Monday, 9 June 2025
TheStatesTimes

‘รวมไทยสร้างชาติ’ รับร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ฟาก ‘อัครเดช’ ยัน!! ไม่มีใครอยากเป็นชนกลุ่มน้อย เชื่อ!! ทุกคนอยากเป็น ‘คนไทย’

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 67 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้อภิปรายเกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ.. ระบุว่า…

“พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีมติในการประชุม สส.ของพรรค ว่า เราจะสนับสนุนเพียงร่างเดียว คือร่างของคณะรัฐมนตรี ที่เสนอเข้ามาให้สภาฯ พิจารณา เหตุผลที่พรรครับเพียงร่างเดียว และทำไมอีก 3 ร่าง พรรคถึงไม่รับ ในส่วนร่างของ ครม. จะเห็นว่าไม่มีคำว่าชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ในร่าง พ.ร.บ. แต่ใช้คำว่า พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ร.บ.ฉบับนี้ตอบโจทย์กลุ่มชาติพันธุ์ ที่มีอยู่ 30-60 กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย”

นายอัครเดช เสริมต่อว่า “ทั้งนี้ พรบ.ฉบับ ครม.ตอบโจทย์ความต้องการของทุกชาติพันธุ์ทั้งในสิทธิทางวัฒนธรรม สิทธิที่ดินทำกินและทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิในความเสมอภาค และไม่เลือกปฏิบัติสิทธิในการมีส่วนร่วม และสิทธิการรับบริการขั้นพื้นฐานของรัฐ ซึ่งสิทธิต่าง ๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่เปรียบเสมือนเป็นคนไทยอยู่แล้ว”

“ทั้งนี้ กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เขาอยากเป็นคนไทย เขาไม่ได้อยากเป็นชนกลุ่มน้อย หรือเป็นชนเผ่า ซึ่งเมื่อได้รับรองเป็นคนไทยจะได้สิทธิตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ ทุกคนต้องการจะเป็นคนไทยมีชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์จีน ชาติพันธุ์อินเดีย ชาติพันธุ์แขก ชาติพันธุ์มลายู ชาติพันธุ์ม้ง ชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ทุกคนถือว่าเป็นคนไทย ตามแต่ละหน่วยงานที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ พ.ร.บ.ของคณะรัฐมนตรี ที่ได้เสนอเข้ามาในสภาฯ มีการคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้” นายอัครเดชกล่าว

นายอัครเดช กล่าวเพิ่มเติมกรณีไม่สนับสนุนอีก 3 พ.ร.บ. ว่า “เหตุผลที่พรรครวมไทยสร้างชาติไม่สนับสนุนอีก 3 พ.ร.บ. ไม่ว่าจะเป็นร่าง พ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมือง ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่ง 2 ฉบับนี้เสนอมาในกลุ่มภาคประชาชน ส่วน พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองของพรรคก้าวไกล 1 ฉบับ ทางพรรครวมไทยสร้างชาติจะไม่ลงมติในการรับหลักการ เนื่องจากทั้ง 3 ฉบับมีคำว่าชนเผ่าพื้นเมือง” 

นายอัครเดช อธิบายต่อว่า “อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยได้ไปแถลงที่สหประชาชาติว่าประเทศไทยไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง ที่ไม่มีชนเผ่าพื้นเมืองเพราะว่า ประเทศไทยของเรามีเผ่าพันธุ์เดียวคือเผ่าพันธุ์ไทย เรามีกลุ่มชาติพันธุ์ 30-60 ชาติพันธุ์ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เรามีเผ่าพันธุ์ไทย คำว่าชนเผ่าพื้นเมืองในหลักสากลในความหมายของสหประชาชาติก็คือชนเผ่าที่อยู่ในพื้นที่ของตนเอง แล้วโดนรุกรานมายึดพื้นที่ เช่นที่อเมริกาอินเดียแดงถือว่าเป็นชนเผ่าพื้นเมืองโดนคนผิวขาวมายึดพื้นที่แล้วตั้งเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา อันนี้คือตัวอย่างในนามของสหประชาชาติคือชนเผ่าพื้นเมือง แต่ประเทศไทยเราไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง”

“ประเทศไทยไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง เรามีเผ่าพันธุ์ไทยมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ที่ก่อตั้งชาติ ล้วนแล้วแต่เป็นชาติพันธุ์ ใครที่เป็นลูกหลานคนไทยเชื้อสายจีนอย่างตนก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนมีความภูมิใจในความเป็นคนไทย แต่เราเชื้อสายจีนเป็นชาติพันธุ์จีน หลายท่านในที่นี้ก็มีหลายชาติพันธุ์ ทั้งชาติพันธุ์แขก ชาติพันธุ์มลายู ชาติพันธุ์ม้ง ชาติพันธุ์ลาว รัฐธรรมนูญมาตรา 70 ให้ความคุ้มครองในความเป็นชาติพันธุ์ ในรัฐธรรมนูญเราก็ไม่ได้ใช้คำว่าชนเผ่าพื้นเมือง ดังนั้นการที่เราจะรับรอง 3 พ.ร.บ.ดังกล่าวก็เสี่ยงจะขัดรัฐธรรมนูญถ้าเราจะใช้คำว่าชนเผ่าพื้นเมือง” นายอัครเดชกล่าว

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า “นอกจากนั้น ประเทศไทยเราไปรับปฏิญญาว่าด้วยชนเผ่าพื้นเมือง เพราะประเทศไทยเราเคยประกาศแล้วไปแถลงว่า เราไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง ถ้าเราไปรับว่าเรามีชนเผ่าพื้นเมืองในปฏิญญาสากลว่าด้วยชนเผ่าพื้นเมือง สามารถแยกไปปกครองตนเองได้ ถ้าเรารับว่าประเทศไทยมีชนเผ่าพื้นเมืองก็จะเป็นภัยต่อความมั่นคงในอนาคตอาจปกครองลำบากเพราะบางพื้นที่อาจขอไปปกครองตนเองได้ อันนี้คือสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเป็นห่วงในประเด็นนี้ การที่เรามีชนเผ่าพันธุ์เดียวคือเผ่าพันธุ์ไทยมาตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์นี่คือความภาคภูมิใจในความเป็นไทย แต่เรายอมรับในความหลากหลาย เรามี 30-60 ชาติพันธุ์ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จะทำให้เรารวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยเป็นประเทศไทย”

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า “สส.รวมไทยสร้างชาติ ได้ลงไปสำรวจแล้ว ไม่มีใครอยากเป็นคนชนเผ่า เพราะทุกคนอยากเป็นคนไทย ได้สิทธิเหมือนคนไทย มีความภูมิใจในความเป็นไทย แต่ยังดำรงรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของแต่ละชาติพันธุ์ไว้ ขอเรียกร้องให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้งดใช้คำว่าชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อความมั่นคงของประเทศ แล้วให้ใช้คำว่าชาติพันธุ์แทน ประเทศไทยเราจะได้เข้าสู่ความกลมเกลียว ว่าทุกคนนั้นอยากเป็นคนไทยแล้วก็ได้สิทธิในความเป็นไทยเหมือนกัน คือเหตุผลที่เราไม่รับหลักการในส่วนของ 3 พ.ร.บ.นี้”

นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้ายว่า “รัฐธรรมนูญมาตรา 70 ยอมรับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เราไม่อยากจะเห็นการเอาประเด็นนี้มาหาเสียงทางการเมือง เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศในอนาคต สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงได้ประชุมกันแล้ว มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ของคณะรัฐมนตรี สามารถตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยได้ และไม่รับอีก 3 พ.ร.บ.ที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล และเสนอโดยภาคประชาชน เพราะเราเห็นว่าประเทศไทยไม่ควรมีการใช้คำว่าชนเผ่าพื้นเมือง ทุกคนเป็นคนไทย เคารพในความหลากหลายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติสืบต่อไปในอนาคต”

หนีไม่รอด! ผู้สั่งการขนคนต่างด้าวรายใหญ่โร่มอบตัว ตม.3 หลังถูกกดดันหนักจนหนีไปนอนป่า

วันนี้ (7 มี.ค.67) เวลา 10.00 น.ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.ปกฉัตร ชัยสุกวัฒน์ ผdก.ตม.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์  ผกก.1 บก.สส.สตม.ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

กก.สส.บก.ตม.3 จับกุมนายเจด (นามสมมติ) อายุ 44 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 115-116/2567 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันช่วยเหลือ ช่วยซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ซึ่งบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้รอดพ้นจากการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2566 ตม.จว.สมุทรปราการ และ กก.สส.บก.ตม.3  ได้ร่วมกันจับกุมคนไทย 3 คน ในข้อหา “ช่วยเหลือ ช่วยซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุม ขณะกำลังลักลอบพาคนต่างด้าวชาวกัมพูชาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวม 10 คน มาส่งที่บ่อปลาแห่งหนึ่งในเขต จว.สมุทรปราการ นำส่งพนักงานสอบสวนของ กก.สส.บก.ตม.3 ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากนั้นเจ้าหน้าที่ ตม.จว.สมุทรปราการ และ กก.สส.บก.ตม.3 ได้ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานและสืบสวนขยายผล จนพบความเชื่อมโยงว่า นายเจด (นามสมมุติ) เป็นผู้สั่งการในการลักลอบขนคนทั้งสองคดีก่อนหน้านี้ และในระหว่างช่วงต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน บัญชีธนาคารของนายเจดมีเงินหมุนเวียนกว่า 150 ล้านบาท โดยมีการทำธุรกรรมพัวพันกับผู้ต้องหาในคดีก่อนหน้าถึงกว่า 1 พันครั้ง พนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 จึงขออนุมัติหมายจับ จำนวน 2 หมาย ต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ และศาลได้อนุมัติตามคำขอ ในระหว่างติดตามจับกุมตัว ยังได้ปรากฏอีกว่า เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 18.20 น. ตม.จว.ฉะเชิงเทรา ได้พบเหตุลักลอบขนคนกัมพูชาในพื้นที่ โดยได้ควบคุมตัวคนต่างด้าวไม่มีเอกสารหนังสือเดินทางกว่า 20 คน แต่ผู้ขับรถที่มาขนคนได้หลบหนีไปก่อน ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า นายเจด คือ ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจึงระดมกำลังติดตามจับกุมตัว นายเจด มาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่อง 

ต่อมานายเจดได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 โดยนายเจดรับรับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในการลักลอบขนคนต่างด้าวผิดกฎหมายจริง และที่มามอบตัว ก็เพราะ รู้สึกกดดันที่ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามตัวอย่างหนัก จนตัวเองต้องหนีไปนอนในป่าหลายวัน และสุดท้ายคงหนีไม่รอด จึงขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ จากการขยายผลเพิ่มเติม พบว่านายเจดนั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายลักลอบขนคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในคดีอื่นอีก ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

NARIT เผย!! 'แสงวาบ-ลูกไฟ' คาดเป็น 'ดาวตกชนิดระเบิด' ชี้!! หากพบลูกไฟ 2 ครั้งในพื้นที่เดียวกันช่วงนี้ ไม่ถือว่าผิดปกติ

(7 มี.ค.67) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. (NARIT) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เผยว่า ช่วงหัวค่ำ 6 มีนาคม 2567 มีผู้พบเห็นแสงสว่างวาบเป็นทางยาว เหนือท้องฟ้าหลายพื้นที่ในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ของไทย แสงดังกล่าวปรากฏขึ้นประมาณสองครั้ง เวลาประมาณ 19:13 น. มีลักษณะหัวเป็นสีฟ้า หางเป็นสีเขียว จากนั้นแตกออกเป็น 2-3 ส่วน และเวลาประมาณ 20:21 น. ปรากฏขึ้นอีกหนึ่งครั้ง มีสีส้ม มองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน คาดว่าเป็น 'ดาวตกชนิดระเบิด'

นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ สดร. กล่าวว่า สำหรับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหัวค่ำวันที่ 6 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา มีผู้พบเห็นแสงสว่างวาบบนท้องฟ้าคล้ายดาวตก 2 ครั้ง ติดต่อกัน ครั้งแรกเวลาประมาณ 19:13 น. ปรากฏเป็นทางยาวพาดผ่านท้องฟ้าจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก ส่วนหัวมีสีฟ้า ส่วนหางมีสีเขียว ขณะเดียวกันได้แตกออกเป็น 2-3 ส่วน ส่วนหัวมีสีส้ม หางสีเขียว จากนั้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมงถัดมา ปรากฏขึ้นอีกครั้งเวลาประมาณ 20:21 น. มีสีส้ม พบเห็นแต่ละครั้งนานประมาณ 10 วินาที

เหตุการณ์ครั้งนี้พบเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนในหลายจังหวัดกระจายอยู่เกือบทุกภูมิภาคของไทย อาทิ ราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ อยุธยา ฉะเชิงเทรา กรุงเทพมหานคร นครราชสีมา ปราจีนบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี นครสวรรค์ ศรีสะเกษ ชุมพร บุรีรัมย์ ชลบุรี สมุทรสาคร นครปฐม นครนายก ระยอง ชัยภูมิ เชียงใหม่ เป็นต้น

จากข้อมูลดังกล่าวคาดว่าอาจเป็นดาวตกชนิดระเบิด ซึ่งเกิดจากวัตถุท้องฟ้าขนาดเล็ก เช่นดาวเคราะห์น้อย หรือเศษชิ้นส่วนที่กระเด็นจากการพุ่งชนบนดวงจันทร์หรือดาวอังคาร เป็นต้น เมื่อเศษชิ้นส่วนดังกล่าวเคลื่อนที่เข้ามายังชั้นบรรยากาศโลก เสียดสีกับอนุภาคในชั้นบรรยากาศ เกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้จึงมองเห็นเป็นแสงสว่างวาบพาดผ่านท้องฟ้า ที่เราเรียกว่า ดาวตก 

กรณีที่เศษชิ้นส่วนมีขนาดใหญ่ ความร้อนและแสงสว่างที่เกิดขึ้นก็จะมากขึ้นตามไปด้วย หากมีความสว่างเทียบเท่ากับความสว่างของดวงจันทร์เต็มดวง หรือเกิดการระเบิดขึ้นกลางอากาศ นักดาราศาสตร์จะเรียกว่า ดาวตกชนิดระเบิด (Bolide)

นายศุภฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดาวตกในครั้งนี้ยังปรากฏสีที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งสีเขียว สีฟ้า สีส้ม โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อสีของดาวตก ขึ้นอยู่กับสองปัจจัยได้แก่ องค์ประกอบทางเคมี โมเลกุลของอากาศโดยรอบ ขณะพุ่งเข้าชนกับชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วสูงมาก เกิดการเสียดสีและเผาไหม้ ทำให้อะตอมของดาวตกเปล่งแสงออกมาในช่วงคลื่นต่าง ๆ เราจึงมองเห็นสีของดาวตกปรากฏในลักษณะที่แตกต่างกัน

ในแต่ละวันจะมีวัตถุขนาดเล็กผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกเป็นจำนวนมาก เราสามารถพบเห็นได้เป็นลักษณะคล้ายดาวตก และยังมีอุกกาบาตตกลงมาถึงพื้นโลกประมาณ 44-48.5 ตันต่อวัน แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ห่างไกลผู้คน จึงไม่สามารถพบเห็นได้ ดาวตกนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ และสามารถอธิบายได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ในช่วง 2 วัน มีลูกไฟโผล่มารัวๆ มีอะไรที่ต้องกลัวหรือไม่นั้น? ด้าน สมาคมดาราศาสตร์ ได้เผยว่า จากสถิติ ดาวตกที่สว่างระดับลูกไฟมีคืนละกว่าร้อยดวงทั่วโลก ดังนั้น การที่พบลูกไฟสองครั้งในพื้นที่เดียวกันภายในเวลา 2 วัน ยังไม่ถือว่าผิดปกติ

'หนุ่มจีน' แชร์!! ทุ่มงานหนักทั้งชีวิต จนสมหวังได้เงินเดือนหลักแสน แต่สุดท้าย 'ป่วยอัมพาตครึ่งซีก-เกือบตาย' ใช้เวลา 6 ปีฟื้นสภาพ

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า ชายชาวจีนวัย 31 ปีเล่าถึงการต่อสู้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตถึงขีดต่ำสุด ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเป็นอัมพาตครึ่งซีก จากที่เคยมีรายได้เดือนละ 2 แสนกว่าบาท ต้องสู้ชีวิต 6 ปีกว่า สุขภาพจึงจะกลับมาเหมือนเดิม แชร์เป็นอุทาหรณ์

ตามรายงานเผยว่า ชายชาวจีนรายนี้ได้โพสต์เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจากนิสัยเสียเดิม ๆ จนทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก ซึ่งเขาใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายนานถึง 6 ปีถึงจะกลับมาเป็นปกติ โดยช่วงเช้าวันหนึ่ง ตื่นนอนมาพร้อมกับอาการที่ร่างกายซีกหนึ่งของเขาไม่สามารถขยับได้ แขนขาซ้ายควบคุมไม่ได้ และพูดไม่ชัด

ต่อมา พบว่าใบหน้าของเขาเป็นอัมพาตและไม่สามารถแสดงสีหน้าใด ๆ ที่ซีกซ้ายได้ พร้อมกับอาการอ่อนแรงแบบเฉียบพลันซึ่งทำให้เขาสลบไปในที่สุด และตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่โรงพยาบาลหลังต้องนอนเป็นผู้ป่วยโคม่าถึง 3 วัน

แพทย์ได้วินิจฉัยว่า เขามีอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบ และอัมพาตครึ่งซีก ดั่งโลกพังทลายชีวิตช่วงนั้นกำลังรุ่งสุด ๆ เพราะเขามีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 50,000 หยวน คิดเป็นเงินไทยราว 2.5 แสนบาท ใช้ความเพียรพยายามนานกว่า 10 ปี

อย่างไรก็ตาม แพทย์ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบไว้ว่า มาจากพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ คือ การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยเฉลี่ยเพียง 4-5 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น เพราะเขาทำงานหนักตั้งแต่เรียนจบเพื่อจะมีชีวิตที่ดีขึ้น และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ชายรายนี้ยังกล่าวอีกว่า จากคนที่เคยมีรายได้เดือนละหลักแสน หลังจากเกิดเรื่องนี้ทำชีวิตพลิกชั่วข้ามคืน เนื่องจากเขาสูญเสียความสามารถในการทำงาน ทำให้เขาไม่มีรายได้ เขาต้องไปโรงพยาบาลทุกวัน เพื่อรับการบำบัดฟื้นฟู กายภาพบำบัด

ทั้งนี้ เขาได้ทิ้งท้ายไว้ว่า เขายังโชคดีที่มีแม่ ภรรยา และครอบครัวที่คอยดูแล เขาต้องใช้เวลาในการฝึกหัดสิ่งต่าง ๆ ใหม่ทั้งหมดเหมือนเป็นเด็กทารก เช่น การเดิน และการพูด ตอนนี้ผ่านมาแล้ว 6 ปี ร่างกายทุกส่วนของเขาเกือบจะเป็นปกติ สามารถกลับมาทำงานได้แล้ว

สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทยและเครือข่าย ต้อนรับมกุฎราชกุมารมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยานตกลงความร่วมมือ MOU สื่อไทย สื่อมาเลย์

วันนี้ 7 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ห้องธามาริน โรงแรมญันนันตีย์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตวนกูไซยิดไฟซุดดิน ไซยิดจามาลุลไลล์  (Tuanku syed Faizuddin Syed Jamalullail Raja Muda Perlis) มกุฎราชกุมารแห่งรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ทรงเป็นประธานงานกาลาดินเนอร์  ทรงร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือ MOU สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย กับ สมาคมนักข่าว 5 รัฐตอนเหนือของมาเลเซีย ด้านการท่องเที่ยว สังคม วิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัด นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ผู้บริหารระดับสูง ภาครัฐและเอกชน สื่อมวลชนจากมาเลเซีย สื่อไทย แขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วม 

พิธีการเริ่มต้น ทุกคนยืนขึ้นคารพเพลงชาติมาเลเซีย บนเวที นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ฯ นายกสมาคมนักข่าวรัฐเปอร์ลิส  โดยมรมกุฎราชกุมารมีพระราชดำรัส ถึงความร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย จานั้นมีการนำเสนอผ่านวิดีโอถึงภารกิจต่างๆ ของมกุฎราชกุมาร เสด็จลงมายังพื้นล่างและบันทึกภาพร่วมกันทุกคน
มีการแสดงวัฒนธรรมทั้งสองฝ่าย โดยประเทศไทย แสดงรำโนรา การแสดงศิลปะมวยไทย ประเทศมาเลเซีย การแสดงดนตรีพื้นบ้านจากรัฐซาบาห์ สะท้อนให้เห็นถึงมรดกทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลายของมาเลเซีย โต๊ะร่วมเสวยพระกระยาหาร ประกอบด้วย มกุฎราชกุมารแห่งรัฐเปอร์ลิส นายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ โมฮัมหมัดสุกรี รอมลี มุขมนตรีรัฐเปอร์ลิส และนายกสมาคมท่องเที่ยวมาเลเซีย ร่วมสนทนาถึงความร่วมมือของจังหวัดสงขลากับรัฐเปอร์ลิส 

ตูแวตานียา มือนิงิง ประธานอนุกรรมการฝ่ายต่างประเทศ สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ฯ ในฐานะล่าม ได้สรุปถึงการสนทนาว่า ในเรื่องของการอำนวยความสะดวกระหว่างจังหวัดสงขลากับรัฐเปอร์ลิศ จะดำเนินการใน 3 เรื่อง ประการแรกจะมีการขยายเวลาเปิดด่านจนถึง 20.00 น.

ประการที่ 2  จะมีการขยายพื้นที่เป็นฟรีโซน (Free Zone) ด้านธุรกิจให้มากขึ้นเหมือนกับด่านวังประจันน์ จ.สตูล และสุดท้ายคือการใหนังสือผ่านแดนเดินทาง จะเป็นกลุ่มหรือคณะ โดยการอำนวยความสะดวกมากยิ่งขึ้น

บรรยากาศภายในงาน เป็นไปด้วยความเรียบง่าย มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย จนเมื่อถึงเวลาพอสมควร มกุฎราชกุมาร ได้เสด็จกลับ นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ฯ ได้ส่งเสด็จและมอบส้มโอควนลัง และ ผ้าทอเกาะยอ ให้เป็นที่ระลึก

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

เปิดความเร็ว T-Flight สุดยอดม้าเหล็กจีนที่ลุ้นพิชิตสปีด 2 พัน กม.ต่อชม. เทียบระยะเวลา 'กรุงเทพ' ไป 'เชียงใหม่' แค่ 30 นาทีถีง

เมื่อวันที่ 5 มี.ค.67 Techhub รายงานว่า เป็นอีกครั้งที่จีนประสบความสำเร็จในการสร้างรถไฟความเร็วสูง รถไฟใหม่นี้เรียกว่า T-Flight และมันเพิ่งทำลายสถิติความเร็วใหม่ที่ 387 ไมล์ต่อชั่วโมง (623 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ทำลายสถิติรถไฟที่เร็วที่สุดของญี่ปุ่นอย่าง MLX01 ที่วิ่งด้วยความเร็ว 361 ไมล์ต่อชั่วโมง ไปแล้ว

T-Flight ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า maglev (Magnetic Levitation) เป็นรถไฟที่ใช้หลักการทางแม่เหล็กในการยกตัวลอยเหนือราง ช่วยลดแรงเสียดทาน รวมกับท่อสุญญากาศต่ำ (Hyperloop) ทำให้ T-Flight จึงสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงได้ขนาดนี้ได้

วิศวกรชาวจีนได้ตั้งเป้าหมายความเร็วนี้ที่ 1,243 ไมล์ต่อชั่วโมง (2,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งเร็วกว่าความเร็วกว่าเครื่องบินโบอิ้ง 737 ถึงสองเท่า ซึ่งถ้าหากได้ความเร็วนี้ เราสามารถโดยสารจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ ได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น

ทั้งนี้ รถไฟ T-Flight ได้รับการพัฒนาโดย China Aerospace Science and Industry Corporation (CASIC) ซึ่งในระหว่างการทดสอบที่เมืองต้าถง มณฑลซานซี ทางตอนเหนือของจีน รถไฟ T-Flight ทำความเร็วได้ที่ 387 ไมล์ต่อชั่วโมง ภายในท่อสุญญากาศต่ำที่มีความยาวเพียง 1.2 ไมล์ หรือ 2 กิโลเมตรครับ  และต้องรอดูการทดสอบในระยะไกล ๆ อีกครั้ง ว่ามันจะมีปัญหาอะไรไหม

'เศรษฐา' เยือน!! 'เยอรมนี' ใต้อุณหภูมิ 2 องศา หยอดหวาน 'ผ้าขาวม้าร้อยเอ็ด' ช่วยให้อบอุ่น

(7 มี.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่าน X หรือทวิตเตอร์ ภายหลังเดินทางถึงสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระบุว่า “เดินทางถึงเยอรมันแล้วครับ ลงเครื่องมาอุณหภูมิอยู่ที่ 2 องศา ได้ผ้าขาวม้าสวย ๆ จากพี่น้องชาวร้อยเอ็ดนี่แหละครับช่วยให้อบอุ่น”

“วันนี้ผมมีภารกิจที่กรุงเบอร์ลินช่วงสั้น ๆ คือการเข้าร่วมงาน ITB Berlin 2024 งานแสดงสินค้าด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดในเดือนมีนาคมของทุกปี พร้อมพบผู้บริหารบริษัทเอกชนของเยอรมนี ก่อนจะเดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐฝรั่งเศสครับ” นายเศรษฐา ระบุ

เปิดงบทำเนียบฯ ทุ่ม 5 แสนรื้อสนามหญ้าตึกไทยฯ โละพรมเก่า ปูพรมขนแกะทอมือราคา 10 ล้าน

หรูหราสุด ๆ !! เปิดงบทำเนียบฯ ปรับปรุงจัดเต็ม รื้อสนามหญ้าหน้าตึกไทยฯ ทุ่มงบ​เกือบ​ 5 แสน​ ปลูกหญ้าพลาสพาลัม​เทียบเกรดสนามกอล์ฟ​ หวังเป็นหน้าเป็นตารับแขกบ้านแขกเมือง​ พร้อมโละพรมเก่าปูพรมขนแกะทอมือมูลค่ากว่า​ 10 ล้าน​ ​ปรับรั้วหลังตึกไทย​หลังทรุดเอน​ ขณะที่สังคายนาระบบปลอดภัย​ไซเบอร์ 58 ล้าน​สกัดมือแฮกเกอร์​ 

(7 มี.ค. 67) รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า สำนักนายกรัฐมนตรี​ ประกาศสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เรื่องรายการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประเภทงบรายจ่าย หมวดงบลงทุน ที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ลงไว้เมื่อวันที่​ 1 มีนาคม​ 2567 จำนวน 12 รายการ​ รวมวงเงิน​ 138 ล้านบาท ประกอบด้วย

1. จ้างเปลี่ยนกระจกหน้าต่างห้องทำงาน ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า วงเงิน 302,300 บาท ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ช่วงเวลาดำเนินการ ธันวาคม 2566

2. จ้างปรับปรุงสนามหญ้าบริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า วงเงิน 498,352 บาท วิธีเฉพาะเจาะจง เดือนกุมภาพันธ์ 2567 

3. ซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ 3 รายการ วงเงิน 4,317,600 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป มีนาคม 2567

4. ซื้อรถบรรทุก (ดีเซล) ปริมาตรกระบอกสูบไม่ต่ำกว่า 2,900 ซีซี 1 คัน วงเงิน 1,160,000 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป

5. จ้างพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์รัฐบาลไทย (www.thaigov.go.th) จำนวน 1 งาน ราคา 5 ล้านบาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป มีนาคม 2567 

6. จ้างทอพรมทอมือ เส้นใยขนแกะ 100% พร้อมติดตั้ง 9 ผืน วงเงิน 10,557,200 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป มีนาคม 2567

7. จ้างพัฒนาระบบสำนักงานดิจิทัล (Digital Office) 1 ระบบ วงเงิน 11,739,200 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป เมษายน 2567 

8. ซื้อระบบบริหารจัดการ DNS,DHCP และ IP Address Management พร้อมติดตั้ง 1 ระบบ วงเงิน 8,560,000 บาท ประกาศเชิญชวน เมษายน 2567

9. จ้างพัฒนาระบบบริหารจัดการผู้ใช้งานแบบรวมศูนย์ (Single Sign-on) 1 ระบบ วงเงิน 3,164,100 บาท ประกาศเชิญชวน เมษายน 2567 

10. ซื้อครุภัณฑ์ในการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) พร้อมติดตั้ง 1 ระบบ 58 ล้านบาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป เมษายน 2567

11. จ้างติดตั้งระบบดูดอากาศตรวจจับควัน แบบระบุตำแหน่งได้ ของอาคารตึกไทยคู่ฟ้า 1 ระบบ วงเงิน 32,100,000 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป เมษายน 2567 

12. จ้างปรับปรุงรั้วริมคลองหลังตึกไทยคู่ฟ้า 1 งาน วงเงิน 2,869,000 บาท ประกาศเชิญชวนทั่วไป เมษายน 2567 

ประกาศรายการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประเภทงบรายจ่าย หมวดงบลงทุน ที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นไปตามแนวทางของสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สํานักงาน ปปช.) ที่ได้กําหนดแนวทางการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ Open Data Integrity and Transparency Assessment (OIT) ให้หน่วยงานของรัฐแสดงรายการการจัดซื้อจัดจ้างหรือการจัดหาพัสดุ

สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จึงขอประกาศรายการการจัดซื้อจัดจ้างของสํานักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ประเภทงบรายจ่าย หมวดงบลงทุน ที่จะมีการดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ดังกล่าว

โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า​การปรับปรุง​สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า​ รวมไปถึงส่วนต่าง ๆ​ เป็นไปตามแผนงานปรับปรุง​ภูมิ​ทัศน์ภายในทำเนียบรัฐบาล​ เนื่องจากทรุดโทรมตามอายุการใช้งาน​ เป็นหลุมเป็นบ่อ​ สนามหญ้าเสื่อมสภาพ​ และทำเนียบรัฐบาลถือเป็นสถานที่ไว้สำหรับรับแขกบ้านแขกเมืองต่างประเทศ รวมไปถึงรัฐพิธีต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและสมเกียรติ

ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างขนแกะทอมือ 100% ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง โดยสเปคเป็นไปตามของเดิม ส่วนที่ต้องมีการเปลี่ยนเนื่องจากเสื่อมตามสภาพอายุการใช้งาน ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคำสั่งของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่เป็นไปตามแผนงานเดิมที่มีอยู่แล้ว ส่วนรั้วบริเวณหลังตึกไทยคู่ฟ้า จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเนื่องจากพื้นทรุด ทำให้รั้วเกิดการเอียง โดยงบประมาณทั้งหมด ได้มีการเสนอตามขั้นตอนและผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เรียบร้อยแล้ว

สำหรับการปรับปรุงสนามหญ้าบริเวณด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นั้น จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 13 มี.ค. 2567 ก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับจากการไปปฏิบัติภารกิจที่ยุโรป ซึ่งในรัฐบาลที่ผ่านมา ได้ซ่อมแซมสนามสนามหญ้าเพียงในส่วนที่เสียหาย แต่ไม่ได้รื้ออัดดิน และทำใหม่ โดยใช้หญ้าพันธุ์พาสพาลัม ที่นิยมปลูกในสนามกอล์ฟ เป็นพืชในตระกูลหญ้าที่ใช้แพร่หลายไปทั่วเอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย และอเมริกา ที่รู้จักกันทั่วไปว่าหญ้าพาสพาลัม เป็นหญ้าที่เจริญเติบโตได้ในสภาพอากาศอบอุ่นจนถึงร้อน​ ทนต่อการเหยียบย่ำ ซึ่งแต่เดิมใช้หญ้าพันธุ์​นวลน้อย

‘พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ’ เสด็จฯ ประทานรางวัล ‘สตรีทำงานดีเด่น’ เชิดชู 'พลังหญิงไทย' แรงขับเคลื่อนสำคัญแห่งยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปประทานโล่รางวัลสตรีทำงานดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2561 เนื่องในงานวันสตรีสากล ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด พลังแรงงานสตรีไทย ก้าวไกลสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ณ ห้องมิราเคิล แกรนด์บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน และผู้บริหารกระทรวง เฝ้ารับเสด็จ

การนี้ เมื่อเสด็จถึง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เข้าเฝ้าถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุน ‘กองทุนยาพระวรราชาทินัดดามาตุสำหรับผู้ติดเชื้อเอดส์ สภากาชาดไทย’ จากนั้นนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าเฝ้าถวายสูจิบัตรและหนังสือที่ระลึก จากนั้น พล.ต.อ.อดุลย์ กราบทูลรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กราบทูลเบิกสตรีทำงานดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2561 เข้ารับประทานโล่รางวัลสตรีทำงานดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2561 

หลังจากนั้นทรงเสด็จออกจากห้องมิราเคิล แกรนด์ บอลรูม เพื่อทอดพระเนตรประวัติสตรีทำงานดีเด่นฯ และนิทรรศการ และเสด็จไปฉายพระรูปร่วมกับคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน สตรีทำงานดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2561 คณะกรรมการจัดงานวันสตรีสากล ประจำปี พ.ศ.2561 และคณะอนุกรรมการสรรหาและคัดเลือกสตรีทำงานดีเด่น และเสด็จกลับในเวลาต่อมา

สำหรับปีดังกล่าว มีเหล่าคนดังที่ได้รับรางวัลสตรีทำงานดีเด่นประจำปี 2561 อาทิ นางสาริณี อังศุสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด, นางทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดีที บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด, นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประจำสำนักงาน เจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดใหญ้ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน), นางจรรยา สว่างจิตร ประธานเจ้าที่บริหาร บริษัท พี.โอเวอร์ซีส์สตีล จำกัด (มหาชน), นางสาวณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชียแปซิฟิกกลาส จำกัด (บริษัทในเครือ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป) และ นางสาวศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์ประจำสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

‘ตาวัย 70’ สานฝันชีวิต ขี่ซาเล้งจาก 'อุบลฯ' ไป 'ตราด' หวังเห็นทะเลสักครั้ง อาศัยนอนปั๊ม คอยเก็บขวดขาย เพื่อหาค่าน้ำมัน ประคองตัวให้ถึงจุดหมาย

(7 มี.ค.67) ที่ปั๊มน้ำมัน บนถนนหมายเลข 24 ก่อนถึงสี่แยกไฟแดง อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวพบกับคุณตาท่านหนึ่ง นอนอยู่บนรถซาเล้ง จอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อภายในบริเวณปั๊ม โดยท้ายรถมีถุงขนาดใหญ่ 3 ถุงที่ใส่ขวดพลาสติก และกระป๋องเครื่องดื่มที่กินหมดแล้ว

แต่ที่สะดุดตาคือมีป้ายที่เขียนด้วยลายมือมีข้อความว่า “ผู้เฒ่าเลาะเก็บขยะสัญจร จากน้ำยืนอุบล ถึง จ.ตราดเด้อครับ” จึงได้เข้าไปสอบถาม

คุณตาเล่าว่า คุณตาชื่อ นายหลอย ทาพิลา อายุ 70 ปี เป็นชาวบ้านบุเปือย ต.บุเปือย อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันอาศัยอยู่คนเดียว เพราะเลิกรากับภรรยานานหลายปีแล้ว ส่วนลูกๆ ก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัวหมด ที่บ้านคุณตาไม่มีที่ทางทำกิน ต้องอาศัยเก็บขวด เก็บของเก่า ตามถังขยะและตามข้างทางนำไปขายเลี้ยงชีพ จะไปรับจ้างใครก็ไม่ไหว เพราะอายุเยอะแล้ว

วันนี้ที่ตัดสินใจออกเดินทางมาถึงที่อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เพราะมีเป้าหมายว่าจะเดินทางไป จ.ตราด เพราะอยากเห็นทะเลและเกาะช้าง ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นน้ำทะเล คิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตก็อยากจะเห็นทะเลกับเขาสักครั้ง จึงตัดสินใจควบรถซาเล้งคู่ใจออกเดินทางทันที

โดยออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.67 ที่ผ่านมา และมีเงินติดตัวมา 200 บาท อาศัยเก็บของเก่าตามข้างทางขายพอได้เติมน้ำมันไปเรื่อยๆ ค่ำไหนก็นอนนั่น โดยจะเน้นนอนตามปั๊มน้ำมัน เพราะมีน้ำให้อาบมีแสงสว่างไม่น่ากลัว

ส่วนอาหารการกินก็ซื้อบ้าง มีคนสงสารให้บ้าง บางทีก็อาศัยข้าววัดบ้าง คิดว่าสักวันก็น่าจะถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ แต่ที่กังวลใจอยู่บ้างก็คือเรื่องเจ้ารถซาเล้งคู่ใจ ไม่รู้ว่าจะงอแงตามทางหรือไม่ แต่ก็จะพยายามไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดหมาย ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปให้เห็นกับตาให้ได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top