Wednesday, 2 July 2025
TheStatesTimes

Resilience ทักษะสำคัญแห่งศวรรษที่ 21 | LOCK LENS GURU EP.28

???? GURU : อาจารย์ นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

▶️ หัวข้อ : Resilience ทักษะสำคัญแห่งศวรรษที่ 21 

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021050902

 ???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทางเลือกการลงทุนใน “ทองคำ” เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน | LOCK LENS GURU EP.29

???? GURU : อาจารย์ กมลวรรณ รอดหริ่ง อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา

▶️ หัวข้อ : ทางเลือกการลงทุนใน “ทองคำ” เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021032809

 ???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES .

.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พันธมิตรเฉพาะกิจ เกาะกันไว้ 'ได้' มากกว่าที่คิด

ว่าจะเปิดเพลง 'จับมือกันไว้' ของพี่เบิร์ดมาฟังเบาๆ ในช่วงที่ความสามัคคีในเมืองไทยมันผุๆ พังๆ ซะหน่อย แต่พลันกลับเกิดไอเดียอื่นแทรกมาเป็นบทความที่อยากสะท้อนสู่สถานการณ์ในช่วงปัจจุบันอย่างไวว่อง

ในยุคที่ 'ความหวัง' และ 'ความฝัน' เริ่มไม่เดินเคียงไปด้วยกัน เพราะความยากลำบากจากโควิดที่ทำให้โลกพลิกตารปัตร 

>> ฝันไกลไม่ได้เหมือนเคย!! 

>> หวังไว้ไม่เป็นอย่างตั้งใจ!! 

ว่าแล้ว!! ในบางครั้ง หากการเดินคนเดียว มัยเหนื่อยไป ก็ลองมองหาใครสักคนมาพยุงตัวเรา ขณะที่เราก็พร้อมพยุงเขาไปด้วยได้พร้อมกัน

เราควรกลับมาสู่ยุคของความสามัคคีอีกครั้ง!! 
Combinated Mission

เรื่องนี้ขอสะท้อนผ่านกลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่หลายแบรนด์เลือกใช้ในการสร้างการเติบโตและเติมเต็มบางอย่าง ที่เขาเรียกว่า 'x' หรือไป 'จับมือ' กับแบรนด์อื่นๆ

เป้าหมายของการ x ก็เพื่อเอาจุดเด่นของแต่ละแบรนด์ มาเป็นพลังส่งเสริมซึ่งกันและกัน อย่างก่อนหน้านี้ ดอยตุง ร่วมกับ โอนิสึกะ ก็ทำออกมาได้ดี จนขายเกลี้ยงแผงในช่วงเวลาไม่นาน

ถึงกระนั้น หากพูดถึงกลยุทธ์การจับมือที่โคตรปังปุริเย่ ก็มักจะมีกลุ่มแบรนด์ทึ่ทำให้ต้องนึกถึงเป็นลำดับแรกๆ อย่าง Louis Vuitton x Supreme ซึ่งเรียกได้ว่าสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จแบบถล่มทลาย

โดยหลายครั้งที่ Louis Vuitton x Supreme เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ออกมา สินค้าชิ้นนั้น ก็จะขายหมดภายในไม่กี่นาที

ถึงขนาดที่ว่า ในปี 2017 ทางบริษัท LVMH เจ้าของแบรนด์ Louis Vuitton ได้เขียนไว้ในรายงานประจำปีของบริษัทว่า คอลเลกชัน Louis Vuitton x Supreme คือ สุดยอดขุมพลังของบริษัท

การ x กันครั้งนี้ ของทั้ง 2 แบรนด์ ยังเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการแฟชั่น 
จากที่เดิมที ภาพลักษณ์ของ Louis Vuitton เป็นแบรนด์ Hi-end ที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ ส่วน Supreme นั้นมีความเป็นวัยรุ่น พอมาจับมือกัน ฝั่ง Louis Vuitton กลายเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงลูกค้าที่ชอบแฟชั่นแนวสตรีตมากขึ้น ส่วนฝั่ง Supreme ก็มีภาพลักษณ์ที่ดูพรีเมียมมากขึ้น และสินค้าบางอย่างในคอลเลกชันนี้ก็กลายเป็นของสะสม ที่มีราคาแพง

การจับมือกันครั้งนี้ ยังกลายมาเป็นสูตรสำเร็จของการจับมือกัน ระหว่างแบรนด์ดังอีกมากมาย
อย่างเช่น Nike x OFF-WHITE หรือ adidas x PRADA

อีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้พลังแห่งการจับมือกันระหว่างธุรกิจ คือ กรณีของแบรนด์ตัวต่อขวัญใจเด็ก ๆ อย่าง “LEGO”

เราอาจจะคุ้นเคยภาพของ LEGO ว่าเป็นแบรนด์สำหรับเด็กเล็ก แต่รู้หรือไม่ว่า ช่วงหลังๆ มา LEGO เริ่มให้ความสำคัญกับการไปจับมือกับต่างแบรนด์มากขึ้น เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้น

อย่างเช่น การไปจับมือกับแบรนด์รถหรูอย่าง Lamborghini ซึ่ง LEGO ได้หยิบเอาจุดเด่นเรื่องความละเอียดอ่อนของการออกแบบตัวต่อ

มาสร้างเป็นโมเดลรถหรู Lamborghini Sián FKP 3 ที่ประกอบขึ้นจากตัวต่อ LEGO ทั้งหมด 3,696 ชิ้น โดยที่โมเดล จะมีอัตราส่วน 1 ต่อ 8 เมื่อเทียบกับขนาดรถของจริง

โมเดล Lamborghini Sián FKP 3 ย่อส่วนนี้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมาก ถึงขนาดที่ LEGO สามารถตั้งราคาขายได้สูงถึงประมาณ 12,000 บาท เลยทีเดียว

จากสองตัวอย่างที่ว่ามานี้ เราสามารถสรุปข้อดีของการจับมือกันระหว่างธุรกิจออกมาได้ก็คือ

1. ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น

อย่างกรณีของ Louis Vuitton x Supreme ก็มีลูกค้าบางค้าบางคนที่เป็นแฟนคลับของ Supreme ออกมาบอกว่า ตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นแฟนคลับ Louis Vuitton ไปแล้ว หลังจากที่ได้ซื้อคอลเลกชันนี้

ส่วนทางฝั่ง LEGO ที่ไปจับกับแบรนด์รถหรู
ก็จะได้ฐานแฟนคลับคนที่ชื่นชอบรถ หรือคนชอบสะสมโมเดลรถยนต์เพิ่มขึ้นมา

2. เสริมพลังซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง

เมื่อก่อนถ้าแบรนด์ไหนต้องการชื่อเสียงของอีกแบรนด์ บริษัทเจ้าของแบรนด์นั้น ก็อาจต้องทุ่มทุนซื้อกิจการของแบรนด์ที่ต้องการ เข้ามาเป็นของตัวเอง

แต่หากทั้งสองแบรนด์ใช้วิธีจับมือกันทำแคมเปญ หรือทำสินค้าบางชิ้นร่วมกัน ก็จะช่วยลดต้นทุนที่ฝ่ายหนึ่งจะต้องทุ่มเงินเพื่อ Take over กิจการ
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะได้ไม่ต้องเสียกิจการ หรือเสียแบรนด์ให้อีกฝ่ายไป

3. การจับมือกัน ทำให้แต่ละฝ่ายได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ไปด้วยกัน

อย่างเช่น LEGO ที่ไปจับมือกับ Lamborghini
ก็จะได้เรียนรู้รายละเอียดของชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งอาจรวมไปถึงกระบวนการผลิต ส่วน Lamborghini ก็น่าจะได้เรียนรู้ความละเอียดอ่อนในการออกแบบชิ้นส่วนชิ้นเล็กๆ จากทางฝั่ง LEGO

ทั้งหมดนี้ถือเป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้สิ่งใหม่ในแต่ละองค์กร และอาจนำองค์ความรู้ใหม่มาต่อยอดนวัตกรรมได้ในอนาคต

จะเห็นได้ว่า การเปิดใจหันมาทำอะไรร่วมกันระหว่างแบรนด์หรือระหว่างธุรกิจนั้น ให้อะไรใหม่ๆ กับองค์กรมากกว่าที่ใครหลายคนคิด

อย่างในบ้านเรา อาจจะไม่ต้องคิดไกลถึงธุรกิจแนวนั้น เอาแค่ธุรกิจไหนกำลังเหงาหงอย บางทีการเดินไปคุยกันแบบเปิดอก และถามถึงสารทุกข์สุขดิบกันหน่อย คุณอาจจะแชร์บางอย่างแก่กันได้

ร้านข้าวของหมู่บ้านนี้ อาจจะไป Combinated กับคนคุ้นเคยที่มาส่งน้ำให้ เปลี่ยนจากแค่ส่งน้ำ ไปส่งข้าวเพิ่ม คิดส่วนแบ่งค่าส่งไป โดยที่ร้านข้าวก็ไม่เหงาจากยอดคนหาย

ทำโปรโมชั่นแรงๆ กันก็ยังได้ กินข้าวร้านนี้ ได้ตัดผมฟรีร้านนั้น หรือซื้อทองร้านนั้น นำคูปองพิเศษไปแลกกาแฟฝั่งตรงข้ามฟรี 1 แก้วไรงี้

ความร่วมมือเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องการ 'การอยู่รอด'

หากผู้นำและคนในองค์กรมีแนวคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะทำให้องค์กรพยายามปรับตัว และมองหาโอกาสทางธุรกิจและความท้าทายใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดว่าต้องทำอะไรแบบเดิมๆ

...ไม่ว่าจะความหวังเอย 
...ไม่ว่าจะความฝันเอย
...เอื้อมถึงได้ทั้งนั้น

แค่... "จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน" 

พี่เบิร์ดไม่ได้กล่าวไว้ แต่ร้องไว้!! 

ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.blockdit.com/posts/6059cdb9fa1a983ce66f1565
https://www.qualitylogoproducts.com/blog/12-best-brand-collaborations/
https://www.businessinsider.com/lego-releasing-lamborghini-sian-set-2020-5


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

Verzasca Valley ลำธารสีมรกตในหุบเขา ความงดงามล้ำค่าของ Tessin

Tessin (เทสซิน) ในภาษาเยอรมันหรือ Ticino (ทิชีโน่) ในภาษาอิตาลี เป็นรัฐเดียวในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ใช้ภาษาอิตาลี และอยู่ติดกับทางชายแดนอิตาลี มีประชากร 351.491 คนจากสถิติเมื่อปี 2019 เมืองหลักคือเมือง Bellinzona (เบลลินโซน่า) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐคือเมือง Lugano (ลูกาโน่) 

Tessin เป็นรัฐที่คนสวิสเองนิยมไปพักร้อนกันมากในวันหยุดพักผ่อน เพราะบรรยากาศและอากาศเป็นหลัก สำเนียงอิตาเลียน, อาหาร, สถาปัตยกรรม, ทัศนคติและไลฟ์สไตล์ที่ผ่อนคลายกว่าทุกที่ในสวิสเซอร์แลนด์ แถมอากาศจะค่อนไปทางอบอุ่นมีแดดมากกว่ารัฐทางเหนือเช่น Zürich (ซูริค) เข้าเขต Tessin เมื่อไหร่ก็จะเห็นพวกต้นปาล์มและต้นไม้เขตร้อนอื่น ๆ เหมือนว่าเราไปต่างประเทศเลยทีเดียว 

ที่พูดถึงรัฐนี้เพราะพอดีว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนวี่มี Vacation บวกวันหยุดนักขัตฤกษ์ด้วยเกือบสองอาทิตย์ เลยลงไปเที่ยวทางใต้ ก็คือรัฐ Tessin เนี่ยแหละ และได้มีโอกาสไป Verzasca Valley ลำธารสีมรกตในหุบเขา ที่ว่ากันว่าเป็นเพชรเม็ดงามของ Tessin ซึ่งปี 2019 ได้ไปมาครั้งหนึ่งก็รู้สึกประทับใจและคิดอยู่เสมอว่าจะต้องหาโอกาสไปอีกให้ได้ จนประจวบเหมาะว่าในกลุ่มลงมติกันว่าจะไปแต่ประสบการณ์ครั้งนี้มันน่าจดจำ และสวยงามกว่าคราวก่อนก็ตรงที่ได้ Hiking ด้วย

ไฮไลต์ของ Verzasca Valley ก็น่าจะเป็นสะพานหิน Ponte del Salti ที่ปกติคนจะแน่นมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเอเซีย รวมถึงคนไทยด้วย แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดเลยมีคนสวิสซะเยอะ (แต่ก็ยังน้อยถ้าเทียบกับสถานการณ์ปกติที่มีนักท่องเที่ยว) ในหน้าร้อนคนชอบมาที่สะพานเพื่อกระโดดลงไปที่ลำธาร ถึงแม้น้ำจะเย็นมากแต่ก็จะมีคนเล่นน้ำ ดำน้ำตลอด ตามโขดหินก็มีคนนอนอาบแดด นั่งเล่นเป็นภาพที่เห็นจนชินตา 

แต่วี่ไม่ได้ไปแค่ตรงนี้หรอก เมื่อปี 2019 เคยไปมาแล้วตอนหน้าร้อนเลยไม่ค่อยได้เก็บเกี่ยวอะไรมากเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เรานั่ง Postauto (โพสต์เอาโต้) หรือรถบัสสีเหลืองสาย 321 จากป้าย Lavertezzo, Monda ไปสองป้าย ไปลงที่ป้าย Brione (Verzasca) ความบังเอิญทำให้พบกับความสวยงามแท้ ๆ เพราะวี่ลงผิดป้าย ตอนแรกกะจะไปไกลกว่านี้ตรงจุดเริ่มต้นคือ Sonogno ซึ่งเป็นเส้นทาง Hiking ที่มีระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร แต่พอมาดูข้อมูลคือเขาว่ากันว่าช่วง Brione ถึง Lavertezzo คือช่วงที่วิวสวยที่สุด วี่รู้สึกโชคดีมากที่ลงผิด

จะบอกว่าเดินแค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว เพราะมีเด็กน้อยไปด้วย 2 คน และเส้นทางค่อนข้างเป็นเส้นทางธรรมชาติ วี่หมายถึงทางเดินบางช่วงเป็นหินที่มีน้ำเซาะผ่านอาจลื่นนิด ๆ บางช่วงบนพื้นคือมีรากไม้เยอะมากหากเดินไม่ระวังอาจมีสะดุดล้มได้ง่าย ๆ แต่คือมันดีแบบที่สุดและคิดว่าต้องไปอีกแน่ ๆ วิวทุกช่วงทุกตอนมันว๊าว !! มีสิบให้เต็มสิบ มีร้อยก็ให้เต็มร้อยนะ พื้นที่มีโขดหิน หรือพื้นที่ตรงลำธารทำให้เราได้นั่งพักและปิ๊กนิกเป็นระยะ ๆ ระหว่างทางเราก็จะเห็นน้ำสีเขียวมรกต โขดหินหลากสี สลับกับป่าสีเขียวขจีและน้ำตกน้อย เวลาเรายืนอยู่ใกล้ ๆ น้ำตก แล้วน้ำกระเซ็นมาที่หน้ามันรู้สึกชุ่มฉ่ำอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ

เวลาวี่ไป Hiking มักจะชอบเข้าไปยืนใกล้ ๆ ต้นไม้ใหญ่ สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด และผ่อนลมออกให้เต็มที่เป็นการเปลี่ยนถ่ายพลังงานอย่างนึง และกลิ่นป่าธรรมชาติตรงนี้ก็หอมมากจริง ๆ ถ้าใครมีโอกาสได้มาสวิส ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่วี่ขอแนะนำ มาแล้วรับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

จากน้ำแร่ สู่แฟชั่นสายเฟรช กลยุทธ์ Collaboration สุดปัง ที่ทำให้ ‘เพอร์ร่า’ ยืนหนึ่ง

ถ้าพูดกันตรงๆ สินค้ากลุ่ม ‘น้ำแร่’ แทบจะหาความต่างด้านภาพลักษณ์ได้ยากมากๆ 

ยิ่งถ้าเอาเรื่องจุดขายอย่างคุณภาพมาเล่นด้วยแล้ว ขอบอกเลยว่า เหนื่อย!! เพราะในแง่ของคุณประโยชน์ของน้ำ หาความต่างลำบาก นอกจากความสดชื่น

นั่นจึงทำให้ตลาดน้ำแร่ที่เข็นกันอยู่ในท้องตลาด กลับมาสู่การเล่นสงคราม ‘ราคา’ 

อย่างไรก็ตาม แบรนด์น้ำแร่อย่าง ‘เพอร์ร่า’ ก็เป็นกรณีอีกศึกษาที่น่าสนใจ ในการนำความต่างบางอย่างมาทำให้เกิดความฉีก โดยไม่ต้องสนใจแต่เรื่องสงครามราคาอย่างเดียว

>> ความต่างที่ว่าคืออะไร?

ความต่างที่ว่า คือ การทำการตลาดแบบ Collaboration หรือ Collab ด้วยการผสมผสานเรื่องของแฟชั่นเข้ามามิกซ์กับน้ำแร่ ให้กลายเป็นสินค้ากึ่งไลฟ์สไตล์ จนทลายกำแพงความไม่คุ้นเคยของผู้บริโภคได้อย่างถูกจริต

>> แล้วอะไรที่ทำให้เพอร์ร่าเติบโตไวในกระแสธารของธุรกิจที่หาลูกเล่นดิ้นยาก แถมตลาดก็ไม่ได้หวือหวา ออกจะซบเซาด้วยซ้ำ?

หากย้อนไปราวๆ 10 ปีก่อน ตอนที่ ‘สิงห์ คอร์เปอเรชั่น’ ส่ง ‘น้ำแร่เพอร์ร่า’ เข้าสู่ตลาด ต้องเจอกับโจทย์ที่หินไม่น้อย เพราะตลาดน้ำแร่ในขณะนั้นก็มีผู้เล่นเดิมครองอยู่

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มวางขายและทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 เพอร์ร่า ค่อยๆ เติบโต และกลายเป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตมากที่สุดในตลาด โดยเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 2 ราว 23.3% ห่างจากอันดับ 1 ที่มีส่วนแบ่ง 26.5%

หลังจากนั้นในช่วงเดือน ก.ค. 62-มิ.ย. 63 เพอรร่า สามารถสร้างยอดขายการเติบโตได้ถึง 12% สวนกระแสกับสภาพตลาดน้ำแร่ที่มีอยู่ในภาวะติดลบ 13.3% ในขณะที่แบรนด์น้ำแร่ ในตลาดอยู่ในภาวะติดลบตามตลาด 

ผลักดันให้ น้ำแร่เพอร์ร่า ก้าวขึ้นมาเป็น ‘ผู้นำตลาดน้ำแร่’ ในประเทศไทยสำเร็จ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 25.7% หรือมียอดขายในเชิงปริมาณ 70 – 95 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่าราว 1,450 ล้านบาท 

ว่ากันว่า ‘จุดเปลี่ยน’ สำคัญที่นำให้ เพอร์ร่า มาไกลถึงทุกวันนี้ ล้วนเกิดจากการที่เลือกสื่อสารกับผู้บริโภคในมุมที่ ‘แตกต่าง’ อินไซต์โดนใจ จนดันโตก้าวกระโดด ด้วยการปรับโฉมตัวเองเป็น ‘แบรนด์น้ำแร่สายแฟชั่น’ 

อย่างที่บอกไปว่าในตลาดน้ำแร่ ทุกคนแคร์เรื่องราคา แต่ก็ต้องพยายามแคร์คุณค่าด้าน Functional Benefits ด้วยการพูดถึงคุณสมบัติสินค้าอย่างต่อเนื่อง

แต่ในช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ น้ำแร่เพอร์ร่า กลับนำไอเดีย ‘Emotional Benefits’ มาสื่อสารควบคู่ ไปกับการชูคุณสมบัติน้ำแร่ธรรมชาติ 100% ที่มีแร่ธาตุสำคัญในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย ตอบโจทย์คนสายรักสุขภาพ

>> กลยุทธ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากเพอร์ร่า พบคำตอบว่า พฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ได้ตัดสินใจเลือกซื้อน้ำแร่ เพียงเพื่อดับกระหาย หรือให้ความสดชื่นเท่านั้น แต่พวกเขาจะซื้อเพราะสนใจภาพลักษณ์ และเริ่มให้ความสำคัญกับสินค้าที่ภาพลักษณ์แตกต่าง จนสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ตนเอง <<

เรื่องนี้สอดคล้องกับผลวิจัยของเพอร์ร่า โดยปรากฎผลว่ากลุ่มเป้าหมายของน้ำแร่เพอร์ร่า 70% เป็นผู้หญิง และผู้ชายมีเพียง 30% ทางแบรนด์จึงมองว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีความสนใจเรื่องการแต่งตัว และชอบความสวยงามดูดี

จากอินไซด์ดังกล่าว กลายเป็นจุดเริ่มต้นสู่ภาพลักษณ์ใหม่!!

น้ำแร่เพอร์ร่า ได้เริ่มค่อย ๆ ปรับและนำเสนอผ่านเรื่องราวความสนใจใกล้ตัวผู้หญิง เช่น ‘แฟชั่น’ มามัดใจลูกค้า โดยตลอด 3 ปีมานี้ Collaboration Marketing ดูจะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรันธุรกิจ ผ่านการเปิดตัวขวดรุ่น Limited Collection 

โดยเพอร์ร่าจับมือกันกับดีไซเนอร์ไทยชั้นนำระดับประเทศ ที่มาร่วมกันสร้างสีสันออกแบบลวดลายบนขวดแตกต่างกันไปในทุกปี ไม่ว่าจะเป็น Disaya, Issue, Asava, Vatanika, Poem, SIRIVANNAVARI BANGKOK, Jennifer Bouron ศิลปินระดับโลกชาวฝรั่งเศส... 

หรือแม้แต่ จี๊ป – ภาสินี คงเดชะกุล ศิลปินชื่อดังผู้เคย Collaborate ออกคอลเล็กชั่นพิเศษกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Louis Vuitton, Rimowa จนทำยอดขายได้รวดเร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 3 เดือนทุกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์วันนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งจีรังสำหรับอนาคต เพียงแต่ในวันนี้ตลาดน้ำแร่มีแบรนด์เพอร์ร่ายืนหนึ่งบนโพเดี้ยมนี้ เพราะเดินเกมมาถูกทาง เข้าใจตลาด เข้าใจผู้บริโภคของตนเอง และรู้ว่าจะต้องบรรเลงท่วงทำนองของสินค้าบทไหนให้เข้ากับบริบท 

กรณีศึกษาของเพอร์ร่านี้ จึงสะท้อนให้เห็นว่า ในยุค Digital Disruption ที่ทุกอย่างสามารถ ‘ปัง’ หรือ ‘พัง’ ได้ในชั่วข้ามคืน ใครพลวัตกว่า ก็คว้าโอกาสได้ก่อน และพลวัตที่เหมาะสมของเพอร์ร่า คือ Collaboration Marketing ที่มาได้ถูกจังหวะกับพฤติกรรมคนเหลือเกิน

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.marketingoops.com/news/biz-news/sirivannavari-bangkok-purra/
https://marketeeronline.co/archives/179054
https://www.brandage.com/article/20068/Purra
https://mgronline.com/business/detail/9630000077479
https://www.brandbuffet.in.th/2017/08/purra-mineral-water-thai-designer/
https://www.gqthailand.com/gq-hype/article/gq-hype-vol-75


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

Onitsuka Tiger x DoiTung ‘เสือญี่ปุ่นห่มผ้าไทย’ ไลฟ์สไตล์สุดเท่ เก๋แบบยั่งยืน

เรียกเสียงฮือฮา ให้กับวงการสนีกเกอร์ไทยอย่างมาก เมื่อ Onitsuka Tiger แบรนด์รองเท้าสปอร์ตแฟชั่นชื่อดังจากญี่ปุ่น ได้เปิดตัวแคมเปญพิเศษที่ร่วมกับ DoiTung ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของ Onitsuka Tiger ที่ได้ทำ Collaborationกับแบรนด์สินค้าไทย สร้างสรรค์ผ่านสนีกเกอร์สุดคูล

สำหรับ โปรเจกต์ Onitsuka Tiger x DoiTung เป็นอีกความเคลื่อนไหวของวงการแฟชั่น ระหว่างแบรนด์ดังจากแดนปลาดิบที่มาร่วม Collaborationกับโครงการพัฒนาดอยตุง โครงการหลักของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในราชอาณาจักรไทย ถ่ายทอดเป็นคอลเล็กชั่นรองเท้าแฟชั่นสุดคูล

โดยทั้งสองแบรนด์ ได้คิดเห็นและตกลงร่วมกันที่จะผลิตรองเท้าภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ความยั่งยืน’ ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์คงประวัติศาสตร์ได้อย่างยาวนาน ลดกระแสแฟชั่นที่มาเร็วไปไว (Fast Fashion) โดยมีไฮไลท์ที่การนำวัสดุรีไซเคิลมาทอเป็นผ้าจากฝีมือชาวบ้าน แล้วนำไปผลิตเป็นสนีกเกอร์ 3 รุ่นฮิต อย่าง Mexico 66, Mexico 66 Paraty และ Serrano โดยความพิเศษของผ้าทอแบบมือ จะให้งานละเอียดมากกว่าผ้าที่ทอด้วยเครื่องจักร ทำให้สะท้อนเอกลักษณ์ของผ้าทอมือจากเหนือสุดแดนสยามของได้อย่างสวยงาม 

ความร่วมมือในครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์ของทั้ง Onitsuka Tiger และโครงการพัฒนาดอยตุงเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของโลก ที่กำลังให้ความสำคัญต่อการทำธุรกิจภายใต้แนวคิดของความใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ หากย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้  เริ่มในปี 2562 โดยทางดอยตุงได้เริ่มติดต่อเป็น Partnership กับ Onitsuka Tiger จากนั้น 18 เดือนต่อมา นักออกแบบสิ่งทอไทยและทีมการผลิตของญี่ปุ่นได้ร่วมกันทำงานเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยมีโจทย์ที่สำคัญอย่างการสะท้อนตัวตนทางธุรกิจ ที่ต้องการขับเคลื่อนไปอย่างยั่งยืน ไม่ฉาบฉวย และคงไว้ซึ่งโลกใบสวยๆ 

ดังนั้น ความร่วมมือในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การร่วมกันผลิตรองเท้าที่เล่าเรื่องผ้าอย่างเดียว (ดอยตุง) แต่ยังเป็นการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาผสมผสานอย่างลงตัว

จากนั้นในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ทางทีมงานก็ยังทำงานกันอย่างต่อเนื่อง และผลที่ออกมาคือ การเลือกใช้ผ้าแบบ Better Cotton มาทอมือ (ใช้เวลาในการผลิตหนึ่งสัปดาห์) ตั้งแต่การปั่นด้ายไปจนถึงรูปแบบของลวดลาย ซึ่งเมื่อเทียบกับผ้าทอด้วยเครื่องจักรแล้ว วัสดุที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะนุ่มกว่าและงานดีไซน์ที่สำเร็จแล้วจะมีความละเอียดอ่อนกว่า

ยิ่งไปกว่านั้นผ้าแบบ Better Cotton ยังใช้น้ำน้อย โดยผ้าปริมาณหนึ่งกิโลกรัมจะใช้น้ำน้อยกว่าปกติ 30% ส่วนที่เหลือก็เก็บเอาไว้ใช้ในอนาคตได้ เนื้อผ้าที่ทอออกมาก็เหมาะที่จะเอาไปทำรองเท้า 

เรียกได้ว่า รองเท้าที่ผลิตออกมาจากการ Collaboration ในครั้งนี้ ผสมผสานทั้งคุณภาพอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งของไทย และสไตล์อันเฉียบขาดแบบ Onitsuka Tiger เข้าไว้ มีโครงสร้างที่ทนทานและสวมใส่ได้สบาย ได้รับการชื่นชมจากผู้คนที่หลากหลายทั่วโลกที่ได้สัมผัส

สำหรับสิ่งทอที่นำมาใช้สำหรับรองเท้าทั้งสามรุ่นในCollaboration นี้ เป็นลวดลายที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีจากผ้าแบบดั้งเดิมหลายประเภทที่ผลิตในท้องถิ่น อาทิ สีแดงและสีน้ำเงินที่นำมาใช้ผสมผสานเป็นคาแรคเตอร์ของสีจดจำจาก Onitsuka Tiger Stripes สไตล์ออริจินัล

ในส่วนของรองเท้า MEXICO 66 อีกสองรุ่นที่เอ็กซ์คลูซีฟ วางขายเฉพาะประเทศไทยนั้น ได้ใช้ด้าย PET รีไซเคิล 100% จากขวดพลาสติก ที่ถูกทออย่างพิถีพิถันที่ดอยตุง โดยรุ่นหนึ่งจะเป็นผ้าสีดำพร้อมปักโลโก้ Onitsuka Tiger ส่วนอีกรุ่นหนึ่งจะเป็นลายเสือ ผ้าลายเสือที่สลับซับซ้อนให้ความรู้สึกเก๋และทันสมัย นอกจากนี้สีแดงและสีเหลืองบนพื้นรองเท้านั้นมาจากสีหลักของดอยตุงและ Onitsuka Tiger

สำหรับการ Collaboration นี้นอกจากจะเป็นการผสมผสานระหว่างงานฝีมือของคนไทยกับรองเท้าไอคอนิกของ Onitsuka Tiger แล้ว ยังเป็นการจ้างงานที่มีความหมายและการดำเนินการเพื่อสังคมในเชิงบวก เป็นการสร้างความยั่งยืนในชุมชน ทำให้คนในพื้นที่โครงการฯ มีงานทำ สอดคล้องกับห้วงเวลานี้ ที่ ‘งาน’ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ

เพราะฉะนั้น รองเท้าที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้ จึงเป็นตัวแทนทั้งวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของไทย ตลอดจนมิตรภาพของไทยกับญี่ปุ่น การร่วมมือกันครั้งนี้ทำให้เกิดรองเท้าสนีกเกอร์ที่มีเรื่องราว พร้อมเป็นนิยามใหม่ของคำว่า ‘เท่’ ในแฟชั่นยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว 

ภาพตอกย้ำ ที่ไม่เพียงแต่ ‘เท่’ แต่ยังเลอค่าควรคู่ครองได้สะท้อนสู่สายตาคนไทยอย่างปลาบปลื้ม เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงสวมรองพระบาท ‘Onitsuka Tiger x DoiTung’ ในพระอิริยาบถสบายๆ ที่ทรงคุณค่ายิ่งนักอีกด้วย

ขอบคุณภาพ จากเพจ : เรารักสมเด็จเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ผบ.ตร.' จัดสอบวัดความรู้ตำรวจจราจรทั่วประเทศ คัดสรรเจ้าหน้าที่ให้ได้ระดับมาตรฐานสากลที่ประชาชนต้องการ

วันนี้ (12 พ.ค.64) เวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการศึกษา (บช.ศ.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ ได้มาสังเกตการณ์ดูการทดสอบความรู้ความสามารถ ตำรวจจราจรตั้งแต่ระดับ รอง ผกก. ถึง ผบ.หมู่ ทั่วประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ ทางเว็บไซต์ ศจร.ตร. www.tpot.police.go.th 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ​ ได้กำหนดวิสัยทัศน์ตำรวจให้ "เป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมายที่นำสมัย ในระดับมาตรฐานสากล เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา" โดยเฉพาะงานด้านจราจร ซึ่งมีระเบียบ กฎหมาย เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงสถานการณ์หลากหลายรูปแบบที่ต้องเผชิญกับผู้ที่ไม่เคารพกฎจราจร นำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยบนท้องถนน และรวมถึงตัวเจ้าหน้าที่เองด้วย ดังนั้น จึงต้องมีการอบรมและทดสอบความรู้ ทั้งในข้อกฎหมาย แนวทางการปฏิบัติ และการใช้ดุลยพินิจในแต่ละเหตุการณ์ ซึ่งต้องทำให้เป็นรูปแบบมาตรฐานเดียวกัน

การทดสอบในครั้งนี้ จะมีทั้งวิชากฎหมาย และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับงานจราจร ผู้เข้าสอบจะต้องทำข้อสอบให้ได้ 100% เต็ม ในส่วนของวิชากฎหมาย และ 70% ในส่วนของความรู้ทั่วไป​ หากสอบไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด จะให้โอกาสเข้ารับการทดสอบใหม่อีกครั้ง และหากยังไม่ผ่านอีก จะให้งดการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเป็นการชั่วคราว

การทดสอบ จะดำเนินการภายใต้มาตรการทางสาธารสุขอย่างเคร่งครัด เนื่องจากยังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยในกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีแดง จะจัดทดสอบ ณ สถานีตำรวจ สำหรับจังหวัดอื่น จะทดสอบ ณ ที่ทำการ ภ.จว. นั้นๆ โดยมีตำรวจจราจรทั่วประเทศเข้ารับการสอบทั้งสิ้น 18,811 นาย จำนวน​ 625  สนามสอบทั่วประเทศ

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ย้ำว่า ผบ.ตร. มุ่งเน้นให้ตำรวจจราจต้องพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ และเพิ่มพูนทักษะในการปฏิบัติงานอยู่เสมอ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดในการอำนวยความสะดวกการจราจรแก่ประชาชน และบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืน เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมทั้งต้องสามารถอธิบายข้อกฎหมาย ขั้นตอนการปฏิบัติ ตอบปัญหาข้อสงสัย ให้แก่ประชาชนได้อย่างถูกต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน 

กลุ่ม อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จัดสัมมนา Total Cabling & Networking Solution มุ่ง​ Update Solution สายสัญญาณและอุปกรณ์การเชื่อมต่อยุคใหม่

#INTERLINK

(12 มิ.ย. 2564) คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธาน กลุ่ม อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จัดสัมมนา Total Cabling & Networking Solution ซึ่งเดินทางมาถึงภูมิภาคสุดท้าย​แล้ว​ ให้กับกลุ่มลูกค้าจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กว่า 100 คน

โดยนำทีมวิทยากรชั้นนำมา Update Solution สายสัญญาณและอุปกรณ์การเชื่อมต่อที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดไอเดียให้เกิดธุรกิจใหม่แก่ลูกค้าภาคอีสานโดยเฉพาะ

Live จากเขาใหญ่ (แล้วพบกันใหม่อีกครั้งที่งาน VIP Thank you party เร็วๆ นี้)

เราเคยรักกันใช่ไหม? Collab รัก Collab ร้าย แตกหักกันง่ายๆ แค่...

เชื่อว่าหลายๆ คน คงจะมีคนที่เคยสนิท…

แต่ถ้าเกิดคนที่สนิทใน ‘วันนี้’ ไม่อาจสนิทใจกันได้เหมือน ‘วันก่อน’ หรือ ‘มิตรแท้’ ที่เคยเคียงข้างกลายเป็นเพียง ‘มิตรเทียม’ เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างมากระชากความสัมพันธ์ให้ขาดกันล่ะ เราจะทำอย่างไร?

>> พังกันไปข้างนึงเลย?
>> หรือหันหน้ากลับมาพูดคุยกันได้ใหม่?

เชื่อว่าหลายคนอยากเห็นภาพของการกลับมาคุยกันได้ แต่สุดท้ายในโลกความจริงมันช่างยากเหลือ!!

THE STATES TIMES มีหลากกรณีศึกษาชวนคิด ผ่านเหล่าคนดังที่เมื่อก่อนก็เข้าใจว่าสนิทกัน ไว้ใจกัน แต่พอมาถึงวันนี้กลับกลายเป็นว่ามองหน้ากันไม่ติด เพื่อให้เราหันกลับมาคิดในสังคมที่การ ‘แตกหัก’ เกิดขึ้นได้ แค่...(ฝากผู้อ่านช่วยเติมคำตอบในช่องว่างกันดู)

>> กรณีแรกกับเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ของ ‘หมอปลา’ กับ ‘ลุงพล’ ผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมน้องชมพู่ ซึ่งหมอปลาเคยลั่นวาจาไว้ว่า “หากลุงพลเป็นผู้กระทำผิดจริง หมอปลาจะยอมฆ่าตัวตาย” 

จนเมื่อไม่กี่วันก่อนตำรวจได้ออกหมายจับลุงพล ผู้คนในสังคมจึงออกมาตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่หมอปลาเคยพูดไว้ แต่ทางด้านหมอปลาก็ออกมายืนยันว่าไม่ได้สนิทกับลุงพลตั้งนานแล้ว 

อันที่จริงจุดประสงค์ของการตั้งคำถามในครั้งนี้จากคนในสังคม ไม่ได้ต้องการตอกย้ำหรือเร่งรัดให้หมอปลาฆ่าตัวตายแต่อย่างใด แค่อยากอยากชี้ว่าการที่หมอปลาออกตัวแรงเข้าข้างลุงพล ทั้งๆ ที่คดีความยังไม่สิ้นสุด เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำตั้งแต่แรก 

ขณะเดียวกันการที่หมอปลาออกมายืนยันว่าตัวเองไม่ได้สนิทกับลุงพล ก็ยิ่งทำให้คนในสังคมงงเข้าไปใหญ่ว่า เอ้า!!  สรุปแล้วสองคนนี้สนิทกันจริงไหม? แล้วไปสนิทกันตอนไหน? แล้วเพราะอะไรหมอปลาถึงกล้าออกตัวให้ลุงพลมากขนาดนั้น??

ส่วนบทสรุปความสัมพันธ์ในอนาคตของคู่จะลงเอยไปแบบไหนต่อไป (ฝากผู้อ่านช่วยเติมคำตอบ)

>> อีกคู่ต่อมา ขอยกให้กับดราม่าของนางเอกสาวสวยอย่าง ‘จั๊กจั่น อคัมย์สิริ’ ที่ก่อนหน้านี้โดนดราม่าหนักเกี่ยวกับเรื่องมือที่สาม ซึ่งเรื่องนี้หลุดออกมาจากอดีตผู้จัดการของเธอที่เคยทำงานด้วยกันมากว่า 15 ปี ถือเป็นเวลาที่ยาวนานและมากพอที่จะทำให้ไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่พอสืบไปสืบมากลายเป็นว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกปั้นแต่งขึ้นมา 

ทว่าดราม่าครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่จั๊กจั่นกับอดีตผู้จัดการเท่านั้นที่แตกหักกันไป แต่เพื่อนสนิทของจั๊กจั่นอย่าง ‘นก อุษณีย์’ ก็ถึงคราวแตกหักกับตัวจั๊กจั่นด้วยอีกคน เมื่อเธอเชื่อปักใจเกี่ยวกับเรื่องมือที่สามและยังแสดงออกในเชิงหมิ่นประมาทแฟนหนุ่มของจั๊กจั่น ทำให้เกิดความเสียหาย ท้ายที่สุดก็ได้มีหมายจับแสดงออกมาจนเป็นข่าวดัง 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับดาราสาวอย่างจักจั่น อคัมย์สิริ นอกจากจะเป็นที่สนใจของคนในสังคมแล้ว ยังทำให้เกิดการตั้งคำถามอีกว่า ทำไมคนที่รู้จักกันมาอย่างยาวนาน ถึงกล้าปั้นแต่งเรื่องราวโกหกขึ้นมา และทำไมเพื่อนสนิทถึงได้เชื่อเรื่องโกหกนั้นอย่างสนิทใจจนกลายเป็นคดีความ (ฝากผู้อ่านช่วยเติมคำตอบ)

>> ย้อนอดีตไปกับอีกกรณีที่เคยเป็นกระแสดังทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์อย่าง ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ กับ ‘เก้า เกริกพล’ เจ้าของเพลงดังฮิตติดหู ‘เลิกคุยทั้งอำเภอ เพื่อเธอคนเดียว’ ซึ่งเพลงนี้สามารถกวาดยอดการรับชมใน YouTube ไปได้กว่า 350 ล้านวิว แต่สุดท้ายเรื่องราวดราม่าก็บังเกิด เมื่อหนุ่มเก้าออกมาแฉว่าได้ค่าตัวไม่คุ้มกับแรงที่เสียไป และการแบ่งเปอร์เซ็นต์จากการทำกำไรของเพลงก็ยังไม่เท่าเทียม งานนี้ทำให้คนในสังคมต่างออกมาวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักจนสื่อทุกช่องหยิบยกไปทำข่าว 

สุดท้ายเรื่องราวนี้ก็ไปถึงชั้นศาล เกิดการฟ้องร้องค่าลิขสิทธิ์กันไปตามกฎหมาย พอเรื่องนี้ได้ถึงหูคนในสังคม ก็ทำให้คนตั้งคำถามอีกแล้วว่า ก่อนตัดสินใจร่วมงานกัน ไม่ได้มีการเซ็นสัญญาข้อตกลงร่วมกันอย่างชัดเจนหรือ? แล้วทำไมค่าตัวจากการทำงานถึงน้อยขนาดนั้น? (ฝากผู้อ่านช่วยเติมคำตอบ)

>> ขยับไปดูเรื่องราวของ (อดีต) เพื่อนรักเพื่อนสนิทในแวดวงผู้จัดการดารากันบ้าง ระหว่าง ‘เกล้า น้ำพราว’ กับ ‘หวานเจี๊ยบ’ ทั้งสองคนเคยเป็นผู้จัดการร่วมกันให้กับดาราสาว ‘ดิว อริสรา’ แต่ถึงอย่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็มีดาราในสังกัดของตัวเองให้คอยดูแล 

‘เกล้า น้ำพราว’ ดูแลดาราสาวพันล้านอย่าง ‘ใหม่ ดาวิกา’ ส่วน ‘หวานเจี๊ยบ’ ก็ดูแลดาราเบอร์ใหญ่อย่าง ‘ชมพู่ อารยา’ 

สิ่งที่นำมาสู่การแตกหักของทั้งสองผู้จัดการหลาย แหล่งข่าวต่างๆ มักเห็นไปในทางเดียวกันว่ามาจากการแย่งชิงงานพรีเซ็นเตอร์มาให้ลูกๆ ในความดูแล ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วค่าตัวดาราแต่ละคนราคากี่บาท และแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องนี้ก็ถึงกับทำให้ ‘เกล้า น้ำพราว’ และ ‘หวานเจี๊ยบ’ แตกหักกันไป 

อย่างไรซะ พอประเด็นบาดหมางดังกล่าวกลายเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่ง ผู้คนที่ติดตามข่าวก็ตั้งคำถามว่า สรุปคำว่าเพื่อนรักเพื่อนสนิทไม่มีอยู่จริงในแวดวงบันเทิงเลยหรือ? แล้วตลอดเวลาที่คบกันมา มันแตกหักเพราะแค่การชิงงานให้ดาราในสังกัดจริงๆ เหรอ? (ฝากผู้อ่านช่วยเติมคำตอบ)

โดยสรุปแล้ว จากทั้ง 4 เหตุการณ์ความสัมพันธ์ที่ยกมานี้ มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ ‘ทุกกรณีดูจะเคยมีความสัมพันธ์อันดี มีความสนิทชิดเชื้อ และเคยไว้ใจกันอย่างมากมาก่อนทั้งนั้น’ แต่ก็มีเรื่องหรือเหตุการณ์บางอย่างทำให้แตกหักกันจนมองหน้ากันไม่ติด โดยเรื่องหลักที่เห็นได้ชัดเจน ก็จะเป็นเรื่องเงิน-เรื่องงาน ที่อาจจะแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว หรือตัดผลประโยชน์กันจนมีอีกฝ่ายที่เสียเปรียบ ส่งผลให้เกิดการผิดใจและไม่สนิทใจกันเหมือนเดิม 

ฉะนั้นจากกรณีที่กล่าวมาทั้งหมด อยากให้ลองย้อนมาอยู่ในโลกสวยๆ ด้วยการตั้งสติ รับฟังกันให้มาก และอย่าเพิ่งรีบตัดสินเรื่องราวใดๆ กันไปก่อน เพราะเรื่องของความสัมพันธ์หากแตกหักกันแล้วก็ยากที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือถึงแม้ว่าจะกลับมาคุยกันได้ แต่ความสนิทสนมหรือความไว้เนื้อเชื่อใจก็คงไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม

ยิ่งมีเรื่องผลประโยชน์มาแทรกด้วยแล้ว ขอบอกเลยว่า ขนาดความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวก็พังพินาศลงได้ง่ายๆ แม้เราจะเคยรักกันมากแค่ไหนก็ตาม...

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.sanook.com/news/8359818/
https://www.komchadluek.net/news/ent/468858
https://www.thairath.co.th/entertain/news/1915823
https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000053553
https://www.daradaily.com/news/97862/read
https://www.youtube.com/watch?v=z3yk_gW56LA


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

Self Talk | คิดเพลิน Learn & Play Talk EP.34

คุณอยู่กับ Podcast face to face รายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ฟังง่ายได้สาระ  

พูดคุยประเด็นต่างๆ แบบเพลินๆ พบกันทุกวันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา 22.00 น. 

ติดตามชมรายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ได้ทาง YouTube และ Facebook Fanpage ของ THE STATES TIMES 

อย่าลืม! กดไลก์ กดแชร์ กด Subscribe 

.

.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top