Saturday, 7 June 2025
TheStatesTimes

นศ. ม.ขอนแก่น เหิมเกริมหนัก เผาชุดครุยต้านพิธีพระราชทานปริญญาบัตร

ศูนย์ข่าวขอนแก่น - เหิมเกริมหนักมาก นักศึกษานิติศาสตร์ ม.ขอนแก่น จัดกิจกรรมต้านพิธีพระราชทานปริญญาบัตรในวันที่ สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตร 12-13 ธ.ค.นี้ โดยนำชุดครุยจุดไฟเผาถ่ายทอดสดผ่านเพจขอนแก่นพอกันทีและเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์เดอะอีสานเรคคอร์ดของนายเดวิด สเตร็คฟัสส์ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุอันน่าสลดใจที่พี่น้องคนไทยผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้เห็นแล้วไม่สามารถทำใจได้ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. เมื่อวันที่13 ธ.ค. ที่ผ่านมา ณ บริเวณด้านหน้าอาคารศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งนำป้ายที่เขียนข้อความว่า ยกเลิก ม.112 และป้ายข้อความ ปล่อยเพื่อนเรา มาชูพร้อมกับยกมือชูสามนิ้ว

หลังจากนั้นนักศึกษากลุ่มนี้ได้นำชุดครุยที่ใช้สวมใส่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรมาจุดไฟเผา โดยนักศึกษากลุ่มนี้เป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ม.ขอนแก่นทั้งหมด เป็นกลุ่มที่เข้าร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด

สำหรับภาพการทำกิจกรรมเผาชุดครุยรับพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนี้ได้มีการ Live เผยแพร่ในเพจขอนแก่นพอกันทีด้วย

ขณะที่เว็บไซต์เดอะอีสานเรคคอร์ดภายใต้การกำกับดูแลของนายเดวิด สเตร็คฟัสส์ ชาวอเมริกันที่เข้ามาเคลื่อนไหวล้มล้างสถาบันกษัตริย์ของไทยมานานกว่า 20-30 ปีเองก็เกาะติดนำเสนอข่าวกิจกรรมครั้งนี้อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ขั้นตอนนัดหมายรวมตัว

โดยเนื้อข่าวระบุว่า วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2564 แกนนำกลุ่มราษฎรขอนแก่น จัดกิจกรรมคัดค้านการรับปริญญา ณ บริเวณลานหน้าคณะนิติศาสตร์ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรประจำปี 2564 โดยปีนี้มีผู้ได้รับอนุมัติปริญญาในระดับต่าง ๆ เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร จำนวน 7,894 คน โดยมีผู้ไม่เข้าร่วมพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรจำนวนกว่า 30% ของทั้งหมด กลุ่มราษฎรขอนแก่น ได้นำป้ายผ้ายกเลิกมาตรา 112 และปล่อยเพื่อนเรามาร่วมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ระหว่างพิธีพระราชทานปริญญาบัตรประจำปี 2564 ณ ลานหอสมุดคณะนิติศาสตร์ 

'สปสช.' เพิ่มสิทธิประโยชน์อีก 6 รายการ ค้นหายีนมะเร็งเต้านม - แจกยา PEP ต้าน HIV

14 ธ.ค. 64 - ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 64 ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) จำนวน 6 รายการ ซึ่ง 5 รายการจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 65 โดยใช้งบเหลือจ่ายปี 2564 ที่ไม่มีภาระผูกพัน จำนวน 238.59 ล้านบาท ในการจ่ายชดเชยบริการ ขณะที่อีก 1 รายการจะใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินฯ ที่ได้รับปีงบประมาณ 2565 ซึ่งได้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 64

รศ.พญ. ประสบศรี อึ้งถาวร ประธานคณะอนุกรรมการกำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า สำหรับรายการสิทธิประโยชน์ทั้ง 6 รายการ เป็นการดำเนินการเพื่อดูแลประชาชนให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการรักษาที่จำเป็นเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย

1.) การตรวจยีน BRCA1 BRCA2 ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจคัดกรองและค้นหาการกลายพันธุ์ของยีนโรคมะเร็งเต้านม ให้พบในระยะเริ่มต้นและได้รับการรักษาเร็ว ซึ่งจะมีความคุ้มค่ากับกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง และประหยัดต้นทุนค่ารักษาในกลุ่มที่มีประวัติครอบครัวตรวจพบยีนกลายพันธุ์

2.) การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี หลังการสัมผัสเชื้อ (HIV PEP) โดยให้ประชาชนทุกคนได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีหลังสัมผัสเชื้อ (PEP) เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งมีผลการศึกษาของต่างประเทศที่พบว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ มีความคุ้มทุน โดยจะให้บริการครอบคลุมประชาชนไทยทุกคน ไม่จำกัดจำนวนครั้งการให้บริการ ซึ่งคิดเป็นภาระงบประมาณจากค่ายาสูตรแนะนำ TDF/3TC/DTG และค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยเฉลี่ย 1,594 บาทต่อราย

3.) การตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกด้วยเครื่อง Tandem mass spectrometry ซึ่งจะเป็นการขยายการตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดโรคทางพันธุกรรมเมตาบอลิก เพื่อเข้าสู่การรักษาโรคหายากได้อย่างรวดเร็วและช่วยชีวิตเด็กได้ ซึ่งการรักษาโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกก่อนมีอาการแสดง จะช่วยประหยัดต้นทุนค่ารักษา (cost-saving) และในปัจจุบันการคัดกรองเป็นวิธีการเดียวที่มีความแม่นยำในการระบุตัวผู้ป่วยเพื่อให้การรักษาก่อนมีอาการ โดยคิดเป็นภาระงบประมาณจากค่าตรวจคัดกรอง 500 บาทต่อราย

"รัฐบาล" ชวน ประชาชนร่วมงาน “Amazing Thailand Countdown 2022” ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เข้ม มาตรฐานสาธารณสุข

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลประชาสัมพันธ์การจัดงานเทศกาลปีใหม่ 2565 “Amazing Thailand Countdown 2022” จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในช่วงระหว่างวันที่ 27-30 ธันวาคม 2564 ระหว่างเวลา 16.00-22.00 น. และวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ระหว่างเวลา 16.00-00.30 น. ซึ่งจะมีการจัดงานใน 5 พื้นที่หลัก ได้แก่ 1. หอคำหลวง อุทยานราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ 2. หน้าศาลากลาง จังหวัดนครราชสีมา 3. หาดแสงจันทร์ จังหวัดระยอง 4. วัดพระราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 5. หาดปลายแหลมสะพานหิน จังหวัดภูเก็ต และในพื้นที่อื่นๆ อีกรวม 44 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับให้การจัดงานรื่นเริงในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นไปตามมาตรฐานทางสาธารณสุข เคร่งครัด แต่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมกันเฉลิมฉลองช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยความสุข และด้วยความปลอดภัย

น.ส.รัชดา กล่าวว่า การจัดงานกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ จัดขึ้นในรูปแบบ new normal ภายใต้มาตรการกระทรวงสาธารณสุข (Covid free setting) และมาตรฐาน SHA โดยมีการคัดกรองผู้เข้าร่วมงาน อาทิ จัดระบบการลงทะเบียน การตรวจวัดอุณหภูมิ ผู้เข้าร่วมงานต้องได้รับการฉีดวัคซีนตามที่กำหนด หากได้รับไม่ครบตามเกณฑ์ ต้องตรวจ ATK ก่อนเข้าร่วมงาน เป็นต้น และมีการการควบคุมจำนวนผู้เข้าร่วมงาน เว้นระยะห่าง ลดความเสี่ยงบริเวณจุดสัมผัสร่วม รวมถึงมีการดำเนินมาตรการอื่นๆ เช่น จัดเจ้าหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามมาตรการฯ และจัดเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ โดยขอให้ประชาชนที่จะเข้าร่วมงานเร่งฉีดวัคซีนให้ได้โดยเร็วที่สุด

'สุชาติ' เผย เตรียมชงของขวัญปีใหม่เข้าครม. สัปดาห์หน้า พร้อมเตือน! คนไทย ตรวจสอบข้อมูลกับกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจเดินทางทำงานต่างประเทศ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงของขวัญปีใหม่ว่า ขณะนี้กำลังให้กรมต่างๆ ไปพิจารณาและหาข้อสรุปว่าจะได้อะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น สำนักงานประกันสังคม อาจจะออกมาตราการลดเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 44  กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อาจจะให้เปิดฝึกอาชีพทุกอย่างฟรีหมด กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานอาจจะออกมาตรการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ คาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาในครม.ในสัปดาห์หน้า วันที่ 21 ธันวาคม สำหรับมาตรการการเยียวยาคนกลางคืนขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณากลั่นกรองในกระทรวงการคลัง 

นอกจากนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย มีความห่วงใย แรงงานชาวไทยที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ และเลือกเดินทางด้วยวิธีผิดกฎหมาย มีโอกาสถูกหลอกให้เสียทรัพย์ ถูกลอยแพในต่างประเทศ หรือถูกหลอกลวงจากโฆษณาจัดหางานเกินจริง จากกรณีล่าสุด จึงได้สั่งการให้ด่านตรวจคนหางานของกรมการจัดหางานเฝ้าระวังและตรวจสอบอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง โดยกรมการจัดหางานได้ตรวจสอบข้อมูลสถิติคนงานไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ระหว่างเดือนตุลาคม 63 – เดือนกันยายน 64) พบเจ้าหน้าที่ได้ระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศและให้การยอมรับว่าจะไปทำงานต่างประเทศได้ รวม 707 คน และปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (ระหว่างเดือนตุลาคม 64 – เดือนพฤศจิกายน 64) จำนวน 130 คน โดยระงับการเดินทางไปประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากที่สุด รองลงมาเป็นบาห์เรน โอมาน แอฟริกาใต้ และมัลดีฟส์ตามลำดับ 

“พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยพี่น้องแรงงานไทยที่ถูกหลอกโดยสาย นายหน้าเถื่อน กำชับให้กระทรวงแรงงานตรวจสอบ ติดตามผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางาน เพื่อป้องกันมิให้มีเหยื่อจากกรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้น ซึ่งคนหางานที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถตรวจสอบข้อมูลกับกรมการจัดหางานก่อนว่ามีงานจริงหรือไม่ โดยขอรับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/ipd  ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทฯ ที่ได้รับอนุญาต จำนวน 124 บริษัท ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 85 บริษัท และอยู่ในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ 39 บริษัท ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว 

นอกจากนี้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย มีความห่วงใย แรงงานชาวไทยที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ และเลือกเดินทางด้วยวิธีผิดกฎหมาย มีโอกาสถูกหลอกให้เสียทรัพย์ ถูกลอยแพในต่างประเทศ หรือถูกหลอกลวงจากโฆษณาจัดหางานเกินจริง จากกรณีล่าสุด จึงได้สั่งการให้ด่านตรวจคนหางานของกรมการจัดหางานเฝ้าระวังและตรวจสอบอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง โดยกรมการจัดหางานได้ตรวจสอบข้อมูลสถิติคนงานไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ระหว่างเดือนตุลาคม 63 – เดือนกันยายน 64) พบเจ้าหน้าที่ได้ระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศและให้การยอมรับว่าจะไปทำงานต่างประเทศได้ รวม 707 คน และปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (ระหว่างเดือนตุลาคม 64 – เดือนพฤศจิกายน 64) จำนวน 130 คน โดยระงับการเดินทางไปประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากที่สุด รองลงมาเป็นบาห์เรน โอมาน แอฟริกาใต้ และมัลดีฟส์ตามลำดับ 

“พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยพี่น้องแรงงานไทยที่ถูกหลอกโดยสาย นายหน้าเถื่อน กำชับให้กระทรวงแรงงานตรวจสอบ ติดตามผู้มีพฤติการณ์หลอกลวงคนหางาน เพื่อป้องกันมิให้มีเหยื่อจากกรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้น ซึ่งคนหางานที่ต้องการเดินทางไปทำงานต่างประเทศสามารถตรวจสอบข้อมูลกับกรมการจัดหางานก่อนว่ามีงานจริงหรือไม่ โดยขอรับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/ipd  ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทฯ ที่ได้รับอนุญาต จำนวน 124 บริษัท ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 85 บริษัท และอยู่ในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ 39 บริษัท ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว 

'เพื่อไทย' งัด 4 ข้อเท็จจริง 'จำนำข้าว' อัดรัฐบิดเบือนสร้างตัวเลขหนี้ป้ายสี

เพื่อไทย เปิด 4 ข้อเท็จจริงจำนำข้าว เบรกรัฐ บิดเบือนโยนบาปกลบเกลื่อนหนี้โครงการประกันรายได้ ชดเชยเพียง 1 ปีผลาญงบกว่า 1.5 แสนล้าน ย้ำ คสช. ลดเกรดข้าวในสต็อกขายทิ้งสร้างตัวเลขหนี้ป้ายสีฝ่ายตรงข้าม

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 64 นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รองโฆษกรัฐบาล ออกมาแถลงข่าวโจมตีโครงการรับจำนำข้าว สมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ว่า การหยิบประเด็นนี้มาโจมตีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลชุดนั้น หมดหน้าที่และยุติโครงการไปนานกว่า 7 ปีแล้ว พอจะเดาได้ว่าเพราะโครงการประกันรายได้ของชาวนา ที่รัฐบาลนำมาใช้ ตามการผลักดันของพรรคร่วมรัฐบาลที่หาเสียงไว้ กำลังทำลายความมั่นคงทางการคลัง จนสร้างความเดือดร้อนไปทั้งรัฐบาล เพราะไม่สามารถช่วยชาวนาให้มีรายได้มากขึ้น และกระตุ้นเศรษฐกิจขยายตัวได้ 

แตกต่างจากโครงการจำนำข้าวเปลือกที่มีรายงานของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานถึงความคุ้มค่าของโครงการ เป็นผลให้เศรษฐกิจขยายตัว เลยต้องปฏิบัติการ "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น" หรือว่าเป็นเพราะชาวนาและประชาชนคนทั่วไปได้เข้าใจถึงประโยชน์ของโครงการรับจำนำข้าวดีขึ้นแล้ว จนทำให้ความเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทยอยู่ในระดับที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้สังคมรับรู้ใน 4 ข้อเท็จจริงได้แก่

1.) เรื่องตัวเลขขาดทุนทางบัญชีที่กล่าวอ้างนั้นเป็นการอ้างถึงยอดรวม 5 ฤดูกาลผลิต ตลอดอายุของรัฐบาลไม่ใช่ ปีงบประมาณเดียว แบบโครงการประกันรายได้ ปี 2564/65 งวดที่ 1 ที่มียอดเงินชดเชยราคา และโครงการประกอบที่มียอดรวมสูงกว่า 1.5 แสนล้านบาท หากเปรียบเทียบกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกโดยใช้จำนวนฤดูกาลเพาะปลูกที่เท่ากัน จะเห็นชัดเจนว่าโครงการประกันราคาใช้เงินมากกว่า โดยไม่ได้อะไรเลย

รวบแล้ว 1 ก๊วนทำร้ายตำรวจคฝ. เร่งตามล่าตัวอีก 4 คน ร่วมรุมยำ

ความคืบหน้ากรณี สิบตำรวจตรี ชัยพล จากยางโทน ตำรวจควบคุมฝูงชน สน.ทุ่งมหาเมฆ ถูกชายฉกรรจ์รุมทำร้ายร่างกาย บริเวณใกล้แยกมิตรสัมพันธ์ ถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร หลังกลับจากปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความเรียบร้อยของการชุมนุมของกลุ่มราษฎรที่แยกราชประสงค์ ทำให้สิบตำรวจตรีชัยพล ได้รับบาดเจ็บและรถจักรยานยนต์เสียหาย ก่อนคนขับรถเมล์ และกระเป๋ารถเมล์ สาย 60 ลงไปช่วยเหลือขึ้นรถเมล์หลบหนีออกมาได้ เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยอาการของ สิบตำรวจตรีชัยพล พบว่าไม่สาหัส ชายโครงด้านขวาฟกช้ำ มีบาดแผลเล็กน้อยตามร่างกาย รู้สึกตัวดี รับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ

พลตำรวจตรี จิรสันต์ แก้วแสงเอก โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนายดังกล่าว กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านหลังเลิกปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนที่แยกราชประสงค์ โดยไปจอดรถติดไฟแดงอยู่ พอกลุ่มผู้ก่อเหตุขับขี่รถผ่านมาเห็นและทราบว่าเป็นตำรวจ ก็เข้าไปก่อเหตุ หลังเกิดเหตุชุดสืบสวนไปตรวจสอบคลิปภาพและกล้องวงจรปิดจนสามารถพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้แล้ว 2 คน จากทั้งหมดที่ร่วมก่อเหตุ 5-6 คน

‘วันชาสากล’ วันที่เกษตรกรผู้ปลูกชา ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในการค้าชา และเป็นวันแห่งเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลก!! 

วันที่ 15 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันชาสากล” (International Tea Day) ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2548 โดยจุดเริ่มต้นของวันชาสากลมาจากเกษตรกรผู้ปลูกชากลุ่มเล็ก ๆ หลายกลุ่มในเบงกอลตะวันตกและหลายรัฐทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องถึงสิทธิและความชอบธรรมในการค้าชาของตนเอง

ในช่วงนั้นแม้ชาจะเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่มีการปลูกอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ แต่อุตสาหกรรมค้าชาในประเทศอินเดียกลับมีความอ่อนแอและบริหารจัดการได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ เกษตรกรผู้ปลูกชากลุ่มเล็ก ๆ ในหลายพื้นที่ได้นำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการปลูก ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตดีขึ้น ได้ผลิตผลเพิ่มมากขึ้น และชาที่ได้ก็มีคุณภาพดี

แต่อย่างไรก็ตาม เกษตรกรเหล่านี้กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมในการค้าขาย พวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกกดราคา จนทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง จนกระทั่งองค์กรเพื่อการสื่อสารและการศึกษาของประเทศอินเดีย (CEC-Centre for Communication and Education) ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือสิทธิของเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อยในประเทศ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาและได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาได้ร่วมมือกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติเข้ามาพัฒนาและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ค้าชากลุ่มย่อย ๆ ให้ได้รับความเป็นธรรมในการค้าชาและทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น

“บิ๊กตู่” ย้ำ ไม่เปลี่ยนแปลงมาตรการใด แม้อังกฤษจะเกิดการเสียขีวิตจากเชื้อโอมิครอนแล้ว “ระยุ”สธ.ศบค.เฝ้าติดตามอยู่

ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นานธรกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอขา นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ถึงการประเมิน สถานการณ์และการปรับเปลี่ยนมาตรการหรือไม่หลังเกิดกรณีผู้ป่วยชาวอังกฤษเสียชีวิตจากโควิดโอมิครอนว่า เรื่องดังกล่าวนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่ากระทรวงสาธารณสุข และ ศบค. ได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แล้วโดยได้พิจารณาและติดตาม ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตรการอะไรจากที่ประชุม ศบค.วานนี้(13 ธ.ค.)

"อนุทิน" สั่ง คร.ตรวจสอบขบวนการลอบออกใบวัคซีนปลอม ย้ำ ต้องเอาผิดเต็มที่

จากกรณีมีเรื่องร้องเรียน ว่า มีขบวนการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนปลอม ล่าสุด  14 ธันวาคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีการออกใบรับรองวัคซีนที่ไม่เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง หรือใบวัคซีนปลอม นอกจากเป็นอันตรายต่อตนเองและคนรอบข้างแล้ว ก็ยังมีความผิดทางอาญาเพราะเป็นการกระทำผิดกฎหมายต้องติดคุก

 

ครม.เคาะ! เป้าหมายนโยบายการเงิน ปี 65 กำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปร้อยละ 1 – 3 เช่นเดียวกับปี 64 พร้อมเห็นชอบให้ใช้เงินกู้ 642 ลบ. เยียวยาโควิดนักเรียนเพิ่มเติมกลุ่มตกหล่น-เด็กเล็ก-กศน. กว่า 3.21 แสนคน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 ว่า ครม.อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2565 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ  โดยกำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ 1 - 3 ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับปี 2564 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวเป็นระดับที่เหมาะสมกับบริบทของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพของระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงินให้สามารถรองรับความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

สำหรับการติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมายของนโยบายการเงิน ทางกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยจะหารือร่วมกัน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี แจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top