การเมืองที่ชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก ซึ่งใครจะเห็นตาม หรือ เห็นต่าง หรือจะส่ายสะโพกโยกย้ายเงินทุนตามคำแนะนำของเขา ก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน 

‘หมอเหรียญทอง’ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก จะลงสมัคร ‘สว.’ ชี้!! มีคนจำนวนมาก อยากให้เป็น เพื่อเข้าไป ‘ปกป้องรัฐธรรมนูญ’

(18 พ.ค. 67) พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า ...

นี่คือคำประกาศของ 'ตาแป๊ะหลักสี่' ทหารหมอผู้ไม่มีวันตายไปจากความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ความสั้น ๆ ว่า ‘ผมจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สว.ในปี พ.ศ.2567’

ผมขอเรียนว่าผมไม่เคยมีความคิดที่จะลงสมัครเป็น สว. เพราะการเลือกตั้ง สว. นั้นเป็นระบบที่ผู้สมัคร สว. เลือกกันเอง ดังนั้นจะมีการจัดตั้งผู้สมัคร สว. เพื่อเลือกพวกเดียวกัน หากผมสมัครเป็น สว. ผมก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้สมัคร สว. ที่มีการจัดตั้งกันมาล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็จะสอบตกตั้งแต่การเลือก สว. ในระดับอำเภอ

แต่มีประชาชนจำนวนมากอยากให้ผมเป็น สว. เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ปกป้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะมาตรา 112 , การออกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และการร่าง พ.ร.บ. ฯลฯ ทั้งทำหน้าที่ลงมติรับรองผู้มาดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) , ผู้ตรวจการแผ่นดิน , คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) , คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) , ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน , คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.)

ตลอดจนการมีอำนาจให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญอื่น ๆ ของรัฐ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น อัยการสูงสุด , ตุลาการศาลปกครองสูงสุด , เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา , เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแห่งชาติ (ปปง.)

ในการเลือกตั้ง สว.ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้า ขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะมาตรา 112 หรือขบวนการสามานย์จึงมีการจัดตั้งผู้สมัคร สว. เพื่อเลือกกันเองให้เข้าสู่ระบบการเลือกตั้ง สว. มีหลายคนกลัวว่าผมจะสมัครเป็น สว. ถึงกับต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ผมต้องถูกคุมขังโดยหมายของศาลจากกรณีตบไอ้กุ๊ยส้นตีนที่สูบบุหรี่ใน รพ.มงกุฎวัฒนะ

ผมขอเรียนว่าจากอดีตที่ผมไม่เคยคิดที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็น สว. หรือตำแหน่งในทางการเมืองหรือตำแหน่งใด ๆ แต่สัปดาห์หน้าผมจะไปลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ แล้วมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สว. ถึงแม้จะต้องสอบตก ผมก็ไม่กลัว แต่ถ้าผมได้เป็น สว. ขึ้นมาจริง ๆ สาธารณชนจะได้เห็นสมาชิกวุฒิสภาที่มีความรู้ ความสามารถ ชัดเจน กล้าหาญ เด็ดขาด ยุติธรรม ซื่อสัตย์ และจงรักภักดีในระดับมากที่สุดคนหนึ่งของชาติ

ผมจะใช้ความรู้ความสามารถในการพัฒนาระบบสาธารณสุขเพื่อให้คนในชาติได้รับประโยชน์สูงสุดในทุกๆสถานการณ์ ผมจะใช้ความรู้ความสามารถในการปกป้องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะมาตรา 112 และจะพัฒนากฎหมายในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้นเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นความมั่นคงของชาติ

คนอย่างผมไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว การสอบตกเป็นเรื่องปกติของผมมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน แล้วคนอย่างผมจะไปกลัวอะไรกับการสอบตกในการสมัคร สว. กันล่ะครับ

ผมจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สว.ในสัปดาห์หน้า

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ
18 พ.ค.67 เวลา 11.49 น.

'มิโรสลาฟ โคลเซ่' เผย!! ความคิดของ 'เด็กรุ่นใหม่' ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เขาต้องหันหลังให้ 'ฟุตบอล'

จากบทความโดย 'Mansion Sports' ได้นำเสนอเรื่องราวของ 'มิโรสลาฟ โคลเซ่' อดีตกองหน้าทีมชาติ เยอรมนี ถึงมุมมองความคิดต่อ 'เด็กรุ่นใหม่' ที่มีส่วนสำคัญทำให้เขาต้องหันหลังให้อาชีพ 'ฟุตบอล' ในที่สุด ว่า...

"ผมเลิกเล่นฟุตบอล เพราะว่าผมไม่รู้จักมันอีกต่อไป ทุกวันนี้ เหล่าผู้เล่นดาวรุ่งเอาแต่คิดถึงเรื่องอื่น ๆ"

"สมัยที่ผมยังเด็ก ผมคิดอยู่อย่างเดียวว่านั่นก็คือ การฝึกซ้อม และการได้กลายเป็นใครสักคนในกีฬาที่ผมรักเสมอมา ทั้งตอนที่อยู่ ลาซิโอ้ หรือกับ ทีมชาติเยอรมนี"

โคลเซ่ เล่าอีกว่า "หลังจากซ้อมเสร็จ ผมเอาตัวเองไปแช่ในอ่างที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอาการบาดเจ็บ แต่พวกดาวรุ่งในทีมเลือกปฏิเสธที่จะทำแบบนั้น”

เขาเล่าต่อด้วยว่า "ตอนนั้นพวกเขาเห็นผมหยิบถุงใส่ลูกบอลและเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ หลังจบการฝึกซ้อม พวกเขาก็ถามผมว่า 'ใครเป็นคนบอกให้คุณทำแบบนั้น?'"

"ณ ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่า ‘เอ็งอายุ 20 ปีแล้วนะ เอ็งไม่คิดจะช่วยเหลือคนงานอายุ 60 ปีกันเลยเหรอวะ?'"

"ดาวรุ่งเหล่านี้สนใจว่ารองเท้าสตั๊ดที่ใส่จะเข้ากับถุงเท้าของทีมหรือไม่ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเลิกเล่น นี่ไม่ใช่ฟุตบอลที่ผมรู้จักอีกต่อไปแล้ว" โคลเซ่ กล่าวและว่า...

"นักเตะอายุน้อยในปัจจุบันต่างก็คิดถึงเรื่องการมีรถขับเป็นอันดับแรก, สัญญาส่วนตัวกับสปอนเซอร์ และ รองเท้าคู่ใหม่ นี่คือเรื่องทั้งหมดที่พวกเขาสนใจก่อนจะมาถึงเรื่องฟุตบอล ... สำหรับพวกเขาภาพลักษณ์คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่สำหรับผมสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอก็คือ 'ฟุตบอล' ในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด"

โดยสรุปแล้ว สิ่งที่ทำให้ยอดตำนานอย่าง มิโรสลาฟ โคลเซ่ เลือกปิดฉากเส้นทางค้าแข้งกับ ลาซิโอ้ เมื่อปี 2016 ไม่ใช่อายุอานามที่แตะหลัก 36-37 และไม่ใช่ความอิ่มตัวบนเส้นทางอาชีพกว่า 17 ปี แต่เป็นความคิดความหมกมุ่นของเด็กคนใหม่ที่ทำให้ฟุตบอลที่เขารัก กลายเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักอีกต่อไป

แม้ มิโรสลาฟ โคลเซ่ จะไม่ใช่กองหน้าระดับหัวแถวในยุคสมัยของเขา เพราะมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและไม่ดีในทุกๆ ที่ๆ เขาไป ไม่ว่าจะทั้งที่ ไกเซอร์สเลาเทิร์น, แวร์เดอร์ เบรเมน, บาเยิร์น มิวนิค ตลอดจนกับ ลาซิโอ้ แต่แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จักเขา หรือตั้งข้อกังขาในฝีเท้าของเขาอย่างแน่นอน

ยิ่งกับทีมชาติเยอรมนีด้วยแล้ว เขาคือ ดาวยิงระดับตำนาน โดยเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่ทำประตูได้มากที่สุดตลอดกาลบนเวทีระดับ 'ฟุตบอลโลก'

...และทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้ มิโรสลาฟ โคลเซ่ ก้าวมาอยู่ในจุดๆ นั้นได้ ก็มาจากสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด นั่นก็คือ การมีวินัยกับตัวเอง และมองว่า 'ฟุตบอล' นั้นสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด

‘ซูซูกิ’ แจงด่วน เพื่อสยบข่าวลือ สร้างความเชื่อมั่นให้ ‘ลูกค้า’ ยัน!! ไม่มีการปิดตัว ย้ำ!! มีแผนจะเปิดตัวรุ่นใหม่ ในปี 2568

(18 พ.ค. 67) จากกรณีมีข้อความที่ชาวเน็ตแชร์สนั่นในโลกออนไลน์ ระบุว่า ค่ายรถญี่ปุ่นชื่อดัง Suzuki เตรียมจะปิดตัวในไทย จนหลายเพจได้มีการนำข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่เป็นวงกว้าง ส่งผลให้ลูกค้าที่ใช้บริการรถยนต์ของค่ายซูซูกิอยู่นั้น เกิดความกังวลอย่างมาก  

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ล่าสุดทางด้านเพจเฟซบุ๊ก Suzuki Motor Thailand ได้มีการออกมาชี้แจง โดยระบุข้อความว่า …

ตามที่มีกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียที่ได้พาดพิงและกล่าวถึงการดำเนินงานของบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงและขอยืนยันว่า บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และมีแผนในระยะยาวที่จะแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ในปี 2568 และในปีถัด ๆ ไป ตามแผนงานธุรกิจ ที่ได้มีการประกาศต่อผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศเมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา รวมถึงบริษัทฯ มีแผนงานในการพัฒนาผู้จำหน่ายเพื่อให้มีมาตรฐานการขายและการให้บริการหลังการขาย ที่จะสามารถสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าคนไทยได้ต่อไป 

บริษัทฯ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและเป็นลูกค้าซูซูกิเสมอมา

‘ทหารอาสาสมัครจากตะวันตก’ เข้าร่วมสู้รบต่อต้าน ‘รัฐบาลทหารเมียนมา’ อ้าง!! ได้แรงบันดาลใจ จากความกล้าหาญ ของพวกขัดขืนรัฐประหาร

(19 พ.ค.67) เจสัน (ใช้นามแฝงเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย) เป็นอดีตทหารราบที่เคยประจำการในอัฟกานิสถาน ใช้เวลา 8 สัปดาห์ในแนวหน้าทางตะวันออกของพม่า ก่อนเดินทางกลับมาตุภูมิในช่วงปลายเดือนเมษายน เขาให้คำจำกัดความนักรบฝ่ายต่อต้านว่า "พร้อมตายเพื่อเป้าหมาย" และเน้นว่าคนเหล่านี้มีความกล้าหาญเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับความขัดแย้งอื่นๆที่เขาประสบมา

ฝ่ายต่อต้าน ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่างๆนานาและได้รับการสนับสนุนจากอาสาสมัครต่างประเทศบางส่วน สู้รบกับกองทัพพม่ามานานหลายทศวรรษ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ความขัดแย้งได้ขยายวง แผ่ลามสู่ภูมิภาคต่างๆในแถบตอนกลางของประเทศ ในขณะที่กองทัพ ซึ่งมีเครื่องบินขับไล่ที่ผลิตโดยรัสเซีย ถูกกล่าวหากระทำการโหดร้ายป่าเถื่อนต่างๆนานา ในนั้นรวมถึงโจมตีไม่เลือกหน้าและเผาหมู่บ้าน จนถูกสหประชาชาติและกลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งหลายตราหน้าว่าอาจเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม

แม้ใช้ยุทธวิธีโหดเหี้ยมเหล่านี้ แต่คณะรัฐประหารต้องประสบปัญหาในการปราบปรามการลุกฮือ ความเคลื่อนไหวต่อต้านได้ก่อความสูญเสียใหญ่หลวงและรุกคืบด้านดินแดน เบื้องต้นใช้อาวุธดั้งเดิม แต่ตอนนี้มีอาวุธที่ดียิ่งขึ้น สืบเนื่องจากการบริจาคของประชาชน แรงสนับสนุนจากกองทัพชาติพันธุ์ และใช้อาวุธที่ยึดมา

พม่า ไม่ได้พบเห็นการไหลบ่าเข้ามาของอาสาสมัครนานาชาติ อย่างเช่นความขัดแย้งในยูเครนหรือซีเรีย ไม่มีความพยายามอย่างเป็นระบบในการเกณฑ์นักรบต่างแดน และกลุ่มติดอาวุธทั้งหลายในประเทศปฏิบัติการอย่างเป็นอิสระ อย่างไรก็ตามพบเห็นอาสาสมัครอย่าง เจสัน เข้าร่วมสู้รบหลายคน แม้มีความเสี่ยงถูกดำเนินคดีทางกฎหมายในประเทศบ้านเกิดก็ตาม

รายงานข่าวของอัลจาซีราห์ ระบุว่าพบเห็นคลิปวิดีโอและภาพถ่ายของเจสัน กำลังสู้รบเคียงข้างฝ่ายต่อต้านในภาคตะวันออกของพม่า ขณะที่ เจสัน ซึ่งเคยต่อสู้ในยูเครน ตามหลังการรุกรานของรัสเซีย เน้นย้ำว่าเขาไม่ใช่ทหารรับจ้าง แต่ต่อสู้ในเหตุผลที่เขาเชื่อถือศรัทธา "ผมไม่ใช่ทหารรับจ้าง ผมทำมันเพื่อคนที่ผมคิดว่าเป็นฝ่ายถูก"

เจสัน มีแผนที่จะจัดตั้งทีมงานของทหารที่มีประสบการณ์จากสหราชอาณาจักร สหรัฐฯ แคนาดาและออสเตรเลีย สำหรับมอบความช่วยเหลือแก่ฝ่ายต่อต้านทหารพม่า และเป้าหมายของทีมงานนี้ก็คือทำงานอยู่ภายใต้กรอบระบบของฝ่ายต่อต้าน ไม่ใช่จัดตั้งองค์กรแยกตัวออกมา

"เรามีความรู้จาก 4 กองทัพที่ต่างกัน ที่เราสามารถใช้สอนพวกเขา" เขากล่าว "ประสบการณ์คือจุดแข็งที่ผมสามารถช่วยพวกเขา พวกเขาแค่ต้องการมีเสรีภาพและประชาธิปไตย เราไม่ต้องการเป็นคนขาวผู้กอบกู้ ด้วยทีมงานของเรา เราอยากทำงานภายใต้ระบบของพวกเขามากกว่าจัดตั้งองค์กรของเรา เราจะทำมันทั้งหมดอย่างอิสระ"

ในรัฐชิน ติดชายแดนอินเดีย กองกำลังพิทักษ์ประชาชนโซแลนด์ โพสต์ภาพอาสาสมัครต่างชาติ 1 คน ได้แก่ อาซาด จากทางใต้ของสหรัฐฯและอีกคนเป็นชาวสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ อาซาด ไม่ได้มีภูมิหลังด้านการทหาร แต่เคยสมัครใจร่วมสู้รบร่วมกับกองกำลังวายพีจี ที่นำโดยเคิร์ด ในซีเรีย เขาทำหน้าที่สอนพลซุ่มยิงและหลักสูตรทหารราบ และเขามองว่าการปฏิวัติพม่าคือส่วนหนึ่งในความพยายามของโลก ไม่ต่างจากการสู้รบในซีเรียและการป้องกันตนเองของยูเครน จากการรุกรานของรัสเซีย

รายงานข่าวระบุว่ากลุ่มมนุษยธรรมคริสเตียน Free Burma Rangers (FBR) ก็มีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งเช่นกัน โดบมอบความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลและสิ่งของบรรเทาทุกข์แก่ชุมชนต่างๆที่ต้องไร้ถิ่นฐาน ท่ามกลางเหตุล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆนานา ทั้งนี้แม้เป็นองค์กรช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ แต่พบเห็นสมาชิกของ FBR ติดอาวุธเพื่อการคุ้มกันด้วย

ในส่วนของรัฐบาลพม่า ได้เสริมความเข้มแข็งแก่กองทัพ ด้วยแรงสนับสนุนจากต่างชาติ โดยในเดือนเมษายน พวกเจ้าหน้าที่เดินทางเยือนรัสเซียและจีน เพื่อจัดซื้อโดรนสู้รบ ในขณะที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการกองทัพ พบปะกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และเจ้าหน้าที่รัสเซีย ณ พิธีสวนสนามของกองทัพพม่า ท่ามกลางรายงานข่าวว่าครูฝึกทหารรัสเซียได้ช่วยฝึกฝนทหารพม่าในการใช้อาวุธรัสเซีย แม้ไม่มีข้อมูลยืนยันในเรื่องนี้

ผู้บัญชาการฝ่ายต่อต้านในเมืองเพคง ในรัฐฉาน ทางใต้ของพม่า อ้างว่าได้ยินข่าวว่าพบเห็นพวกครูฝึกทหารรัสเซียอยู่ใกล้ๆแนวหน้า แม้คำยืนยันเกี่ยวกับการพบเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ 4 เดือนก่อน และว่ากันว่าครูฝึกเหล่านั้นได้อพยพออกมาแล้ว ท่ามกลางการโจมตีอันดุเดือด

‘เศรษฐา’ พอใจหลังผลสอบตัวอย่าง ‘ข้าว 10 ปี’ ไม่มีสารก่อมะเร็ง เชื่อ!! น่าจะขายได้ในราคาที่เหมาะสม ตามกลไกของตลาด

(19 พ.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังผลตรวจสอบตัวอย่างข้าว 10 ปีที่ส่งตรวจจากห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่พบสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง(อะฟลาท๋อกซิน) และไม่มีสารปนเปื้อนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อการบริโภค ว่า อย่างที่เคยบอกไว้ว่า รัฐบาลต้องการให้หน่วยงานที่เป็นกลาง ซึ่งสามารถเข้ามา ตรวจสอบได้ ในส่วนของข้าว เหมาะสมที่จะมีการขายหรือเปล่า และเรื่องการตรวจสอบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในฐานะที่เราเป็นผู้ขาย และหากผู้ซื้อต้องการจะตรวจสอบเราก็พร้อม ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ข้าวยังไม่เสียและไม่มีสารปนเปื้อนจะสามารถทำราคาขึ้นได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดี

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผลวิจัยออกมาเช่นนี้ถือเป็นการขจัดข้อสงสัยจากหลายๆฝ่ายได้ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็หวังจะเป็นเช่นนั้นถ้าไม่มีอคติ เมื่อคนกลางเข้ามาพิสูจน์ทราบแล้วว่าไม่มีเชื้ออะฟลาท็อกซิน ก็น่าจะขายได้ในราคาที่เหมาะสม ตามกลไกของตลาด 

เมื่อถามว่านายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานหรือไม่ว่าจะเปิดประมูลได้เมื่อไหร่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับขั้นตอน ผึ้งขั้นแรกจะต้องมีการพิสูจน์ก่อน ว่าไม่มีสารอะฟลาท็อกซินและเชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์เร่งขายอยู่แล้ว

มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้รายการข่าว 3 มิติ เผยผลการทดสอบตัวอย่างข้าวสาร 2 โกดังในโครงการรับจำนำข้าว จังหวัดสุรินทร์ดังกล่าวแล้วว่า ไม่พบสารพิษจากเชื้อราที่ทำให้เป็นมะเร็ง หรือสารอะฟลาท็อกซิน และไม่พบสารตกค้างจากการใช้ยารมควัน

ขณะที่นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ผ่านแอพพลิเคชั่น X โดยนำผลที่ข่าว 3 มิติรายงาน เทียบกับข่าวจากช่อง ONE  พร้อมระบุว่า “รอดูผลการตรวจอย่างเป็นทางการจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อีกครั้งครับ คาดว่าจะออกมาในวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคมนี้”

‘นิด้าโพล’ ชี้ ปชช. หนุนกัญชาเป็น ‘ยาเสพติด’ ย้ำ!! ควรใช้เพื่อ ‘การแพทย์-รักษาโรค’ เท่านั้น

(19 พ.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กัญชาเป็นยาเสพติด?” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดของรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับกัญชาเป็นยาเสพติด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 53.74 ระบุว่า เป็นยาเสพติดแต่ก็มีประโยชน์ รองลงมา ร้อยละ 33.59 ระบุว่า เป็นยาเสพติดและไม่มีประโยชน์ใด ๆ ร้อยละ 11.60 ระบุว่า ไม่เป็นยาเสพติด และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่แน่ใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการกำหนดนโยบายกัญชาของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 74.58 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาโรค รองลงมา ร้อยละ 19.39 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรออกนโยบายใด ๆ เพื่อสนับสนุนกัญชา/ผลิตภัณฑ์กัญชา ร้อยละ 10.53 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนการสร้างผลิตภัณฑ์กัญชาที่ถูกกฎหมาย ร้อยละ 7.40 ระบุว่า เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 3.21 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนความบันเทิงในสังคม เช่น การเสพกัญชาได้ถูกต้องตามกฎหมาย การมีบุหรี่กัญชา เป็นต้น และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.38 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 15.27 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 14.50 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 8.93 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาหรือนักธุรกิจกัญชา หากรัฐบาลนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.95 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ใดเลย รองลงมา ร้อยละ 35.03 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาและนักธุรกิจกัญชา ร้อยละ 10.08 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาเท่านั้น ร้อยละ 2.06 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับนักธุรกิจกัญชาเท่านั้น และร้อยละ 5.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชาของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 68.93 ระบุว่า ไม่เคยมีประสบการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับกัญชา ขณะที่ ร้อยละ 31.07 ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา เมื่อพิจารณาตัวอย่างที่ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา (จำนวน 407 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.58 เคยมีประสบการณ์การใช้กัญชาเพื่อประกอบอาหารหรือเครื่องดื่ม รองลงมา ร้อยละ 34.64 ระบุว่า การเสพหรือสูบกัญชา ร้อยละ 22.36 ระบุว่า การใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ร้อยละ 15.97 ระบุว่า การปลูกกัญชา และร้อยละ 0.98 ระบุว่า การแปรรูปผลิตภัณฑ์กัญชาในเชิงพาณิชย์ และการค้ากัญชา ในสัดส่วนที่เท่ากัน

‘หมอธีระวัฒน์’ เผย โควิดหลุดจากแล็บเป็นเรื่องจริง ชี้!! ‘สหรัฐฯ’ พัฒนาเชื้อไวรัสร่วมกับ ‘สถาบันวิจัยอู่ฮั่น’

(19 พ.ค.67) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์พิเศษสาขาประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ว่า ความชั่วปรากฏ พฤษภาคม 2024 ความจริงปรากฏชัดจากที่ถูกป้ายสี ‘โควิดมาจากห้องแล็บ (lab leak)’ ว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องจริง

และเปิดเผยการปฏิบัติอย่างโหดเหี้ยม ของผู้ที่เป็นหัวหน้าองค์กร เช่น NIH Francis Collins (นายฟรานซิส คอลลินส์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health) ของสหรัฐอเมริกา) ที่ abuse ใช้อำนาจในทางที่ผิดในสหรัฐ ทำลายนักวิทยาศาสตร์ที่เสนอหลักฐานของกำเนิดโควิดจริงๆ

และทั้งนี้ยังมีโขลงของผู้มีอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้ง Fauci (นายแอนโทนี เฟาซี อดีตหัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านการสาธารณสุข ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19) และกลุ่มที่บิดเบือน รวมไปถึงหัวหน้า CDC ซึ่งหน่วยงานของสหรัฐ NIH CDC USAID DARPA ผ่านเงินทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลงมาที่ตัวกลาง Eco Health Alliance ของ Peter Daszak และทำการวิจัยและพัฒนาไวรัสโควิดกับสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น จนสำเร็จก่อนที่จะเกิดระบาดโควิดในปลายปี 2019 รวมทั้ง NIH ถือสิทธิบัตรครอบครองวัคซีนโควิดก่อนหน้าปี 2018 ด้วยซ้ำ

15 พฤษภาคม 2024 องค์กร Eco Health Alliance ถูกตัดสินจากหลักฐานที่รัฐสภาสืบสวนสอบสวนมาตลอด ยุติเงินทุนที่ได้รับที่นำไปใช้สำหรับตัวเองและส่งผ่านไปให้องค์กรอื่นและประเทศอื่นเก็บไวรัสจากสัตว์ป่าและรายงานข้อมูลมาเพื่อสร้างไวรัสใหม่ และอยู่ในกระบวนการที่องค์กรนี้จะถูกเพิกถอนสิทธิ์ (disbarment)

คนอื่นๆ ที่เป็นตัวการในเรื่องนี้กำลังถูกทยอยจัดการตามลำดับ และใครที่รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตหลาย 10 ล้านคนทั่วโลก และยังเกี่ยวโยงไปถึงวัคซีนโควิดและการปกปิดผลกระทบผลข้างเคียงของวัคซีน

จับตาดูองค์กรใหญ่และหน่วยงานโรงเรียนแพทย์สถาบันในประเทศไทยที่รับเงินทำธุรกิจข้ามชาติจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ทั้งๆ ที่รู้ถึงเรื่องเหล่านี้และอันตรายที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะขึ้นถ้ายังคงทำต่อ แต่เห็นแก่เงินเป็นสรณะ

องค์กรและบุคคลต่างๆ เหล่านี้จะเป็นกลุ่มเดียวกันที่พยายามปิดบังผลกระทบของวัคซีนที่ทำให้ตายและพิการและมีผลในระยะยาว

หลักฐานที่นำมากล่าวนี้มีมากมายและเป็นบันทึกของรัฐสภาสหรัฐฯ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top