Wednesday, 15 May 2024
TheStatesTimes

'ศาลฯ' ยกฟ้อง!! 'พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ - บิ๊กต่อ' พร้อมทีมสอบสวนคดี ตร.เอี่ยวเว็บพนันออนไลน์ หลัง 'เขมรินทร์' นายตำรวจคนสนิท 'บิ๊กโจ๊ก' ยื่นฟ้อง ชี้!! ไม่มีพยานหลักฐานว่ากระทำผิด

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ยกฟ้อง ชั้นตรวจฟ้อง ‘ธนา ชูวงศ์’ กับตำรวจ 244 นาย ชุดพนักงานสอบสวนคดี ตำรวจพัวพันเว็บพนัน หลัง ‘เขมรินทร์ พิสมัย‘ ตำรวจลูกน้อง ’บิ๊กโจ๊ก‘ ยื่นฟ้อง ชี้ ที่โจทก์อ้างไม่ได้ทำผิด เป็นข้อต่อสู้ในคดี ไม่ใช่เหตุนำมาฟ้องจำเลยกับพวก ระบุ การขอออกหมายจับ ไม่ระบุอาชีพ-ยศ-ตำแหน่ง ไม่ใช่สาระสำคัญ

เมื่อวันที่ 27 มี.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ศาลอ่านคำพิพากษาในชั้นตรวจฟ้อง คดีที่ อท.244/2566 ที่พันตำรวจเอกเขมรินทร์ พิสมัย เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.กับชุดพนักงานสอบสวน รวม 244 คน (มีพล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ และ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล อยู่ด้วย) เป็นจำเลย ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ, รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ, พยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาอย่างใดเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริงฯ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 91,157, 162 (4), 179, 200 พรป. ป.ป.ช.พ.ศ. 2561 มาตรา 4, มาตรา 172

ประเด็นวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งหมด ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, จำเลยที่ 2 เป็นผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, จำเลยที่ 3 เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, จำเลยที่ 4 เป็นผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี รักษาราชการแทนผู้บัญชาการ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ, จำเลยที่ 5 เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รักษาราชการแทนจเรตำรวจ, จำเลย ที่ 6 เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, จำเลยที่ 7 เป็นผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ, จำเลยที่ 8 เป็นรองผู้บัญชาการ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ, จำเลยที่ 9 เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, จำเลยที่ 10 เป็นผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2, จำเลยที่ 11 เป็นผู้บังคับการปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, จำเลยที่ 12 เป็นผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ, จำเลยที่ 13 เป็นผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 5, จำเลย ที่ 14 เป็นผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1, จำเลยที่ 15 เป็นสารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี 

โดย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ที่ 11 และที่ 16 ถึงที่ 105 เป็นพนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 593/2566 ภาคผนวก ก, จำเลยที่ 106 ถึงที่ 242 เป็นคณะพนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 593/2566 ภาคผนวก ข, จำเลยที่ 243 เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจำเลยที่ 244 เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 244 จึงเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 

ประเด็นวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำความผิด โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 4 ที่ 8 ที่ 106 และที่ 108 สั่งการให้จำเลยที่ 205 ที่ 192 ที่ 176 ที่ 180 ที่ 182 ที่ 181 ที่ 224 ที่ 172 ที่ 188 ที่ 187 ที่ 152 และที่ 242 ร่วมกันจับกุมโจทก์กับพวก 

โดยจำเลยที่ 4 สั่งการให้จำเลยที่ 60 และที่ 192 ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ขอออกหมายจับโจทก์กับพวก โดยปกปิดไม่ระบุอาชีพ ยศ และตำแหน่ง, จำเลยที่ 60 ลงลายมือชื่อในคำร้องขอออกหมายจับโดยไม่มีอำนาจ และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่า โจทก์กับพวกมีพฤติการณ์หลบหนีและยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน, จำเลยที่ 8 ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอออกหมายค้นบ้านพักของโจทก์กับพวก และพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล เป็นเหตุให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, จำเลยที่ 29 นำตัวโจทก์ไปฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ในเวลาใกล้ปิดทำการ และคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว 

โจทก์กับพวก ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับจำเลยที่ 244 เพื่อเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวน แต่จำเลยที่ 244 เพิกเฉย ต่อมาคณะพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่โจทก์กับพวกโดยมิได้มีพยานหลักฐานใหม่ จึงเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาที่มิชอบ และขัดแย้งกับข้อกล่าวหาเดิม กับเป็นข้อกล่าวหาที่ซ้ำซ้อน ทำให้โจทก์กับพวกหลงต่อสู้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ที่ 11 ที่ 16 ถึงที่ 105 ร่วมกันทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อปรักปรำโจทก์กับพวก 

เห็นว่า ที่โจทก์อ้างว่า ไม่ปรากฏหลักฐานการกระทำความผิด การแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมไม่ชอบ มีการปรุงแต่งเรื่องราวนำมากล่าวหาโจทก์กับพวก ล้วนแต่เป็นข้อต่อสู้ที่โจทก์ต้องนำไปพิสูจน์ว่าโจทก์กับพวกมิได้กระทำความผิด มิใช่ข้อที่จะนำมาฟ้องจำเลยกับพวกในคดีนี้ และการวินิจฉัยสั่งคดีของพนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวนนี้มิใช่การวินิจฉัยว่าจำเลย (โจทก์คดีนี้) มีความผิดหรือเป็นผู้บริสุทธิ์ดังเช่นกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ทั้งเป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวนที่จะเรียกบุคคลใดมาเป็นพยานหรือไม่ก็ได้ หรือจะรวบรวมหรือไม่รวบรวมพยานหลักฐานใดเข้าไว้ในสำนวนการสอบสวนก็ได้ และการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมนั้นหมายความว่า ข้อกล่าวหาเดิมยังคงอยู่ มิใช่ต้องตกไปเพราะพยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ตามที่โจทก์เข้าใจ ส่วนที่ข้อกล่าวหาเดิมจะขัดแย้งหรือซ้ำซ้อนกับข้อกล่าวหาใหม่หรือไม่ ก็เป็นข้อกฎหมายที่ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัย 

สำหรับการยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายจับและหมายค้น ต่างศาลกัน เป็นเพราะศาลที่มีอำนาจออกหมายจับ คือศาลที่มีเขตอำนาจชำระคดีหรือศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการจับ ส่วนศาลที่มีอำนาจออกหมายค้น คือศาลที่มีเขตอำนาจเหนือท้องที่ที่จะทำการค้น 

ส่วนการยื่นขอออกหมายจับโดยไม่ระบุอาชีพ ยศ และตำแหน่ง ในหมายจับนั้น เห็นว่า ยศของข้าราชการตำรวจเป็นเพียงการแสดงถึงจำนวนปีที่รับราชการเท่านั้น อีกทั้งฐานความผิดที่ระบุในหมายจับ ก็เป็นฐานความผิดที่ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กับทั้งการที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ จะพิจารณาออกหมายจับตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานของผู้ร้องที่เสนอมาตามสมควร ซึ่งเป็นสาระสำคัญยิ่งกว่าการระบุยศ ตำแหน่ง หรืออาชีพ ที่มิได้เกี่ยวข้องกับฐานความผิด ดังได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น ส่วนจำเลยที่ 60 ที่มียศร้อยตำรวจเอก จึงเป็นการลงชื่อในคำร้องขอออกหมายจับที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว  

สำหรับการนำตัวโจทก์กับพวกไปฝากขังต่อศาลในเวลาใกล้ปิดทำการ การคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว และเหตุอื่นๆ ที่เกี่ยวกับคำร้องขอฝากขังนั้น 

เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว กรณีจึงไม่ใช่เหตุถึงขนาดที่จะฟังว่าจำเลยกับพวกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย 

การยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อจำเลยที่ 244 (พล.ต.อ.ต่อศักดิ์) เพื่อเปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวนนั้น โจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่า จำเลยที่ 244 ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการอย่างใดในหน้าที่ อันจะแสดงให้เห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 

ส่วนข้อกล่าวอ้างอื่นๆ ได้แก่ การค้นบ้านพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ เป็นเหตุให้ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ดี การโอนคดีไปอยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ก็ดี และการนำพยานหลักฐานเดิมมาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ก็ดี ล้วนแต่เป็นเพียงมูลเหตุจูงใจที่ลำพังไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยกับพวกกระทำความผิดตามฟ้อง 

พิพากษายกฟ้อง!!

นราธิวาส-องคมนตรี ลงพื้นที่ติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส

 

วันนี้ (27 มี.ค. 67)  เวลา 10.00 น. พลเอก กัมปนาถ รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมด้วย พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี รองประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการฯ เดินทางมาติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ณ สำนักชลประทานที่ 17 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมืองนราธิวาส โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมต้อนรับฯ

ต่อมา พลเอก กัมปนาถ รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมด้วย พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี  รองประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคใต้ เข้าร่วมประชุมติดตามการดำเนินงานโครงการฝายทดน้ำคลองตะโละบาลอ  พร้อมระบบส่งน้ำและโครงการฝายทดน้ำคลองบาโร๊ะยางอ พร้อมระบบส่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลลุโบะสาวอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส พร้อมรับฟังรายงานสถานการณ์อุทกภัยและแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นผู้รายงาน ต่อมา นายวิวัธน์ชัย คงลำธาร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา กรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำและการบริหารการจัดการน้ำฤดูแล้ง ปี 2566/2567 และนายพีรพัฒน์ วรธรรม ผู้อำนวยการส่วนแผนงาน รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 17 รายงานสรุปโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ ห้องประชุม SWOC 1-2 อาคารศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ สำนักงานชลประทานที่ 17 ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมืองนราธิวาส 

ในช่วงบ่าย ตั้งแต่เวลา 13.30 น. พลเอก กัมปนาถ รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมด้วย พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี รองประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคใต้ได้ลงพื้นที่ ติดตามผลการดำเนินงาน โครงการฝายทดน้ำคลองตะโละบาลอ พร้อมระบบส่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านตะโละมาเนาะ หมู่ที่ 1 ตำบลลุโบะสาวอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส พร้อมรับฟังบรรยายสรุปภาพรวมและติตตามผลการดำเนินงานโครงการฯ และการบรรยายสรุปการบริหารจัดการน้ำของโครงการฯ หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมสภาพพื้นที่โครงการฯ พร้อมพบปะราษฎรผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ ด้วย

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากนายมูฮัมหมัดรอซากี เจ๊ะอูเซ็ง ราษฎรบ้านตะโละมาเนาะ หมู่ที่ 1 ตำบลลุโบะสาวอ อำเภอบาเจาะ ได้มีหนังสือขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานโครงการก่อสร้างฝายทดน้ำพร้อมระบบประปาภูเขา เพื่อช่วยเหลือราษฎร หมู่ที่ 1,4 และหมู่ที่ 5 ตำบลลุโบะสาวอ แก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการก่อสร้างฝายทดน้ำคลองตะโละบาลอฯ และโครงการก่อสร้างฝายทดน้ำคลองบาโร๊ะยางอฯ ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2562 เพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนให้แก่ราษฎร หมู่ที่ 1,4 และหมู่ที่ 5 ตำบลลุโบ๊ะสาวอ กว่า 475 ครัวเรือน ได้มีน้ำใช้ในการอุปโภคบริโภค และการเกษตรได้ตลอดทั้งปี อันจะส่งผลให้ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนเป็นการวางรากฐานที่จะนำไปสู่การสร้างระบบสาธารณูปโภคให้กับชุมชนในอนาคตอีกด้วย

‘พีระพันธุ์’ มอบนโยบาย กฟผ. ย้ำ!! แม้ไม่ใช่ข้าราชการ 100% แต่ต้องยึดประโยชน์ของชาติและประชาชนสำคัญเหนืออื่นใด

เมื่อวานนี้ (27 มี.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ได้เดินทางไปเยี่ยมชมการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ณ สำนักงานกลาง กฟผ. และมอบนโยบายแก่คณะกรรมการ กฟผ. และผู้บริหารระดับสูง ในการดูแลระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองและประชาชนเป็นสำคัญ

“มันก็จะเป็นประวัติของพวกเราเองว่า เราได้ทําหน้าที่ให้กับพี่น้องประชาชน เราได้ทําหน้าที่ให้กับบ้านเมืองแล้ว เราเป็นรัฐวิสาหกิจ เราไม่ใช่ข้าราชการ 100% แต่ภารกิจหน้าที่ก็ไม่ได้ต่างกัน นั่นคือทําเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ เราเป็นผู้ที่ต้องแบก ผมเข้าใจว่าในการบริหารองค์กรแบบนี้ท่านต้องเอาองค์กรให้รอดด้วย แต่อย่าลืมว่าเหนือสิ่งอื่นใดคือประโยชน์ของประชาชน ของประเทศชาติ เราต้องแบก” นายพีระพันธุ์กล่าว

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ยังได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Forecast Center: REFC) และศูนย์ควบคุมการตอบสนองด้านโหลด (Demand Response Control Center: DRCC) ก่อนเดินทางด้วยรถบัส EV ไปยังศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ (National Control Center : NCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้โรงไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ รวมถึงสถานีไฟฟ้าแรงสูงที่ตั้งกระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติงานเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ดีอี-ตำรวจไซเบอร์ จับกุมเว็บพนันออนไลน์ พบเงินหมุนเวียนกว่า 500 ล้านบาท

พร้อมทลายแหล่งบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ที่จังหวัดชลบุรี พร้อมขยายผลข้ามแดน ควบคุมตัวคนไทย 154 รายในเมียนมา โยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันที่ 27 มีนาคม 2567 นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.ฯ ปฏิบัติราชการ บช. สอท. , พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท. , พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 ร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด โดย นายสุริยน ประภาสะวัต ตําแหน่งอัยการพิเศษ ฝ่ายการสอบสวน 1 , เจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังผาเมือง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ตำรวจภูธรภาค 5 และเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ (AIS) โดย นายศรัณย์ ปรีชา ผู้จัดการฝ่ายกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดย พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมผู้เกี่ยวข้องร่วมแถลงผลการจับกุม “JOINT CYBER OPERATION”  ใน 3 ปฏิบัติการ ดังนี้ 

1. ครั้งแรกเก็บพยานหลักฐานนอกประเทศ ขยายผลข้ามแดนจับกุมคนไทย 154 ราย ถูกควบคุมตัวในเมียนมา โดยได้ประสานความร่วมมือสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานเครือข่ายการพนันออนไลน์ใน จ.ท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารร่วมกับตำรวจสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ได้เข้าปราบปรามบ่อนการพนันออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จ.ท่าขี้เหล็ก โดยจัดตั้งศูนย์สืบสวนสอบสวนและขยายผลการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อร่วมขยายผลเก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ซักถามคัดกรองปากคำบุคคล รวมทั้งการตรวจสอบพยานหลักฐานทางดิจิทัล และรายละเอียดต่าง ๆ สำหรับแนวทางการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน หลังจากได้รับโทษตามกฎหมายแล้ว จะส่งตัวกลับมาดำเนินนคดีในประเทศไทย

2. ทลายแหล่งลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ ใกล้สถานศึกษาดัง จ.ชลบุรี โดยเข้าตรวจค้นและจับกุมตัว นายหัถตชัยฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ได้ที่บ้านไม่มีเลขที่ ต.หนองชาก อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า รวม 370 ชิ้น มูลค่าของกลางประมาณ 50,000 บาท พร้อมขยายผลการจับกุมถึงแหล่งที่มา จุดกระจายสินค้า และผู้ทำหน้าที่ค้าส่งหรือส่งสินค้าในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จึงขออนุมัติหมายจับและหมายค้นนายรัชชานนท์ฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี โดยเป็นผู้จำหน่ายและผู้จัดส่งบุหรี่ไฟฟ้า และน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยจะเป็นแหล่งเก็บ ซุกซ่อนและจําหน่าย บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 2 จุด 

โดยจุดที่ 1 ภายในซอยบางทราย 63 หมู่ที่ 5 ต.บางทราย อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสถานที่เก็บ ซุกซ่อน สถานที่แพ็คของ จากการตรวจค้นพบนายรัชชานนท์ฯ อายุ 25 ปี แสดงตนเป็น ผู้ดูแล/เจ้าของบ้าน ตรวจยึดของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 12 ชิ้น คิดเป็นมูลค่า 1,560 บาทและอุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และ จุดที่ 2 ในพื้นที่ ต.แสนสุข อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสถานศึกษาชื่อดังของจังหวัดชลบุรี เพียง 300 เมตร ตรวจยึดของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า น้ำยา บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวนกว่า 5,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,000,000 บาท 

ทั้งนี้ ขอแจ้งเตือนผู้บริโภคและประชาชนว่า การจำหน่าย ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า การลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า เป็นความผิดตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองที่ 9/2558 เรื่อง  “ห้ามขายหรือห้ามให้บริการบารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้าหรือน้ำยาเติมบุหรี่ไฟฟ้า” มีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มีโทษจำคุกไม่ เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย หรือรับไว้โดยประการใดโดยยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร โดยถูกต้อง ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง ของ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคา สินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. จับกุมเครือข่ายพนันออนไลน์ slotpgthai.net และ uwin9.com พบเครือข่ายที่เกี่ยวข้องรวม 25 เครือข่าย ตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง มูลค่ากว่า 18 ล้านบาท พบยอดเงินหมุนเวียนเดือนละกว่า 500 ล้านบาท โดยได้ตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหารวม 7 ราย กลุ่มผู้รับ ผลประโยชน์จำนวน 1 ราย กลุ่มผู้ดูแลการเงิน 1 ราย และบัญชีม้า 5 ราย ทั้งนี้ยังตรวจสอบพบเครือข่ายพนัน อื่น ๆ รวม 25 เครือข่าย มีสมาชิกผู้เล่นกว่า 200,000 คน โดยดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันเอาทรัพย์สินกันทาง อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน” 

ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยได้ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านความมั่นคงระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติบริเวณชายแดน ในการดำเนินการขยายผลจับกุมทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนันออนไลน์ ซิมผี บัญชีม้า  โดยตั้งแต่ 1 ต.ค. 66 - 5 มี.ค. 67 กระทรวงดีอีดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์เกี่ยวกับพนันออนไลน์ จำนวน 25,571 รายการ  เพิ่มขึ้น 13 เท่าตัวจาก 2,059 เว็บ ในช่วงเวลาเดียวกันปี 2566 เพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน ในการตรวจสอบ ระงับ ยับยั้ง หากประชาชนมีข้อสงสัย สามารถโทรปรึกษาสายด่วน AOC 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 

เปิดตัวงานโครงการ 'CHUMPHON COFFEE Festival' โครงการเพิ่มศักยภาพกาแฟโรบัสต้าสู่ตลาดสากล

กิจกรรมหลัก เพิ่มศักยภาพกาแฟโรบัสต้าจังหวัดชุมพรสู่ตลาดสากลกิจกรรมย่อย จัดงานแสดง/จำหน่ายสินค้าและการเจรจาธุรกิจ ปีงบประมาณ ๒๕๖๗
ระหว่างที่ ๒๗ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๐.๐๐ น. - ๒๒.๐๐ น.
ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น G เซ็นทรัลปิ่นเกล้า จังหวัดกรุงเทพมหานคร

ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร (นายวิสาห์ พูลศิริรัตน์) นางสาวยุพาพร สวัสดี พาณิชย์จังหวัดชุมพร นำทีมพาณิชย์จังหวัดชุมพร เปิดตัวงานโครงการ 'CHUMPHON COFFEE Festival' โครงการเพิ่มศักยภาพกาแฟโรบัสต้าสู่ตลาดสากล กิจกรรมหลัก เพิ่มศักยภาพกาแฟโรบัสต้าจังหวัดชุมพรสู่ตลาดสากล กิจกรรมย่อย จัดงานแสดง/จำหน่ายสินค้าและการเจรจาธุรกิจ ปีงบประมาณ ๒๕๖๗  เป็นโครงการที่กลุ่มส่งเสริมประกอบธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย ให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดชุมพร ดำเนินการ ผลักดัน กาแฟโรบัสต้า กาแฟภาคใต้ กาแฟชุมพร ผลิตภัณฑ์กาแฟปรุงแต่ง กาแฟพร้อมดื่ม และ ส่งเสริมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการจังหวัดชุมพร ให้มีศักยภาพในด้านการค้าการตลาด ทั้งนี้ เพื่อเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ให้ได้มีช่องทางการการเลือกซื้อสินค้า กาแฟโรบัสต้า ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมไปถึงสินค้า อุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันในราคาจากผู้ผลิต เกษตรกร ผู้ประกอบการจากจังหวัดชุมพร เองโดยตรง รวมถึงเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการได้อีกช่องทางหนึ่ง

การดำเนินโครงการ “โครงการเพิ่มศักยภาพกาแฟโรบัสต้าสู่ตลาดสากล” กิจกรรมหลัก เพิ่มศักยภาพกาแฟโรบัสต้าจังหวัดชุมพรสู่ตลาดสากล ภายใต้ชื่องาน “CHUMPHON COFFEE Festival” จัดจำนวน 5 วัน ระหว่างวันที่ 27 – 31 มีนาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น. โดยมีรายละเอียด ดังนี้

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม 2567 และ วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 12.00 น. กิจกรรมเจรจาธุรกิจการค้ารูปแบบออนไลน์ OBM (Online Business Matching) ทั้งตลาดในไทยและตลาดต่างประเทศ อาทิ TFW GuangZhou TaiFlavor Trading Co.,ltd. กว่างโจ่ว ประเทศจีน ซุปเปอร์มาร์เกตพาเดสโก้ ปาร์คสัน เวียงจันทน์ ประเทศ สปป.ลาว ซุปเปอร์มาร์เกต เจ มาร์ท เวียงจันทน์ ประเทศ สปป.ลาว บริษัท ปตท. น้ำมันและค้าปลีก จำกัด (มหาชน) คาแฟ่อเมซอน และ บริษัท อโนมา กรุ๊ป จำกัด คาแฟ่ บอน อโนมา เป็นต้น และกิจกรรมส่งเสริมการขายตลอดทั้งวัน

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 14.00 - 15.00 น. พบกับ Influencer Channel หลากฉี (นายพงษ์เทพ บุญกลุ้ม) - Live สด Online - ประชาสัมพันธ์งาน 'CHUMPHON COFFEE Festival' กรรมการตัดสินการแข่งขันในครั้งนี้ (นายศักดิ์ชัย นุ่นหมิ่น) Q GRADER ผู้ประเมินคุณภาพกาแฟโรบัสต้า ภาคใต้

วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 17.00 - 18.00 น. กิจกรรมส่งเสริมการขาย ภายใต้ชื่อกิจกรรม “ซื้อเป็นล็อต แจกเป็นโหล” โปรโมชั่นนาทีทอง ส่งเสริมทั้งผู้ซื้อและผู้บริโภค      

โดยการจัดงานในครั้งนี้เรามีผู้ประกอบการเข้าร่วมงานจากจังหวัดชุมพรจังหวัดระนอง ภาคตะวันออกฉียงเหนือ อาทิเช่น จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดสุรินทร์ รวมทั้งสิ้น 42 ร้านค้า สินค้าแบ่งออกเป็น 7 หมวด ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟ และกาแฟแปรรูป ปรุงแต่ง กาแฟโรบัสต้าสกัดเย็นพร้อมดื่ม 2) เครื่องดื่มแปรรูปจากมังคุด  3) ขนมไทยและขนมเบเกอรี่ 4) ของใช้ประจำวัน 5) เครื่องแต่งกาย 6) สินค้าชำระร่างกาย 7) ยารักษาโรค และ 8) สินค้าเกษตร ต้นกาแฟโรบัสต้า  โดยราคาผู้ผลิต ประชาชนละแวกใกล้เคียง สามารถ จับจ่าย ใช้สอย ได้สมในราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้

- นิยามของโครงการแนวการพัฒนา- “จังหวัดชุมพร มหานครโรบัสต้า” หมายถึง จังหวัดชุมพรมีศักยภาพสูงในการผลิตกาแฟโรบัสต้าแบบครบวงจร ผลผลิตมีคุณภาพได้มาตรฐาน มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของตลาด มีการแปรรูปโดยผู้ประกอบการในจังหวัดมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งระดับชาติและระดับโลก เป็นแหล่งสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับจังหวัดเพิ่มขึ้น ประเด็นการพัฒนาและแนวทางการพัฒนาของจังหวัดชุมพร

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ร่วมงานครบรอบ 107 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ร่วมงานครบรอบ 107 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ ในช่วงหนึ่งนั้นพระองค์ทรงพระราชทานพระราชดำรัสว่า…

"ขอขอบคุณทุกท่าน ที่นอกจากจะมาร่วมงานในวันนี้แล้ว ยังมาร่วมอวยพรวันเกิด เรื่องสุขภาพสำคัญที่สุด ซึ่งเป็นไปตามวัย ขณะนี้ยังเดินไหว แต่เดินเร็วไม่ค่อยดี หมอบอกห้ามล้ม ต้องค่อย ๆ เดิน ทุกคนเป็นกำลังใจให้พยายามรักษาสุขภาพให้ดี เวลานี้มีกิจการงานต่าง ๆ มากขึ้น แต่ความจำไม่ค่อยดี ต้องบันทึกไว้เข้าใจช้า แม้ถึงอายุจะเยอะกันแล้ว แต่ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ รวมทั้งได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ ช่วยเหลือผู้อื่นและตนเอง มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน"

ก่อน 'ก้าวไกล-อนาคตใหม่' จะไปปฏิรูปใคร ต้องรู้จัก 'ปฏิรูป' ตัวเองอย่างถ่องแท้ก่อน

ในยุคที่ผู้คนในสังคมไทยส่วนหนึ่งเข้าใจเพียงแค่ว่า 'ประชาธิปไตย' คือ 'การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร' นั้น... พวกเขากลับไม่สามารถแยกแยะบทบาทหน้าที่ของพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ ไม่รับรู้ว่า ทุก ๆ อารยประเทศประชาธิปไตยบนโลกใบนี้ 'สิทธิ' และ 'เสรีภาพ' ว่าล้วนแล้วแต่มีขอบเขตและข้อจำกัดตามที่กฎหมายของแต่ละประเทศนั้น ๆ กำหนดเอาไว้ทั้งแล้วทั้งสิ้น 

...และนั่นก็ทำให้กลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง มักจะอาศัยช่องโหว่นี้ นำเอาความไม่รู้ไม่เข้าใจของคนไทยส่วนหนึ่งในเรื่องของระบอบการเมืองการปกครองมาหาประโยชน์ ด้วยหวังผลในการแสวงหาอำนาจทางการเมือง จากนิสัยขี้เบื่อง่ายของคนไทย และความอ่อนด้อยในการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่ามาจากเผด็จการ ทั้ง ๆ ที่ 4 ปีหลังนั้นเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามกติกาที่ใช้กับทุกพรรคการเมืองเหมือนกันหมด 

บรรดาความคาดหวัง (ฝัน) ที่คนเหล่านั้นนำมาขายให้ผู้คนในสังคมไทย โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้เท่าทัน หากลองตรองด้วยสติสัมปชัญญะเยี่ยงเช่นวิญญูชนปกติ และได้ลองพิจารณาใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วจะพบว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ในเร็ววันเลย ด้วยเพราะพฤติการณ์และพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งในสังคมไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการแยกแยะ ถูก ผิด ชอบ ชั่ว ดี อยู่ 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ เรื่องของวินัยจราจร บรรดาผู้ที่ใช้รถใช้ถนนต่างเพิกเฉย ละเลย ต่อการปฏิบัติตามกฎจราจร...เรายังพบเห็นผู้ที่ขับขี่จักรยานยนต์ไม่สวมหมวกกันน็อก ขับขี่รถย้อนศร ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร ไม่ข้ามถนนตรงทางข้ามหรือสะพานลอย ไม่ยอมหยุดรถ ให้คนข้ามถนน ฯลฯ 

เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงการปฏิบัติตนตามกฎหมายอันเป็นกติกาพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมอย่างสงบสุข ที่ยังมีคนจำนวนมากไม่ปฏิบัติตาม!!

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นกฎหมายอื่น ๆ อันเป็นกติกาที่มีความสำคัญและจำเป็นในการอยู่ร่วมกันในสังคม ถูกเพิกเฉย ละเลย และฝ่าฝืน รวมทั้งยังมีการด้อยคุณค่าต่อกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อปั่นทอนความเข้มแข็งของสังคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติบ้านเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผ่านกลุ่มที่มักหยิบยกเอาคำว่า 'ปฏิรูป' มาใช้เป็นเครื่องมือจากช่องโหว่ของสังคม

ความหมายของคำว่า 'ปฏิรูป' (Reform) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง...

(1) [-รูปะ-] ว. สมควร, เหมาะสม, เช่น ปฏิรูปเทส คือ ถิ่นที่สมควร หรือ ถิ่นที่เหมาะสม (ป.).
(2) ว. เทียม, ไม่แท้, เช่น มิตรปฏิรูป. (ป.).
(3) [-รูปะ-] ก. ปรับปรุงให้สมควร เช่น ปฏิรูปบ้านเมือง. (ป.).

พรรคก้าวหน้า หรืออดีตพรรคอนาคตใหม่ เป็นพรรคการเมืองที่มักจะนำเอาคำว่า 'ปฏิรูป' มาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรม ทั้ง ๆ ที่บรรดาแกนนำของพรรคของกลุ่มเองก็ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ชอบธรรมให้เห็นจนกระทั่งกลายเป็นคดีความมากมาย หนัก ๆ ก็ถึงขั้นถูกยุบพรรค บรรดาแกนนำถูกตัดสิทธิทางการเมือง ซ้ำยังมีการกระทำความผิดจนเข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จนการกระทำผิดดังกล่าวถูกส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคอีกเป็นครั้งที่ 2

ดังนั้น สิ่งที่บรรดาแกนนำของพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้าซึ่งเป็นอดีตแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ ควรต้องทำก่อน คือ ต้องนำคำว่า 'ปฏิรูป' ซึ่งหมายความว่า 'ปรับปรุงให้สมควร' มาทบทวนปรับใช้กับพรรคการเมืองของตนเองอย่างจริงจัง ด้วยเหตุที่เคยถูกยุบพรรคไปแล้วครั้งหนึ่ง และถูกยื่นยุบพรรคอีกเป็นครั้งที่ 2 

คำถาม? ทำไมบรรดาแกนนำของพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า จึงมิได้ทำการ 'ปรับปรุง' พรรคการเมืองของตนเองให้สมควร หากแต่ยังหมั่นสร้างเหตุให้ถูกยื่นยุบพรรคได้สม่ำเสมอ...เรื่องนี้ยังคิดไม่ตก!!

บ้านเมืองเรา จำเป็นต้องมีกฎหมายอันเป็นกติกา กฎเกณฑ์ ระเบียบปฏิบัติที่ทำให้สังคมซึ่งคนส่วนใหญ่สามารถขับเคลื่อนและดำรงคงอยู่ได้อย่างสงบสุข  โดยไม่ควรมีใครมาอ้างว่า กฎหมายนั้นไม่มีความชอบ แล้วไม่ยอมปฏิบัติตาม เพราะหากสังคมส่วนใหญ่คิดเช่นนั้นแล้ว โลกใบนี้ย่อมจะไม่สามารถแสวงหาความสุขสงบได้อย่างแน่นอน

ในวันนี้ พรรคก้าวหน้า หรืออดีตพรรคอนาคตใหม่ อาจจะยังไม่เข้าใจในนิยามความหมายของคำว่า 'ปฏิรูป' หรือ 'การปรับปรุงให้สมควร' อย่างถ่องแท้ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นนี้แล้วสมควรต้องพยายามทำความรู้จักและหัด 'ปฏิรูป' ตัวเองก่อนจะไปปฏิรูปคนอื่น ๆ ต่อไป 

หากยังคงดื้อดึง หรือ ดึงดันที่จะใช้คำว่า 'ปฏิรูป' ต่อ โดยไม่ใส่ใจที่จะปรับปรุงแก้ไขตน ก็คงต้องเตรียมรับผลกรรมที่จะเกิดขึ้นกับทั้งกับแกนนำ สมาชิก และตัวพรรคเอง ชนิดที่หนีไม่ออก เลี่ยงไม่ได้ และหลบไม่พ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

ยุบแล้ว ยุบอีก ยุบต่อ!!

1ในผลงานของ“พรรคประชาธิปัตย์“

”เฉลิมชัย ศรีอ่อน“หัวหน้าพรรคปชป.หวัง สว.รับไม้ต่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมหลังสภาผู้แทนฯผ่านวาระ3

ทันทีที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. …. หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม วาระที่ 2-3 วันนี้ ( 27 มีนาคม 2567 ) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ควันนี้ว่า "ความรัก" ไม่เลือก "เพศสภาพ" ยินดีผ่านร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ดินแดนที่3 ในเอเชีย ที่ผ่านร่างกฎหมายเฉพาะนี้ ต่อจากนี้...ขอส่งไม้ต่อให้ สว.

"เพศ" ไม่ใช่ตัวกำหนด "ความเท่าเทียม" ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของเราทุกคนเท่ากัน ไม่ว่าจะชาย-หญิง หรือ LGBTQ+ ทุกเพศสมควรที่จะได้มีความรัก และมีโอกาสแสดงความรัก บนพื้นฐานสิทธิของกฎหมายสมรสได้ การหมั้น การแต่งงาน การจดทะเบียนสมรส การจัดการทรัพย์สิน การเซ็นต์อนุญาตเข้ารับการรักษา การเป็นผู้แทนทางอาญา การจัดการมรดก และการรับรองบุตรบุญธรรม รวมทั้งสิทธิประโยชน์ที่คู่สมรสชาย-หญิงทั่วไปได้รับ
ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ที่คู่สมรสทุกคู่ ควรได้รับสิทธิเหล่านี้เท่ากัน ไม่เฉพาะเจาะจง แค่ชาย-หญิงเท่านั้น รวมถึง "บุพการีลำดับแรก" ในกฎหมาย จะมีสิทธิ และหน้าที่เทียบเท่าบิดามารดา หลังจากนี้ หากผ่านขั้นตอนการพิจารณาจากวุฒิสภาแล้ว จึงจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศเป็นกฎหมายต่อไป ปีนี้เราคงได้ใช้กฎหมายฉบับนี้กัน“ สำหรับร่างกฎหมายดังกล่าว ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ได้มีมติเสียงข้างมาก 369 : 10 รับหลักการร่างพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ในวาระแรก จำนวน 4 ฉบับ ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี, พรรคก้าวไกล, พรรคประชาธิปัตย์ และจากภาคประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายกว่า 10,000 คน

โดยมีเหตุผลว่าจากบรรทัดฐานของสังคมไทยในอดีต ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม เกิดการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เพราะไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิสมรสของคู่รักเพศเดียวกัน เช่น สิทธิการตัดสินใจรักษาพยาบาล สิทธิมรดก และสิทธิการจัดการทรัพย์สินร่วมกัน เป็นต้น จึงเชื่อว่า การสมรสเท่าเทียม จะเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมที่จะยอมรับความแตกต่าง ใช้สิทธิทางเพศของตนเองได้อย่างเต็มที่ และเสริมสร้างโอกาส และความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม และในเชิงเศรษฐกิจ จะช่วยสร้างรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ได้ เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทย เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย ที่ได้รายได้จากนักท่องเที่ยวกล่ม LGBTQ+ ในภูมิภาคเอเชียกว่า 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

วช. จับมือ รร.กฎหมายและการเมือง ขับเคลื่อนธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกลไกการจัดการต่อต้านการติดสินบน: กรณีการขอใบอนุญาตการก่อสร้างอาคารของเทศบาลนคร

วันที่ 27 มีนาคม 2567 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จัดการประชุมแผนงานวิจัย เรื่อง “การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกลไกการจัดการต่อต้านการติดสินบน: กรณีการขอใบอนุญาตการก่อสร้างอาคารของเทศบาลนคร” โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ นางสาวสตตกมล เกียรติพานิช ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 2 เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งมี รศ.ดร.ธนภัทร ปัจฉิมม์  คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต / ผู้บริหารจัดการแผนงาน กล่าววัตถุประสงค์การจัดทำแผนงานวิจัย อีกทั้งมีการเปิดตัวแอปพลิเคชันแพลตฟอร์ม ACM Line LIFF และคู่มือแนวทางการจัดการต่อต้านการติดสินบน: กรณีการขอใบอนุญาตก่อสร้าง เสวนาวิชาการในหัวข้อ ธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ธรรมาภิบาลกับการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี: กรณีเทศบาลนคร” จากศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากูล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ณ โรงแรม ทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น

นางสาวสตตกมล เกียรติพานิช ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 2 กล่าวว่า วช. เป็นหน่วยงานที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์งานวิจัยและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์ในทุกมิติ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ทันต่อสถานการณ์โลก โดยมีพันธกิจหลักประการหนึ่ง ในการบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ด้วยยุทธศาสตร์ที่ต้องการจะยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ แบบก้าวกระโดดและอย่างยั่งยืน สำหรับการประชุมการเผยแพร่ผลการดำเนินงานของแผนงานการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกลไกการจัดการต่อต้านการติดสินบน: กรณีการขอใบอนุญาตการก่อสร้างอาคารของเทศบาลนครถือเป็นงานวิจัยที่จะมีประโยชน์อย่างยิ่งในการเป็นส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนเพื่อยกระดับค่า CPI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการจัดการต่อต้านการติดสินบนและการเปิดเผยข้อมูล เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปในอนาคต

ดร.ธนภัทร ปัจฉิมม์  คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต / ผู้บริหารจัดการแผนงาน ได้กล่าวถึงความสำคัญในการเผยแพร่การดำเนินงานผลงานวิจัย เนื่องจากผลการสำรวจและค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต (WEF) ในปี 2564 ได้ 42 คะแนน ปี 2565 ได้ 45 คะแนน และในปี 2566 ได้ 36 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน) ซึ่งผลการสำรวจขององค์กรความโปร่งใสนานาชาติ สะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน ในการก่อสร้างอาคารนับเป็นส่วนหนึ่งที่อาจทำให้ค่า CPI ใน WEF มีแนวโน้มสูงขึ้น หากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนกระบวนงานและการเปิดเผยข้อมูล แบบโปร่งใสตรวจสอบได้ การจัดทำแผนงานดังกล่าวจึงริเริ่มขึ้น แผนงานวิจัยเรื่อง การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกลไกการจัดการต่อต้านการติดสินบน: กรณีการขอใบอนุญาตการก่อสร้างอาคารของเทศบาลนคร แบ่งออกเป็น โครงการย่อย 3 โครงการ ดังนี้
1.    การศึกษาสภาพปัญหาการดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาลด้วยระบบและกลไกการจัดการต่อต้านการติดสินบนของเทศบาลนคร
2.    แนวทางในการยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การติดสินบนและการเปิดเผยข้อมูลของเทศบาลนคร
3.    การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศการจัดการต่อต้านการติดสินบนของเทศบาลนคร เพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาลและสอดส่องการคอร์รัปชัน
เพื่อสร้างความโปร่งใสเกิดการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปในอนาคต

ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากูล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ 
“ธรรมาภิบาลกับการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี: กรณีเทศบาลนคร” จะเห็นได้ว่า ธรรมาภิบาล ในภาคราชการเรียกว่า การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ถือเป็นหลักของการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและให้ความสำคัญกับประชาชนเพื่อมุ่งให้เกิดการบริหารจัดการที่ดี ธรรมาภิบาลกับการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ประกอบด้วย 10 หลักคือ  หลักการตอบสนอง หลักประสิทธิผล หลักประสิทธิภาพ หลักความเสมอภาค หลักมุ่งเน้นฉันทามติ หลักการตรวจสอบได้ หลักโปร่งใส หลักการกระจายอำนาจ หลักการมีส่วนร่วม และหลักนิติธรรม เพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองความสงบเรียบร้อยของสังคม ความผาสุก ประชาชนและความมั่นคงของประเทศชาติ

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า งานวิจัยเรื่อง การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกลไกการจัดการต่อต้านการติดสินบน: กรณีการขอใบอนุญาตการก่อสร้างอาคารของเทศบาลนคร จะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่สำคัญกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันได้อย่างยั่งยืน

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน
 

‘จักรภพ เพ็ญแข’ โพสต์คลิปขออนุญาตกลับไทย ในรอบ 15 ปี พร้อมกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม - ขอโอกาสรับใช้ชาติ

(28 มี.ค.67) จากกรณีที่ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ลี้ภัยในต่างแดน จะเดินทางกลับประเทศ โดยเผยว่า “วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม 2567 เวลา 07.35 น. จักรภพ เพ็ญแข กลับไปรับใช้ เมืองไทยครับ”

ล่าสุด เมื่อเวลา 00.57 น. วันที่ 28 มี.ค.67 ตามเวลาประเทศไทย เฟซบุ๊ก จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair ได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะเดินทางไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับมายังประเทศไทย

โดยภายในคลิป นายจักรภพ กล่าวว่า “สวัสดีครับ พี่น้องชาวไทยที่รักทุกคน ผมจักรภพ เพ็ญแข ออกจากเมืองไทยมาเมื่อ 15 ปีที่แล้ว และวันนี้กำลังจะเดินทางกลับเมืองไทย ไปพบกลับพี่น้องชาวไทยที่รักและคิดถึงมานาน ผมออกมาอยู่ต่างประเทศ เพราะมีเหตุผลทางด้านการเมือง ผมเชื่อว่าพี่น้องหลายท่านคงทราบดี ตอนนี้ผมกำลังนั่งรถที่เพื่อนขับพาไปสนามบิน ไปขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน จะไปถึงเมืองไทยวันพฤหัสบดี ที่ 28 มีนาคม เวลา 07.35 น. เดินทางตรงไปเลย

ผมนึกขึ้นได้ว่า ผมหายไปนานเหลือเกิน จู่ ๆ โผล่หน้ามา พี่น้องหลายท่านก็มีสิทธิ์จะถามว่า เกิดอะไรขึ้น ตอนหายก็หายไป ตอนมาก็มา เล่าสู่กันฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ขอเรียนสั้น ๆ ว่า เรามีความขัดแย้งทางการเมืองกันอยู่ตอนนั้น ผมก็ถืออยู่ข้างหนึ่ง พี่น้องอีกจำนวนมากก็ถืออยู่อีกข้างหนึ่ง แล้วเราก็เกิดความขัดแย้ง จนผมออกมาอยู่นอกประเทศ เพราะมีความคงในเรื่องอันตราย สวัสดิภาพส่วนตัว หลังจากนั้นผมก็ติดตามเหตุการณ์ในบ้านเมืองไม่เคยทิ้งเลย เหมือนอยูในประเทศไทย ทุกวัน ๆ ตลอด 15 ปีนี้ แต่ไม่สามารถกลับเมืองไทยได้ เนื่องจากว่าเหตุการณ์ยังไม่เอื้ออำนวยให้

ผมไปอยู่ต่างประเทศ 15 ปี ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกเรื่อง ทำให้สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาคือ ห่วงประเทศไทย ผมก็เป็นคนไทย รักประเทศไทย ความรักของเราแสดงออกในรูปแบบที่ต่างกัน ผมเองไปทางการเมือง ท่านอื่นก็ไปทางอื่น ๆ ที่สุจริต ทำงานหนักเพื่อประเทศชาติโดยหน้าที่ ผมคิดว่าผมสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหล่านี้กลับบ้านได้ เอาไปใช้ในการเตรียมประเทศไทยในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงแบบจำหน้าไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องภูมิอากาศ เรื่องการเมือง AI แม้แต่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ
แล้วถามว่าความคิดต่าง ๆ ที่เคยมีในอดีต ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งเนี่ย จะว่ายังไง ผมก็ต้องตอบอย่างนี้ครับว่า คนเราทุกคน มันได้คิดหลังจากเวลาผ่านไปช่วงระยะหนึ่ง 10 กว่าปีนี้ทำให้ผมได้คิดว่า เราคนไทยจะขัดแย้งกันทำไม ในเมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยควรรวมเป็นหนึ่งเดียว ความหลากหลายทางความคิดเป็นเรื่องดี ไม่น่าจะเป็นเหตุให้ทะเลาะ ผมจึงเอาตัวเองนี่แหละครับเป็นจุดเริ่มต้น ไม่ไปบอกให้ใครทำแล้ว เมื่อเราคิดเราต้องทำก่อน

ผมถึงเดินทางกลับประเทศไทยวันนี้ ไม่ใช่ว่าจะไปเดินปร๋อที่ไหนสบายนะครับ กลับไปเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีคดีเกิดขึ้นหลายคดี ผมต้องกลับไปมอบตัว และก็ไปขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามที่เป็นตามกฎหมาย และผมก็หวังว่าผมจะสามารถสู้คดีได้ อธิบายตัวเองได้ และออกมาสู่อิสรภาพมารับใช้บ้านเมืองได้

ส่วนเรื่องสิ่งที่เคยพูดไว้ เคยเขียนไว้ เคยแสดงออกไว้ ผมไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ผมอยากเรียนท่านว่า ผมได้คิดอะไรใหม่ขึ้นเยอะ และขอให้โอกาสผมสักนิดเถอะครับว่าความคิดใหม่ ๆ จะช่วยประเทศได้ไงบ้าง

อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้พบกันแล้วครับ ขออนุญาตกลับบ้าน ผมอยู่ข้างนอกพอแล้วครับ”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top