Saturday, 31 May 2025
TheStatesTimes

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใยสุขภาพประชาชนในวิกฤตค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐาน มอบหน้ากากอนามัย และหน้ากาก N95 มูลค่า 3.2 หมื่นบาท ผ่าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.

วันนี้ 25 มีนาคม 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ  พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ และนายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ กรรมการ เข้าพบ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อมอบหน้ากากอนามัย และหน้ากาก N95 จำนวน 206,000 ชิ้น รวมมูลค่า 320,000 บาท (สามแสนสองหมื่นบาทถ้วน) นำแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่เขตต่างๆ และบุคลากรทางการแพทย์ในสังกัดกรุงเทพมหานคร หรือตามแต่ทางกรุงเทพมหานครเห็นควร เพื่อบรรเทาทุกข์ในช่วงสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน โดยมี นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และนางชญาน์นันท์ สรพลจิโรจเดชา หัวหน้าแผนกสื่อสารองค์กร (จีน) พร้อมคณะ ร่วมในพิธี ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) กรุงเทพฯ

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung
.
## มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

'อิตาเลียนไทย' ยอมจ่ายเงินเดือนให้พนักงานแล้ว 6,626 คน  คาดว่าจะจ่ายครบทุกคนภายในสิ้นเดือน เม.ย.นี้ 

(25 มี.ค. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยความคืบหน้าในการช่วยเหลือลูกจ้างบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ที่ถูกค้างจ่ายค่าจ้าง ล่าสุดทยอยจ่ายไปแล้วกว่า 30 ล้านบาท ลูกจ้างได้เงินแล้ว 6,626 คน ด้านนายจ้างเร่งแก้ปัญหา คาดจ่ายค่าจ้างครบ 100% ภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้

โดยเมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา พนักงานตรวจแรงงาน ได้เชิญผู้แทนบริษัทฯ มาพบที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 เพื่อให้ข้อเท็จจริงและหารือร่วมกันถึงปัญหาการค้างจ่ายค่าจ้าง

ซึ่งจากการพูดคุยกับผู้แทนบริษัทให้ข้อเท็จจริงว่า บริษัทฯ มีลูกจ้างทั้งหมด 20,188 คน และมีโครงการก่อสร้างกระจายอยู่หลายจังหวัดทั่วประเทศไทย รวม 115 โครงการ กรณีปัญหาที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ยอมรับว่าเกิดจากการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ปัญหาโดยการขอสินเชื่อหรือขอกู้เงินจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนภายในบริษัทฯ

โดยในปัจจุบันมีสถาบันทางการเงินเข้ามาสนับสนุนโครงการของบริษัทฯ แล้ว จำนวน 79 โครงการ ทำให้สามารถจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างได้ตามปกติ

สำหรับ 36 โครงการที่เหลือรวมถึงสำนักงานแห่งใหญ่ของบริษัทฯ อยู่ระหว่างติดต่อประสานกับสถาบันการเงินเข้ามาสนับสนุน ซึ่งผู้แทนบริษัทคาดว่าจะสามารถจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างได้ตามปกติประมาณเดือนเมษายน 2567

และจากการที่ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานทั่วประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบไซต์ก่อสร้างในเครือบริษัทอิตาเลียนไทย พบว่า ในหลายโครงการหลายจังหวัดเริ่มทยอยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างตามปกติแล้ว เป็นลูกจ้างที่มีทั้งสัญชาติไทยและแรงงานข้ามชาติ จำนวน 6,626 คน ได้แก่ ลูกจ้างในจังหวัดระยอง ปทุมธานี เชียงใหม่ นครราชสีมา และเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 และพื้นที่ 3 เป็นเงินกว่า 30 ล้านบาท

‘ก้าวไกล’ เตรียมผุดทายาท ‘ก้าวใหม่’ หากโดนยุบพรรค ขณะที่บรรยากาศภายในลุยวางแนวทางของการทำงานแล้ว

(24 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ถึงการเตรียมการตั้งชื่อพรรคใหม่ หากกรณีถูกยุบพรรคเกิดขึ้นจริงว่า ก่อนหน้านี้แกนนำพรรคมองไว้หลายชื่อ แต่ชื่อที่โดดเด่นขึ้นมามีอยู่ 2 ชื่อ ได้แก่ ‘อนาคตไกล’ และ ‘ก้าวใหม่’ แต่ล่าสุดชื่อ ‘อนาคตไกล’ มีผู้นำไปจดแจ้งตั้งเป็นพรรคการเมืองกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างเป็นทางการไปแล้ว

โดย พรรคอนาคตไกล ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับ พรรคก้าวไกล ดังนั้น ณ ขณะนี้มีความเป็นไปได้สูงที่สุดที่ ‘ก้าวใหม่’ จะถูกนำไปตั้งเป็นพรรคทายาทของพรรคก้าวไกล

ขณะที่บรรยากาศในพรรคก้าวไกล ระดับแกนนำมีการพูดคุยกันว่าการยุบพรรคก้าวไกลค่อนข้างแน่นอนแล้ว ขอให้ไปทำงานร่วมกับพรรคใหม่ที่รองรับไว้ และให้กำลังใจกรรมการบริหารพรรค ขอให้ช่วยทำงานต่อไปเพื่อน้อง สส.

ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง

วันที่ 25 มีนาคม 2567 เวลา 08.00 น. นางมารศรี ใจรังษี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย พระพุทธสุทธิธรรมบพิตร พระพุทธชินราช ศาลพ่อปู่ชัยมงคล ศาลท้าวมหาพรหมเทวฤทธิ์ ศาลพ่อปู่ชินพรหมมา และสักการะพระพุทธรูปในห้องทำงานผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ชั้น 8 อาคารกระทรวงแรงงาน เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน โดยมี ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน ร่วมพิธี ณ บริเวณกระทรวงแรงงาน

สำหรับ นางมารศรี ใจรังษี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เศรษฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาโท รัฐประศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรที่สำคัญ ได้แก่ นักบริหารประกันสังคม รุ่นที่ 14 นักบริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข รุ่นที่ 1 นักบริหารระดับสูง (ส.นบส.) รุ่นที่ 13 การพัฒนาผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ ระดับสูงภาครัฐ รุ่นที่ 30 ผู้ตรวจราชการระดับกรม ประจำปี 2565

เคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ได้แก่ หัวหน้าสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี สาขาศรีราชา ประกันสังคมจังหวัดพังงา ประกันสังคมจังหวัดภูเก็ต ประกันสังคมจังหวัดสุราษฎรธานี ผู้อำนวยการสำนักบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ ผู้อำนวยการสำนักสิทธิประโยชน์ ผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานในปัจจุบัน

ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุด ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
 

‘ธรรมนัส’ บอกไม่รู้ สส.ก้าวไกล ดอดพบ ‘บิ๊กป้อม’ เคลียร์ปมหากจะขอเข้าพรรค ต้องให้ กก.บห.ตัดสินใจ

(25 มี.ค. 67) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสข่าว สส.พรรคก้าวไกล เข้าพบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่บ้านมีนบุรีว่า ถ้าพูดตามตรง ตนเองไม่ทราบในเรื่องนี้

ถามว่าหากมีเหตุในอนาคตที่ทำให้ สส. ของพรรคก้าวไกลต้องไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นเรื่องใหญ่ เราจะรับใครเข้าพรรคเป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรค จะต้องมีการประชุมร่วมกัน เราจะไม่ทำอะไรที่เคยเป็นบทเรียนในอดีตที่ทำให้เกิดความหมางใจกัน เราเคยเป็นผู้ถูกกระทำ เราอย่าเอาสิ่งที่เคยถูกกระทำนั้นมาทำเอง ฉะนั้น จะต้องมีการคุยกัน

เมื่อถามว่า มีการติดต่อจากกลุ่ม สส.ของพรรคก้าวไกล มาที่เครือข่ายของ ร.อ.ธรรมนัสหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเองไม่มีเครือข่าย มีแต่เครือข่ายภาคเกษตรฯ

ซักว่าที่ สส.ของพรรคก้าวไกลมีคนใดพอที่จะมีคุณสมบัติมาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเห็นการทำงานของฝ่ายค้านก็เข้มข้น เพราะเราเป็น สส. เป็นถึงรัฐมนตรี เราก็เห็นการทำงานของเขาในการตรวจสอบการทำงานของเราอย่างเข้มข้น

เมื่อถามถึงในส่วนของ สส.พรรคก้าวไกลบางคน ที่มีทัศนคติที่ดีต่อพรรคพลังประชารัฐ จะมีการปิดประตูรับหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่า จะต้องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการของพรรคก่อน จะตัดสินใจเองไม่ได้

‘ชาวเน็ต’ ถล่ม!! ช่องยูทูบล้านซับหลอกใช้แรงงาน นศ.ฝึกงาน ‘ทำงาน 7 วัน - เลิกงานตี 3 - ไม่จ่ายค่าแรง’ ล่าสุดแถลงชี้แจงแล้ว

เมื่อวานนี้ (24 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่องยูทูบ ‘บ้านกูเอง’ ที่มีผู้ติดตาม 1 ล้านกว่าคน โดยทางช่องมักจะลงคอนเทนต์วิพากษ์วิจารณ์สังคมได้อย่างดุเดือด ส่งผลให้มีผู้ติดตามขยายวงกว้างไปเรื่อย ๆ

โดยล่าสุด ช่องดังกล่าวได้โพสต์วิดีโอ ‘แฉ! YouTuber หลายล้านซับหลอกใช้แรงงานนักศึกษาฟรี 30+ ชีวิต /ทำงาน 7 วัน เลิกงานตี 3 /ใช้ทำงานนอกช่อง’

ทั้งนี้ ภายในคลิปจะปรากฏอดีตนักศึกษาฝึกงานที่เคยฝึกกับยูทูบเบอร์ชื่อดัง มาพูดเปิดใจภายในคลิป ความว่า ต้องทำงานมากถึง 7 วัน แม้จะเป็นวันหยุด ที่สำคัญพนักงานประจำรวมตัวผู้บริหารบริษัทแล้วมี 8 คน โดยแต่ละคนก็มีช่องยูทูบเป็นของตัวเอง ซึ่งมีเพียง 5 คนที่ทำงานเบื้องหลัง (ตัดต่อ) อีก 3 คนออกกล้อง แต่รับนักศึกษาฝึกงานมาทำงานมากถึง 30 กว่าคน รวมถึงการทำงานที่ล่าช้า เจ้านายไม่ยอมตรวจ

อดีตเด็กฝึกงานกล่าวอีกว่า การสอนงานเป็นไปแบบเด็กฝึกงานสอนกันเอง ค่าตอบแทนไม่มี แต่มีน้ำเปล่าให้แค่นั้น

โดยองค์กรนี้จะถ่ายคลิปเยอะ เนื่องจากแต่ละคนก็มีช่องเป็นของตัวเองด้วย ซึ่งธรรมชาติของแต่ละช่องก็จะแตกต่างกัน รวม ๆ แล้วใน 1 สัปดาห์ เด็กฝึกงานต้องทำคอนเทนต์ประมาณ 10 เรื่อง

ส่วนเรื่องการเข้างาน ถ้าหากเข้างานสาย 1 นาทีจะถูกเช็กขาด แต่ถ้าอยู่เกินเวลาทำงานหลังสองทุ่มไม่มีอะไรให้เช่นกัน แต่ต้องอยู่ยาวยันตี 3-4 และดูเหมือนการทำงานแบบนี้เหมือนใช้แรงงานมากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย

โดยตำแหน่งงานต่าง ๆ ที่รับสมัครเข้าไปคือ ครีเอทีฟ ตัดต่อ เออี และตำแหน่งอื่น ๆ จนแทบเป็นหนึ่งบริษัทได้เลย โดยเน้นปริมาณการทำงาน เอาไม่เอาค่อยเลือกทีหลัง อีกทั้งในองค์กรก็มีช่องแยกออกไปอีก ทำให้นักศึกษาเข้าไปทำงานช่องอื่นที่เป็นของพนักงานตัวเอง

อย่างไรก็ตาม มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นถึงกรณีนี้มากมาย อาทิ

-ใช้แรงงานน่ากลัวมาก ตอนดึกควรจะได้นอนพักผ่อนแต่ต้องมาทำงานอีก
-ฟ้องกรมแรงงานได้นะ ถ้าจะเอาจริงๆ และแน่ๆ ถ้าน้องเขาแฉ

-นักศึกษาฝึกงานน่าจะมีตลอดทุกปี หลอกใช้ฟรีแบบนี้ ลดต้นทุนสุดๆ หัวหมอมาก
-นักศึกษาฝึกสอนไม่ได้เงินเลยอะ มีแต่คนบอกว่าคุณขอมาทำเอง โรงเรียนให้ทำก็ดีแค่ไหนแล้ว เอาตรงปะนี่ทำได้ดีมากเลยนะพานักเรียนไปแข่งตลอด ได้ดีตลอด อยากจะcrazy

-มีเยอะมากครับบริษัทแนวนี้ ที่จะหาช่องทางในการลดค่าจ้างจากการใช้เด็กฝึกงานเป็นพนักงาน รู้สึกแปลก แต่ไม่ได้แปลกใจครับ เพราะว่าอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง 555 ถ้าเจอบริษัทที่ดีก็จะพอบริหารและเข้าใจได้เนื่องจากอาจจะเป็นบริษัทที่มีขนาดเล็กเลยต้องการคนเข้าไปช่วยสักจำนวนนึง แต่ถ้ามีลักษณะแบบนี้แล้วเป็นบริษัทใหญ่ด้วย ก็จ้องจะเอาเปรียบแน่นอนครับ

-เข้ามาฟังคลิปนี้ เพื่อเรียนรู้เป็นบทเรียน เราจะได้ไม่ไปทำกับคนอื่นแบบนี้ แต่ยอมรับเลย ฟังไม่ถึง 5 นาที รู้สึกรังเกียจวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทนี้

หลังจากเผยแพร่คลิปวิดีโอออกไปแล้ว กระแสวิพากย์วิจารณ์ค่อยข้างแรง จนล่าสุดทางเพจเฟซบุ๊ก The Snack ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับประเด็นนักศึกษาฝึกงาน โดยระบุว่า 

“เรียนทุกท่าน

บริษัท The Snack ได้รับทราบถึงประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เกี่ยวกับการรับนักศึกษาฝึกงานมาทำงานหนักเกินไป ทางบริษัทขอแสดงความเสียใจต่อความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น และขอใช้โอกาสนี้ชี้แจงข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้

นโยบายการรับนักศึกษาฝึกงาน

บริษัท The Snack มีนโยบายในการรับนักศึกษาฝึกงาน เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ประสบการณ์การทำงานจริง โดยทางบริษัทพิจารณาให้นักศึกษาฝึกงาน ได้รับโอกาสและบทบาทความรับผิดชอบที่ท้าทาย สอดคล้องกับทักษะและความรู้ ส่งเสริมให้พวกเขาพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และทักษะอื่นๆ ที่จำเป็น เพื่อให้มีศักยภาพพร้อมสำหรับการประกอบอาชีพในอนาคต

ข้อตกลงก่อนการฝึกงาน

ก่อนที่จะรับนักศึกษาฝึกงานเข้ามา ทางบริษัทมีการพูดคุย และทำข้อตกลงกับนักศึกษาฝึกงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับรายละเอียดของงาน ขอบเขตงาน ระยะเวลาฝึกงาน ข้อกำหนดเรื่องสวัสดิการ เงินตอบแทน และเป้าหมายการฝึกงานของตัวนักศึกษาฝึกงานเองอย่างชัดเจนก่อนเริ่มฝึกงาน

การดูแลนักศึกษาฝึกงาน

ทางบริษัทมีนโยบายในการดูแลนักศึกษาฝึกงานอย่างใกล้ชิด โดยมีพนักงานพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำ สนับสนุน ติดตามผลงาน และให้คำปรึกษาอยู่เสมอ

การชี้แจงประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์

จากกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนักศึกษาฝึกงานถูกใช้งานหนักเกินไป ทางบริษัทได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว พบว่า :

ทางบริษัทไม่ได้บังคับให้นักศึกษาฝึกงานทำงานล่วงเวลา
ทางบริษัทมีกฎระเบียบและนโยบายที่ชัดเจนตั้งแต่ก่อนรับสมัคร เพื่อมุ่งเน้นการผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพและทัศนคติที่ดี ออกสู่โลกการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทตระหนักดีว่ายังมีบางจุดที่ต้องปรับปรุง ทางบริษัทจึงได้ดำเนินการดังต่อไปนี้

ทบทวนนโยบายการรับนักศึกษาฝึกงาน

กำหนดขอบเขตงานของนักศึกษาฝึกงานให้ชัดเจน
เพิ่มจำนวนพนักงานพี่เลี้ยง
จัดกิจกรรมอบรมให้กับพนักงานพี่เลี้ยง

บทสรุป

บริษัท The Snack ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต และการเรียนรู้ของนักศึกษาฝึกงานอย่างแท้จริง เราขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยเน้นย้ำถึงความสำคัญของประเด็นนี้ และขออภัยอย่างจริงใจสำหรับความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบที่ตามมา

หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด เราได้ดำเนินการทบทวน และปรับปรุงนโยบายการรับนักศึกษาฝึกงานโดยมีการปรึกษาจากองค์กรภายนอก เพื่อรับประกันความเป็นธรรม และความชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เราจะเพิ่มการฝึกอบรมสำหรับพนักงานพี่เลี้ยงเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขารู้วิธีการสนับสนุนและช่วยเหลือนักศึกษาฝึกงานได้อย่างเต็มที่

เรามุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมการเรียนรู้ การเติบโต และการพัฒนาส่วนบุคคล และเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างดียิ่งขึ้น

ขอบคุณที่มอบโอกาสให้เราแสดงความมุ่งมั่นในการปรับปรุง และเรียนรู้จากสถานการณ์นี้

ขอแสดงความนับถือ

บริษัท The Snack World

24 มีนาคม 2567

26 มีนาคม พ.ศ. 2459 ‘ในหลวง ร.6’ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา ‘จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย’ มหาวิทยาลัยไทยแห่งแรกที่มีการศึกษาแบบตะวันตก ตามพระราชดำริ ‘ในหลวง ร.5’

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นการก่อกำเนิดมหาวิทยาลัยครั้งแรกในเมืองไทยที่มีการศึกษาตามแบบตะวันตก ถือกำเนิดจากโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น ณ ตึกยาวข้างประตูพิมานชัยศรีในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ. 2442 และได้รับพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2445

ทั้งนี้เพื่อผลิตบุคลากรให้รับราชการ ซึ่งมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระบรมราโชบายในสมเด็จพระบรมชนกาธิราชที่จะ “ให้มีมหาวิทยาลัยขึ้นสำหรับเป็นสถาบันอุดมศึกษาของชาวสยาม” พอที่จะช่วยให้กิจการปกครองท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยดำเนินไปได้

เมื่อสมควรขยายการจัดการศึกษาเพื่อสนองความต้องการของ กระทรวง ทบวง กรมอื่น ๆ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กเป็นสถาบันอุดมศึกษา พระราชทานนามว่า ‘โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ เมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2453

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์แน่ชัดในการตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นในอนาคต เห็นได้จากพระราชดำรัสที่พระราชทานในวันก่อศิลาพระฤกษ์โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2458 ทรงดำรัสไว้ว่า

“วันนี้เรายินดีที่ได้รับเชิญให้มาวางศิลาฤกษ์สำหรับมหาวิทยาลัยนี้ เพราะเป็นกิจอันหนึ่งซึ่งเราปรารถนาอยู่นานแล้ว ที่จะยังให้เป็นผลสำเร็จตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงพระราชปรารถนามานานแล้วในเรื่องที่จะให้มีมหาวิทยาลัยขึ้น สำหรับเป็นสถานอุดมศึกษาของชาวสยาม…ตัวเราเป็นรัชทายาท จึ่งรู้สึกเป็นหน้าที่อันหนึ่งที่จะต้องทำการนั้นให้สำเร็จตามพระราชประสงค์…เรามีความยินดีที่ได้เห็นการดำเนินล่วงมาได้มากแล้ว ในบัดนี้เราได้วางศิลาฤกษ์ด้วยความหวังที่ได้เห็นแลความดีงามในอนาคตกาลแห่งมหาวิทยาลัยนี้”

ในปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พร้อมกับโอนมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปขึ้นกับกระทรวงธรรมการในวันเดียวกัน

ต่อมาเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2460 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมมหาวิทยาลัยขึ้นอีกกรมหนึ่ง ขึ้นตรงต่อกระทรวงธรรมการ มีตำแหน่งหัวหน้าเป็นชั้นอธิบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้นกับกรมนี้ โดยมี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัยเป็นพระองค์แรก และมีพระยาอนุกิจวิทูร (สันทัด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นผู้บัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคนแรก (ต่อมาตำแหน่งนี้เปลี่ยนไปเรียกเป็นอธิการบดี ตั้งแต่ พ.ศ. 2478 เป็นต้นมา)

ฟองสบู่ Forest City เมืองใหม่แห่งอนาคตในมาเลเซีย โครงการยักษ์ 3.6 แสนล้าน ที่กำลังกลายเป็นเมืองร้าง

หากนับย้อนหลังไปเมื่อปี พ.ศ. 2559 ชาวมาเลเซียจำนวนไม่น้อย น่าจะตื่นเต้นกับโครงการพัฒนาเมืองใหม่ ระดับเมกะโปรเจกต์ที่ชื่อว่า ‘Forest City’ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ บริษัท เอสพลานาด แดงกา 88 ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาเลเซีย และ ‘คันทรี การ์เดน’ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับต้น ๆ ของจีน ในเขตพื้นที่ของรัฐยะโฮร์ ที่เชื่อมต่อกับสิงคโปร์ ด้วยงบประมาณก่อสร้างสูงถึง 1 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท) 

โดยโครงการนี้ ถูกนำเสนอโดยรัฐบาลจีนเป็นครั้งแรกราวๆ ปี พ.ศ. 2549 ที่หวังจะให้เป็นส่วนหนึ่งในแผน Belt and Road Initiatives มีเป้าหมายยกระดับพื้นที่ในเขตรัฐยะโฮร์ ให้กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหม่ ครบครันด้วย อาคารสำนักงาน, ห้างสรรพสินค้า, ที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สามารถรองรับประชากรได้ถึง 7 แสนคน 

และยังเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ บริษัท คันทรี การ์เดน อีกด้วย หลังจากมีการนำเสนอ โครงการมานานถึง 10 ปี Forest City ก็ได้รับการอนุมัติก่อสร้างโดย อดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2578 

แต่ทว่า วันนี้ Forest City ที่ผู้สร้างโปรโมตว่าจะกลายเป็นเมืองสวรรค์ในฝันของคนมีอันจะกิน มีแววจะกลายเป็นเมืองร้าง (Ghost Town) ไปเสียแล้ว เมื่ออาคารหลายแห่งสร้างแล้วเสร็จไปกว่าครึ่ง แต่กลับมีคนที่มาอยู่จริงน้อยมาก 

วันนี้เราจึงเห็นแต่ภาพตึกสูงระฟ้า เรียงรายเต็มพื้นที่หน้าชายหาด ยาวเหยียดเป็นกิโลของ Forest City ที่ถูกทิ้งร้าง มืดมิด เงียบเหงา ไร้ผู้คน และรถรา นอกจากเสียงจิ้งหรีดเรไรดังสนั่นทั่วบริเวณ

ชาวมาเลเซียบางส่วน ที่เข้ามาจับจอง ซื้อห้องพักใน Forest City ในช่วงเปิดโครงการด้วยความหวังว่าจะได้อยู่ในย่านสังคมเมืองใหม่อนาคตไกล ต่างรู้สึกผิดหวัง และ ต้องการย้ายออกเพราะเริ่มไม่ไหวจะทนกับบรรยากาศอันแสนวังเวง ถ้าจะมีข้อดีเพียงอย่างเดียวใน Forest City ณ ขณะนี้ คือ ความเงียบสงบสำหรับคนที่ต้องการปลีกวิเวกอย่างแท้จริง

สาเหตุที่โครงการยักษ์ Forest City ผิดเป้าค่อนข้างไกล แถมมีโอกาสที่จะกลายเป็นเมืองผีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนนั้น เกิดจากหลายปัจจัย 

และสิ่งที่ประเมินพลาดที่สุดอย่างแรกคือ การเจาะกลุ่มเป้าหมายในช่วงเปิดโครงการ ที่เน้นไปยังกลุ่มลูกค้าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีฐานะตั้งแต่ระดับกลาง - สูง เป็นหลัก ที่กำลังมองหาสินทรัพย์ลงทุนในต่างแดน แทนที่จะเป็นชาวมาเลเซียทั่วไป จึงทำให้โครงการนี้ถูกวิพากษ์ วิจารณ์จากชาวมาเลเซียจำนวนมากว่าเป็นการสร้างเมืองเพื่อผลประโยชน์ของคนจีนเป็นสำคัญมากกว่าชาวมาเลเซียเจ้าของประเทศ 

เมื่อเน้นไปที่ตลาดจีน โครงการนี้จึงได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่รัฐบาลจีนมีนโยบายปิดเมืองนานนับปี ทำให้ชาวจีนส่วนใหญ่เดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจของจีนที่ยังถดถอยหลังวิกฤติการระบาด จึงทำให้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ของ Forest City ไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างที่คาดการณ์ไว้

อีกทั้งปัญหาด้านการเงินของ บริษัทคันทรี การ์เดน ที่เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักในโครงการนี้ จากวิกฤตฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และ ประชาชนทั่วไปที่กำลังพิจารณาเช่า-ซื้อ ทรัพย์สินในโครงการ Forest City กับอนาคตที่คาดเดาได้ยากว่า คันทรี การ์เดน จะกลับมาฟื้นสภาพ รอดพ้นจากภาวะหนี้สินในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตนได้เมื่อไหร่ 

รวมถึงปัจจัยด้านกำลังซื้อของชาวจีนที่ไม่เหมือนเดิม จากที่ประเมินในช่วงก่อนวิกฤติ Covid-19 ทำให้ Forest City จำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธการตลาดหลายครั้ง จากการสร้างเมืองใหม่เพื่ออยู่อาศัยของกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำ ที่เน้นไปที่เศรษฐีชาวจีนเป็นหลัก ถูกเปลี่ยนมาเป็นเมืองเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนชายทะเลระยะสั้นสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ทั้งชาวจีน และ มาเลเซีย ซึ่งสามารถกระตุ้นยอดจองโรงแรม ที่พักในเมืองได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถลบล้างภาพเมืองร้างขนาดมหึหาออกไปได้

ล่าสุด เมื่อ สิงหาคม 2566 นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ก็ออกมาช่วยสนับสนุนโครงการ Forest City อีกครั้งด้วยการประกาศยกระดับพื้นที่เมืองนี้ให้กลายเป็น ‘เขตการเงินพิเศษ’ เพื่อจูงใจนักลงทุนด้านการเงิน และ แรงงานทักษะสูงเข้ามาช่วยกู้เมือง โดยมีการเสนอสิทธิพิเศษด้านวีซ่า และ ภาษีในอัตราพิเศษ และยังสนับสนุนให้มีการจัดงานอีเวนต์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยหวังที่จะปลุกเมืองนี้ให้กลับมาเป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ ให้สมกับเป้าหมายและเม็ดเงินที่ลงทุนไปแล้วมากมายมหาศาล

ดังคำกล่าวที่ว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน โปรเจกต์ 20 ปี อย่าง Forest City ก็เช่นกัน ที่อาจต้องใช้เวลาต่อจากนี้อีกสักระยะ ว่าเมืองแห่งนี้ จะกลายเป็นเมืองใหม่ของมนุษย์ หรือ เป็นจะเพียงสุสานของซากตึก

GAC AION เปิดตัวรถไฟฟ้า AION Y Plus 410 Premium เคาะราคาน่าสน 'ต่ำล้าน' ตั้งเป้าทะยานผู้นำตลาด EV ไทย

(25 มี.ค.67) บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า GAC AION อย่างเป็นทางการ ขอแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด AION Y Plus 410 Premium ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 859,900 บาท ทางเลือกใหม่ของรถยนต์เอสยูวีไฟฟ้าสุดคุ้มค่า ที่มาพร้อมฟีเจอร์และฟังก์ชันช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะครบครัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย 

นอกจากนี้ AION Y Plus 490 Premium ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ยังมาพร้อมราคาพิเศษ และของสมนาคุณมากมาย เฉพาะในงาน Motor Show 2567 เท่านั้น

AION Y Plus 410 Premium รถเอสยูวีไฟฟ้า ออกแบบมาเพื่อตอบรับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต มอบสุนทรียภาพในการขับขี่และการโดยสาร โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดูล้ำสมัย พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งโดยสารสะดวกสบายในทุกตำแหน่ง มาพร้อมมิติตัวถังขนาดใหญ่ ด้วยความยาว 4,535 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,870 มิลลิเมตร ความสูง 1,650 มิลลิเมตร และมีความสูงใต้ท้องรถ 150 มิลลิเมตร

AION Y Plus 410 Premium ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 150kW ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิด 255 นิวตัน-เมตร พร้อมด้วยแบตเตอรี่เทคโนโลยี Magazine Battery ขนาด 50.66 kWh มอบระยะทางวิ่งสูงสุด 410 กิโลเมตร

AION Y Plus 410 Premium มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่และฟีเจอร์ความปลอดภัยมากมาย อาทิ…

>> ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC with Stop&Go)
>> ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (ICA)
>> ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (FCW)
>> ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB)
>> ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA)
>> ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
>> ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ (LKA)
>> ระบบเบรกมือไฟฟ้า (EBP)
>> ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ Auto Brake Hold
>> ภาพพาโนรามา 360 องศารอบตัวรถ
>> ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้างคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง

นอกจากนี้ AION Y Plus 410 Premium ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ…

>> ระบบจ่ายไฟฟ้าสู่อุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอก VTOL
>> เบาะนั่งคนขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 6 ทิศทาง
>> เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า 4 ทิศทาง
>> ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
>> ระบบนำทางและฟังเพลงผ่านอินเทอร์เน็ต
>> ระบบสั่งการด้วยเสียงรองรับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
>> ระบบควบคุมรถระยะไกลผ่านแอปพลิเคชัน
>> ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร 32 สี รองรับการเปลี่ยนแปลงตามจังหวะดนตรี

AION Y Plus 410 Premium มีสีภายนอก 7 สี ได้แก่ Lucky Gold, Vitality Green, Speedy Silver, Liberty Ash, Elegant Gray, Pure White, Glamour Black และสีทูโทนทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Lucky Gold with Black Roof, Vitality Green with Black Roof และ Pure White with Black Roof พร้อมด้วยสีภายในห้องโดยสาร 5 สี ได้แก่ Enchanted Forest, Fairy Wonderland, Rosy Coastline, Azure Ocean และ Subtle Lavender

พิเศษ!! สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์ไฟฟ้า AION Y Plus 410 Premium และ AION Y Plus 490 Premium ภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึงวันที่ 7 เมษายน 2567 จะได้รับโปรโมชันและสิทธิประโยชน์ ดังนี้...

*** AION Y Plus 410 Premium ราคาจำหน่าย 859,900 บาท
>> ฟรี!! ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
>> ฟรี!! Home Charger พร้อมค่าบริการติดตั้ง
>> ฟรี!! ฟิล์มรถยนต์รอบคัน
>> ฟรี!! พรมปูพื้น
>> ฟรี!! ค่าจดทะเบียน

*** AION Y Plus 490 Premium ราคาพิเศษ 949,900 บาท (โปรพิเศษ เฉพาะในงานมอเตอร์โชว์ 2024: เมื่อรับรถภายใน 30 เมษายน 2567 และขึ้นทะเบียนเปลี่ยนเป็นป้ายขาวภายใน 31 พฤษภาคม 2567)
>> ฟรี!! ชุดแคมปิ้งสุดล้ำ ประกอบด้วย สายชาร์จ VTOL, เตียงเบาะลม, เต็นท์ และสายชาร์จฉุกเฉิน
>> ฟรี!! ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี
>> ฟรี!! Home Charger พร้อมค่าบริการติดตั้ง
>> ฟรี!! ฟิล์มรถยนต์รอบคัน
>> ฟรี!! พรมปูพื้น
>> ฟรี!! ค่าจดทะเบียน

ทั้งสองรุ่น รับเพิ่ม!!!
>> ฟรี!! รับประกันชิ้นส่วนไฟฟ้าหลัก (แบตเตอรี่ไฟฟ้า, มอเตอร์ไฟฟ้า, และอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้า) 8 ปีหรือ 200,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
>>ฟรี!! รับประกันคุณภาพตัวรถ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
>> ฟรี!! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินฟรีตลอด 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี

พร้อมรับข้อเสนอสินเชื่อพิเศษ ดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.98% หรือเลือกผ่อนสบาย 84 เดือน หรือเลือกดาวน์น้อยเพียง 5% เท่านั้น 

หลอกใช้ ‘เด็ก-เยาวชน’ ทำลายสังคม-ทำผิดกฎหมาย ความโหดร้าย และชั่วช้าของพวก ‘สามานย์’

ทุก ๆ ประเทศในโลก มักจะมีบรรดาพวกชั่วช้าสามานย์ นำเด็กและเยาวชนมากระทำความผิด ซึ่งทำกันมานานมากแล้ว ตั้งแต่การบังคับเด็กให้เป็นขอทาน หลอกล่อเด็กให้กระทำความผิดต่าง ๆ ปล้น ชิง วิ่งราว ล้วงกระเป๋า ขายของ กระทั่งขนและขายยาเสพติด ตลอดจนสิ่งผิดกฎหมายอื่น ๆ ฯลฯ โดยไม่สนใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก ไม่ว่า พฤติกรรม ลักษณะนิสัย ที่เปลี่ยนไป เกิดผลกระทบด้านจิตใจอย่างมากมาย 

ผลลัพธ์สุดท้าย คือ เด็ก ๆ ต้องถูกจับกุมและดำเนินคดี ภายใต้ตัวเองและครอบครัวที่ต้องเผชิญต่อชะตากรรมจากการถูกล่อลวงให้กระทำความผิดนั้นตามลำพัง และโดดเดี่ยว จึงไม่ผิดนักที่จะประณามเหล่าผู้ที่หลอกลวงและอยู่เบื้องหลังนี้ว่า เป็นพวกที่เลว ชั่ว เป็นพวกสามานย์อย่างแท้จริง

ในประเทศไทยก็เช่นกัน เรา ๆ ท่าน ๆ ต่างรู้กันดีว่าหลายปีที่ผ่านมาสังคมไทยต้องพบกับความแตกแยกทางสังคมมากมาย ตั้งแต่เหตุการณ์สร้างความเชื่อทางการเมืองที่นำไปสู่การแบ่งแยกฝักฝ่ายด้วยสี ต่อมาก็ยังมีกลุ่มคนที่ปรารถนาร้ายต่อชาติบ้านเมืองอีกกลุ่มหนึ่ง ที่พยายามความแตกแยกด้วยการหยิบยกเรื่องเท็จและไร้ความจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้องของ 3 สถาบันหลักของชาติมาปั่นหัวเยาวชน 

บรรดาผู้ซึ่งมีเจตนาไม่ดีเหล่านี้ มักจะนำวาทกรรมที่เอ่ยอ้างถึงความเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจ แยแส ระลึกนึกถึงตัวตนที่เกิดมาจนเป็นผู้เป็นคนได้ ด้วยเพราะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สถาบันหลักทั้ง 3 ของประเทศอันได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ได้พัฒนา ได้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมือง ความสะดวกสบายของสาธารณูปโภคในการอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบสื่อสาร กระทั่งถนนหนทาง แม้แต่การบริการทางแพทย์ที่เพียบพร้อมและทันสมัย 

กว่า 50 ปีมาแล้วที่สังคมไทยเสพสื่อและความเชื่อผิด ๆ ของสังคมตะวันตกผ่านภาพยนตร์ Hollywood โดยไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการแยกแยะ ผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดี ว่าเป็นอย่างไร จนทำให้เด็กและเยาวชนค่อย ๆ ซึมซับรับเอาด้านมืดของโลกตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งความไม่ถูกต้องชอบธรรมเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องปกติวิสัยธรรมดาที่ค่อย ๆ กล่อมให้สังคมส่วนหนึ่งเริ่มยอมรับได้ไปซะงั้น 

เมื่อเด็กและเยาวชนซึ่งเกิดมาพร้อมกับความเจริญที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่กลับขาดความรู้ในข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ จึงทำให้เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งซึ่งไม่เคยสัมผัสและไม่รู้จักความทุกข์ยากลำบากของคนรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย แต่เก่าก่อน พฤติการณ์และพฤติกรรม ตลอดจนระบบความคิด จึงมีแต่เรื่องราวและคาดหวังในการมีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยความสะดวกสบาย

พวกชั่วช้าสามานย์ที่มุ่งมาดปรารถนาร้ายต่อประเทศชาติ ซึ่งรับงานมาจากประเทศตะวันตก ทั้งยังได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนทั้งเงินทองและเทคโนโลยีต่าง ๆ จึงสร้างเรื่องราวอันเป็นเท็จเพื่อแสวงหาประโยชน์จากความขัดแย้งแตกแยกในชาติ โดยเฉพาะในทางการเมือง มีการกล่าวร้ายให้โทษสังคมไทยด้วยการนำโยงเอาสถาบันหลักของชาติทั้งสามให้มายุ่งเกี่ยวพัวพันอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังนำไปเรื่องราวอันเป็นบริบทของชาติบ้านเมืองที่มีมาอย่างยาวนานไปเปรียบเทียบกับสังคมตะวันตก ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกก็ไม่ได้มีน้อยไปกว่าที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเราเลย หลายอย่างบางเรื่องกลับจะรุนแรงมากกว่าในบ้านเมืองเราเสียด้วยซ้ำ 

แน่นอนว่า ระบบการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารที่เปลี่ยนไปจากสมัยก่อนที่ผู้คนรับข้อมูลข่าวสารจากการอ่าน การฟัง และการรับชม ผ่านสื่อที่สามารถตรวจสอบจับต้องได้ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ วิทยุ และโทรทัศน์ มาเป็นการเสพสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้คนยุคนี้เชื่อข้อมูลข่าวสารโดยไม่สนใจถึงความถูกต้องชอบธรรม ภายใต้กระบวนการจากผู้ที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองที่หยิบยกเอาเรื่องราวประเด็นต่าง ๆ มาสร้างกระแสความนิยมและครอบงำผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยที่ไม่เคยและไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการพินิจ วิเคราะห์ พิจารณา ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยหลักตรรกะ เหตุผล และสติสัมปชัญญะ ฯลฯ ต่างก็พากันหลงเชื่อ เห็นผิดเป็นถูก เรื่องที่ชั่วร้ายกลายเป็นความดีงาม เป็นจำนวนมาก

การขาดซึ่งวิจารณญาณในการพินิจ วิเคราะห์ พิจารณา ปัญหาต่าง ๆ ที่ควรเกิดขึ้นด้วยหลักตรรกะ เหตุผล และสติสัมปชัญญะ ฯลฯ ของคนรุ่นใหม่ จึงมีส่วนที่ทำให้สังคมเกิดความเสื่อมถอยอย่างร้ายแรงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะความเข้าใจในเรื่องของสิทธิ เสรีภาพ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งความเป็นจริงของทุก ๆ อารยประเทศนั้น เรื่องของประชาธิปไตยจะต้องเริ่มต้นจากการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และสมบูรณ์ ภายใต้ ‘กฎหมาย’ หรือ กติกาสังคมที่กำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบปฏิบัติที่ทำให้ทุก ๆ คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข  

ทว่า เมื่อคนรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งได้เสพเรื่องราวผิด ๆ จนติด และเสพเรื่องราวเหล่านั้นจนกลายเป็นความเชื่อ กระทั่งกลายเป็นความบ้าคลั่ง จึงกล้าที่ทำความผิดต่าง ๆ เยอะแยะมากมายเกินกว่าที่บรรดากลุ่มบุคคลผู้ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองที่ทำตัวเป็นศาสดาและยุยงจะกล้าทำเสียเองด้วยซ้ำไป คนรุ่นใหม่เหล่านี้กลายเป็นผู้ต้องหาในความผิดอันเกิดจากความเชื่อที่ผิดกฎหมาย ซ้ำร้ายยังไม่ยอมรับในความผิดตามกฎหมายที่พวกตนกระทำทั้ง ๆ ที่กฎหมายเหล่านั้นทำให้ประเทศชาติสงบร่มเย็นมายาวนานจนถึงทุกวันนี้ 

พฤติการณ์และพฤติกรรมของพวกชั่วช้าสามานย์ที่มุ่งมาดปรารถนาร้ายต่อประเทศชาติที่ได้หลอกให้เด็กและเยาวชนทำผิดกฎหมาย จนเด็กและเยาวชนเหล่านั้นถูกจับกุมและดำเนินคดีส่งผลต่อชีวิตในอนาคต ไม่ได้แตกต่างไปจากพวกชั่วช้าสามานย์ที่บังคับเอาเด็กมาปล้นจี้ผู้อื่นเลย เพราะการบังคับหรือล่อลวงเด็กให้กระทำผิดภายใต้คำเป่าหูที่เรียกว่า ‘ประชาธิปไตย’ นั้น ดูจะเป็นเรื่องที่เหี้ยมโหดและชั่วช้าสามานย์ยิ่ง 

...มีแต่คนที่อุบาทว์ชาติชั่วเลวทรามจริง ๆ เท่านั้นถึงทำได้!! 

เด็ก ๆ ยังไร้เดียงสา ขาดความเข้าใจ ไม่มีวุฒิภาวะพอ เมื่อถูกหลอกลวงด้วยคำพูด ถ้อยคำ โฆษณาชวนเชื่อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงหลงเชื่อ แต่เมื่อได้กระทำการจนกลายเป็นความผิดสำเร็จไปแล้ว จึงต้องรับโทษตามกฎหมายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งสังคมไทยต้องร่วมกันประณามหยามเหยียดคนเหล่านี้อย่างเต็มที่จนถึงที่สุด 

นี่คืออีกเรื่องใหญ่ที่น่าห่วงที่สุดของสังคมไทยในปัจจุบัน ครอบครัวอันเป็นสถาบันสำคัญพื้นฐานเบื้องต้น จึงต้องทุ่มเทใส่ใจ โดยไม่คิดที่จะฝากเรื่องการเรียนรู้ทั้งวิชาการและการใช้ชีวิตไว้กับโรงเรียนหรือบุคคลอื่น เพราะหากเด็กและเยาวชนหลงเชื่อทำตามคำยุยงปลุกปั่นพวกชั่วช้าสามานย์เหล่านี้แล้ว เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นลูกหลานของเราจะต้องเสียอนาคตไปจนตลอดชีวิต โดยที่พวกชั่วช้าสามานย์เหล่านั้นไม่ได้มาร่วมรับผิดชอบลูกหลานของเราแต่อย่างใดเลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top