Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

'พิพัฒน์'ยันจำเป็นต้องเก็บค่าเหยียบแผ่นดินจากต่างชาติ ใช้ซื้อประกันเยียวยานักท่องเที่ยวในไทย-พัฒนาการท่องเที่ยว ไม่เบียดบังเงินภาษีจากคนไทย

เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า  จากกรณีที่ฝ่ายค้านได้กล่าวพาดพิงตนในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ เมื่อวันที่ 17-18 ก.พ.ที่ผ่านมา ในเรื่องการเรียกเก็บค่าเหยียบแผ่นดินจากชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย คนละ 300 บาทนั้น  กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ยืนยันว่าต้องเรียกเก็บอย่างแน่นอน แม้จะไม่ใช่เป็นสิ่งที่เริ่มจากทางกระทรวงฯในยุคของตน แต่เป็นมติที่ออกมาก่อนหน้านี้  

ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการเรียกเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน เราจะนำไปซื้อประกันให้กับชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทย  ส่วนเงินที่เหลือ เรานำไปจัดเก็บเข้ากองทุนพัฒนาการท่องเที่ยว ซึ่งมีปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เป็นประธานกองทุน และมีผู้แทนจากอีก 10 หน่วยงานซึ่งรวมถึงกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  จึงขอยืนยันว่าเรามีการใช้จ่ายได้เงินที่ได้มาดังกล่าวอย่างถูกต้องและเหมาะสม เพราะสามารถตรวจสอบได้ 

ผู้สื่อข่าวถามถึงที่มาของการเรียกเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน  นายพิพัฒน์ กล่าวว่า  มาจากกรณีที่เกิดเหตุระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณเมื่อปี 2558 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับบาดเจ็บด้วย ขณะที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณมาให้สำหรับการเยียวยาชาวต่างชาติในส่วนนั้น  ต่อมาเกิดเหตุการณ์เรือล่มที่จ.ภูเก็ต ซึ่งเราได้รับงบประมาณจากส่วนกลาง ไปเพื่อทำการสนับสนุน  แต่เมื่อปี 2562 สำนักงบประมาณได้แจ้งมาทางกระทรวงฯ ว่าจะไม่จัดงบประมาณสำหรับการเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาให้ทางกระทรวงฯแล้ว ทำให้ทางกระทรวงฯ ต้องหาวิธีจัดเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเป็นกองทุนเพื่อการเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในไทย จึงมีการนำเสนอเรื่องการเรียกเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน เข้าสู่ที่ประชุมครม.เมื่อปี 2562  

"โรม" ผิดหวัง ไม่ได้รับคำอธิบายน่าพอใจ หลังอภิปรายเคส "พล.ต.ต.ปวีณ" มั่นใจ 3 ป. เอี่ยวค้ามนุษย์ เสนอ ตั้งคกก.แก้ปัญหา 

เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 22 ก.พ. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เกี่ยวกับเรื่องราวของ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ หัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ ที่ต้องลี้ภัยออกจากประเทศไทยไปเมื่อปี 2558 จะต่อยอดเรื่องนี้อย่างไร ว่า ตนอธิบายเรื่องนี้เมื่อวันศุกร์ (18 ก.พ.) ผ่านมาสามวันเต็มๆ ตนคิดว่าไม่ได้รับคำอธิบายที่น่าพอใจ เพราะคำอธิบายของรัฐบาลไม่ต่างจาก 6 ปีที่แล้วที่บอกว่าให้กลับมาสิ รัฐบาลควรมีสัญญาณที่ดีกว่านั้น เช่น ควรจะกลับไปพิจารณาว่าในวันนั้นใครมีบทบาทหน้าที่ในการปราบปรามการค้ามนุษย์และขัดขวางพล.ต.ต.ปวีณ ตนอาจจะให้ตัวย่อในสภาเพราะมีข้อจำกัดเรื่องกฎหมาย แต่หากรัฐบาลอยากทราบว่าเป็นใครบ้าง ตนพร้อมจะให้ข้อมูล 

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า กรณีการปราบปรามการค้ามนุษย์ ตนคิดว่ารัฐบาลไม่ได้ต่อยอดหรือขยายผล กองทัพเรือต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่กับเรื่องนี้ เนื่องจากคนที่เกี่ยวข้องที่จับได้ไม่ใช่คนเดียว หรือกรณีฝ่ายปกครองต่างๆ ที่อยู่ในอำนาจของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขนคนจากจังหวัดหนึ่งไปจังหวัดหนึ่ง ดังนั้น เรื่องเหล่านี้ต้องมีคนรับผิดชอบ หากรัฐบาลต้องการปราบปรามการค้ามนุษย์จริงๆ ก็จะต้องดำเนินการตั้งคณะกรรมการคนที่สังคมเชื่อถือ เพื่อแก้ปัญหาสิ่งที่ตนอภิปราย แต่ตอนนี้กลายเป็นรัฐบาลยืนกระต่ายขาเดียวว่าตัวเองปราบปรามการค้ามนุษย์ ก็กลับมาสิ คำถามคือใครจะกล้ากลับ เราเห็นการอุ้มหาย การเสียชีวิตของข้าราชการน้ำดี หรือคนที่พยายามดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้วยดี แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้รับความปลอดภัยอยู่ดี 

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อนั้นมีหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ซึ่งตนก็อยู่ในกมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร หากเราสามารถใช้ช่องทางนี้สืบหาข้อมูล ก็คงจะเป็นการทำคู่ขนาน แต่ต้องยอมรับว่าช่องทางนี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้เราอยู่ในบรรยากาศที่ปลอดภัย ที่พล.ต.ต.ปวีณจะสามารถกลับมาพบครอบครัวของเขาได้ เราคงต้องทำมากกว่านั้น บางทีการจะเริ่มต้นสู่กระบวนการที่ปลอดภัยมากที่สุดอาจจะต้องมีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่ ซึ่งตนเชื่อว่าทั้ง 3 ป. มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับกระบวนการค้ามนุษย์ เราจะได้รับความเชื่อมั่นจากสังคมโลกได้อย่างไร หากพล.ต.ต.ปวีณ ซึ่งเป็นมือปราบการค้ามนุษย์อันดับหนึ่งยังลี้ภัยอยู่ต่างประเทศและหวาดกลัว 

เมื่อถามว่า อะไรทำให้มั่นใจว่า 3 ป.เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ข้อแรกไม่มีเหตุผลที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จะย้ายพล.ต.ต.ปวีณ ถ้าจะอ้างว่าพล.ต.ต.ปวีณทำงานกับผู้บังคับบัญชาไม่ได้ เราก็รู้กันอยู่ว่าตำรวจไม่เป็นเนื้อเดียวกัน แต่ก็สามารถได้ดิบได้ดี ข้ามหัวคนนั้นคนนี้ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในวงการตำรวจ การย้ายพล.ต.ต.ปวีณไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่อันตรายจริงๆ คล้ายกับตำรวจคนอื่นที่ไปเสียชีวิตที่นั่น ข้อสองสำหรับพล.อ.อนุพงษ์ ตนมีแหล่งข่าวที่ยืนยันว่า พล.อ.อนุพงษ์มีความรู้มากในเรื่องกระบวนการค้ามนุษย์ที่ จ.ระนอง แน่นอน อาจจะเพราะพล.อ.อนุพงษ์เป็นรัฐมนตรีมานาน ฝ่ายปกครองต่างๆ ก็น่าจะมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี การจะย้ายชาวโรฮิงญาในหลายๆ ครั้ง จากจ.ระนองไปที่จ.สงขลา ต้องผ่านหลายจังหวัด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความร่วมมือจากฝั่งตำรวจฝั่งเดียวแล้วจบ แต่จะต้องได้รับความร่วมมือจากหลายอย่าง

“บิ๊กตู่” ชมสาธิตการใช้ประโยชน์ฐานข้อมูล ย้ำเป็นหัวใจสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG  สู่การวางแผนบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนชมผลงานเกษตรกร Smart Farmer  ย้ำรัฐบาลมุ่งแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับประชาชน แบบพุ่งเป้า

ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ลาประชุมครม.เนื่องจากยังมีอาการอ่อนเพลียจากอาการท้องเสียตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ซึ่งแพทย์ได้เข้าตรวจเรียบร้อยแล้วท่ีมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด

โดยก่อนการประชุม เวลา 08.45 น.  ที่โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และคณะผู้บริหาร อว. เข้าพบ นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอโครงการเชื่อมโยงข้อมูลชุมชนกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Thailand Community Big Data :TCD) ภายใต้โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (U2T) มหาวิทยาลัยสู่ตำบล ซึ่งเป็นฐานข้อมูลชุมชนของประเทศขนาดใหญ่หรือรวบรวมข้อมูลสําคัญพื้นฐานของเศรษฐกิจบีซีจี

อาทิ การเก็บรวบรวมข้อมูลพืช สัตว์ แมลง และสิ่งมีชีวิตในท้องถิ่นที่  ข้อมูลการเกษตรในพื้นที่ ข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งฐานข้อมูล เหล่านี้ได้ถูกจัดเก็บ เชื่อมโยงการวิเคราะห์กับข้อมูลความต้องการของตลาด (Demand) ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานราชการอื่นได้แก่ ข้อมูลผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน ข้อมูลการส่งออก ข้อมูล TPMAP เป็นต้น โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี  เยี่ยมชมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ทําการทดลองสืบค้น ข้อมูลตามความสนใจ (โปรแกรมที่ใช้สืบค้นตัวอย่างการเชื่อมโยงข้อมูล TCD ไปสู่ BCG Product สามารถดูได้จาก Link https://bit.ly/3fXeQ7Z) โดยชื่นชมการเชื่อมโยงข้อมูล TCD เป็นฐานข้อมูลที่ดีมากและมีความแม่นยำสูงเพราะเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกหน่วยงานอย่างเป็นระบบเพื่อแต่ละหน่วยงานสามารถนำข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในวางแผนการบริหารจัดการและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่  ยังเน้นให้มหาวิทยาลัยทำงานกับพื้นที่อย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล  เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการดำเนินการไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้

สำหรับฐานข้อมูล TCD ดังกล่าวได้จัดทําในพื้นที่ 3,000 ตําบลทั่วประเทศในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา คิดเป็น ร้อยละ 50 โดยประมาณของประเทศ ฐานข้อมูล TCD นี้จะเป็นหัวใจสําคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจบีซี จี ทําให้มีข้อมูลพื้นฐานของการวางแผน บริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพของไทยได้อย่างมี ประสิทธิภาพ (Biodiversity resource planning) ข้อมูลสามารถถูกเพิ่มและเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยได้ ตลอดเวลาเนื่องจากเชื่อมต่อกับระบบบันทึกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (CDB application) และการประมวลผล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อให้การวางแผนบริหารจัดการพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

'สมศักดิ์' ให้ 'อนุทิน' แจง ครม. ปม ก.ยุติ ของบฯ จัดการ โควิด-19 ในเรือนจำ ป้องกันความสับสน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีวาระ เรื่องแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ที่กระทรวงยุติธรรม ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทาแก้ไขปัญหา การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเรือนจำ และทัณฑสถาน จากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทาแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า ตนไม่ทราบ เพราะเรื่องของการจัดการ โควิด-19 ต้องไปถามนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพราะในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ได้มอบหมายให้นายอนุทินเป็นผู้ชี้แจง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เพราะได้มีประกาศออกมาแล้ว ทั้งนี้ไม่มีอะไรที่เป็นความลับ 

ไฟเขียว! ครม. อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต  ปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษีรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวม 27 ประเภท กระตุ้นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ พัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง  เพื่อไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้  มีมติอนุมัติหลักการ ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่..) พ.ศ.  ....   ซึ่ง การปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้ารถยนต์ประเภทต่าง ๆ รวม 27 ประเภท โดยจะมีรถยนต์ ต้องจัดเก็บภาษีตามอัตราในร่างกฎกระทรวงนี้เมื่อกฎกระทรวง มีผลใช้บังคับ (วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา)  รวม 6 ประเภท ดังนี้  

1. รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Pick-up Passenger Vehicle: PPV)  แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้าที่สามารถเสียบปลั๊ก ประจุไฟฟ้าได้ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธ.ค. 78 กรณีที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขจัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 50  

2. รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท ประหยัดพลังงาน แบบพลังงานไฟฟ้า (Electric Powered Vehicle) จัดเก็บ ภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 2 กรณีที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข แบ่งเป็น 2 ช่วงระยะเวลา คือ ตั้งแต่วันที่กฎกระทรวง มีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 8 - 10 

3.รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท ประหยัดพลังงานแบบมาตรฐานสากล (Eco car)  ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่า ร้อยละ 14 ตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธ.ค. 66     และตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 พิจารณาจากความจุกระบอกสูบ อัตราการปล่อย CO2  และการติดตั้งมาตรฐานความปลอดภัย ให้จัดเก็บภาษีในอัตรา ตามมูลค่าร้อยละ 10 - 12   ถ้าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ฯ อัตราภาษีจะเป็นไปตามอัตราของรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน  

4. รถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) แบบผสมที่ใช้ พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้าที่สามารถเสียบปลั๊กประจุไฟฟ้าได้ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 5 ตั้งแต่กฏกระทรวงมีผลบังคับใช้ 

5. รถยนต์กระบะแบบพลังงานไฟฟ้า (Electric Powered Vehicle)  แบ่งเป็น 2 ช่วงระยะเวลา คือ ตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับถึง วันที่ 31 ธ.ค. 68  ให้จัดเก็บภาษี ในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 0  และตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 78  ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 2  กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์   มีการจัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับถึง วันที่ 31 ธ.ค. 68 และ 1 ม.ค. 69- 31 ธ.ค. 78 

6. รถยนต์กระบะแบบเซลล์เชื้อเพลิง [Fuel Cell Powered Vehicle  ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 0   กรณีที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ แบ่งเป็น 2 ช่วง ตั้งแต่วันที่ กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธ.ค.68 และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 78  ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 5 

สำหรับรถยนต์ที่เหลืออีก 21 ประเภท จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่ปี  69 - 78 ตามลำดับ ได้แก่  

7. รถยนต์นั่ง   ความจุกระบอกสูบ ไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร แบ่งเป็น 3 ช่วง  คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 70 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 71 - 31 ธ.ค. 72 และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 73 เป็นต้นไป  ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 13 - 38   กรณี ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ วันที่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 72 และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 73 เป็นต้นไป ให้จัดเก็บภาษีในอัตรา ตามมูลค่าร้อยละ 25 - 40 สำหรับรถยนต์นั่งความจุกระบอกสูบเกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ตั้งแต่  1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่า ร้อยละ 50 

8. รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Pick-up Passenger Vehicle: PPV)   ความจุกระบอกสูบ 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตาม มูลค่าร้อยละ 18 - 50  ที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทไบโอดีเซล (B20) ร้อยละ 16 - 50 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 78    

9. รถยนต์นั่งที่ผลิตจากรถยนต์กระบะหรือแชสซีส์และกระจก บังลมหน้า (Chassis With Windshield) ของรถยนต์กระบะ หรือดัดแปลงจากรถยนต์กระบะ    ที่ผลิตหรือดัดแปลงโดยผู้ประกอบอุตสาหกรรม ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 2.5 - 40  ที่ดัดแปลงโดยผู้ดัดแปลง จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 25   ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป   

10. รถยนต์สามล้อชนิดรถสกายแลป ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 0  ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69  เป็นต้นไป  

11. รถยนต์อื่น ๆ นอกเหนือจากข้อ 1 - 5 ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 50 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69  เป็นต้นไป 

12. รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน  แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ ตั้งแต่  1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 70 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 71 - 31 ธ.ค. 72 และตั้งแต่ 1 ม.ค. 73 เป็นต้นไป ให้จัดเก็บภาษีในอัตรา ตามมูลค่าร้อยละ 13 - 38 กรณีที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ แบ่งเป็น 2 ช่วงระยะเวลา คือ ตั้งแต่  1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 72 และตั้งแต่ 1 ม.ค. 73 เป็นต้นไป ให้จัดเก็บ ภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 25 - 40    สำหรับรถที่มีความจุกระบอกสูบเกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่า ร้อยละ 50 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป

13. รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่ใช้ เป็นรถพยาบาล และรถยนต์ต้นแบบที่ผลิตหรือนำเข้ามาโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อนำไปวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะที่ไม่เคยมีการจำหน่าย ในท้องตลาดเป็นการทั่วไป ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป  

14. รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทประหยัดพลังงานแบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า (Hybrid Electric Vehicle)     แบ่งเป็น 3 ช่วงระยะเวลา คือ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 70 ตั้งแต่  1 ม.ค. 71 - 31 ธ.ค. 72 และตั้งแต่ 1 ม.ค. 73 เป็นต้นไป ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 6 - 28  กรณีที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 72 และตั้งแต่ 1 ม.ค. 73 เป็นต้นไป มีการจัดเก็บ ภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 15 - 30  กรณีที่มีความจุกระบอกสูบเกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่า ร้อยละ 40 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป 

15. รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทประหยัดพลังงานแบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่สามารถเสียบปลั๊กประจุไฟฟ้าได้ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle)  ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่า ร้อยละ 5 - 10  ตั้งแต่  1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป  กรณีที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข แบ่งเป็น 2 ช่วง  คือ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 72 และตั้งแต่ 1 ม.ค. 73 เป็นต้นไป ให้จัดเก็บภาษี ในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 15 - 20   สำหรับความจุกระบอกสูบเกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่า ร้อยละ 30  ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป 

16. รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทประหยัดพลังงาน แบบเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Powered Vehicle) ให้จัดเก็บภาษี ในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 1 กรณีที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ให้จัดเก็บภาษี ในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 5  ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป 

17. รถยนต์นั่งสามล้อ และรถยนต์นั่งที่ผลิตขึ้นโดยใช้เครื่องยนต์ ของรถจักรยานยนต์ขนาดไม่เกิน 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร   รถยนต์สามล้อ  ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 2 - 4  รถยนต์นั่งที่ผลิตขึ้นโดยใช้เครื่องยนต์ของ รถจักรยานยนต์ขนาดไม่เกิน 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 4 ตั้งแต่ 1 ม.ค 69 เป็นต้นไป 

18. รถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถรวม น้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 4,000 กก. ที่ไม่มีพื้นที่ใส่สัมภาระด้านหลัง ที่นั่งคนขับ (No Cab) ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 3 - 5 ตั้งแต่ 1 ม.ค 69 - 31 ธ.ค. 78  

19. รถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถรวม น้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 4,000 กก. ที่ไม่มีพื้นที่ใส่สัมภาระด้านหลัง ที่นั่งคนขับ (No Cab) ที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทไบโอดีเซล (B20)ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 2 - 4 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 78 

20. รถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถรวม น้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 4,000 กก. ที่มีพื้นที่ใส่สัมภาระด้านหลัง ที่นั่งคนขับ (Space Cab) ที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทไบโอดีเซล (B20) ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 3 - 7 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 78 

21. รถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถรวม น้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 4,000 กก. ที่มีพื้นที่ใส่สัมภาระด้านหลัง ที่นั่งคนขับ (Space Cab) ให้จัดเก็บภาษี ในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 5 - 8  ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 78  

22. รถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตาม มูลค่าร้อยละ 8 - 13  ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69  - 31 ธ.ค. 78 

23. รถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ที่ใช้เชื้อเพลิง ประเภทไบโอดีเซล (B20) ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่า ร้อยละ 6 - 12 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 78   

24. รถยนต์กระบะแบบพลังงานไฟฟ้า (Electric Powered Vehicle)   ให้จัดเก็บภาษี ในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 0 -2   ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 78 

25. รถยนต์กระบะแบบเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Powered Vehicle)  ให้จัดเก็บภาษีในอัตรา ตามมูลค่าร้อยละ 0 - 1   ตั้งแต่ 1 ม.ค. 69 - 31 ธ.ค. 78 

26. รถยนต์ต้นแบบที่ผลิตหรือนำเข้ามาโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อนำไปวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะที่ไม่เคยมีการจำหน่าย ในท้องตลาด จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69  

27. รถยนต์ประเภทอื่น ๆ นอกจากข้อ 15 - ข้อ 26  ให้จัดเก็บภาษีในอัตราตามมูลค่าร้อยละ 15 - 50  ตั้งแต่ วันที่ 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป โดยจะพิจารณาจากความจุกระบอกสูบ อัตรา การปล่อย CO2  

“โฆษกรัฐบาล” เผย “นายกฯ มาเลเซีย” เยือนไทย 24 – 26 ก.พ. มุ่งขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทวิภาคี

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายดาโตะ ซรี อิซมาอิล ซาบรี ยาคบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มีกำหนดจะเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ระหว่างวันที่ 24 - 26 ก.พ.เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน

นายธนกร กล่าวว่า ในการเยือนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มีกำหนดหารือข้อราชการกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในวันศุกร์ที่ 25 ก.พ.ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยผู้นำของทั้งสองประเทศ จะหารือแนวทางการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซีย  ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ให้มีความก้าวหน้า หารือแนวทางเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การส่งเสริมความเชื่อมโยงในพื้นที่ชายแดน ตลอดจนความร่วมมือในกรอบอาเซียนและกรอบพหุภาคีอื่น

"สุชาติ" ลั่นจบแล้ว ยันไม่มีปัญหากับสนธยา แขวะอาจมีคนข้างๆพูดเอง “ยัน” ยังเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา  “ชมเก่ง” อุดมการณ์วันนี้หนุน “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” แต่ยอมรับถ้าอยู่คนละพรรคก็ต้องแข่งขันกัน

ที่ ทำเนียบรัฐบาล ภายหบังร่วมประชุม ครม. นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.กระทรวงแรงงาน ในฐานะ ผอ.พรรคพลังประชารัฐ และ ส.ส.จังหวัดชลบุรี  ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาความขัดแย้งกับนายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา บุตรชายคนโตนายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ ว่า เรื่องนี้ตนคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว ใครที่มีเป้าหมายเสียสละทำงานเพื่อประชาชน ถือว่ามีเป้าหมายเดียวกันหมด ตนก็ถือว่าเราจบแล้ว ก็มาบริหารจัดการพื้นที่แต่ละจังหวัดก่อน ส่วนจังหวัดชลบุรี นั้นได้ให้สัมภาษณ์ไปหลายครั้งแล้วว่าถ้าอุดมการณ์และแนวทางตรงกันก็ไปได้ด้วยกัน เพราะเรื่องของการเมืองถ้าเป้าหมายเดียวกันเพื่อสนับสนุน ผู้นำและพรรคการเมืองเดียวกัน ก็อยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง ถ้าอยู่กันคนละพรรคก็ต้องแข่งขันกันก็ถือเป็นประชาธิปไตยที่สวยงามอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นจะต้องมีการเคลียร์กันหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่าไม่จำเป็น เพราะเป็นเรื่องที่อาจจะมองกันคนละมุม แต่เราก็เคยอยู่ด้วยกันไม่ได้มาทะเลาะกันนะอย่างที่หลายๆ คนพูดยืนยันว่าไม่ถึงขนาดนั้น บางครั้งอาจเป็นเรื่องที่มองกันคนละมุมทำให้ความน้อยอกน้อยใจของบางคนเกิดขึ้น ความจริงเราก็เหมือนเป็นพี่น้องกันทีีคลานตามกันมา เมื่อความคิดเห็นไม่ตรงกันเหมือนกันทำธุรกิจ ถ้าบริหารและไม่ตรงกัน ต่างคนก็ต้องต่างออกกันไปอยู่คนละบริษัท แต่ความเป็นพี่น้องก็ยังอยู่เพราะไม่ได้มีการทะเลาะกัน

เมื่อถามถึงกรณีที่นายสนธยาออกมาระบุว่ารู้ที่ไปแต่ไม่รู้ที่มาหมายความว่าอย่างไร นายสุชาติ กล่าวว่า “คงไม่ใช่ผมอยู่แล้ว และไม่ได้เป็นอย่างที่มีใครออกมาพูด  อย่าลืมว่านักการเมืองไม่มีใครที่จะร่วมกัน ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เห็นกันอยู่บางคนก็ไปในที่ที่กาลเวลามันใช่ 

“หรืออย่างวันนี้ผมมีสถานการณ์ ที่พรรคพลังประชารัฐให้โอกาส โดยเฉพาะจากหัวหน้าพรรค มีโอกาสจากนายกรัฐมนตรีผมก็ต้องยืนอยู่ตรงนี้ ซึ่งใครถ้าไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่เมื่อผมยืนอยู่ตรงนี้ก็ต้องมองตัวเองเป็นหลักและไม่กล้าไปมองแทนคนอื่น”นายสุชาติกล่าว

ผู้สื่อถามว่า หวัดดีสถานภาพยังเหมือนเดิมหรือไม่ นายสุชาติกล่าวว่า วันนี้ก็ยังถือว่าเราเป็นคนบ้านเดียวกันเคยอยู่ด้วยกันยืนยันอีกครั้งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การทะเลาะกันอย่างที่หลายคนคิด แค่เป็นการสะท้อนมุมมองของแต่ละข้างออกมา และวิเคราะห์กันเท่านั้นเอง ส่วนตัวคิดว่าสุดท้ายแล้วการเมืองอยู่ที่เป้าหมายสุดท้ายของแต่ละคน ถ้าเป้าหมายตรงกันและจะจับมือกันพัฒนาประเทศและจังหวัดชลบุรีให้เป็นแนวทางเดียวกัน รวมทั้งสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ในวันข้างหน้า ให้อยู่กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรค ก็ไปด้วยกันได้ แต่ถ้าไม่ใช่เราก็ไม่สามารถที่จะไปกำหนดทิศทางของใครได้เพราะเราต้องเคารพกันคิดของแต่ละบุคคล แล้ววันนี้อย่าพึ่งถามถึงอนาคตเพราะยังไม่ถึงเพียงแต่วันนี้เรายืนหยัดว่าเรายืนอยู่ตรงนี้ 

เมื่อถามว่าได้มีการ เคลียร์กันได้เจอหน้ากันแล้วใช่หรือไม่ นายสุชาติปฏิเสธว่า “ไม่ได้เคลียร์กัน อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าเราเคยอยู่ด้วยกันเป็น หลาย10 ปีรู้นิสัยกันอยู่ว่าไม่ได้มีอะไรกับนายสนธยา ซึ่งท่านอาจจะพูด เพราะอาจมีใครข้างๆไปพูดหรือทำอะไรให้คิดอย่างนั้น อย่างไรก็ตามที่มีการพูดกันไปมาก็เป็นการสะท้อนให้เห็นแล้วว่าเหมือนพี่กับน้อง ที่ไม่ได้คุยกันมานาน นายสนธยาเองก็เป็นนายกเมืองพัทยาส่วนผมมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้พูดคุยกับนายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว. วัฒนธรรมอยู่แล้ว ยืนยันเราไม่ได้มีอะไร “

นายสุชาติ กล่าวว่า ในส่วนของการเตรียมตัวผู้สมัครในจังหวัดชลบุรีเพื่อลงชิงเก้าอี้ ส.ส.ในพื้นที่ ในฐานะที่ตนรักษาการในตำแหน่ง ผอ.พรรค พล.อ.ประวิตรได้สั่งการ อยู่แล้วซึ่งโดยภารกิจของตำแหน่งก็ได้ปรึกษา กลับนายอิทธิพล มาโดยตลอดแต่ไม่ได้ปรึกษากับนายสนธยาเพราะไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) คงจะไปปรึกษาท่านไม่ได้

เมื่อถามว่านายอิทธิพล ตัดสินใจลง ส.ส.ชลบุรี พรรค พปชร.หรือยัง นายสุชาติ กล่าวว่า นายอิทธิพลเป็นพี่ และ เป็นส.ส.มาก่อนตน พี่น้องกัน เดี๋ยวเราคุยกันได้ เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน เกิด ตำบลเดียวกันโดยหลักการเราก็ต้องเว้นที่ให้ผู้สมัครเดิมถือเป็นมารยาทและต้องให้สิทธิคนเดิมๆก่อนไม่เช่นนั้นจะอยู่อย่างสามัคคีได้ยังไง

เมื่อถามว่าครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นศึกสายเลือด”คุณปลื้ม” เพราะนายสมชาตื คุณปลื้ม ที่เป็นน้องชายของนายสมชาย คุณปลื้ม ย้ายมาอยู่กับกลุ่มของนายสุชาติ  เรื่องดังกล่าวนายสุชาติ กล่าวชี้แจงว่า “สมัยก่อนผมเป็นเด็กที่สุด ที่อยู่กับนายสมชาย คุณปลื้ม ซึ่งเป็นบิดาของท่านสนธยา และผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ด้วยกันผมให้ความนับถือทุกคน วันหนึ่งในทางการเมืองมีแค่ตำแหน่งเดียวในตำบลแสนสุขขณะนั้นนายสมชาติลงสมัครในนามนายกเทศบาลเมืองแสนสุขแข่งกับน้องชายของนายสนธยาคนเล็ก ความอึดอัดใจก็เกิดกับพี่น้องทั้งตำบลเช่นกัน และในเมื่อเค้ามาหาและให้กำลังใจเราก็ต้องตอบรับจะไปบอกว่าอย่ามาคงไม่ใช่ ยืนยันว่าไม่บานปลายกลายเป็นศึกสายเลือด เมื่อปีที่ผ่านมานายสมชาติ คุณปลื้ม ลงแข่งนายกฯแสนสุขกับ นายณรงค์ชัย คุณปลื้ม ไปเรียบร้อยแล้วไม่ใช่มาเกิดเพราะตน ยืนยันอีกครั้งว่าเป้าหมายของเราคือทำอย่างไรให้พรรคพลังประชารัฐเติบโตและเข้มแข็งเป็นพรรคและสถาบันการเมือง เพื่อให้หัวหน้าพรรคมีความสบายใจ และทำอย่างไรให้สมาชิกรวมถึง ส.ส. มีความสุขมีความเข้มแข็งในพื้นที่รวมทั้งขยายพื้นที่เพื่อเตรียมตัวเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอีก 1 ปีข้างหน้า พรรคพลังประชารัฐก็สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ใครมีเป้าหมายเดียวกันก็อยู่ด้วยกันทั้งหมด ยืนยันไม่มีบันปลายคนเคยอยู่ด้วยกันเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ 

ครม. ให้ผู้ป่วยโควิด ใช้สิทธิ UCEP ได้ไม่มีกำหนด หลังสถานการณ์ โควิดกลับมาระบาดอีกรอบ

รมว.สาธารณสุข เสนอ ครม. ให้ผู้ป่วยโควิด ใช้สิทธิ UCEP ต่อไปไม่มีกำหนด หลังเกิดสถานการณ์ โควิด-19 ที่กำลังระบาด ในขณะนี้ 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ชี้แจง ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีการใช้สิทธิ UCEP ยังจะให้ดำเนินการต่อไป เหมือนช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากขณะนี้มีการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสน ตนจึงเสนอให้มีการเลื่อนการใช้สิทธิ UCEP ออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด 

ครม. ไฟเขียวขึ้นภาษีรถใช้น้ำมันยกแผง บีบคนหันใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

ครม. เห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ครั้งใหญ่ บีบขึ้นภาษีรถยนต์น้ำมันยกแผง เพื่อให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยผลการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 65 เห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั้งระบบ โดยมีสาระสำคัญ ประกอบด้วย ดังนี้

1.) การปรับลดเกณฑ์การปล่อย CO2 เพื่อส่งเสริมให้รถยนต์นั่ง รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน รถยนต์กระบะ และรถจักรยานยนต์ มีการลดการปล่อย CO2 และประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น

2.) การกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประเภท HEV และ PHEV ให้มีความแตกต่างกัน เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่สูงขึ้นของ PHEV และการพัฒนาไปสู่รถยนต์ BEV ซึ่งมีการพิจารณาถึงสมรรถนะของเทคโนโลยี PHEV ในเรื่องระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range : ER) โดยสามารถวิ่งได้ไม่น้อยกว่า 80 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และขนาดถังบรรจุน้ำมัน (Oil Tank) เพื่อลดการใช้พลังงานจากน้ำมัน

3.) การทยอยปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประเภท ICE, HEV และ PHEV ให้เหมาะสม โดยกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได 3 ช่วง ได้แก่ ปี พ.ศ. 2569 พ.ศ. 2571 และ พ.ศ. 2573 ตามลำดับ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์/ชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ และปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ประเภท BEV จากอัตราร้อยละ 8 เหลืออัตราร้อยละ 2 เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และสร้างแรงจูงใจในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นตามมติคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ

4.) การส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของรถยนต์กระบะ และอนุพันธ์ของรถยนต์กระบะ (Product Champion) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตต่อไป โดยคำนึงถึงการลดการปล่อย CO2 และสนับสนุนพลังงานเชื้อเพลิงทดแทน Biodiesel และยังส่งเสริมให้เกิดการใช้และผลิตรถยนต์กระบะไฟฟ้า (BEV) ในประเทศโดยกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 0 เป็นการชั่วคราวจนถึงปี พ.ศ. 2568

5.) การกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ทุกประเภท ยังสนับสนุนมาตรฐานด้านความปลอดภัย โดยให้มีการติดตั้งระบบ Advanced Driver - Assistance Systems (ADAS) มาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ต้องมีการติดตั้งระบบ ADAS อย่างน้อย 2 ระบบจาก 6 ระบบ ยกเว้น BEV ต้องมีอย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ และรถยนต์กระบะ ต้องมีการติดตั้งระบบ ADAS อย่างน้อย 1 ระบบจาก 6 ระบบ ยกเว้น BEV ต้องมีอย่างน้อย 2 จาก 6 ระบบ

‘รัชกาลที่ 5’ ทรงสถาปนา ‘โรงเรียนวัดบวรนิเวศ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนเก่าแก่ของประเทศไทย 

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง ‘วิทยาลัย’ ขึ้นในวัดบวรนิเวศ โดยพระราชทานนามว่า มหามกุฏราชวิทยาลัย เพื่อใช้เป็นที่ศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุ สามเณร ทั้งนี้ เบื้องต้นได้แบ่งเป็น 2 แผนก คือ ส่วนที่ใช้เป็นที่เล่าเรียนพระปริยัติธรรม และอีกส่วนจัดตั้งเป็นโรงเรียน โดยให้เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาลัยแห่งนี้

จึงเป็นที่มาของ ‘โรงเรียนวัดบวรนิเวศ’ โดยในยุคแรกเริ่ม ได้เชิญ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรณาณวโรรส มาทรงเป็นผู้จัดการโรงเรียนพระองค์แรก ต่อมาการเรียนการสอนในโรงเรียน ได้ขยายตัวกว้างขวางออกไปตามลำดับ ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงมีพระราชประสงค์ให้ขยายการศึกษาให้แพร่หลายไปทั่วประเทศ จึงโปรดเกล้าฯ ให้นำหลักสูตรและวิธีการสอนที่ใช้ในโรงเรียนวัดบวรนิเวศ ไปใช้สอนตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ จึงถือได้ว่า โรงเรียนวัดบวรนิเวศ เป็นโรงเรียนสาธิตในการใช้หลักสูตร เป็นแห่งแรกของประเทศไทย

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงเป็นประธานจัดสร้างตึกเรียน 2 ชั้น และพระราชทานนามตึกว่า ตึกมนุษยนาควิทยาทาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top