Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ส่งความสุข และกำลังใจ มอบอั่งเปา ชุดของขวัญ และจัดเลี้ยงอาหารแก่ผู้สูงวัย ในสถานสงเคราะห์คนชรา และสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง รวม 8 แห่ง เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567

วันนี้ (วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย พร้อมด้วยนางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ นำทีมฝ่ายสังคมสงเคราะห์ฯ นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่มอบเงินอั่งเปาคนละ 1,000 บาท  พร้อมชุดของขวัญ และจัดเลี้ยงอาหาร ให้กับผู้สูงวัยในสถานสงเคราะห์คนชราปากน้ำ (มูลนิธิวัยวัฒนานิวาส) สถานสงเคราะห์คนชราบางเขน (มูลนิธิธารนุเคราะห์) และสถานสงเคราะห์คนชราปทุมธานี (มูลนิธิมิตรภาพสงเคราะห์) เพื่อเป็นการเยี่ยมเยียนและเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้สูงวัย เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567  โดยมีมูลนิธิจีน 4 แห่ง ประกอบด้วย มูลนิธิสามัคคีการกุศลสงเคราะห์ มูลนิธิส่งเสริมวัฒนธรรม มูลนิธิส่งเสริมศีลธรรมสงเคราะห์ และ มูลนิธิศรัทธาสงเคราะห์ ร่วมดำเนินการ พร้อมด้วย นางชญาน์นันท์ สรพลจิโรจเดชา หัวหน้าแผนกสื่อสารองค์กร(จีน)  พร้อมทีมงาน และนางสาวอัญชลี จงคดีกิจ (ปุ๊-อัญชลี) ร่วมลงพื้นที่มอบสิ่งของ โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น 

และในวันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดลงพื้นที่ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบางละมุง จ.ชลบุรี สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี จ.นนทบุรี ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุปทุมธานี จ.ปทุมธานี สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี จ.ปทุมธานี และ สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อมอบเงินอั่งเปาคนละ 1,000 บาท  พร้อมชุดของขวัญ และจัดเลี้ยงอาหาร  เพื่อเป็นการเยี่ยมเยียนและเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้สูงวัย เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2567

โครงการป่อเต็กตึ๊ง จัดเลี้ยงอาหารคนชรา เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มูลนิธิได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นเวลา 57 ปี โดยในปี 2567 นี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และมูลนิธิอีก 4 แห่ง  สถานสงเคราะห์คนชรา ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการ และสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง  รวม 8 แห่ง  รวมงบประมาณดำเนินการทั้งสิ้น 755,000 บาท (เจ็ดแสนห้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน)

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

5 ประเทศที่ ‘คนเวียดนาม’ ไปเรียนต่อมากที่สุด

จากข้อมูลของ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในปี 2021 เวียดนามเป็นประเทศอาเซียนที่มีประชากรออกไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศ จำนวนทั้งหมด 137,022 คน

โดยจุดหมายยอดฮิต 5 อันดับแรก คือ ญี่ปุ่น (44,128 คน) เกาหลีใต้ (24,928 คน) สหรัฐอเมริกา (23,155 คน) ออสเตรเลีย (14,111 คน) แคนาดา (8,943 คน) นอกจากนี้ ตัวเลขนักเรียนนอกของเวียดนามเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนยังเรียกได้ว่านำแบบไม่เห็นฝุ่น เพราะอันดับ 2 อย่าง ‘อินโดนีเซีย’ นั้นมีจำนวนนักเรียนที่ไปเรียนต่างประเทศเพียง 59,224 คน อันดับ 3 อย่าง ‘มาเลเซีย’ มี 48,810 คน ขณะที่ ‘ไทย’ ที่มาเป็นอันดับที่ 4 มีทั้งหมด 28,609 คน

ปัจจัยที่ทำให้เวียดนามมีนักเรียนออกไปเรียนต่างประเทศได้มาก มีทั้ง ‘ค่านิยมในการออกไปเรียนต่างประเทศของชาวเวียดนาม’ เอง ในกรณีที่เป็นครอบครัวมีฐานะและมีกำลังส่งลูกหลานไปเรียน และ ‘ทุนการศึกษาจากต่างประเทศ’ 

โดยในหมู่ทุนการศึกษาทั้งหมด ทุนที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ คือ ทุนจากมูลนิธิ Vietnam Education Foundation (VEF) ที่ ‘สหรัฐอเมริกา’ ตั้งขึ้นในปี 2003 เพื่อให้ทุนการศึกษาเด็กเวียดนามไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ โดยใช้เงินจำนวน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เวียดนามส่งเป็นเงินใช้หนี้สงครามให้สหรัฐฯ ทุกปี โดยส่วนมากจะได้เข้าศึกษาในคณะและสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในมหาวิทยาลัยดังระดับโลกต่าง ๆ ทั้ง Harvard และ Stanford

ความสำคัญของทุนนี้เห็นได้ชัดจากผลงานของผู้ได้รับทุนเก่าที่ส่วนมากกลับมาทำงาน และประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ในประเทศ โดยเฉพาะสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยี โดยผลงานที่โดดเด่นของผู้ได้รับทุน VEF ก็อย่างเช่น Palexy บริษัทสตาร์ตอัปด้านแมชชีนเลิร์นนิ่ง และ VNG บริษัทยูนิคอร์นเจ้าของแอปแชท Zalo ที่ในปัจจุบันเป็นที่นิยมในเวียดนามมากกว่า Facebook

นี่ทำให้นอกจากเวียดนามจะมีเด็กไปเรียนต่างประเทศเป็นจำนวนมากแล้ว จำนวนหนึ่งยังเป็นผู้ที่กำลังศึกษาด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแรงงานที่เป็นที่ต้องการมากในหลาย ๆ ประเทศที่กำลังแข่งขันกันสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้ง เวียดนามที่มีการเติบโตรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีศักยภาพในการดึงแรงงานกลับประเทศ ไม่เกิดปรากฏการณ์ ‘สมองไหล’ อย่างที่ผ่านมา

ปัจจุบัน เวียดนามมีตลาดงานที่พร้อมรองรับบัณฑิตศักยภาพสูงจากต่างประเทศ เพราะเป็นประเทศที่มีบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ สนใจเข้าไปลงทุนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น LG และ Alibaba และมีศักยภาพในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีระดับสูงต่าง ๆ โดยในปี 2020 มีการส่งออกสินค้าในประเภทนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 42% เพิ่มจากเพียง 13% ในปี 2010

จากการศึกษาของ Google, Temasek, และ Bain เวียดนามจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตมากที่สุดในภูมิภาคภายอาเซียนภายในปี 2025 และดึงดูดเงินลงทุนได้มากที่สุดในระหว่างปี 2025-2030

‘บอร์ดอีวี’ ไฟเขียว!! ซื้อ ‘รถบัส-รถบรรทุกไฟฟ้า’ ลดภาษีสูงสุด 2 เท่า ชี้!! มีผลบังคับใช้ถึงสิ้นปี 68 หวังลดการปล่อย ‘มลภาวะ’ ภาคขนส่ง

(21 ก.พ.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือบอร์ดอีวี (EV) ครั้งแรกของปี 2567 โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบมาตรการสำคัญเพื่อส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าให้ครบทั้งระบบ

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทั้งรถโดยสารไฟฟ้า (E-Bus) และรถบรรทุกไฟฟ้า (E-Truck) โดยอนุญาตให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งานมาหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้

โดยแยกเป็น กรณีซื้อรถที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ สามารถนำมาหักค่าใช้จ่าย ได้ 2 เท่า ส่วนกรณีนำเข้ารถสำเร็จรูปจากต่างประเทศ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า 

สำหรับมาตรการนี้จะมีผลใช้บังคับจนถึงสิ้นปี 2568 ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ซื้อรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งานสามารถซื้อได้ไม่จำกัดจำนวน และไม่กำหนดเพดานราคาขั้นสูง คาดว่ามาตรการนี้จะช่วยเร่งให้เกิดการปรับเปลี่ยนรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คัน โดยขั้นตอนต่อจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมสรรพากร พิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

นายนฤตม์ กล่าวว่า การออกมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่นี้ จะช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจในการลดการปล่อยคาร์บอน ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน รวมถึงช่วยสร้างฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในประเทศ 

“การที่บอร์ดอีวีได้ออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดจากมาตรการ EV3 และ EV3.5 ที่เน้นกลุ่มรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ และรถกระบะเป็นหลัก คาดว่าจะมีการซื้อรถโดยสารไฟฟ้าประมาณ 6,000 คัน และรถบรรทุกไฟฟ้าอีก 4,000 คัน ช่วยลดการปล่อยมลภาวะในภาคการขนส่ง และผลักดันการเป็นศูนย์กลางอีวีของภูมิภาคในรถยนต์ทุกประเภท” นายนฤตม์ กล่าว

พร้อมกันนี้ที่ประชุมบอร์ดอีวี ยังได้เห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 เช่น ขยายขอบเขตของรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิให้ครอบคลุมรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน และเพิ่มคุณสมบัติของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า กรณีที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 3 kWh แต่มีระยะทางวิ่งมากกว่า 75 กิโลเมตรต่อรอบการชาร์จ รวมทั้งมีมาตรฐานความปลอดภัย สามารถเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ได้ เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการมากขึ้น

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐสามารถกระตุ้นตลาดอีวีในประเทศ ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากยอดจดทะเบียนรถยนต์อีวีที่สูงถึงกว่า 76,000 คันในปี 2566 เพิ่มขึ้น 6.5 เท่าจากปีก่อน นำมาสู่การลงทุนในอุตสาหกรรมอีวีแบบครบวงจร

โดยข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 บีโอไอ ได้ให้การส่งเสริมอุตสาหกรรมอีวี จำนวน 103 โครงการ เงินลงทุนรวม 77,192 ล้านบาท แบ่งเป็น

- รถยนต์อีวี 18 โครงการ 40,004 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์อีวี 9 โครงการ 848 ล้านบาท
- รถบัสอีวีและรถบรรทุกอีวี 3 โครงการ 2,200 ล้านบาท
- แบตเตอรี่สำหรับรถอีวีและ ESS 39 โครงการ 23,904 ล้านบาท
- ชิ้นส่วนสำคัญ 20 โครงการ 6,031 ล้านบาท
- สถานีอัดประจุไฟฟ้า 14 โครงการ 4,205 ล้านบาท

ผบ.ศูนย์สงครามพิเศษ ประดับปีกร่ม ให้กับนักศึกษา มส.16 เข้าเป็นครอบครัวพลร่มป่าหวาย 

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ศูนย์สงครามพิเศษ จ.ลพบุรี พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ประธานมูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง และประธานหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.) พร้อมด้วยพล.อ.ดร.มารุต ปัชโชตะสิงห์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคง
ขั้นสูง (มส.) ผศ.พล.อ.ต.หญิง ดร.พัชรี พิพิธสุขสันต์ รองผู้อำนวยการฯ ดร.วรวุฒิ ไชยศร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฯ พร้อมอาจารย์ประจำหลักสูตร นำนักศึกษาหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.) รุ่น 16 ศึกษาดูงานและเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ทหารรบพิเศษ โดยมี พล.ต.เดชา ศรีมงคล  (ผบ.ศสพ. )ผบ.ศูนย์สงครามพิเศษ ให้การต้อนรับ และบรรยายสรุปถึงความเป็นมาของหน่วย 

พร้อมกันนี้ พล.ต.เดชา ศรีมงคล เป็นประธานในพิธีประดับเครื่องหมายร่มสัมพันธ์ ให้นักศึกษาหลักสูตร มส.รุ่น 16 เข้าเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ 

จากนั้น คณะนักศึกษาร่วมฟังการบรรยายพิเศษจาก คุณสมนึก เต็งชาตะพันธุ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สุรินทร์ ออมย่า เคมิคอล (ประเทศไทย) จำกัด ฐานะรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก่อนจะเดินทางกลับ 

สำหรับหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง ( มส) จัดโดย มูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง ภายใต้วิสัยทัศน์ 4 สร้างคือ สร้างความมั่นคงแห่งชาติ สร้างความมั่นคงของมนุษย์ สร้างความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างคุณธรรมจริยธรรม 

เป็นหลักสูตรเดียวที่นำผู้เข้ารับการอบรมศึกษาดูงานด้านความมั่นคงครบทั้ง 4 เหล่าทัพ คือ กองทัพอากาศ  กองทัพบก กองทัพเรือ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้เรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึงบทบาทหน้าที่ภารกิจของกองทัพแต่ละกองทัพ แลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อร่วมกันพัฒนาสังคม ประเทศชาติให้เกิดความมั่นคงในทุกมิติ ตามวิสัยทัศน์ 4 สร้างของหลักสูตร มส.

‘กลุ่มเพื่อน’ แฉ!! พฤติกรรมสุดเหี้ยม ‘ทอย’ สามี ‘น้องนุ่น’ เคยกรีดหน้าตัวเองสมัยประถม - มีนิสัยโรคจิตตั้งแต่เรียน

(21 ก.พ.67) จากกรณีเหตุการณ์นายศิริชัย รักทอง อายุ 33 ปี สามีน้องนุ่น เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ว่า น.ส.ชลลดา อายุ 27 ปี หรือน้องนุ่น ภรรยา หายตัวไปหลังมีปากเสียงทะเลาะกันในรถ แล้วภรรยาเปิดประตูลงรถไปเรียกแท็กซี่ ก่อนหายตัวไปและไม่สามารถติดต่อได้ เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา และต่อมาชุดสืบสวน สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ได้คุมตัวนายศิริชัยจากบ้านพักมายัง สภ.ปากเกร็ด และเค้นสอบอย่างหนักจนปริปากยอมรับสารภาพเบื้องต้นว่า ได้พลั้งมือทำร้ายร่างกาย น.ส.ชลลดา จนเสียชีวิต ก่อนนำร่างไปเผาอำพรางคดีที่สวนยางพาราดังกล่าว แล้วกลับมาแจ้งความเพื่อกลบเกลื่อนความผิด

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโซเชียลมีการเผยแพร่คอมเมนต์ข้อความกลุ่มเพื่อนของทอย ที่มาพูดถึงพฤติกรรมของผัวโหดรายนี้ หลังก่อเหตุฆ่าเผาน้องนุ่น ภรรยาตัวเอง

โดยเพื่อนคนหนึ่งได้ระบุถึงพฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมาของทอย ผัวโหด ด้วยว่า “โรคจิต ตั้งแต่สมัยเรียนประถมตอนเรียนด้วยกัน ไม่คิดเลยว่าจะทำจริงตอนโต กรีดหน้าตัวเองตอนนั้น ยังติดตาอยู่เลย มีแต่เลือด”

โดยยังคอมเมนต์อีกว่า “โตมายังโรคจิตเหมือนเดิม ขอเชิญรับกรรม ศิริชัย เสียดายและเสียใจที่ร่วมชั้น ร่วมโรงเรียนกับคนอย่างxึง”

นอกจากนี้ยังมีเพื่อนอีกคนโพสต์ข้อความถึงพฤติกรรมทอยด้วยว่า “ตอนอยู่ด้วยกันเห็นพฤติกรรมหมด กล้าแต่กับเมีย ปกติจะเป็นคนห้ามตลอด บอกให้ไอ้นุ่นหนีไป แต่เหตุการณ์วันนี้สุดเกินและเกินคน ห้ามมาตั้งกี่ครั้ง เตือนตั้งกี่ครั้ง เป็นพ่อคนแล้ว”

‘วราวุธ’ นั่งหัวโต๊ะ ถก ‘สวัสดิการ’ เพื่อประชาชน 4 ประเด็น จ่อชง ‘เบี้ยเด็กแรกเกิด-คนพิการ-ผู้สูงอายุ-ขยายรับเลี้ยงเด็ก’

(21 ก.พ.67) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนสวัสดิการโดยรัฐ เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมเห็นชอบในวาระสำคัญ 4 ประเด็น ได้แก่

ประเด็นที่ 1 คือ เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจนถึง 6 ปีที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ซึ่งตอนแรกการให้เงินสนับสนุน 600 บาทต่อคนต่อเดือนนั้น จะเป็นไปตามเส้นความยากจน ซึ่งมีประมาณ 4 ล้านกว่าคน ในขณะนี้ได้รับเงินอุดหนุนอยู่ประมาณ 2 ล้านกว่าคน แต่จากการประชุมในวันนี้ได้เปลี่ยนวิธีการให้เงินสนับสนุนเป็นแบบถ้วนหน้า เพื่อที่ว่าเด็กแรกเกิดจนถึง 6 ปี ทุกคนในประเทศไทย จะได้รับเงินอุดหนุนจำนวนนี้

ประเด็นที่ 2 ได้มีการขอให้ปรับศูนย์เลี้ยงดูเด็กและส่งเสริมการพัฒนาเด็ก ให้มีการเลี้ยงดูซึ่งในตอนแรก เป็นเด็กตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 3 ปี ตนได้ขอให้ปรับเป็น 3 เดือน จนถึง 3 ปี เพราะจะได้สอดคล้องกับกฎหมายแรงงานที่อนุญาตให้ผู้เป็นแม่สามารถลาคลอดได้ 98 วัน หรือประมาณ 3 เดือนกว่าๆ โดยจะขอให้ศูนย์เลี้ยงดูเด็กได้ตั้งแต่ 3 เดือน จนถึง 3 ปี

ประเด็นที่ 3 เกี่ยวกับเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุ จากที่ก่อนหน้านี้ มีการจ่ายแบบขั้นบันได คือ 600-700-800 และ 1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะขอเป็นแบบถ้วนหน้า และจะปรับเป็น 1,000 บาททุกคน ดังนั้นพี่น้องผู้สูงอายุจากเดิมที่ได้แบบขั้นบันไดและไม่ถ้วนหน้า แต่จากนี้ไป จะได้เป็นเดือนละ 1,000 บาทแบบถ้วนหน้า ทั้งนี้ เป็นการเห็นชอบของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งจะต้องนำเสนอเข้าคณะกรรมการใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

ประเด็นที่ 4 เกี่ยวกับเรื่องเบี้ยความพิการ จาก 800 บาทต่อคนต่อเดือน เราปรับเป็น 1,000 บาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ช่วยคนพิการ จากที่เมื่อก่อนได้รับค่าตอบแทนชั่วโมงละ 50 บาท ตอนแรกคณะทำงานเสนอปรับจาก 50 บาท เป็น 80 บาทต่อชั่วโมง ซึ่งทางตนและที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่าควรจะปรับขึ้นเป็น 100 บาทต่อชั่วโมง รวมถึงการจัดหาการบริการกายอุปกรณ์ให้กับคนพิการทุกๆคน

“4 ประเด็นนี้ เป็นข้อสรุปที่ทางคณะอนุกรรมการได้เห็นชอบเกี่ยวกับการดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน สตรี คนพิการ และผู้สูงอายุ แต่ขอย้ำว่าเป็นการเห็นชอบของคณะอนุกรรมการ ตามที่ทางคณะทำงานนำเสนอมาขั้นตอนต่อไปคณะอนุกรรมการจะต้องนำเสนอข้อเสนอทั้งหมดเข้าคณะกรรมการใหญ่เพื่อดำเนินการต่อไป” นายวราวุธ กล่าว

‘เจ้าชายวิลเลียม’ วอน!! ‘หยุดยิง’ ในกาซา ชี้!! สงครามทำผู้คนล้มตายมากเกินไปแล้ว

เจ้าชายวิลเลียมแห่งอังกฤษทรงเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา และตรัสว่า “ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส” จากสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งทำให้ “มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากมาย” ทำให้การฟื้นฟูสันติภาพคือสิ่งจำเป็น

(21 ก.พ.67) รอยเตอร์ รายงานว่า เจ้าชายวิลเลียม มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ ทรงออกคำแถลงเมื่อวันอังคาร (20 ก.พ.) เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่พลเรือนในกาซา และทรงเรียกร้องให้กลุ่มฮามาสปลดปล่อยตัวประกันทั้งหมดด้วย

“ข้าพเจ้ายังคงกังวลอย่างมากเกี่ยวกับต้นทุนมนุษย์ (human cost) ที่สูญเสียไปจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง นับตั้งแต่ผู้ก่อการร้ายฮามาสโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. มีผู้คนถูกสังหารมากมายเกินไปแล้ว” เจ้าชายวิลเลียมตรัส

“บางครั้งก็ต้องให้เผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานครั้งใหญ่ของมนุษย์ เราจึงจะเห็นคุณค่าของสันติภาพที่ยั่งยืนถาวร”

ย้อนหลังไปเมื่อปี 2018 เจ้าชายวิลเลียมทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของอังกฤษพระองค์แรกที่เดินทางไปเยือนอิสราเอลและดินแดนปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ และได้ทรงติดตามสถานการณ์ในภูมิภาคอย่างใกล้ชิดตลอดมา

สำนักพระราชวังเคนซิงตันแถลงว่า กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้รับทราบเนื้อหาในพระดำรัสของเจ้าชายวิลเลียม ก่อนที่จะมีการเผยแพร่ออกมา 

เจ้าชายวิลเลียมวัย 41 พรรษาได้เสด็จไปยังสำนักงานใหญ่สภากาชาดอังกฤษในกรุงลอนดอนเมื่อวานนี้ (20) เพื่อทรงรับฟังแนวทางการปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลาง

“ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกับอีกหลายๆ คนที่อยากเห็นสงครามครั้งนี้จบลงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้... ชาวกาซาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพิ่มขึ้นโดยด่วน การส่งความช่วยเหลือเข้าไป และการปล่อยตัวประกัน คือสิ่งที่สำคัญยิ่งยวด” เจ้าชายตรัส

อีลอน เลวี โฆษกรัฐบาลอิสราเอล ได้ออกมาแถลงตอบพระดำรัสของเจ้าชายแห่งเวลส์ โดยกล่าวว่า “ชาวอิสราเอลก็ปรารถนาที่จะเห็นการสู้รบยุติลงโดยเร็วที่สุดเช่นกัน และนั่นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อตัวประกัน 134 คนได้รับการปลดปล่อย และหลังจากที่กองทัพผู้ก่อการร้ายฮามาสซึ่งข่มขู่ใช้ความรุนแรงเหมือนเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ถูกทำลายหมดสิ้นไป”

เลวี กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า รัฐบาลอิสราเอล “รู้สึกซาบซึ้งที่เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงเรียกร้องให้ฮามาสปลดปล่อยตัวประกัน และยังสำนึกในพระกรุณาฯ ที่ได้ทรงมีพระดำรัสเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ประณามการก่อการร้ายโดยพวกฮามาส อีกทั้งทรงสนับสนุนสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอล”

สัปดาห์หน้าเจ้าชายวิลเลียมทรงมีกำหนดการเสด็จเยี่ยมโบสถ์ยิวแห่งหนึ่ง เพื่อทรงรับฟังมุมมองจากคนหนุ่มสาวเกี่ยวกับการรับมือกระแสเกลียดชังชาวเซมิติก (anti-Semitism) หลังจากปีที่แล้วเป็นปีที่กระแสต่อต้านชาวยิวในอังกฤษทวีความรุนแรงเป็นประวัติการณ์ 

'สุกี้ตี๋น้อย' แจกโบนัสพนักงาน 2.5 เดือน ขวัญถุงอีกคนละ 5,000 บาท หลังปี 66 โกย 5 พันล้าน อานิสงส์ 'ขยายสาขา-ข้าวแกง-Express' ช่วยโต

(21 ก.พ. 67) บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) ได้ประกาศรายได้ปี 2566 ว่า มีรายได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 5.244 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น +31.9% จากปี 2565 และกำไรปี 2566 อยู่ที่ 913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +54.5% จากปี 2565 ซึ่งกำไรนี้ยังทำให้บริษัทใหญ่อย่าง Jay Mart ที่ถือหุ้น 30% ของสุกี้ตี๋น้อย ได้อานิสงค์ในกำไรไปถึง 247 ล้านบาท

สำหรับ รายได้ กำไรของสุกี้ตี๋น้อยย้อนหลัง 5 ปี…

- ปี 2562 รายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท
- ปี 2563 รายได้ 1.223 พันล้านบาท กำไร 140 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 1.572 พันล้านบาท กำไร 147 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 3.976 พันล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้ 5.244 พันล้านบาท กำไร 913 ล้านบาท

จากอานิสงค์ความปังดังกล่าว ได้ส่งต่อไปยังพนักงานสุกี้ตี๋น้อยทุกคน ด้วยการประกาศทุ่มเงินจำนวน 110 ล้านบาท เพื่อใช้ในการแจกเงินโบนัสให้กับพนักงานทุกคนจำนวน 2.5 เท่าของเงินเดือน และแจกเงินขวัญถุงไว้สำรองให้แก่พนักงานอีก 5,000 บาท ให้กับพนักงานมากกว่า 2,500 ชีวิต

คุณนัทธมน พิศาลกิจวนิช เจ้าของกิจการร้านสุกี้ตี๋น้อย เล็งเห็นว่า พนักงานมีส่วนสำคัญที่สุดในการเติบโตของบริษัท เพราะถ้าไม่มีพวกเขา เราก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา สุกี้ตี๋น้อยได้เพิ่มสาขามากขึ้นในต่างจังหวัดถึง +12 สาขา อีกทั้งยังมีการเพิ่มพอร์ตธุรกิจด้วยการแตกไลน์ไปที่ ข้าวแกงตี๋น้อยปันสุข และธุรกิจตี๋น้อย Express ซึ่งเป็นการชิงตลาดของผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางมากขึ้น

อีกทั้งยังตั้งเป้าจะสาขาไปที่ภาคเหนือและอีสานโดยเน้นหัวเมืองใหญ่อย่าง เชียงใหม่, ขอนแก่น และอุดรธานี ปัจจุบัน สุกี้ตี๋น้อยมีสาขาทั้งหมด 57 สาขา

23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2436 ‘ในหลวงรัชกาลที่ 5’ ทรงสถาปนา ‘โรงเรียนวัดบวรนิเวศ’ รร.ต้นแบบแห่ง ‘หลักสูตร-วิธีการสอน’ ที่เผยแพร่ไปทั่วไทย

‘โรงเรียนวัดบวรนิเวศ’ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง ‘วิทยาลัย’ ขึ้นในวัดบวรนิเวศ โดยพระราชทานนามว่า มหามกุฏราชวิทยาลัย เพื่อใช้เป็นที่ศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุ สามเณร ทั้งนี้เบื้องต้นได้แบ่งเป็น 2 แผนก คือ ส่วนที่ใช้เป็นที่เล่าเรียนพระปริยัติธรรม และอีกส่วนจัดตั้งเป็นโรงเรียน โดยให้เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาลัยแห่งนี้

จึงเป็นที่มาของ ‘โรงเรียนวัดบวรนิเวศ’ โดยในยุคแรกเริ่ม ได้เชิญ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรณาณวโรรส มาทรงเป็นผู้จัดการโรงเรียนพระองค์แรก ต่อมาการเรียนการสอนในโรงเรียน ได้ขยายตัวกว้างขวางออกไปตามลำดับ ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงมีพระราชประสงค์ให้ขยายการศึกษาให้แพร่หลายไปทั่วประเทศ จึงโปรดเกล้าฯ ให้นำหลักสูตรและวิธีการสอนที่ใช้ในโรงเรียนวัดบวรนิเวศ ไปใช้สอนตามโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ดังนั้น จึงถือได้ว่า โรงเรียนวัดบวรนิเวศ กลายเป็นโรงเรียนตัวอย่างในการใช้หลักสูตร เป็นแห่งแรกของประเทศไทย

จวบจนเข้าสู่รัชสมัยในรัชกาลที่ 6 โรงเรียนวัดบวรนิเวศก็ยังถูกใช้เป็นสถานที่เพาะบ่มความรู้ โดยในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ สร้างตึกมนุษยนาควิทยาทาน นอกจากจะเป็นที่ระลึกแก่ พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส อาคารแห่งนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับการเรียนการสอนของนักเรียนโรงเรียนวัดบวรนิเวศ และโรงเรียนฝึกหัดครูวัดบวรนิเวศอีกด้วย

นับถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 131 ปีมาแล้ว ที่โรงเรียนวัดบวรริเวศได้เปิดการเรียนการสอนตลอดมา และเหนือสิ่งอื่นใด คือการผลิตบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ ออกสู่สังคม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ

ร่าง กม. ‘คำนำหน้านาม’ ระบุเพศให้ LGBTQ ร่วง!! เสียงส่วนใหญ่ ชี้!! ไม่ได้จะเปลี่ยนแปลงกันง่ายๆ

(21 ก.พ.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่สอง เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรับรองเพศ คำนำหน้านาม และการคุ้มครองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ พ.ศ…. เสนอโดยนายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และคณะเป็นผู้เสนอ ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่วาระนายอัครนันท์​ กัณณ์กิตตินันท์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เสนอให้เจ้าของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว พิจารณาถอนร่างพ.ร.บ.ฯ ออกไปก่อน เพื่อรอร่างของภาคประชาชนที่มีแนวคิดคล้ายๆ กันที่จะเสนอเข้ามา ถึง 2 ฉบับ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอย่างมาก จึงมีความจำเป็นต้องรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งที่อยู่ในกลุ่ม LGBTQ และไม่ได้เป็น LGBTQ เพื่อให้กฎหมายเป็นของทุกกลุ่ม

แต่นายธัญวัจน์ ยืนยันไม่ถอนร่างฯ ออก เนื่องจากเห็นว่าเราสามารถสร้างพื้นที่การมีส่วนร่วมได้อยู่แล้ว และเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศรออยู่ เราก็ควรจะต้องผลักดัน และสภาฯ ก็เปิดกว้างอยู่แล้ว และเรื่องนี้มีการผลักดันกันตั้งแต่ปี 2559 แล้ว

ทำให้ที่ประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวต่อ โดยนายธัญวัจน์ ชี้แจงเหตุผลว่า โดยที่รัฐธรรมนูญ รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลยอมได้รับความคุ้มครอง แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายรับรองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ จึงส่งผลให้เกิดการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเอกสารของรัฐไทย ยังกำหนดให้ใช้คำนำหน้านามซึ่งถือตามเพศกำเนิดได้แก่ เด็กชาย เด็กหญิง นาย นางสาว และนาง ส่งผลให้บุคคลข้ามเพศและผู้หลากหลายทางเพศอื่นประสบปัญหาในการแสดงตัวตน การจะตัดสินใจกำหนดวิถีทางเทศ และกระทบต่อการดำเนินชีวิต จึงสมควรมีกฎหมายออกมาคุ้มครอง

นายธัญวัจน์ กล่าวต่อว่า หากเราจะเปลี่ยนแปลงการประกอบสร้างสังคมใหม่ เราจำเป็นต้องคืนเจตจำนงเรื่องของการระบุเพศให้กับพวกเขา เรื่องเพศเป็นเรื่องสำนึกภายในที่จะบอกตนเองได้ว่าตัวเองเป็นอะไร และอยากจะดำเนินชีวิตอย่างไร ทั้งวิถีและการแสดงออก โดยหลักการสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้คือ Self-determination หรือการกำหนดเพศด้วยตัวเอง นี่คือจุดเริ่มที่เราจะเปลี่ยนแปลงการประกอบสร้าง และมีอีกหลายก้าวสำคัญที่ต้องผลักดันเพื่อให้สังคมได้โอบรับกับความหลากหลาย เพราะเพศมีคำอธิบายมากกว่าเรื่องของร่างกายและกายภาพซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ได้นิยามอัตลักษณ์ทางเพศว่า คือการที่บุคคลหนึ่งรับรู้ต่อตนเองว่าคือใคร และเป็นเพศอะไร ซึ่งจะสอดคล้องกับสิ่งที่สังคมกำหนดหรือไม่ก็ได้ หมายรวมถึงการแสดงออกทางเพศด้วย ทำให้เราจำเป็นต้องออกกฎหมายที่คำนึงถึงเรื่องของอัตลักษณ์ทางเพศไม่ใช่แค่เพศสภาพทางเพศเท่านั้น

จากนั้นเป็นการแสดงความคิดเห็นโดย สส.พรรคก้าวไกล อภิปรายสนับสนุน ขณะที่สส.พรรครัฐบาลทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชาติ อภิปรายคัดค้าน ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ อาทิ นายธีระชัย แสนแก้ว สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การออกกฎหมายใดๆ จะต้องสอดคล้องกับบริบทสังคมหากกฎหมายใดสุดโต่งเกินกว่าความต้องการของสังคมกฎหมายนั้นก็จะไม่สร้างประโยชน์ แล้วจะไม่ตอบโจทย์สภาพสังคมได้ อาจจะสร้างปัญหาตามมา ที่ผ่านมาสภาฯ ได้มีการพิจารณากฎหมายสมรสเท่าเทียม และได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ เพื่อใช้สิทธิเสรีภาพในการสมรสรับรองความเป็นคู่สมรสของคน 2 เพศและเพศเดียวกัน ซึ่งตนอภิปรายสนับสนุนเรื่องนี้มาโดยตลอด เพราะคิดเสมอว่าไม่ว่าใครบนโลกใบนี้ต่างก็มีความรัก ไม่ควรถูกปิดกั้นเพราะเป็นเพียงแค่เกิดมาเป็นเพศใดเพศหนึ่ง

นายธีระชัย กล่าวต่อว่า คำนำหน้าชื่อไม่ว่าจะเป็นนาย นาง นางสาว ที่เป็นการแบ่งเพศตามสภาพมาตั้งแต่กำเนิด ตนมีความห่วงใยและความกังวลในการเปลี่ยนได้ตามความสมัครใจ เพราะในต่างประเทศสามารถให้เปลี่ยนคำนำหน้าได้ มีกฎ มีเงื่อนไขยากง่ายแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าไม่ว่าจะเป็นเพศไหนทุกคนควรมีสิทธิ์ได้เลือกความเป็นตัวเอง หากเขาไม่สะดวกที่ต้องใช้คำนำหน้าที่ไม่ตรงกับเพศสภาพในปัจจุบัน ตนคิดว่าเขาควรมีสิทธิ์เลือกไม่ใส่คำนำหน้านามก็ได้ แต่ขอยกตัวอย่างประเทศ

เช่น สวีเดน ฟินแลนด์ การเปลี่ยนคำนำหน้าไม่ได้จะเปลี่ยนกันง่าย ต้องพบจิตแพทย์ ต้องทำหมัน เพื่อกันกรณีถูกข่มขืนและตั้งท้อง แล้วประเทศเราจะใช้หลักอะไร ซึ่งถือเป็นข้อกังวล เพราะอาจเป็นต้นเหตุของการก่ออาชญากรรม เช่น การเปลี่ยนเพื่อไปหลอก ลวนลามบุคคลอีกเพศ เพื่อบอกว่าเป็นเพศเดียวกัน

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา ตนได้ไปเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำอุดรธานีกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้ไปเห็นการแบ่งแยกนักโทษชายหญิง ถ้าสมมติว่าเพศทางเลือกได้กระทำผิด ซึ่งเขามีจิตใจไม่ตรงกับเพศสภาพ แล้วเขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เขาต้องอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังชายหรือหญิง

"ผมเห็นบางคนเพศสภาพอาจจะเป็นชาย แต่จิตใจเขาเป็นผู้หญิง พอเขาเข้าไปในเรือนจำ คนพวกนี้จะมีสภาพจิตใจอย่างไร เพราะนมก็ยังไม่ได้เอาออก ต้องตัดผมสั้นอีก อย่างนี้เราจะให้เขาได้รับสิทธิ์เลือกหรือไม่ หรือสามารถเปิดพื้นที่ส่วนหนึ่งได้หรือไม่ เพราะจะต้องใช้สถานที่ ผมเป็นคนคิดมาก แม้สนับสนุนเรื่องแบบนี้มาโดยตลอด แต่ผมเป็นห่วงว่าแต่ละคนสภาพไม่เหมือนกัน บางคนสามารถเตะก้านคอผู้ชายสลบอย่างนี้ก็มี แต่เขาสามารถแปลงเพศได้ อรชรอ้อนแอ้น อย่างนี้เปลี่ยนแล้วจะมีความเป็นธรรมหรือเปล่า เพราะการจะสร้างความเป็นธรรม เท่าเทียมเราสามารถสร้างได้ด้วยตัวเองมากกว่า เราสามารถผลักดันให้ผู้มีอำนาจใช้กลไกทางกฎหมายสร้างความเป็นธรรมให้ได้เป็นรูปธรรมได้ดียิ่งกว่าการเปลี่ยนนายเป็นนาง หรือเปลี่ยนนางเป็นนาย ผมไม่อยากมองว่า แค่คำนำหน้านาม นาย นาง นางสาว เด็กชาย เด็กหญิง เป็นกรอบกำหนดในชีวิต เพราะไม่ว่าท่านจะเป็นนาย นาง นางสาว หรือมนุษย์ เสมอภาคกันทุกคน เพราะก็คนเหมือนกัน ผมเชื่อว่าถ้าคนเรารักกันจริง คำนำหน้านามไม่จำเป็นต้องเอามาเป็นกำแพงปิดกั้นความรัก ถ้าเราเอานาย นาง นางสาว มาเป็นอุปสรรค เพื่อปิดกั้นความรัก ผมว่ามันไม่ใช่ความรัก ดังนั้นหากจะทำกันจริงๆขอให้ละเอียดรอบคอบกว่านี้" นายธีระชัย กล่าว

ส่วนนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า รู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งที่สภาฯ เปิดพื้นที่ให้กับการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพมนุษยชน และรู้สึกเท่ที่สภาไทยพูดถึงเทรนของโลก กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีหลายเรื่องที่ให้ความเป็นธรรม เช่น นิติสินสมรส และเสรีภาพขั้นพื้นฐานอื่นๆ แต่พอมาดูเรื่องของคำเปลี่ยนคำนำหน้านาม เราต้องรับฟังให้รอบ อย่าเหาะเกินลงกา ไปไกลชนิดที่ว่าสุดลิ่มทิ่มประตู และจะทำให้สร้างปัญหาต่อ ก่อปัญหาใหม่ และการที่เราจะภาคภูมิใจหรือไม่ภาคภูมิใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้คำนำหน้าว่าอะไร

“คงไม่ใช่ว่าปกติเป็นคนหม่นหมองตรอมเศร้า ผลไม้ที่ชอบคือระกำ ปลูกดอกไม้ก็ปลูกดอกลั่นทม ฉันจะปลูกหญ้า เมื่อปลูกหญ้าก็ตรอมใจ เป็นคนประเภท ระทม ระกำตรอมใจ แต่พอเปลี่ยนคำนำหน้านามแล้วจะลุกมาแฮปปี้ชนิดที่ว่าเปลี่ยนปุ๊บแฮปปี้ปั๊บ คงไม่ใช่เช่นนั้น แต่ความภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือเป็นหญิง หรือจะเป็น LGBTQ เราสามารถภาคภูมิใจได้” นายอนุสรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ นายนายอนุสรณ์ ได้ร้องเพลง ‘กะเทยประท้วง’ ของปอยฝ้าย มาลัยพร กลางสภาว่า “ฉันภูมิใจ ภูมิใจที่เป็นกะเทย ไผสิเว้าเยาะเย้ย กะส่างเถาะเว้ย กะส่างเถาะเว้ยปากคน” พร้อมระบุว่าเป็นกะเทยก็ภาคภูมิใจได้แล้ววันนี้คำว่ากะเทย คำที่บ่งบอกถึงเพศสภาพที่ 3, 4, 5 ไม่ใช่สิ่งที่จะไปบูลลี่กัน ไม่ใช่คำที่ฟังแล้วถูกประณามหยามหมิ่น สังคมเราเป็นประเทศที่เปิดรับและเปิดกว้างกับคำหลากหลายทางเพศ ดังนั้นสิ่งที่ต้องตั้งข้อสังเกตคือ เราจะเป็นชายจริงหญิงแท้ LGBTQ เราควรจะภาคภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น ตนเชื่อมั่นว่าเราจะใช้คำนำหน้าว่าอย่างไรเราก็ภาคภูมิใจได้ก่อนที่เราจะเรียกร้องให้คนอื่นเคารพเรา เราควรเคารพผู้อื่นก่อน ก่อนที่เราจะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กับตนเอง เราหันไปมองรอบด้านเสียก่อนว่า สิทธิ์ที่เราเรียกร้องนั้นได้ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นหรือไม่ และต้องระมัดระวังผลกระทบ ที่จะตามมาอย่างที่ “ดา เอ็นโดรฟิน”ได้ร้องเพลงไว้ว่า ‘ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ’ ซึ่งหากเปลี่ยนคำนำหน้านาม จะไม่ได้หยุดแค่ที่ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ แต่จะกลายเป็นไม่รู้จักชายไม่รู้จักหญิง ไม่รู้จัก LGBTQ

ขณะที่ น.ส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขอสนับสนุนร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งตนเกิดมาด้วยเพศหญิง วันนี้ขอพูดเลยว่าตนใช้ชีวิตเหมือนเด็กผู้ชายมาตลอดตั้งแต่เด็กมีความรู้สึกชอบและรักเพศหญิงมาตั้งแต่เด็ก และใช้ชีวิตแบบนี้มาเป็นปกติ จนกระทั่งวันนี้อายุ 46 ปีแล้ว ตนภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนคำนำหน้าเป็นผู้ชายแต่อย่างใด แต่เวลาที่เราไปติดต่อราชการ หรือเวลาแนะนำตัวเอง จะต้องมีการหันกลับมามองทุกครั้งและมีความไม่แน่ใจว่า ตกลงเราผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ เมื่ออ่านในใบสมัครข้าราชการหรือเอกสารราชการคำนำหน้าขึ้นด้วยนางสาว ซึ่งจะมีเสียงซุบซิบนินทาตามหลังมาเสมอ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรมากมายแต่ก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจ และบางครั้งตอนที่เรายังไม่ได้คุยกับใครทุกคนก็ไม่ได้มองถึงขอบกพร่องตรงนี้ แต่เมื่อเริ่มคุยและลงท้ายด้วยค่ะ สิ่งที่ตามมาคืออคติของคนที่คุยกับเรา และมักจะมีคำนินทาตามหลังเสมอว่า ไอ้ทอม อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นคำพูดที่ค่อนข้างทำร้ายจิตใจ ผู้ใหญ่ที่ค่อนข้างเป็นหัวอนุรักษ์โบราณก็ไม่อยากคุยกับไอ้ทอม ซึ่งงานที่ไปติดต่อก็เป็นประโยชน์แต่โดนเหยียดทางอัตลักษณ์ทางเพศ

ส่วนนายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนขอพูดจากก้นบึ้งของหัวใจจากผู้หญิงข้ามเพศ อายุ 51 ปี ตนเจ็บปวดกับคำนำหน้านามว่า นาย มาตลอดชีวิต นี่เป็นความฝันสูงสุดของตนสิ่งหนึ่งกับการที่จะได้เปลี่ยนคำนำหน้าให้ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนในปัจจุบัน ตนฝันสิ่งนี้มานาน ความฝันของตนคือการได้เป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งตนได้บรรลุความฝันเป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์ไปหลายสิบปีแล้ว แต่ความฝันที่สองที่สูงสุดคือออกจากความจากความเจ็บปวดที่ตนถูกเรียกว่า นาย ทุกครั้ง และใครที่ไม่ได้เป็นบุคคลข้ามเพศไม่มีทางเข้าใจสิ่งนี้ ดังนั้นขอให้สภาฯมาร่วมกันถกเถียงปรับแก้ในจุดที่มีปัญหา และขอวิงวอนจากหัวใจของหญิงข้ามเพศที่รอสิ่งนี้มานานตลอดชีวิต

หลังสมาชิกอภิปรายเสร็จสิ้น ที่ประชุมลงมติเห็นด้วย 152 เสียงไม่เห็นด้วย 256 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ถือว่าที่ประชุมไม่รับร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top