Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

ตำรวจตามจนเจอ !! แหล่งรับซื้อของโจรเครื่องขยายเสียงที่กาฬสินธุ์ เป็นอาจารย์นักดนตรีและนักการเมืองท้องถิ่น อ้างรับซื้อโดยไม่รู้ว่าเป็นของขโมยมา

ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น นำทีมชุดสืบสวนตามไทม์ไลน์ “ก๊อปซาวด์ มิวสิค” นำเครื่องขยายเสียงที่ขโมยจากหอกระจายข่าวไปขายเป็นเครื่องเสียงมือสอง อึ้ง หลังขยายผลพบแหล่งรับซื้อของโจรเป็นอาจารย์นักดนตรีและนักการเมืองท้องถิ่น อ้างรับซื้อโดยไม่รู้ว่าเป็นของขโมยมา ก่อนเจ้าหน้าที่อายัดของกลางพร้อมเชิญตัวไปสอบปากคำ

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี พ.ต.อ.พัฒนศักด์ ยี่สารพัฒน์ ผกก.สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.ท.สามารถ พิมพ์ดีด สว.สส.สภ.น้ำพอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.น้ำพอง จำนวน 20 นาย เข้าปิดล้อมตรวจค้น บ้านเลขที่ 8 หมู่ 21 บ้านโคกก่องใต้ ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ก่อนควบคุมตัวนายสมชัย สุกัณหา อายุ 30 ปี หรือก๊อปซาวด์ มิวสิค หนุ่มบริการเครื่องเสียงและพ่อค้าเร่กุ้งก้ามกราม ชาว ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ หลังก่อเหตุขโมยเครื่องขยายเสียงหอกระจายข่าว โดยเจ้าหน้าที่ได้ไล่ล่าติดตามมาหลังก่อเหตุหลายคดีและหลายพื้นที่ ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น

ล่าสุด พ.ต.อ.พัฒนศักด์ ยี่สารพัฒน์ ผกก.สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.ท.สามารถ พิมพ์ดีด สว.สส.สภ.น้ำพอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.น้ำพอง ควบคุมตัวนายสมชัย สุกัณหา หรือก๊อปซาวด์ มิวสิค ผู้ต้องหา นำชี้แหล่งที่นำเครื่องขยายเสียงไปขายให้กับแหล่งรับซื้อ ที่บ้านหลังหนึ่งในเขตเทศบาลตำบลกมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเจ้าของบ้านได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์นักดนตรี โดยมีกิจการบริการเครื่องขยายเสียงและขายเครื่องขยายเสียงมือสอง ทั้งนี้นายสมชัย ยืนยันว่าเคยนำเครื่องขยายเสียงที่ขโมยมา นำมาขายให้กับอาจารย์นักตนตรีรายนี้ 9 ครั้ง ทั้งนำมาส่งที่บ้านและนัดหมายกันส่งตามจุดนัดพบต่างๆ ในราคา 2,000-10,000 บาท

จากนั้น พ.ต.อ.พัฒนศักด์ ยี่สารพัฒน์ ผกก.สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.ท.สามารถ พิมพ์ดีด สว.สส.สภ.น้ำพอง และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.น้ำพอง ได้ควบคุมตัวนายสมชัย สุกัณหา หรือก๊อปซาวด์ มิวสิค ผู้ต้องหา นำชี้แหล่งที่นำเครื่องขยายเสียงไปขายให้กับแหล่งรับซื้ออีกแห่งหนึ่ง ที่บ้านม่วงนา ต.ม่วงนา อ.ดอนจาน จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นบ้านของนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง โดยเปิดเป็นร้านจำหน่ายเครื่องเสียงมือหนึ่งและมือสอง ทั้งนี้ จากการสอบปากคำผู้ต้องหา นำเครื่องขยายเสียงที่ขโมยมาขายให้ 4 เครื่อง ก่อนทำการอายัดเครื่องขยายเสียงที่ถูกนำมาขาย

โดยหลังจากเจ้าหน้าที่ ได้ทำการตรวจสอบหลักฐานและรูปพรรณเครื่องขยายเสียง ที่ผู้ต้องหาขโมยมาขายให้กับแหล่งรับซื้อแล้ว ยังได้ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบการ และเบื้องต้นแจ้งข้อหารับซื้อของโจร กับอาจารย์นักดนตรี ในเขตเทศบาลตำบล อ.กมลาไสย และนักการเมืองท้องถิ่นชาว ต.ม่วงนา อ.ดอนจาน จากนั้นได้เชิญตัวเจ้าของร้านไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น พร้อมกับนำของกลางไปให้เจ้าของทรัพย์ตรวจสอบและรับของคืนในลำดับต่อไป

พ.ต.อ.พัฒนศักด์ ยี่สารพัฒน์ ผกก.สภ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น กล่าวว่า จากการติดตามตัวคนร้ายและสามารถจับกุมตัวได้ที่บ้านพัก ซึ่งผู้ต้องหาจำนนด้วยหลักฐาน และให้การรับสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อหาลักทรัพย์ในยามวิกาล จากนั้นทำการขยายผล นำตัวชี้จุดที่ผู้ต้องหานำของกลาง ที่ขโมยมาจากหลายพื้นที่มาขายในเขต จ.กาฬสินธุ์ 2 แห่งดังกล่าว ก่อนจะนำตัวไปมอบให้กับพนักงานสอนสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ในขณะที่เจ้าของร้านแหล่งรับซื้อทั้ง 2 ราย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหารับซื้อของโจร และเชิญตัวไปสอบปากคำเพิ่มเติม ที่ สภ.น้ำพองอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

ด้ายนายสมชัย สุกัณหา หรือก๊อปซาวด์ มิวสิค ผู้ต้องหา กล่าวว่า ตนเคยเป็นพ่อค้าเร่ขายกุ้งก้ามกราม และมีบริการเครื่องเสียงเปิดตามงานบุญประเพณีต่างๆ พอเกิดสถานการณ์โควิด-19 การค้าขายฝืดเคือง ไม่มีงานจ้างบริการเครื่องเสียง จึงหันมาขโมยเครื่องเสียงขายเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ โดยตะเวนลักขโมยตามหอกระจายข่าว ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น จ.มหาสารคาม และ จ.กาฬสินธุ์ ประกาศทางทางเฟซบุ๊ก ที่ผ่านมานำมาขายให้ลูกค้า 2 แห่ง ที่เขตเทศบาลตำบลกมลาไสย อ.กมลาไสย และ ต.ม่วงนา อ.ดอนจาน ดังกล่าว

ขณะที่นายเอ (นามสมมุติ) เจ้าของร้านรับซื้อเครื่องขยายเสียง ต.ม่วงนา อ.ดอนจาน จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ประกอบอาชีพทำนา และเปิดร้านขายเครื่องเสียงมือหนึ่งและมือสองควบคู่กันไป เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว นอกจากนี้ยังมีเครื่องเสียงไว้คอยบริการชาวบ้าน ในเวลามีงานบุญงานประเพณีด้วย สำหรับกรณีที่นายสมชัย ผู้ต้องหาที่ติดต่อขายเครื่องขยายเสียงมือ 2 ให้นั้น ทีแรกตนก็ไม่มั่นใจ และสอบถามหลายครั้งว่าก็ยืนยันว่าเป็นเครื่องของเขาเอง ไม่ได้ลักขโมยมา จึงเชื่อใจ และรับซื้อดังกล่าว ทั้งนี้หากตนทราบแต่ทีแรกว่าเป็นสิ่งของที่ขโมยมา จะไม่รับซื้ออย่างแน่นอน เพราะตนเองเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ทำมาค้าขายโดยสุจริต จึงไม่อยากจะมีความผิดด้วย

ชลบุรี - วัดช่องแสมสารไม่ทอดทิ้งประชาชน ยามเดือดร้อนต้องช่วยเหลือกัน

วันนี้ 24 พ.ค.64 วัดช่องแสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้แจกสิ่งของช่วยเหลือประชาชนอันเนื่องมาจากโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันราชสมภพ 2 เมษายน ประจำปี 2564 โดยได้จัดกิจกรรมบรรพชาสมเณรภาคฤดูร้อน เมื่อ 6-16 เมษายน 2564 กิจกรรมช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และร่วมกับผู้นำท้องถิ่นช่วยเหลือประชาชน ณ วัดช่องแสมสาร ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

วัดช่องแสมสาร โดยพระครูวิสารทสุตากร เจ้าคณะตำบลพลูตาหลวง เจ้าอาวาสวัดช่องแสมสาร เล็งเห็นความเดือนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบการการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ที่ระบาดมาในระลอกที่ 3 และมีความรุนแรงกว่า 2 ครั้งที่ผ่านมา รวมถึงชาวบ้านที่ยากจน ยากไร้ และผู้ป่วยติดเตียงรวมถึงผู้สูงอายุ ที่ไม่มีรายได้ในตำบลแสมสาร จึงได้มอบหมายให้คณะลูกศิษย์วัดช่องแสมสาร นำสิ่งของอาทิ ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำดื่ม และเงินอีกจำนวนหนึ่ง ไปมอบให้กับผู้เดือนร้อนดังกล่าว โดยจะมี อสม. ออกสำรวจประชาชนและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด- และในวันนี้ได้มอบให้กับชาวบ้านหมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 3 จำนวน 20 คน ซึ่งรวมกับครั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 12 พ.ค.64 ร่วมแจกไปแล้วทั้งสิ้น 80 ครอบครัว


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

สตูล ปปส.ภาค 9 ร่วมตำรวจสตูล เข้ายึดทรัพย์ บ้าน ที่ดิน โยงในเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ รวมมูลค่าร่วม 5 ล้านบาท จากกรณีโดนจับคดีค้ายาบ้า 600,000 เม็ด

วันนี้ 24  พ.ค. 2564 พ.ต.อ. เสกสรรค์ ชูรังสฤษฎิ์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูล พร้อมด้วย นายมนตรี ศรีสมัย ผู้อำนวยการการบังคับใช้กฎหมายสำนักงานปปส.ภาค 9 และผอ.สุวิมล ช้างสาร  ผอ.ส่วนตรวจสอบทรัพย์สิน ได้ลงพื้นที่บ้านเลขที่ 9/69 ตำบลพิมาน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล โดยบ้านหลังดังกล่าวนั้นเป็นบ้านเดียวที่ปลูกเสร็จแล้ว โดยบ้านถูกพบว่าเป็นระบบการฟอกเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงได้ติดป้ายของ ปปส.ภาค9  ยุทธ์การ พิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด ภายใต้คำสั่งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ที่ 5/2563 นอกจากนี้ยังเดินทางไปยึดทรัพย์ในส่วนของที่ดินว่างเปล่ารกร้างและมีโฉนดที่ดินด้วยจำนวน 2 ห้อง โดยได้ป้ายและเอกสารยึดทรัพย์ไปชี้แจ้งต่อญาติเจ้าของที่ดินที่ถูกจับในคดียาเสพติด

สำหรับการยึดทรัพย์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชปส.ภ.จว.ปัตตานี/กก.สส.ภ.จว.ปัตตานี ได้ร่วมกัน จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 คน คือ 1. นายชัยนาท หรือหีม ภัยช านาญ อายุ 39 ปี ที่อยู่ 95 ม.6 ต.ควนขัน อ.เมืองสตูล จังหวัดสตูล  และคนที่ 2. นางสาววาสนา หรือต้อย ยิ้มเย็น อายุ 36 ปี  ที่อยู่ 35/9 ม.1 ตาสานักขาม อ.สะเดา จังหวัดสงขลา พร้อมของกลาง 1.ยาบ้า จำนวน 600,000 เม็ดและในวันนี้หลังจากขยายคดีความโดยวันนี้ 24 พฤษภาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่  ปปส.ภาค 9 ได้สืบสวนและ ตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 2 รายการ ดังนี้ 1.บ้านพร้อมที่ดิน ตั้งอยู่ในพื้นที่ ตำบลพิมาน อ.เมืองสตูล จังหวัดสตูล ราคาประมาณ 3,000,000 บาท และจุดที่ 2.ที่ดินตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.คลองขุด อ.เมืองสตูล จังหวัดสตูล ราคาประมาณ 1,000,000 บาท รวมทั้ง 4 ล้านบาท เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการยึดทรัพย์ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามยาเสพติดฯ เพื่อดำเนินคดี ในส่วนทรัพย์บ้านหรือที่ดินห้ามทำการโยกย้าย และปรับเปลี่ยนแปลงสภาพ ยังคงให้เหมือนเดิม ส่วนคนอาศัยยังคงอยู่ได้จนกว่าคดีความเสร็จเสร็จสิ้นและยังได้ยึดก่อนหน้านี้มี สร้อยคอทองคำ แหวน  และยนต์ส่วนบุคคลเช่นกัน ซึ่งในวันนี้จะมีการยึดทรัพย์สิน 2 จังหวัด ได้แก่จังหวัดสตูล และ จังหวัดนราธิวาส รวม 2 คดี มูลค่าร่วม 11 ล้านบาท ตามนโยบาย ยุทธศาตร์ พิทักษ์ไทย ตัดวงจรยาเสพติด


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

อยุธยา - บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มอบเครื่องช่วยหายใจให้กับโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา

วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 คุณอัมพร สุดสงวน ผู้จัดการฝ่ายแผนกลยุทธ์และบริหารนวัตกรรม สถาบันนวัตกรรม ,ว่าที่ร.ต.รุจ ศรีจักรโคตร ผู้จัดการส่วนปฏิบัติการระบบท่อเขต 2 , นายวงศ์พันธ์ ทัศนางกูร ผู้จัดการส่วนปฏิบัติการระบบท่อเขต 11 เป็นตัวแทน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ในโครงการ “ลมหายใจเดียวกัน”

โดยได้มอบเครื่องช่วยหายใจชนิดควบคุมด้วยปริมาตรและความดัน พร้อมอุปกรณ์ รุ่น VELA Plus จำนวน 1 เครื่อง เครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนอัตราการไหลสูง (Humidifier with integrated flow generator) รุ่น Airvo 2 (สำหรับผู้ใหญ่) จำนวน 5 เครื่อง พร้อมทั้งมอบเงินบริจาคสำหรับซื้อออกซิเจนเหลว (liquid oxygen) จำนวนเงิน 100,000 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 1,550,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา

โดยมีนายโชคชัย ลีโทชวลิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา พร้อมแพทย์หญิงเสาวลักษณ์ ชาวโพนทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านลูกค้าสัมพันธ์ เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปใช้รองรับสถานการณ์ COVID-19 และเป็นประโยชน์ด้านการรักษาผู้ป่วยวิกฤติ (ICU Ventilator) และผู้ป่วยของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาต่อไป


ภาพ/ข่าว  เดชา อุ่นขาว รายงานจากอยุธา

สงขลา - รัฐบาลสั่ง ผลักดันนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อขับเคลื่อนยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตประชาชน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ จ.สงขลา จะมีทั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และ เมืองต้นแบบที่ 4

พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กล่าวว่า ได้ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม และมีคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจเข้าร่วมประชุม เพื่อหารือขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษและกรอบแนวทางการให้สิทธิประโยชน์ และกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ

สืบเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายดำเนินงานขับเคลื่อนพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษใน 10 พื้นที่ชายแดน ได้แก่ ตาก สระแก้ว มุกดาหาร ตราด สงขลา หนองคาย นครพนม กาญจนบุรี นราธิวาส และ เชียงราย เมื่อปี 2558 เพื่อกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน จัดระเบียบความมั่นคงชายแดน พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้ประโยชน์จากการค้าชายแดนและการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

สำหรับ ศอ.บต. ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ครอบคลุม 5 จังหวัด ประกอบด้วย สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสนั้น ได้ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ เพื่อสนองนโยบายในการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของรัฐบาล ขับเคลื่อนให้ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส เป็นเมืองการค้าชายแดน อ.เบตง จ.ยะลา เป็นเมืองท่องเที่ยวและพึ่งพาตนเอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นเมืองเกษตรอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน และ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้เป็นเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต

โดยหนึ่งในวาระพิจารณาในที่ประชุมวันนี้ มีการหารืออนุญาตให้เทศบาลตำบลสำนักขาม ใช้ที่ราชพัสดุในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา ดำเนินการก่อสร้างถนนเชื่อมโยงโครงการนิคมอุตสาหกรรมสงขลากับด่านศุลกากรสะเดาแห่งที่ 2 และขอเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ราชพัสดุของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยด้วย

สำหรับความคืบหน้าของเมืองต้นแบบที่ 4 อ.จะนะ หรือ “เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ซึ่งเป็นหนึ่งความหวังของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในการแก้ปัญหาการว่างงานของคนในพื้นที่และเป็นแหล่งงานของผู้จบการศึกษาใหม่ นั้น แหล่งข่าวได้เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่ระหว่างทำข้อตกลงให้มหาวิทยาลัยในพื้นที่ในการทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ว่าต้องการที่จะให้ เมืองต้นแบบที่ 4 มี อุตสาหกรรมชนิดไหนบ้าง และไม่ต้องการอุตสาหกรรมชนิดไหน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนเพราะอุตสาหกรรมที่เอกชนผู้ลงทุนเสนอมาในแผนเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมติ ครม. มีความชัดเจนว่า อุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในเมืองต้นแบบที่ 4 หรือ เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต จะไม่มีอุตสาหกรรมหนักที่เป็น ปิโตรเคมี  ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 8 เดือน ก็จะได้คำตอบจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อที่หน่วยงานที่รับผิดชอบจะได้ผลสรุปที่ชัดเจนเพื่อการเดินหน้าในการขับเลื่อนโครงการดังกล่าว ตามมติ ครม. และการสั่งการของ นายกรัฐมนตรี

แต่อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวได้กล่าวว่า ในส่วนของผู้ลงทุนเองก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับชุมชนทั้ง 3 ตำบลมาโดยตลอด รวมทั้งได้ทำโครงการต่างสร้างสังคมในชุมชนตามที่คนในชุมชนต้องการ และในส่วนของผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด ( มหาชน ) ก็ได้มีการลงนาม เอ็มโอยู กับกลุ่มทุนในต่างประเทศ และในประเทศ ที่สนใจในการที่จะมาลงทุนในอุตสาหกรรม พลังงาน และอุตสาหกรรมอื่น ๆ


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ชลบุรี - กองทัพเรือโดย ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ระหว่างเวลา 09.00 – 12.00 น. พลเรือโท โกวิท  อินทร์พรหม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 จัดกำลังพลจิตอาสากองทัพเรือ ในสังกัดกองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 รวมทั้งเรือในหมวดเรือเฉพาะกิจทัพเรือภาคที่ 1 และเรือในหมวดเรือลาดตระเวนชายแดน ร่วมบริจาคโลหิตในโครงการ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และแก้ปัญหาการขาดแคลนโลหิตเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้กับสภากาชาดไทย โดยมีเจ้าหน้าที่จากภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 3 จว.ชลบุรี เดินทางมาให้บริการรับบริจาคโลหิต ณ อาคารอเนกประสงค์ ทัพเรือภาคที่ 1

ในกิจกรรมนี้ มีกำลังพลจิตอาสากองทัพเรือ ที่มาร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิต รวมทั้งสิ้น 58 นาย รวมจำนวนโลหิตที่บริจาค 26,100 มิลลิลิตร สนับสนุนให้แก่สภากาชาดไทย ทั้งนี้ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ยังคงให้ความสำคัญกับกิจกรรมสาธารณประโยชน์ รวมไปถึงกิจกรรมการบริจาคโลหิตเพื่อช่วยแก้วิกฤตของชาติ เช่นนี้เสมอ


ภาพ/ข่าว  กองกิจการพลเรือนทัพเรือภาคที่ 1

นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

ชลบุรี - ตลาดใหม่ชลบุรีปิด แม่ค้าบ่นอุบ พริกแพง 3 เท่าตัว ตลาดข้างเคียงวอนให้มาซื้อสินค้า

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ซึ่งถือว่าเป็นวันแรกที่ตลาดใหม่ชลบุรี อ.เมือง จ.ชลบุรี ปิดการค้าขายไปจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม เนื่องจากมีการตรวจพบคัสเตอร์การแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ซึ่ง 2 วันที่ผ่านมาพบไปแล้วทั้งหมด 18 ราย จึงได้ทำการปิดตลาดเพื่อฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งทำความสะอาดไปด้วย ส่งผลให้บริเวณตลาดเงียบเหงาเพราะถือว่าเป็นตลาดค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก นอกจากนี้ยังได้ส่งผลกระทบกับตลาดข้างเคียง อาทิ ตลาดใหม่พงษ์ศักดิ์ ตลาดนิยมสุข ส่งผลให้ตลาดเงียบเหงาไปด้วย เนื่องจากประชาชนเริ่มมีความหวาดกลัวเกรงว่าจะเกิดคัสเตอร์แห่งใหม่ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าวิงวอนให้มาซื้อสินค้า เพราะยังเปิดขายตามปกติ

จากการสอบถาม น.ส.อทิสดา กาฬสินธุ์ แม่ค้าขายอาหารตามสั่งในพื้นที่ อ.เมืองชลบุรี กล่าวว่า มาซื้อเครื่องประกอบอาหารตามสั่ง จากการที่ปิดตลาดใหม่ชลบุรี ทำให้เกิดผลกระทบเหมือนกัน เพราะต้องซื้อเครื่องประกอบอาหารแพงขึ้น โดยเฉพาะพริก จากการที่ซื้อในราคากิโลกรัมละ 20 บาท พุ่งขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 70 บาท สูงถึง 3 เท่าตัว ปกติไม่มีเงินเก็บ ซื้อ-ขายวันต่อวัน แต่หยุดไปถึง 7 วัน เดือดร้อนมาก เพราะหาแหล่งซื้อสินค้าราคาขายส่งไม่ได้


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

สุรินทร์ - โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ให้บริการทางการแพทย์ตรวจรักษาดูแลสุขภาพ ให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันชายแดน

พร้อมเดินเคาะประตูบ้าน รณรงค์วัคซีนโควิด รับมือปูพรมฉีดประชาชน 1 มิถุนายนนี้ ในพื้นที่ชายแดน

วันที่  24 พฤษภาคม 2564 พันเอกสงคราม โชคชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์  จัดชุดแพทย์เคลื่อนที่ ให้บริการทางการแพทย์ เช่น การตรวจรักษาดูแลสุขภาพ การแจกจ่ายยา การให้ความรู้การลงทะเบียนและขั้นตอนการเตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนโควิด -19 และการคัดกรองสุขภาวะทางจิต ให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติงานป้องกันชายแดนรักษาอธิปไตยของชาติ ณ กองพันทหารปืนใหญ่สนามที่ 62 ทหารปืนใหญ่กองกำลังสุรนารี จำนวน 300 นาย  เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับกำลังพลในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศ

จากนั้นพันเอกสงคราม โชคชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ พร้อมชุดแพทย์เคลื่อนที่ ได้เดินเท้ารณรงค์ประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ รณรงค์ให้ข้อมูลการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น “หมอพร้อม” เพื่อรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบเคาะประตูบ้าน ร้านค้าชุมชนในหมู่บ้าน

โดยนำหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ไปแจกจ่ายแก่ประชาชนแนวชายแดน ที่บ้านหนองแวง หมู่ที่ 15 ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว การดูแลตนเองกับครอบครัวให้ปลอดภัย และ เรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยการพูดคุยแบบตัวต่อตัว ทำให้คนในชุมชนเข้าใจและคลายกังวลว่า การฉีดวัคซีนไม่เป็นอันตรายอย่างที่คิดไว้ 

นายอุดม จันทนันท์ ชาวบ้านหนองแวง กล่าวว่า หลังจากได้ฟังคำอธิบายจากเจ้าหน้าที่แล้วรู้สึกคลายกังวล และพร้อมที่จะลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิวัคซีนเพื่อร่วมภูมิคุ้มกันหมู่ให้แก่คนในพื้นที่ด้วย


ภาพ/ข่าว  ปุรุศักดิ์ แสนกล้า   

กรุงเทพฯ - มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ส่งต่อน้ำใจไทยอีกกว่า 5.6 ล้าน มอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์เสริมทัพบุคลากรทางการแพทย์ สู้ภัยโควิด-19

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564) นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย คณะกรรมการมูลนิธิฯ มอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ในโครงการ “ส่งต่อน้ำใจไทย สู้ภัยโควิด-19” แก่โรงพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม สังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร 20 แห่ง และกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 3 แห่ง รวม 23 แห่ง รวมมูลค่ากว่า 5.6 ล้านบาท เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) โดยมี นายแพทย์สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ พร้อมคณะเป็นผู้รับมอบในส่วนสังกัดสำนักการแพทย์ ณ ลานสำนักงาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ และ ผศ.พิเศษ นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา พร้อมคณะ เป็นผู้รับมอบผ่านระบบออนไลน์ พร้อมกำหนดนัดหมายมอบให้กับรพ.สังกัดกรมการแพทย์อื่น ๆ เพื่อรับมอบต่อไป

อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ประกอบด้วย เครื่องช่วยหายใจ จำนวน 4 เครื่อง ชุด PPE (EN 14126) หน้ากาก N95 (ยี่ห้อ 3M / 8210) หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ และชุดของใช้ประจำวันหรือชุดแรกรับ มอบให้กับโรงพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม สังกัดสำนักการแพทย์ 20 แห่ง และกรมการแพทย์ 3 แห่ง รวม 23 แห่ง ประกอบด้วย รพ.กลาง รพ.สิรินธร รพ.นพรัตนราชธานี รพ.สมุทรปราการ รพ.ตากสิน รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ รพ.หลวงพ่อทวีศักดิ์ รพ.ราชพิพัฒน์ เขตบางแค รพ.ผู้สูงอายุบางขุนเทียน รพ.เวชการุณย์รัศมิ์ รพ.ลาดกระบัง รพ.คลองสามวา รพ.บางนา ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉิน (ศูนย์เอราวัณ) รพ.สนาม เอราวัณ 1 บางบอน รพ.สนาม เอราวัณ 2 หนองจอก รพ.สนาม เอราวัณ 3 ทุ่งครุ รพ.สนาม (รพ.บางขุนเทียน) รพ.สนาม (รพ.ราชพิพัฒน์) เขตทวีวัฒนา รพ.สนาม (รพ.กลาง) Hospital โรงพยาบาลสิรินธร ( โรงแรม Elegant Airport Hotel) เขตประเวศ Hospital โรงพยาบาลตากสิน (โรงแรม บ้านไทย บูทีค) เขตบางกะปิ พร้อมกันนี้ยังได้มีการมอบเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิทัลแก่สถาบันประสาทวิทยาผ่านระบบออนไลน์

สำหรับการมอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ริเริ่มดำเนินการมามอบมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา โดยในครั้งแรก มูลนิธิฯ ทุ่มงบ 110 ล้านบาท มอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ที่จำเป็นแก่โรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั้งในกรุงเทพฯ และถิ่นทุรกันดารในต่างจังหวัด รวม 37 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ มูลนิธิฯ ได้ประสานโรงพยาบาลต่าง ๆ ให้แสดงความประสงค์สิ่งที่ขาดแคลน และเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้อย่างเร่งด่วน หลังจากนั้นภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) มูลนิธิฯ พร้อมทั้งจัดตั้งกองทุน “ธารน้ำใจ สู้ภัยโควิด-19” มอบอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์มอบให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนต่อเนื่อง

และในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ระลอกใหม่นี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ปรับแผนการดำเนินงานการช่วยเหลือประชาชนทั้งด้านบรรเทาสาธารณภัย สังคมสงเคราะห์ และหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน พร้อมประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือเชิงรุกทั้งในส่วนของประชาชน ชุมชน และบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดตั้งโรงครัวประกอบอาหารปรุงสุกเพื่อช่วยเหลือประชาชนในขณะนี้ รวมงบประมาณดำเนินการออกช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบันเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 32.9 ล้านบาท

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านร่วมบริจาคสมทบทุนช่วยเหลือในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) กับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ติดต่อสอบถาม รวมถึงติดตามข่าวสารกิจกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ – ผู้ประสบภัยต่าง ๆ ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

'ล็อกเป้า เล็งทิศ' เศรษฐกิจระยะสั้นและภาพเศรษฐกิจไทย ใน 5​ ปี พร้อมแผนจุดติดเศรษฐกิจไทย หลังยุคโควิด

(24 พ.ค. 64) สัมมนาวิชาการ ประมาณการเศรษฐกิจระยะสั้นและภาพเศรษฐกิจไทยใน 5 ปีข้างหน้า “EEC Macroeconomic Forum” ในรูปแบบออนไลน์ (VDO conference) โดยมี ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นผู้ดำเนินการ และมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ได้แก่...

ดร. ดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายสุวิทย์ สรรพวิทยศิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง พร้อมกลุ่มผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน และผู้สนใจทั่วไป เข้าร่วมกว่า 600 คน

สัมมนาวิชาการฯ ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในช่วงโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่นักวิชาการเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ร่วมหารือแนวทางเตรียมพร้อมแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับ 13 (พ.ศ. 2566-2570) เพื่อผลักดันเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติก่อนโควิด-19 แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน

โดยการสัมมนาวิชาการฯ ได้นำเสนอภาพเศรษฐกิจไทยว่าจะเติบโตจากปัจจัยใดหลังโควิด-19 อาทิ...

>> การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ต้องเร่งปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมและบริการที่สร้างมูลค่าสูงขึ้น เพิ่มเทคโนโลยีการผลิต และส่งออกสินค้าให้เท่าทันโลก

>> ความจำเป็นของข้อตกลงความร่วมมือร่วมกับประเทศอื่น ๆ รวมทั้งการกระจายความเท่าเทียม สร้างโอกาสทางรายได้และการศึกษา

>> การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อลดความเหลื่อมล้ำอันจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

สำหรับประเด็นสำคัญ สัมมนาประมาณการเศรษฐกิจระยะสั้นและภาพเศรษฐกิจไทยใน 5 ปีข้างหน้า พบว่า...

เศรษฐกิจไทยปี 2564-2565 และการบริหารภายใต้สถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยที่ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น โดยประมาณการเศรษฐกิจปี 2564 กรอบการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ระหว่าง 1.0-2.0% และปี 2565 จะขยายตัวระหว่าง 1.1-4.7% ซึ่งการเร่งฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จะเป็นเงื่อนไขสำคัญของการฟื้นตัว และมาตรการการคลังของภาครัฐมีความสำคัญช่วยบรรเทาเยียวยาได้ ให้ระดับหนี้สาธารณะยังอยู่ในเกณฑ์ รวมทั้งนโยบาย

ด้านการเงิน ซึ่งได้ดำเนินการเต็มที่ ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดประวัติการณ์ และมาตรการช่วยเหลือประชาชน เอสเอ็มอี ผ่านสถาบันการเงิน จะช่วยคลายความกังวล อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ให้มีแนวโน้มลดต่ำลง และช่วยลดการซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยจากโควิด-19

มาตรการเยียวยา กระตุ้นเศรษฐกิจ และประมาณการความยั่งยืนทางการคลังในระยะปานกลางจากมาตรการบรรเทาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ จาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท รัฐบาลได้อนุมัติโครงการแล้ว 8.3 แสนล้านบาท คิดเป็น 83% ของวงเงิน และครอบคลุม ด้านสาธารณะสุข ด้านผลกระทบระยะสั้น และด้านการฟื้นฟูระยะยาว

ทั้งนี้ ในส่วนหนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นเดือนมีนาคม อยู่ที่ระดับ 54.3% ต่อ GDP ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์กรอบวินัยการเงินการคลังที่ไม่เกิน 60% และอยู่ในวิสัยที่ประเทศไทยเคยเผชิญจากวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ด้านการก่อหนี้ภาครัฐ ส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินในรูปแบบเงินบาท ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ โดยการกู้เงินเพิ่ม 7 แสนล้านบาท นั้น อาจส่งผลต่อหนี้สาธารณะขั้นต้น (Gross debt) เกินกว่า 60% ต่อ GDP เล็กน้อย แต่จะไม่กระทบต่อความยั่งยืนของการคลังในระยะปานกลาง ทั้งนี้ ประเทศไทยยังจำเป็นต้องมีหนี้สาธารณะระดับไม่น้อยกว่า 30% ต่อ GDP เพื่อรักษาสภาพคล่องในตลาดพันธบัตร (Bond) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ และสร้างเสถียรภาพด้านการเงิน

ความเหลื่อมล้ำ : โจทย์สำคัญหลังโควิด-19 ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยจะมีโจทย์สำคัญ 3 ด้าน ที่ต้องเผชิญ ได้แก่

การเติบโตที่ไม่สมดุลเชิงพื้นที่ จากความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นก่อนโควิด-19 เมืองหลักที่เป็นเมืองเศรษฐกิจมีเพียง 15 จังหวัด คิดเป็น 70% ของ GDP ประเทศ เมืองรองยังคงเป็นจังหวัดที่ยากจน โดยโควิด-19 ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับด้าน (Reverse trend) ย้ายออกเพราะตกงาน และย้ายเข้าเมืองหลวง เพื่อหางานทำ ความยากจนเหลื่อมล้ำเรื้อรัง โควิด-19 ทำให้คนจนเพิ่มขึ้นทั่วโลก 15 ล้านคน เป็นคนไทย 1.5 ล้านคนจากฐานคนจนเดิม 4.3 ล้านคน ส่งให้ผลคนจนในไทยเพิ่มขึ้นรวม 5.8 ล้านคน (เท่ากับจำนวนคนจนปี 2559)

การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เต็มรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมี 30 จังหวัด ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแล้ว​ โดยสหประชาชาติประเมินว่า ในปีหน้า 2565 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged society) และในปี 2573 จะเข้าสู่อย่างเต็มที่ (Super aged society) และในอีก 10 ปี ประชากรและวัยแรงงานของไทยจะลดลงต่อเนื่อง ส่งผลต่อภาระการคลัง และการขยายตัวของเศรษฐกิจที่จะมีศักยภาพลดลง

ในส่วนของประมาณการศักยภาพของประเทศ ในแผน 13 (5 ปีข้างหน้า) นั้น​ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ของประเทศ หายไปสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาท และเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เป็นชนวนสำคัญเร่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 จะขยายตัวต่ำกว่า 2% ต่ำกว่าช่วงปกติก่อนโควิด-19 ที่ประมาณการไว้เพียง 3-4 % ซึ่งเป็นเกณฑ์ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

ทั้งนี้ การจัดทำแผน ฯ 13 ในปี 2565 ที่ต้องการให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวจาก 2.5% เป็น 4.5% จำเป็นต้องเกิดการลงทุนเพิ่มปีละ 6 แสนล้านบาท ซึ่งมีข้อจำกัดแหล่งเงินในการสนับสนุนลงทุนในประเทศ และภาครัฐไม่สามารถก่อหนี้เพิ่มได้อีก จึงจำเป็นต้องพิจารณาแหล่งเงินอื่น เช่น สภาพคล่องส่วนเกินที่มีในระบบ และการเร่งดึงเงินลงทุนจากภาคเอกชน และต่างประเทศ โดยเงินลงทุนในระยะยาวของประเทศต้องดำเนินการอย่างมีระบบในพื้นที่เป้าหมายที่มีศักยภาพ และจัดลำดับความสำคัญที่ชัดเจน


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top