Saturday, 7 June 2025
TheStatesTimes

อย. สานพลังเครือข่ายภาคประชาชน ร่วมสื่อสารเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ

อย. จับมือคณะทำงานภาคประชาชน 36 องค์กร เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานกับ อย. 
เพื่อสร้างความรอบรู้และสื่อสารเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพไปยังผู้บริโภค ให้รู้จักเลือกซื้อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างเหมาะสม ปลอดภัย

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จัดงานเสวนาสื่อสารเตือนภัยตอบโต้ความเสี่ยงด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ “คนไทยคิดได้ ใช้เป็น” โดยมีคณะทำงานภาคประชาชน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพในการเข้าถึงผู้บริโภคทั้งหมด 36 องค์กรเข้าร่วมงาน เพื่อสร้างความรอบรู้และสื่อสารเตือนภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพไปยังผู้บริโภค 

โดยนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า อย. มีภารกิจในการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งนอกจากการกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทั้งก่อนและหลังออกสู่ตลาดแล้ว อย. ยังมุ่งส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความรอบรู้ในการเลือกซื้อ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างปลอดภัยสมประโยชน์โดย อย. มีการจัดทำองค์ความรู้เพื่อเผยแพร่ ข้อมูลที่ถูกต้อง ทันเหตุการณ์ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งแนวราบ เช่น เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th , www.oryor.com Facebook: FDAThai Line @FDAThai คลังความรู้ออนไลน์ FDA Center และแนวดิ่ง โดยผ่านการทำงาน ร่วมกับเครือข่าย ได้แก่ บวร.ร. (บ้าน วัด โรงเรียน โรงพยาบาล) และภาคประชาชน

ทั้งนี้ ในปัจจุบันกระแสการดูแลสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์สุขภาพมีเพิ่มมากขึ้น มีการใช้กลยุทธ์ทางการตลาด
และการโฆษณาทั้งที่ถูกกฎหมายและอวดอ้างเกินจริง ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจคลาดเคลื่อน และหากผู้บริโภคไม่มีความรู้เท่าทัน อาจส่งผลต่อการเลือกซื้อหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยได้ อย. จึงร่วมกับเครือข่าย คณะทำงานภาคประชาชน 36 องค์กรจัดเสวนาเตือนภัย ตอบโต้ความเสี่ยงด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ 

โดยมีวัตถุประสงค์สร้างความรอบรู้ในการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพ รู้เท่าทันโฆษณาหลอกลวงให้แก่เครือข่าย
คณะทำงานภาคประชาชน เพื่อให้เครือข่ายสามารถนำความรู้ไปสื่อสาร เตือนภัย และกระตุ้นให้ผู้บริโภค
ในพื้นที่ต่าง ๆ เห็นความสำคัญและรู้จักเลือกซื้อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างถูกต้องเหมาะสม ส่งผลให้มีสุขภาพและคุณชีวิตที่ดีต่อไป

เจนกิจ นัดไธสง สวทท.68 รายงาน 

พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นประธานมอบโล่เชิดชูเกียรติ ชูพลังสตรี ร่วมแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ หวังปลดล็อกกีดกันทางการค้าถาวร เนื่องในวันสตรีสากล (International Women’s Day)

พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานมอบโล่เชิดชูเกียรติ ให้กับสตรีที่มีผลการปฏิบัติงานช่วยเหลือเด็ก  สตรี ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และงานจราจรเนื่องในวันสตรีสากล (International Women’s Day)

วันพุธที่ 13 มีนาคม 2566 เวลา 10.00 น. พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พลตำรวจโท กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ,  พลตำรวจโท ภาคภูมิภิภัทฒ์  สัจจพันธุ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/รองผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พลตำรวจโท ธนายุตม์  วุฒิจรัสธำรงค์  ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/คณะทำงาน ศพดส.ตร., พลตำรวจโท สันติ์ สุขวัจน์,  พลตำรวจโท วันไชย เอกพรพิชญ์, พลตำรวจโท พนัญชัย  ชื่นใจธรรม,พลตำรวจตรี นิพนธ์ เจริญผล และ พลตำรวจตรี ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ คณะที่ปรึกษา ศพดส.ตร. รวมถึง นายพงษ์วาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม, นายอนุกูล  ปีดแก้ว รองปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นางมารศรี  ใจรังษี รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ผู้แทนกระทรวงแรงงาน, นางจตุพร แสงหิรัญ  อธิบดีอัยการ สำนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ ร่วมพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ ให้กับสตรีที่มีผลการปฏิบัติงานช่วยเหลือเด็ก สตรี ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และงานจราจรเนื่องในวันสตรีสากล (International Women’s Day) ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  

วันสตรีสากล (International Women’s Day) ตรงกับวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี วันสตรีสากลนี้เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นในการขจัดการแบ่งแยกและการเหยียดเพศให้หมดไป เปิดโอกาสให้ผู้หญิงทุกคนได้แสดงความสามารถ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความทัดเทียมกัน ในประเทศไทยทุกวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปี จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อฉลองเนื่องในวันสตรีสากล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดนิทรรศการต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักและเห็นความสำคัญของวันสตรีสากล และยังได้จัดให้มีการประกาศเกียรติคุณแก่สตรีดีเด่นประจำปี เนื่องในวันสตรีสากล ทั้งนี้ เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติสตรีผู้สร้างประโยชน์ในสาขาอาชีพต่าง ๆ อีกด้วย

พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์  หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ได้เล็งเห็นความสำคัญ ถึงบทบาท หน้าที่ของสตรี ในยุคปัจจุบัน ที่มีความรู้ความสามารถ ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี จึงมีแนวคิดที่จะมอบโล่เชิดชูเกียรติ ให้กับข้าราชการตำรวจหญิงที่ปฏิบัติงานด้านการปกป้อง คุ้มครองเด็กและสตรีดีเด่น ,ข้าราชการตำรวจหญิงที่ปฏิบัติงานจราจรดีเด่น และสตรีผู้ปฏิบัติงานในองค์การนอกภาครัฐ (NGOs) ซึ่งมีผลงานด้านการปกป้อง คุ้มครองเด็ก  และสตรีดีเด่น เพื่อเชิดชูเกียรติ และสร้างขวัญกำลังใจให้กับสตรี เนื่องในวันสตรีสากล (International Women’s Day) ผ่านการเสนอชื่อจากสายการบังคับบัญชา เสนอคณะกรรมการคัดเลือกพิจารณา โดยมี พลตำรวจโท ภาคภูมิภิภัทฒ์  สัจจพันธุ์  ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/รองผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน ซึ่งได้มีการคัดเลือกสุภาพสตรีที่ได้รับรางวัล 3 สาขา จำนวน 31 ท่าน 

พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวว่า ที่ผ่านมาการค้ามนุษย์ในประเทศไทยกลายเป็นปัญหาระดับชาติเนื่องจากไทยถูกลดระดับและกีดกันทางการค้าจากความไม่เอาใจใส่ในการปราบปรามการค้ามนุษย์  กระทั่งสามปีที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังทำให้สหรัฐอเมริกา มองเห็นถึงความจริงจังในการดำเนินการจึงปรับระดับจาก 2.5 มาเป็น 2 และในปีนี้ผลงานด้านการปราบปรามที่ไปนำเสนอในเวที ทิป ออฟฟิศ ก็ยังคงได้รับคำชื่นชมจากวุฒิสภาสมาชิกของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ทำให้ไทยมีสิทธิ์ลุ้นที่จะได้รับการปรับระดับอีกครั้ง  ทั้งนี้ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็ล้วนเป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะกลุ่มสตรีซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการร่วมกันแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และการกระทำอนาจารต่อเด็กและสตรี  และในวันนี้ยังมีสุภาพสตรีจำนวนนึงที่รับราชการตำรวจและเลือกปฏิบัติหน้าที่งานด้านจราจร ให้บริการประชาชนบนท้องถนน ซึ่งเป็นงานที่มีความเสี่ยงภัย แต่ตำรวจจราจรหญิงเหล่านี้ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทัดเทียมกับตำรวจจราจรชาย ในฐานะที่ผมกำกับดูแลงานจราจรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญ และขอชื่นชมสุภาพสตรีเหล่านี้  นี่จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในวันสตรีแห่งชาติ ศูนย์พิทักษ์เด็กสตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอมอบโล่เชิดชูเกียรติให้กับสุภาพสตรีทุกท่าน เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนในการร่วมแก้ปัญหาต่อไปในอนาคต และหวังว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังเหล่านี้จะนำไปสู่การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์อย่างถาวร ซึ่งจะทำให้ไทยไม่ถูกกีดกันทางการค้าอีกต่อไป

เอกสารแนบท้าย
(รายชื่อผู้ได้รับโล่เชิดชูเกียรติ จำนวน 31 ท่าน)

ข้าราชการตำรวจหญิงที่ปฏิบัติงานด้านการปกป้อง คุ้มครองเด็กและสตรีดีเด่น จำนวน 14 ท่าน ได้แก่
พ.ต.อ.หญิง กษิรานิษฐ์  เตชิตวรเศรษฐ์  รอง ผบก.สก.สกพ.(ฝอ.ศพดส.ตร.)
พ.ต.อ.หญิง จรีย์วรรณ  พุทธานุรักษ์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.ภ.5
พ.ต.ท.หญิง จารุวรรณ  มากยงค์ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองระนอง ภ.จว.ระนอง
พ.ต.ท.หญิง ชมภูนุช  อนันตญากุล  รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ป่าตอง ภ.จว.ภูเก็ต
พ.ต.ท.หญิง ฐิติพร  เรืองรอด รอง ผกก.วป.ผอ.
พ.ต.ท.หญิง เมธาวรินทร์  เอี่ยมชู    รอง ผกก.ปพ.ผอ.
พ.ต.ท.หญิง ชนัญชิดา ตุ่ยสิมา สว.(สอบสวน) กก.6 บก.ปคม.
พ.ต.ท.หญิง พรรัมภา  พัฒนาวาท  สว.กก.ดส.
ว่าที่ พ.ต.ต.หญิง ภูษณิศา  จันทรัชภ์  สว.(สอบสวน) สภ.ราชบุรีเพชรบุรี ภ.จว.ราชบุรี
ร.ต.อ.หญิง ขวัญดาว  หิรัญ รอง สว.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต บก.ตอท.
ร.ต.อ.หญิง พิสมัย  วิชัยศร  รอง สว.กก.สืบสวน 3 บก.สส.ภ.4 
(ชป.TICAC ภ.4)
ร.ต.อ.หญิง พรรณวดี  เกษร  รอง สว.(สอบสวน) กตค.บก.กค.ภ.4
ร.ต.ท.หญิง ณัฐวดี  ศรีคำสุข รอง สว.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ
ต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต บก.ตอท.
จ.ส.ต.หญิง ทิพยรัตน์ สมสวัสดิ์ ผบ.หมู่ 1 กก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.4
(ชป.TICAC ภ.4)    

ข้าราชการตำรวจหญิงที่ปฏิบัติงานจราจรดีเด่น จำนวน 8 ท่าน ได้แก่
พ.ต.ต.หญิง ปวีณา ชุมฤทธิ์ สว.จร.สภ.เมืองภูเก็ต
ร.ต.อ.หญิง เนตรนฤมนต์ ปล้องใหม่ รอง สว.ป.สภ.กงหรา ภ.จว.พัทลุง
ร.ต.อ.หญิง สุชิรา ยะโกะ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เบตง ภ.จว.ยะลา
ร.ต.อ.หญิง ธวัลรัตน์ เอี่ยววิบูลธนกิจ รอง สว.จร.สภ.บางละมุง ภ.จว.ชลบุรี
ร.ต.ท.หญิง กุลภัสสร์สรณ์  นิลวรรณ รอง สว.(ป.) สน.บางรัก
จ.ส.ต.หญิง มัลลิกา รามบุตรดี ผบ.หมู่ (ป.) สภ.โนนศิลา ภ.จว.ขอนแก่น
จ.ส.ต.หญิง บุษบา กำเลิศภู ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เมืองอุดรธานี ภ.จว.อุดรธานี
จ.ส.ต.หญิง สิริยุพา ศิริวัจนพร ผบ.หมู่ (ป.) สภ.หนองสองห้อง ภ.จว.ขอนแก่น

สตรีผู้ปฏิบัติงานในองค์การนอกภาครัฐ (NGOs) ซึ่งมีผลงานด้านการปกป้อง คุ้มครองเด็ก และสตรีดีเด่น จำนวน 9 ท่าน ได้แก่
คุณปวีณา หงสกุล มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี
นางอภิญญา ทาจิตต์  Stella Maris
น.ส.ณัฐกานต์ โนรี โครงการสปริง มูลนิธิการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม
น.ส.รำไพพรรณ จิตต์ธรรม มูลนิธิเพื่ออิสรภาพ (The Exsodus Road)
นางวีรวรรณ มอสบี้ โครงการฮัก ภายใต้มูลนิธิสานสัมพันธ์ครอบครัว
น.ส.พรนิภา  คำสม มูลนิธิเพื่อความเข้าใจเด็ก (FOCUS)
น.ส.พรรณรัชฏ์ ยุทธวารีชัย  องค์การ โอ ยู อาร์ ประเทศไทย (O.U.R.)
น.ส.พชรลิตา  หรรษคุณาฒัย องค์การ โอ ยู อาร์ ประเทศไทย (O.U.R.)
น.ส.นันท์นารี  หลวงมอย  มูลนิธิศูนย์เพื่อน้องหญิง

'รมว.ปุ้ย' เร่งออก มอก. ภาคบังคับเพิ่ม 2 เท่า สกัด 'สินค้าราคาถูก-ด้อยคุณภาพ' พังตลาดไทย

(13 มี.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงประเด็นเรื่องกำลังผลิตภาคอุตสาหกรรมไทยลดลง ว่า ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาจากการที่ผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งออกมาตรฐานบังคับใช้ หรือ มอก. ให้ได้มากกว่าที่ผ่านมา 2 เท่า เพราะเชื่อว่าอย่างน้อยจะช่วยเป็นหลักประกัน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริโภคด้วยว่าจะเลือกใช้ของถูกแต่ไม่มีมาตรฐาน หรือของถูกที่ได้มาตรฐาน

"ยอมรับว่าการที่ภาคการผลิตชะลอตัวอาจจะเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเองก็มีหน้าที่ในการดูแล และสนับสนุน เพราะเวลานี้ผู้ประกอบการเองนำหน้ารัฐบาลไปมาก ดังนั้น สิ่งสำคัญก็คือจะทำอย่างไรให้ไม่เกิดอุปสรรค ควบคู่ไปกับการสนับสนุน"

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมากระทรวงฯเองก็มีมาตรการที่ดูแลผู้ประกอบการไทย และผู้บริโภค เพียงแต่การดูแลจะต้องทำให้ได้อย่างทั่วถึง โดยในส่วนของผู้บริโภคเองย่อมต้องการสินค้าที่ราคาไม่แพง แต่ประเด็นที่สำคัญคือ จะต้องมีคุณภาพด้วย ซึ่งกระทรวงฯมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง สมอ. คอยช่วยดูแลอยู่ ในการสร้างมาตรฐาน มอก.

โดยสินค้าที่จะเข้ามาจำหน่ายในไทยจะต้องได้รับการยอมรับ หรือผ่านมาตรฐาน มอก. จากการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่ปัจจุบันมีปัญหาจากการสั่งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรือถูกมาพักไว้ตามแนวตะเข็บชายแดนก่อนนำเข้า

อย่างไรก็ตาม ต้องเรียนว่ากระทรวงฯคงดูแลรับผิดชอบเพียงหน่วยงานเดียวไม่ไหว จะต้องมีหน่วยงานอื่นร่วมมือกันด้วย โดยก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ในการดูแลสินค้านำเข้าให้มีคุณภาพ เพราะหากสินค้าไม่มีคุณภาพเข้ามาเป็นจำนวนมากย่อมกระทบกับผู้ประกอบการไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้นทุนถูกกว่า ซึ่งการดูแลจึงต้องทำควบคู่กันไปทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภค

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวต่อไปอีกว่า ในระยะต่อไปสินค้าที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในไทย จะต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบมาตรฐาน ตั้งแต่สินค้าชิ้นเล็ก เช่นปลั๊กไฟ หากไม่ได้มาตรฐานอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิต และครอบครัว หรือเหล็ก ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงความมั่นคงของประเทศ โดยปัจจุบันมีทั้งผู้ผลิตในประเทศไทย และเหล็กนำเข้าจากต่างประเทศที่ผ่าน มอก. อย่างถูกต้อง และไม่ถูกต้อง

"ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกัน โดยมองว่าไม่ใช่ช่วยกันเฉพาะการนำเข้า เพราะไม่ใช่ข้อห้าม แต่สิ่งสำคัญสินค้าจะต้องได้มาตรฐาน"

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวอีกว่า ต้องทำความเข้าใจด้วยว่ามาตรฐานมี 2 แบบ คือ มาตรฐานบังคับใช้ และมาตรฐานทั่วไป โดยที่ผ่านมากระทรวงฯพบข้อมูลแล้วว่าเรื่องมาตรฐานเริ่มมีปัญหากับผู้ประกอบการในประเทศ จึงมีการยกระดับให้เป็นมาตรการบังคับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการออกมาตรฐานไม่ใช่สิ่งที่ทำได้โดยง่าย เพราะจะต้องมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ ตั้งแต่วิธีการผลิต และการตรวจคุณภาพ ซึ่งอาจจะไม่ทันกับจำนวนสินค้าที่หลั่งไหลเข้ามา

“ธรรมนัส” หนุน วกส.5 สร้างเครือข่ายรัฐ-เอกชนพัฒนาชีวิตเกษตรกรไทย

“รมว.เกษตรฯ” แถลงเปิดหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง รุ่นที่ 5 หลักสูตรอันดับหนึ่งด้านการเกษตรของประเทศ​ พร้อมสร้างเครือข่ายธุรกิจด้านการเกษตรระยะยาว เพื่อยกระดับพัฒนาชีวิตเกษตรกรไทย หนุน เป็นผู้ผลิต-ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารชั้นนำของโลก 

เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 67 ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ร้อยเอกธรรมนัส  พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์   นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดังสูง (วกส.) และดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. ร่วมแถลงข่าวเปิดหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) รุ่นที่ 5 

โดย รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า กระทรวงฯได้จัดทำหลักสูตรเพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยให้เป็นผู้นำในระดับนานาชาติ ด้วยวิทยาการเกษตรเทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ ภายใต้หลักการตลาดนำการผลิตและเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างความสมดุล มั่นคง และยั่งยืน เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างผู้นำระดับสูงให้มีความรู้ ความสามารถในการพัฒนา การเกษตรรวมทั้งก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้วิสัยทัศน์ และประสบการณ์ระหว่างผู้นำภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนในรูปแบบ “ประชารัฐ” เพื่อมุ่งสู่การทำเกษตรวิถีใหม่  หลักสูตร วกส.จึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกันระหว่างเกษตรกร ผู้บริหารระดับสูงทั้งจากภาครัฐ และเอกชน เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจด้านการเกษตรในระยะยาว และการยกระดับและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรให้ดียิ่งขึ้น ตามนโยบายนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง คือ ใช้การตลาดนำนวัตกรรมเสริม เพื่อนำภาคการเกษตรที่เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืน 

ขณะที่ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับมูลนิธิเกษตราธิการ และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ในการจัดทำหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) โดยมีกำหนดการจัดฝึกอบรมหลักสูตร วกส. รุ่นที่ 5 ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม - 6 กันยายน 2567 เพื่อการขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทย ให้เป็นผู้นำในด้านการเกษตรและอาหารในระดับนานาชาติ ที่จะส่งผลในการสร้างรายได้เพิ่มให้กับประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป

นายอนันต์  ระบุว่า  ที่ผ่านมา วกส. ได้รับผลสำเร็จของหลักสูตรตั้งแต่รุ่นที่ 1 ถึง รุ่นที่ 4 มาแล้ว  เป็นการเชื่อมโยงบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร ทั้งภาครัฐและเอกชน Smart Farmer เกษตรกรรุ่นใหม่ เข้ามาเรียนรู้เทคโนโลยี นวัตกรรมและวิทยาศาสตร์ด้านการเกษตรเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆให้สามารถนำไปต่อยอดการเกษตรยุคใหม่ที่ทันสมัยได้ดีมากยิ่งขึ้น 

ดร.วิชาญ กล่าวว่า หลักสูตรดังกล่าวก่อให้เกิดความร่วมมือกันระหว่าง  สวก. หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เพื่อสร้างความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษาหรือสถาบันอื่นของรัฐและเอกชนในการผลิตและพัฒนางานวิจัยและนักวิจัยการเกษตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ  มั่นใจว่า สวก. และ หลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.)” จะสามารถขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยให้เป็นผู้นำในระดับนานาชาติด้วยวิทยาการเกษตรเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้หลักสูตร วกส. รุ่นที่ 5 ได้รับความกรุณาจาก ดร.จรัลธาดา กรรณสูต องคมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรม ในวันที่ 29 มีนาคม 2567 นี้ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร

'ผอ. ภูวดล มิ่งขวัญ' เทคนิคบุรีรัมย์ ศึกษาพลังงานนำล้ำอาเซียน สอนทำจริง บริหารพร้อมวิจัย การจัดการพลังงานสะอาดและอนุรักษ์พลังงาน ก้าวสู่ Smart College Energy Real Time Net Zero Energy Real Time (IoT) College

นายภูวดล มิ่งขวัญ  ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ กล่าว ขอขอบคุณ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด มอบ platform สื่อการสอน ระบบไฟฟ้าและค่าพลังงานไฟฟ้าด้วยกราฟ แบบ Online และ Real Time เป็นสื่อการเรียนการสอนทันสมัยที่สุดในอาเซียน จาก นาย ประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ ตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ณ ห้องประชุมบุรีรายา วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ 

จากที่รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการแถลงนโยบายการศึกษา และแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ทางวิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ ได้ตะหนักถึงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการการปรับปรุงโครงสร้าง ปรับปรุงองค์กร พร้อมทำตึกอนุรักษ์พลังงาน และนำหม้อแปลง Low Carbon ลงดิน โดยมีโซล่าเซลล์ Solar Cell, Energy Storage สอนพร้อม ปฏิบัติจริง และอนาคตสนามฟุตบอล, สนามบาสเกตบอล และสนามกีฬาจะเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าเล่นกีฬาทุกชนิด ตั้งแต่เวลา 18.00 – 20.00 น. โดยจะใช้ไฟจากพลังงานสะอาด 100% จึงนับว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อทางวิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ และเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยแบบ Real Time นำโปรแกรม Energy Management System Smart Building ในด้าน Net Zero & Near Zero, Peak Demand และ Demand Response พร้อมคาดการว่าจะประหยัดพลังงานถึง 10% และโครงการดังกล่าว 3 สถานบัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะมาให้ความร่วมมือในอนาคต 

โดยโมเดลที่กล่าวมาข้างต้นจะเหมือนกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้วิจัยพัฒนาเกี่ยวกับการตรวจเช็ค วิเคราะห์พลังงาน บำรุงรักษา ด้านความปลอดภัย อัคคีภัย แบบ IoT ในการให้ความรู้ด้านการจัดการพลังงานแบบเรียลไทม์ (IoT)  และบริหาร Green Energy Low Carbon ส่งเสริมหลักสูตร สื่อการเรียนการสอนทันสมัยสุดในอาเซียนเรื่องบำรุงรักษาและมาตรฐานความปลอดภัย อัคคีภัย ของหม้อแปลงไฟฟ้า สามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์และตรงต่อความต้องการของ ภาคประกอบการ เป็นกำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูงเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม เศรษฐกิจของประเทศต่อไป

หม้อแปลงดังกล่าวได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ (NiA) และได้รับการยอมรับจากหน่วยงานรัฐ และสถาบันมากมาย เป็นเครื่องหมายการันตีคุณภาพของนวัตกรรม ด้วยรางวัล และประกาศเกียรติคุณ อาทิ Thailand energy awards 2023, ASEAN ENERGY AWARDS 2023, กระทรวงพลังงาน, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) TGO, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), กรมบัญชีกลาง, สำนักงบประมาณ, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และรางวัลประหยัดพลังงาน ลดคาร์บอน อีกทั้งยังตีพิมพ์วรสารระดับโลก IEEE journal  ด้านการประหยัดพลังงานอีกด้วย

ส่องความนิยม 'สอบเตรียมทหาร' ยังร้อนแรง หลายหมื่นเด็กไทยแห่สอบไม่แพ้ 'เตรียมอุดม'

เมื่อ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา คงได้เห็นข่าวนักเรียนแห่สอบเข้า ‘เตรียมอุดมศึกษา’ ซึ่งในปี 67 นี้มีผู้เข้าสอบ 11,607 คน บางคนเดินทางมาจากต่างจังหวัด บางคนต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเข้าร่วมสอบ ทำให้สนามสอบ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เต็มไปด้วยนักเรียน และผู้ปกครองที่มาให้กำลังใจบุตรหลาน

แต่นอกจากการสอบเข้าเตรียมอุดมที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด รู้หรือไม่ว่ายังมีอีกการสอบสำคัญ อย่างการสอบเข้า ‘เตรียมทหาร’ ที่ดุเดือดไม่แพ้กัน โดยมีจำนวนผู้เข้าสมัครสอบในแต่ละหลักสูตรมากมาย ดังนี้...

- หลักสูตร 'นายเรือ' มีผู้สมัคร 5,736 รับจริง 100 คน สอบวันที่ 23 มี.ค.67 เวลา 09.00-12.00 น.
- หลักสูตร 'นายเรืออากาศ' มีผู้สมัคร 7,917 รับจริง 137 คน สอบวันที่ 24 มี.ค.67 เวลา 09.00-12.00 น
- หลักสูตร 'จปร.' มีผู้สมัคร 14,603 คน รับจริง 239 คน สอบวันที่ 30 มี.ค.67 เวลา 13.00-17.00 น.
- หลักสูตร 'นายร้อยตำรวจ' มีผู้สมัคร 10,266 คน รับจริง 315 คน สอบวันที่ 31 มี.ค.67 เวลา 13.00-17.00 น.

สำหรับสถานที่สอบ ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) โดยน้องๆ ทุกคนต้องสวมใส่ชุดนักเรียน-รองเท้านักเรียน (ชุดวอร์ม-รองเท้าผ้าใบ กรณีสอบนายร้อยตำรวจ)

*** ทั้งนี้ในแต่ละหลักสูตรยังมีการแบ่งย่อยโควตาผู้สมัคร สามารถคลิกชมรายละเอียดได้ตามลิงก์นี้ >> https://www.facebook.com/share/p/Nr3fbj2F7VapA4Fy/?mibextid=oFDknk 

'บิ๊กโจ๊ก' แตกหัก!! ส่งทนายฟ้อง 'บิ๊กเต่า' ขู่!! ถ้าแฉเส้นทางเงินทั้งหมด 'ตายหมู่' แน่นอน

(13 มี.ค. 67) นายณัฐกร โตสกุล ทนายผู้รับมอบอำนาจจากพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางไปที่ศาลอาญากรุงเทพใต้เพื่อนำเอกสารไปยื่นฟ้องพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีเมื่อวันที่ 21 และ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พล.ต.ต.จรูญเกียรติ หรือ ‘รองเต่า’ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และให้สัมภาษณ์ในรายการกรรมกรข่าว โดยมีการนำข้อมูลที่อยู่ในสำนวนคดีเว็บพนันของ สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน ไปเปิดเผย ซึ่งข้อความดังกล่าวมีลักษณะเกินเลยความเป็นจริง ทำให้ 'บิ๊กโจ๊ก' ได้รับความเสียหาย จึงจำเป็นต้องมายื่นฟ้องในวันนี้ และหากที่ผ่านมามีบุคคลใดที่ทำให้ 'บิ๊กโจ๊ก' ได้รับความเสียหายอีก ทีมทนายก็จะดำเนินการฟ้องร้องทั้งหมด

ทนายความของบิ๊กโจ๊ก ยังระบุว่า กรณีที่ตำรวจไปขอศาลอนุมัติหมายจับเมื่อวานนี้ เมื่อศาลยกคำร้องการขอออกหมายจับไปแล้ว พนักงานสอบสวนก็สามารถออกหมายเรียกได้ตามอำนาจหน้าที่ แต่คดีนี้พนักงานสอบสวนไม่น่าจะมีอำนาจแล้ว เพราะ ป.ป.ช. รับเรื่องแล้ว จึงอยู่ในอำนาจของป.ป.ช. ดำเนินการ ซึ่งพฤติกรรมของคดี ทั้ง สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.เตาปูน เป็นเส้นทางการเงินเดียวกันหมด แม้จะต่างเว็บไซต์ แต่ก็ถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียวกัน และเป็นคดีเดียวกัน ซึ่งทีมทนายได้ข้อมูลมาจากพยานหลักฐานบัญชีและเส้นทางการเงินที่พันตำรวจโทคริษฐ์ ปริยะเกตุ ลูกน้องมือขวาของบิ๊กโจ๊ก ที่บันทึกเส้นทางการเงินเข้าและออกไว้ทั้งหมด แต่พนักงานสอบสวนมีความพยายามที่จะแยกสำนวนออกมา ซึ่งทีมทนายมองว่าการสอบสวนของป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ มีกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากพนักงานสอบสวน จึงเชื่อว่าจะให้ความเป็นธรรมได้ดีกว่าการสอบโดยตำรวจด้วยกัน

นอกจากนี้ ทนายความของบิ๊กโจ๊ก ยังกล่าวอีกว่า เส้นทางการเงินเหล่านี้เชื่อมโยงมาถึงบิ๊กโจ๊กเพียงส่วนหนึ่ง แต่ก็มีเชื่อมโยงไปถึงบุคคลอื่นด้วย ซึ่งหากบิ๊กโจ๊กเข้าข่ายความผิด บุคคลท่านนั้นก็ต้องผิดเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าพนักงานสอบสวนเพ่งเล็งจะสอบแค่เพียงเส้นเงินที่เชื่อมมาถึงบิ๊กโจ๊กหรือไม่ พร้อมแง้มว่า เร็ว ๆ นี้ทีมทนายความของบิ๊กโจ๊ก อาจจะตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงเส้นทางการเงินทั้งหมด และตอบคำถามในประเด็นต่าง ๆ กับสื่อมวลชน รวมถึงเปิดเส้นทางการเงินที่เชื่อมไปยังบุคคลอื่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลที่จะทำให้สะเทือนทั้งวงการ เหมือนที่บิ๊กโจ๊กเคยบอกไว้ว่า หากแฉออกมาจะมีการตายหมู่แน่นอน

‘ม้า อรนภา’ ปลื้ม!! ‘ลิซ่า’ โผล่ทักทายหลังบังเอิญเจอในเกาหลี ชื่นชม!! เป็นเด็กน่ารัก ไม่แปลกใจที่โด่งดังระดับโลกขนาดนี้

(13 มี.ค. 67) ‘ม้า อรนภา กฤษฎี’ นักแสดงอาวุโส เผยแพร่รูปถ่ายคู่กับ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ ผ่านทางเฟซบุ๊ก ‘Ornapa Krisadee’ ระบุว่า…

มาเกาหลีครั้งนี้ ดีใจมาก เดินดูเสื้ออยู่ในร้านแบรนด์หนึ่ง ใน section ที่เงียบสงบ ได้ยินเสียงผู้หญิง 2 คนคุยกันเป็นภาษาอังกฤษที่โซฟา แต่เราไม่ได้สนใจ นอกจากดูเสื้อไปเรื่อย ๆ พอเดินใกล้ 2 คนที่นั่งอยู่นั้น ก็มีเสียงผู้หญิงคนหนี่งเรียก “พี่ม้า” เราหันไปมองเสียงที่อยู่ใกล้มาก ๆ เห็นหญิงสาวใส่หน้ากากยืนอยู่ ดิฉันทำหน้างง ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า “ลิซ่าค่ะ” ฉันก็ยังงงอยู่ลิซ่าไหน จึงบอกว่า ถอดหน้ากากสิ พอถอดมาคือ ลิซ่า จริง ๆ ด้วย”

นักแสดงอาวุโส ระบุเพิ่มเติมว่า “ดิฉันตกใจมาก และดีใจมาก ๆ ที่ได้เจอเธอ ดิฉันจึงพูดว่า ขอบคุณมากนะที่ทักพี่ (คนดังระดับโลกทักดิฉัน) ดิฉันขอกอดนาง และตามด้วยขอถ่ายรูปได้ไหม ต้องถามเพราะนางมากับผู้จัดการ นางบอกว่าได้ แต่ขอทาปากหน่อย เพราะพึ่งลงเครื่องมาจากปารีส ยังไม่ได้ล้างหน้าเลย แต่มาช้อปปิ้งได้อิอิ เพราะคืนนี้นางต้องไปงานของ Bvlgari จึงได้รูปนี้มา โดยการขออนุญาตเป็นที่เรียบร้อย เราคุยกันอยู่นานพอสมควร ด้วยความภาคภูมิใจที่เธอก้าวมาอยู่ถึงจุดนี้ได้ ปลื้มใจนางจริง ๆ นางบอกว่าจะไปเล่าให้แม่ฟังว่าเจอใคร และบอกว่าไม่คิดจะได้เจอพี่ม้า นางตื่นเต้นพอกับเรา ใช้เวลาเม้าส์นาน เราเลยบอกด้วยว่าบอกผู้จัดการเธอด้วยนะว่าพี่เป็นใคร จะได้ไม่หงุดหงิด แต่ผู้จัดการนางก็เป็นคนถ่ายรูปให้เรา ดีใจเป็นที่สุดที่ลิซ่าทักดิฉัน เด็กคนนี้น่ารักจริง ๆ ถึงไปได้ไกลขนาดนี้ ถึงยิ่งใหญ่ระดับโลกขนาดนี้”

'อาจารย์เอ' เคลื่อนไหว!! ชี้แจงปมดรามา คลิปคนหมอบกราบ เป็นแรงศรัทธา ด้านลูกศิษย์ ยก!! เป็นผู้ที่มีแต่ให้ มีแต่พลังบวก ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง

กลายเป็นคลิปไวรัลที่โลกโซเชียลกำลังพูดถึงชายรายหนึ่งในชุดสีฟ้า นั่งรถหรูหรา มีคนประกบดูแลใกล้ชิดคอยถือร่มไม่ห่าง ทั้งยังมีพรมปูรอรับจากรถ ท่ามกลางผู้คนที่นั่งพนมมือไหว้ต้อนรับ บางรายมีพวงมาลัยพร้อม ขณะเดียวกัน เพจอีซ้อขยี้ข่าว แชร์คลิปนี้ พร้อมตั้งคำถาม ทำไมต้องหมอบกราบ? เค้าคือใคร…อยู่วรรณะไหน?

ภายหลังจากคลิปดังกล่าวนี้ ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ทำเอาใส่หลายคนสงสัยและอยากรู้ถึงประวัติความเป็นมาของคนดังกล่าวนี้ว่าเป็นใครเหตุใดจึงมีผู้คนมารอกราบไหว้จำนวนมาก

ล่าสุด (13 มี.ค.67) อาจารย์เอ จักรพรรดิ ชายในคลิป เปิดสำนักเทวาลัย ให้สื่อมวลชนได้ซักถามข้อเท็จจริง และได้มีการทำความรู้จักกับอาจารย์ รวมไปถึงชี้แจงประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้น โดย 'อาจารย์เอ จักรพรรดิ' เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ตนเป็นอาจารย์และเป็นคน ๆ นึง ที่เกิดมาเหมือนคนทั่วไป เกิดจากครอบครัวชาวนา พ่อของอาจารย์มีตาข้างเดียวแล้วก็เลี้ยงอาจารย์มาอย่างดี ให้การศึกษามาโดยตลอด อาจารย์เกิดมาไม่ได้มีโอกาสในชีวิตมากมาย จึงพยายามที่จะทำงานทุกอย่างที่สามารถทำได้ ต่อสู้ชีวิตมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานร้านเช่า VCD ตั้งโต๊ะขายโทรศัพท์ ขายเสื้อผ้า ร้านเสริมสวยต่าง ๆ แต่ที่คนรู้จักอาจารย์มากที่สุดน่าจะเป็นช่วงที่ขายสบู่นีออน

สำหรับประเด็นดราม่า อาจารย์เอจักรพรรดิได้กล่าวชี้แจงคลิปจากภาพที่มีการกราบไหว้ "อย่างแรกอาจารย์ขออธิบายว่าอาจารย์ไม่เคยมีกฎระเบียบว่าทุกคนมาถึงแล้วต้องกราบไหว้อาจารย์ ต้องนั่งกับพื้น ต้องหมอบ หรือต้องคลาน ลูกศิษย์ที่นี่จะทราบกันดี เคยมีคนบอกว่าไม่เหมาะสม อาจารย์ก็ระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ที่ผ่านมา อาจารย์ไลฟ์สดแจ้งลูกศิษย์ว่า หากมาหาอาจารย์ยืนได้ตามปกติ ทุกคนที่มาถ่ายรูปกับอาจารย์ก็จะทราบดีว่าอาจารย์บอกเสมอว่าให้ยืนได้ แต่ท้ายสุดแล้วมันคือความรักความศรัทธาที่ลูกศิษย์มีต่ออาจารย์ อาจารย์เป็นคนๆ นึงที่มีครูบาอาจารย์เช่นเดียวกัน และเวลาอาจารย์เข้าหาครูบาอาจารย์ อาจารย์ก็หมอบก็กราบ เป็นการให้ความเคารพและความรักมันไม่มีเหตุผล และไม่มีกฎกติกาใด"

สำหรับพรมแดงที่ปรากฏอยู่ในคลิป และมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าปูพรมแดงรอต้อนรับนั้น แท้จริงแล้วเป็นพรมเช็ดเท้า ส่วนพรมสีน้ำเงินนั้นปูไว้สำหรับให้ลูกศิษย์ลูกหาที่มาที่เทวาลัยแห่งนี้ รู้สึกเดินสบายเท้าไม่ร้อนร่มรื่น ส่วนจะไปกำชับลูกศิษย์หรือไม่นั้น อาจารย์คงไม่ไปกำชับเพราะมันเป็นการแสดงออกถึงความรัก

ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นของการมาเป็น อาจารย์เอ จักรพรรดิ อยู่ในช่วงที่อาจารย์เคยล้มละลายมาก่อน ผิดพลาดทางธุรกิจ ซึ่งอาจารย์ได้ไปบนบานศาลกล่าวกับครูบาอาจารย์ว่าหากสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ และได้ทุกอย่างกลับคืนมา จะดำรงตนในสายนี้ เป็นตัวแทนของเทพไท้เทวาครูบาอาจารย์ในการสื่อสารเรื่องศรัทธาต่างๆ เหล่านี้ให้กับผู้คนได้รู้จัก ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่อาจารย์ได้ไปที่ศาลล้มละลายกลาง แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้อาจารย์ได้ทุกอย่างกลับคืนมา

ดังนั้นการก่อตั้งเทวาลัยแห่งนี้ จึงเกิดขึ้นจากความเชื่อที่อาจารย์เคยบนบานศาลกล่าวเอาไว้ ที่ว่าวันหนึ่งหากมีบุญมากพอ ขออนุญาตสร้างเทวาลัยขึ้นมาเพื่อให้คนได้มาสักการะและได้มีที่พึ่งทางใจ

ส่วนกิจกรรมหรือพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่เทวาลัยแห่งนี้ อาจารย์เอ เผยว่า "อาจารย์เป็นชาวพุทธ แต่เราได้รับอิทธิพลความเชื่อมาจากพราหมณ์ฮินดูมาแต่โบราณ ดังนั้นการทำพิธีกรรมต่างๆ มันก็ย่อมมีอยู่บ้าง เช่น มีทำพิธีพระลักษณ์หน้าทอง คเณศชยันตี พิธีคเณศจตุรถี ที่ทำให้ใครรู้จักอาจารย์มากขึ้น โดยที่ไม่เรียกเก็บค่าครู หรือค่าทำพิธีการ กับลูกศิษย์ลูกหา"

ส่วนประเด็นที่สังคมมองว่า อาจารย์เอ จักรพรรดิ จากพ่อค้าออนไลน์ แล้วผันตัวมาเป็นบุคคลที่คนกราบไหว้ ตรงนี้ อาจารย์ยอมรับว่า "เคยเป็นพ่อค้าออนไลน์ แล้วเคยเป็นพ่อค้าขายเสื้อผ้า เคยติดหนี้รายวัน เคยเป็นพนักงานประจำ เคยมาหลายอย่างมาก แต่ทั้งหมดถือเป็นประสบการณ์ในชีวิต ซึ่งมันเป็นอดีตและเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ เพื่อค้นหาความสุขให้กับตนเองค้นหาสิ่งที่เรารัก แน่นอนในประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมามันอาจจะมีสิ่งที่เราทำดีบ้าง ทำร้ายบ้าง ที่เราภาคภูมิใจบ้างหรือเสียใจในตัวเองบ้าง แต่ไม่ว่าเหตุการณ์ไหนที่มันเกิดขึ้นในอดีตก็ตาม ตนเชื่อว่าทุกคนขับเคลื่อนและพยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนเป็นคนๆนึงที่เคยผิดพลาดมาหลายเรื่อง สำเร็จมาหลายเรื่อง แต่วันนี้อยากเป็นคนที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง แค่ให้โอกาสตัวเองได้ลุกขึ้นมาดีขึ้นเท่านั้นเอง"

ขณะเดียวกันในวันนี้ ทีมข่าวยังได้สอบถามกับลูกศิษย์ลูกหาประชาชนที่เดินทางมาไหว้สักการะองค์เทพต่างๆ ถึงพลังศรัทธาที่มีต่อตัวอาจารย์เอ จักรพรรดิ โดยคุณดา และคุณแพท เดินทางมาจากสมุทรปราการและใจกลางเมืองกรุง บอกกับทีมข่าวว่า อาจารย์เอ จักรพรรดิ เป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดไม่เคยเรียกร้อง ลูกศิษย์ทุกคนจะทราบกันดี ลูกศิษย์ให้กันด้วยความเต็มใจ ต้องคนที่สัมผัสเท่านั้นจะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ส่วนตัวไม่ได้โกรธกับสังคมที่ดราม่าต่ออาจารย์ เพราะเข้าใจได้ว่าคนเราไม่ได้คิดเหมือนกันหมด แต่หากคุณได้มาสัมผัสอาจารย์ด้วยตนเองแล้วคุณจะรู้ว่าอาจารย์เป็นคนแบบไหน เป็นคนที่น่ารักมีแต่ให้ มีหลักการในดำเนินชีวิต ให้กำลังใจ ให้อาชีพ มีแต่พลังบวก

ทั้งคุณดาและคุณแพท ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต่างเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ก่อนหน้านี้เคยดำดิ่งมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แต่หลังจากได้มาพบกับอาจารย์เอ จักรพรรดิแล้วชีวิตดีขึ้น ให้คำสอนให้ความช่วยเหลือ ทุกคนและพร้อมที่จะถวายชีวิตให้กับอาจารย์ด้วย ส่วนประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้นก็อยากจะฝากบอกสังคมว่าใครก็ตามที่ไม่รู้จักอาจารย์เราที่แท้จริงก็อย่ามาพูดแบบนี้ อย่ามาทำให้อาจารย์เราเสียหายอยากให้เข้ามาสัมผัส ก่อนว่าอาจารย์เราเป็นคนแบบไหน ไม่ใช่อยากจะพูด หรืออยากจะเขียนอะไรไปเพราะคำพูดหรือคำเขียนของพวกคุณทำร้ายคนได้

ลำปาง-รมว.ทส.เปิดงานวันช้างไทย ประจำปี 2567

วันที่ 13 มีนาคม 2567 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงานวันช้างไทย ประจำปี 2567 โดยมีนายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวต้อนรับ นายสุกิจ จันทร์ทอง ผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงฯ หน่วยงานองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด อำเภอ และนักท่องเที่ยว เข้าร่วมชมพิธีเปิดงานเป็นจำนวนมาก ณ สถาบันคชบาลแห่งชาติฯ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง

เนื่องด้วยคณะกรรมการประสานงานการอนุรักษ์ช้างไทย ร่วมกับคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาเลือกวันที่ 13 มีนาคม เป็น “วันช้างไทย” ซึ่งคณะกรรมการได้คัดเลือกสัตว์ประจำชาติ โดยมีมติให้ “ช้างเผือก” เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย และคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบประกาศให้ วันที่ 13 มีนาคม เป็นวันช้างไทย และประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2541  

ในการนี้ สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ (ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จ.ลำปาง หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้จัดงาน “วันช้างไทย ประจำปี 2567” ขึ้น ระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม 2567 โดยมีกิจกรรมที่เล็งเห็นถึงคุณค่าและความสำคัญของช้างไทย เช่น การบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในพื้นที่สถาบันฯ ฮ้องขวัญช้าง ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับช้างที่ล้มไปแล้ว ตักบาตรร่วมกับช้าง ฯลฯ ตลอดจนพิธีเปิดงาน “วันช้างไทย ประจำปี 2567” ในวันที่ 13 มีนาคม 2567 

โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานในพิธีได้มอบรางวัลการจัดประกวดซุ้มอาหารช้าง และรางวัลควาญช้างดีเด่น ประจำปี 2567 พร้อมทั้งร่วมเลี้ยงอาหารช้างบนสะโตกใหญ่ ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ให้การสนับสนุนการจัดงานวันช้างไทยในครั้งนี้ โดยมีช้างเข้าร่วมพิธีมากกว่า 100 เชือก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top