Sunday, 15 June 2025
TheStatesTimes

‘นักปอกเปลือกข้าวโพดอ่อน’ ขั้นเทพ!! ใช้เวลาเพียงแค่ 3-4 วิต่อฝัก จนกลายเป็นมือวางอันดับหนึ่ง ทำได้เร็วที่สุด เยอะที่สุด และมีรายได้สูงสุด

(14 ส.ค.66) ที่สงขลา ไปดูอาชีพการรับจ้างปอกเปลือกข้าวโพดอ่อน หรือที่ชาวบ้านทางภาคใต้เรียกกันว่า ‘ปอกดาบคง’ ที่โรงปอกข้าวโพดอ่อน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านโคกขี้เหล็ก หมู่ 1 ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

และเป็นอีกหนึ่งอาชีพของชาวบ้านที่นี่ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงที่มาทำกัน สามารถสร้างรายได้ 300-500 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับความสามารถและความรวดเร็วในการปอกของแต่ละคน โดยได้ค่าปอกกิโลกรัมละ 5 บาท 

แต่ที่จะพาไปดูคือนักปอกเปลือกข้าวโพดอ่อนมืออาชีพขั้นเทพ และเป็นมือวางอันดับ 1 ของที่นี่ หรืออาจจะเป็นนักปอกเปลือกข้าวโพดที่เร็วที่สุดในสงขลาหรือในประเทศไทยก็ว่าได้ มีชื่อว่า น.ส.สาหรอ อ่อนแก้ว อายุ 37 ปี หรือขอ ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่เรียกกัน

น.ส.สาหรอ หรือ ขอ เป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญและมีทักษะความชำนาญในการปอกเปลือกข้าวโพดอ่อนที่หาตัวจับยาก เพราะมือเร็วมากเรียกว่ามองแทบไม่ทัน ข้าวโพดแต่ละฟักใช้เวลาปอกแค่ 3-4 วินาทีเท่านั้น และเร็วกว่าคนอื่น ๆ 2-3 เท่าตัว

วิธีการปอกเริ่มจากปาดหัวเอาเปลือกนอกอก กรีดส่วนหัวให้รอบ แล้วกรีดหางลอกเปลือกออกเป็นอันเสร็จ แต่พอดู น.ส.สาหรอ ทำแล้วด้วยความที่มือเร็วมาก จนดูแทบไม่ทันเพราะเหมือนรวบรัดทุกขั้นตอนเอาไว้ทีเดียว

โดยแต่ละวัน น.ส.สาหรอ จะปอกเปลือกข้าวโพดอ่อนได้วันละประมาณ 100 กิโลกรัม และปอกได้มากกว่าคนอื่น ๆ 2-3 เท่าตัว และเป็นคนที่ทำเงินจากการปอกเปลือกข้าวโพดอ่อนมากที่สุด ไม่เคยมีใครทำลายสถิติได้

สอบถามสาหรอ บอกว่า ยึดอาชีพรับจ้างปอกเปลือกข้าวโพดอ่อนมานับ 10 ปี แรก ๆ ก็ปอกช้า แต่พอนานเข้าก็เริ่มเข้ามืออย่างที่เห็นในปัจจุบันและช่วงที่ทำใหม่ ๆ ก็มีบ้างที่พลาดโดนมีดบาด แต่ตอนนี้ไม่เคยถูกมีดบาดอีกเลย เพราะจังหวะการปอกทุกอย่างเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว เรียกว่าแทบจะหลับตาปอกได้เลย สุดยอดจริง ๆ เวรี่กู๊ด

'สนธิ' ชำแหละ!! 'หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้า' แนวทางการปลุกระดม โดยใช้ 'วิชาการ' บังหน้า!!

จากรายการ 'คุยทุกเรื่องกับสนธิ' (สนธิทอล์ก) เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ส.ค.66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงกรณีที่ 'คณะก้าวหน้า' ที่มีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธาน ได้จัดหลักสูตร 'เยาวชนก้าวหน้า' ครั้งที่ 3 ดังนี้...

เมื่อวันที่ 27 ก.ค.66 เฟซบุ๊ก 'คณะก้าวหน้า' ได้โพสต์ภาพโปสเตอร์และข้อความเกี่ยวกับโครงการเยาวชนก้าวหน้าครั้งที่ 3 ไว้ว่า เป็นหลักสูตรที่จะพาคุณทะลุกะลาที่เขาครอบหัวเราไว้ เพาะเมล็ดพันธุ์ของผู้ไม่ยอมจำนน เพื่อเปิดประตูความเป็นไปได้ใหม่ๆ สู่สังคมที่ดีกว่าหลักสูตรนี้รับ 40 คนเท่านั้น เรียนทุกเสาร์-อาทิตย์ 6 สัปดาห์ ช่วงสิงหาคม-กันยายน ที่สำคัญ สำหรับเยาวชนรุ่นใหม่กรุงเทพฯ และปริมณฑล อายุตั้งแต่ 15-25 ปีเท่านั้น ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เงื่อนไขคือ ผู้สมัครต้องเข้าร่วมกิจกรรมตลอดหลักสูตร และผู้สมัครต้องทำโครงการเมื่อจบหลักสูตร

ทั้งนี้ หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้า ครั้งแรกจัดเมื่อวันที่ 8-9 ตุลาคม 2565 มีการเปิดให้เรียนรู้หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้า ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ครั้งที่สอง จัดที่ขอนแก่น 12 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคม 2565

ในครั้งนั้นเพจ Common School เคยโพสต์กิจกรรมคณะก้าวหน้า ระบุว่า หลักสูตรเยาวชนก้าวหน้า ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดขอนแก่น เนื้อหาการบรรยายครอบคลุมทั้งรัฐศาสตร์, นิติศาสตร์, ประวัติศาสตร์, ปรัชญาการเมือง, เศรษฐศาสตร์ และการสื่อสาร ทั้งรูปแบบการบรรยายและกิจกรรมเวิร์กชอป

สำหรับโครงการในครั้งนั้น มีการเปิดรายชื่อวิชาและวิทยากร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคอลัมนิสต์ นักวิชาการสายฟ้าเดียวกัน รวมทั้งสมาชิกคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ที่อยู่เบื้องหลังม็อบสามนิ้ว ประกอบด้วย 'ประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย' โดย รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ (อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ) สายก้าวไกลเต็มตัว และสายม็อบสามนิ้วเต็มตัว

'การเมืองวัฒนธรรม จาก 2475 ถึงปัจจุบัน' โดย ณัฐพล ใจจริง (ซึ่งเสกสรรค์ปั้นแต่ง พูดจาโกหก ข้อมูลผิดเพี้ยนในตำราที่ตัวเองแต่ง แล้วเอาความผิด เอาความโกหกที่ตัวเองเขียนนั้นมาสอนเด็กรุ่นหลัง ให้เป็นความจริง ทั้งๆ ที่สิ่งที่ตัวเองเขียนนั้นได้ถูกพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าโกหก)

'การเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย' โดย ประจักษ์ ก้องกีรติ (รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์)

'ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจการเมืองไทย' โดย อภิชาต สถิตนิรามัย (เศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์)

'บทบาทการเมืองระหว่างประเทศต่อการเมืองไทย' โดย ลลิตา หาญวงษ์ (สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)

'บทบาทกองทัพกับการเมืองไทย' โดย สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

'อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของการขูดรีดเกษตรกรไทย' โดย เดชรัต สุขกำเนิด (เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเป็น สส. พรรคก้าวไกล)

'ประวัติศาสตร์กลุ่มทุนไทย และ การบริหารจัดการเมืองสมัยใหม่' โดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

'Constitutional Monarchy และ ประวัติศาสตร์ปฏิวัติ' โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล

'เทคโนโลยีกับการเมือง : ความก้าวหน้าและความท้าทาย' โดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (สส. และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล)

'Workshop ประชาธิปไตย' โดย ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ

'ระบบราชการและงบประมาณ' โดย ศิริกัญญา ตันสกุล

'การสื่อสารทางการเมือง' โดย พรรณิการ์ วานิช

อีกทั้งยังมีการเปิดเผยเนื้อหาหลักสูตรในครั้งก่อนๆ  อาทิ กิจกรรม Landlord เป็นกิจกรรมรูปแบบ Active Learning ให้ผู้เรียนได้สัมผัสถึงโครงสร้างอำนาจแบบศักดินาที่กดขี่ผู้ขุดด้วยอำนาจดิบเถื่อน ใช้อำนาจตามอำเภอใจโดยไม่มีใครสามารถควบคุม ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นอำนาจที่กดทับศักยภาพที่แท้จริงของประชาชนเอาไว้ พาไปสำรวจโครงสร้างแบบศักดินาในทุกๆ ระดับของสังคมอย่างถึงราก พร้อมทั้งเรียนรู้อำนาจตามแบบที่ทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการเมืองมากขึ้น

ต่อด้วยการบรรยายที่อัดแน่นด้วยเนื้อหาที่อาจไม่เคยมีในหนังสือเรียนมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการบรรยาย ความเหลื่อมล้ำและเศรษฐกิจการเมืองไทย สภาพและสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในสังคมการเมืองไทย ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนกับการเมือง โดยอภิชาต สถิตนิรามัย แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย โดย รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ที่บรรยายเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างราวฟ้ากับเหว ระหว่างการกระจายอำนาจและการรวมศูนย์อำนาจได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมที่สุด ผ่านภาพถ่ายดาวเทียมในยามค่ำคืน ที่ทำให้เห็นว่าประเทศใดบ้างที่มีแสงไฟสว่างไสวปกคลุมไปทั่วประเทศบ้าง และประเทศใดบ้างที่มีแสงไฟส่องสว่างอยู่เพียงที่จุดศูนย์กลางเมืองหลวงของประเทศ และยังมีเกร็ดประวัติศาสตร์และความรู้ทางรัฐศาสตร์มากมาย ในสไตล์การบรรยายแบบธำรงศักดิ์ ที่ทั้งแฝงข้อคิด สาระ และความชวนหัวไปพร้อมกัน

ปิยบุตร แสงกนกกุล ได้มาบรรยายถึงเรื่องการเปรียบเทียบกับการกำเนิดขึ้นของ Constitutional Monarchy ในประเทศต่างๆ การต่อสู้ระหว่างชนชั้นกระฎุมพีกับสถาบันกษัตริย์ในยุโรป การปรับตัวของสถาบันกษัตริย์ท่ามกลางกระแสธารของประชาธิปไตย เพื่อวิเคราะห์วิธีการธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สอดคล้องและเคียงคู่ไปกับระบบประชาธิปไตยในโลกสมัยใหม่

ปิดท้ายด้วยรับชมภาพยนตร์เรื่อง The Young Karl Marx ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวชีวิตของปัญญาชนนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก มีอิทธิพลทางความคิด การเคลื่อนไหวทางการเมืองและเป็นต้นธารของการต่อสู้กับระบบทุนนิยมเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ออกจากพันธนาการ ด้วยจินตนาการถึงสังคมใหม่ ที่ทุกคนเท่าเทียมและมีเสรีภาพอย่างแท้จริง

“เป็นที่ชัดเจนว่าหลักสูตรนี้คือ แนวทางการปลุกระดมเยาวชนพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า คนกลุ่มนี้กำลังใช้คำว่า 'วิชาการ' บังหน้า เป็นการปลุกระดมเด็ก ให้ข้อมูลที่ผิดๆ อาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ เห็นได้ชัดกรณีความพยายามยัดข้อมูลจนเกิดการทดลองทำประชามติแบ่งแยกรัฐปาตานี ที่ มอ.วิทยาเขตปัตตานี”

“ที่สำคัญ การล้างสมองเปิดรับคนอายุ 15-25 ปี เข้าอบรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะมีนายทุนผู้สนับสนุนงบประมาณอยู่แล้ว ใช่หรือเปล่า เป็นคุณธนาธรเอง หรือเจ้าของตั๋วปารีส ที่หนีคดีอยู่ที่ฝรั่งเศส มีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ ตอบผมหน่อยครับ”

“เพราะว่าบทเรียนต่างๆ หัวข้อต่างๆ นั้นหลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่เสกสรรค์ปั้นแต่ง มีข้อมูลข้อเท็จจริงอยู่เพียงน้อยนิด แต่ที่เหลือแซมไปด้วยคำโกหกพกลม เหมือนอย่างที่ทุกวันนี้พรรคก้าวไกลโกหกพกลมทุกๆ เรื่อง คุณพิธา ก็โกหกพกลมทุกๆ เรื่อง แล้วคนที่อยู่ในโซเชียลมีเดียสายคอนด้อมส้ม ก็โกหกพกลมไปทุก ๆ เรื่อง เพื่อที่จะให้โลกสมมติที่ถูกสร้างขึ้นมาจากโซเชียลมีเดียนั้น ให้ดูเป็นจริงเป็นจัง และทำให้คนหลงเชื่อ จนกระทั่งตัวเองได้อำนาจมาเรียบร้อยแล้ว ความจริงที่เป็นหนึ่งเดียวที่ผมพูดมาตลอดนั้นก็ปรากฏขึ้นมา ทำให้รู้ว่าที่เชื่อพรรคก้าวไกลมาในอดีตนั้น ก็เพราะว่าพรรคก้าวไกลโกหก เชื่อคำโกหกแต่มารู้ความจริงอันเป็นหนึ่งเดียวทีหลัง เหตุการณ์ก็สายไปแล้ว เพราะว่าพรรคก้าวไกลก็เริ่มได้ยึดอำนาจเข้ามาเรียบร้อยแล้ว” นายสนธิ กล่าว

'ดร.ชิต' สอนลูก!! มูลค่าแท้จริงเหนือ 'แบรนด์เนม-ราคา-ความใหม่' อยู่ที่ผลสัมฤทธิ์ในทาง 'ลึก-กว้าง' สร้างประโยชน์หรือแค่ประดับ

ถือเป็นอีกเรื่องที่ให้แง่คิดในการใช้ชีวิตได้ดีเลยทีเดียว กับ ข้อความของ 'ดร.ชิต เหล่าวัฒนา' ผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม หรือฟีโบ้ (FIBO) ภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หรือที่ผู้คนในแวดวงการศึกษารู้จักดีในฐานะ 'ผู้บุกเบิกวิทยาการหุ่นยนต์ไทย' ซึ่งได้โพสต์แง่คิดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ 'คุณค่าของกระเป๋าใบเก่า' โดยมีเนื้อหาดังนี้...

วันนี้มีโอกาสเอากระเป๋าทำงานมาทำความสะอาด 

แอนดรูว์ (ลูก) บอกว่า "กระเป๋าพ่อเก่าจัง พ่อใช้บ่อยๆ ไม่อายคนอื่นหรือ?" (เขาเป็นชวนป๋วยปี่แปกอ ตราลูกกตัญญู) และรีบบอกว่าผม "จะซื้อใบใหม่ให้พ่อ" ผมตอบทันทีเลยว่า "ไม่ต้องหรอก" และได้อธิบายความหมายของกระเป๋าใบนี้ให้เขาฟัง...

"ตอนพ่อจบปริญญาเอก ติ๊ก (แม่ของเขา) ซื้อนาฬิกาควอทซ์ ไซโก้ ให้พ่อ ตอนนั้นดีใจมาก เพราะไม่เคยมีนาฬิกาใช้" (ปัจจุบันยังเก็บอยู่ ไม่ได้ใช้แล้วเพราะกินพลังงานมากไป เปลี่ยนถ่านใหม่ใช้ได้ไม่ถึงหกเดือน)

"เมื่อพ่อกลับมาถึงไทยเริ่มทำงานในฐานะอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) แม่ติ๊กก็ได้ซื้อกระเป๋าใบนี้ให้อีก พ่อก็ใช้เรื่อยมา ใส่เอกสารสอนหนังสือ ใช้ติดต่องานเยอะมาก เพราะเป็นช่วงเริ่มต้นที่พ่อทำงานอย่างหนักเพื่อก่อตั้งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนามขึ้นที่ มจธ. เป็นสถาบันหุ่นยนต์ฯ แห่งแรกและแห่งเดียวของไทยจนกระทั่งทุกวันนี้ ทำงานวิจัยและพัฒนาและเปิดการสอนระดับปริญญาตรี โท และเอก ด้านวิทยาการหุ่นยนต์

"กระเป๋าใบเดียวกันนี้ ได้ติดตามพ่อไปทุกสถานที่กระทั่งช่วงเวลาที่พ่อได้ถวายงานพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พ่อต้องเดินทางไป Massachusetts Institute of Technology (MIT) ติดตามโครงงานน้ำ ที่ MIT ดำเนินการภายใต้พระราชดำริฯ สนับสนุนโครงการโดยมูลนิธิศึกษาพัฒน์

"เอกสารที่พ่อนำเสนอโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ต่อคณะรัฐมนตรี ไม่มีตกหล่น กระเป๋าใบนี้ได้ทำหน้าที่อย่างดียิ่ง และอีกหลายต่อหลายโครงการสำคัญในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ฯลฯ

"พ่อหวังว่า แอนดรูว์จักเข้าใจถึงคุณค่าของกระเป๋าใบหนึ่ง หาได้อยู่ที่ราคา ความใหม่ หรือแบรนด์เนม หากแต่อยู่ที่เอกสาร/สิ่งของ ภายในกระเป๋านั้นมีความหมายความสำคัญต่อเรา ผลงาน ที่สร้างผลสัมฤทธิ์ในทางลึกและกว้างไกลอย่างไรบ้าง"

‘ช่อง 7’ ยื้อ!! ‘อั้ม พัชราภา’ ด้วยสัญญา BRAND AMBASSADOR จ้าง 20 ล้าน ให้อยู่เฉยๆ ได้ แต่มีเงื่อนไข!! ห้ามโผล่ช่องอื่น

(14 ส.ค.66) เพจดัง ‘มนุษย์ตุ๊ด’ เผยสาเหตุ นางเอกแถวหน้าของเมืองไทย ‘อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ’ ไม่ย้ายช่องไปไหน ด้วยสัญญา BRAND AMBASSADOR รายปี เกือบ 20 ล้าน มีเงื่อนไขแค่ห้ามโผล่ช่องอื่น

โดยมีเนื้อหาใจความว่า "ช่อง 7 ยื้อ อั้ม พัชราภา ด้วยสัญญา BRAND AMBASSADOR รายปี เกือบ 20 ล้าน หน้าที่ขึ้นปกติปฏิทินทุกปี ไม่ต้องแสดงละครก็ได้ ไม่ต้องมางานช่อง ไม่ว่าจะรายการสด รายการอัด งานทำบุญ มีสิทธิเลือกพระเอกเอง ค่ายละคร รวมถึงทีมงานผู้จัด แล้วแต่สะดวกใจ ห้ามไปออกรายการช่องอื่น ออฟไลน์ ออนไลน์ ด้วยสัญญารายปี เฉียด 20 ล้าน

จ้างให้อยู่ประดับช่องสวย ๆ นี่คือสาเหตุที่ตัวแม่ไม่ไปไหน เพราะไม่มีที่ไหนให้สิทธิเท่านี้แล้ว เป็นนางเอกที่อายุย่าง 45 แล้วไม่โดนถอนสัญญา ตามนโยบายดาราอายุ 35 ปี ช่องขอไม่ต่อสัญญา"

‘โครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน’ ทยอยเปิดเพิ่ม ‘เหนือ-อีสาน-ใต้’ ปีนี้ หวังรัฐบาลหน้าสานต่อ เพิ่มเส้นทางครอบคลุม 50 จังหวัด ตามแผนในปี 72

(14 ส.ค.66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ที่ได้เริ่มดำเนินการในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะทยอยเปิดให้บริการในเดือนกันยายน เป็นต้นไป และเมื่อเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมด จะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ เชื่อมโยงการค้าและโลจิสติกส์ในหลากหลายพื้นที่ ทั้งภายในและระหว่างประเทศ รวมทั้งยังจะเป็นการยกระดับและอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้รวดเร็ว และแก้ปัญหาการจราจรที่จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้น

น.ส.รัชดา กล่าวว่า โครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 5 เส้นทาง ได้แก่

1. เส้นทางสายเหนือ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 145 กิโลเมตร 
2. เส้นทางสู่ตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร 
3. เส้นทางสายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ระยะทาง 421 กิโลเมตร (ช่วงนครปฐม-หัวหิน ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร) ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ช่วงต้นปี 2561 และคาดว่าสามารถเปิดใช้บริการได้ในปี 2566-2567 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า โดยรถไฟทางคู่ สายเหนือมีความคืบหน้า ประมาณ 80% เส้นทางสายอีสาน ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ (สระบุรี-นครราชสีมา) ได้เปิดใช้งานสถานีใหม่ 7 แห่งแล้ว และมีแผนจะเปิดเดินรถทางคู่ช่วงบันไดม้า-คลองขนานจิตร ประมาณกันยายน 2566 ในขณะที่เส้นทางสายใต้ ช่วงเขาเต่า-ประจวบคีรีขันธ์ ก็ได้เปิดใช้ทางคู่แล้วเช่นกัน โดยมีแผนเตรียมจะทยอยเปิดให้บริการช่วงบางสะพานน้อย (ประจวบฯ)-ชุมพร ภายในปลายปี 2566 นี้ 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และ ช่วงบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม ซึ่งขณะนี้มีแผนก่อสร้างอยู่ระหว่างดำเนินการ 4 สัญญา

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ซึ่งหากเส้นทางรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 5 เส้นทางแล้วเสร็จสมบูรณ์ จะครอบคลุมระยะทาง 700 กิโลเมตร คาดว่าจะช่วยเพิ่มความจุของเส้นทาง รองรับขบวนรถได้มากขึ้น และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้าทางรางของประเทศ เพิ่มความเร็วในการเดินรถ และลดเวลาในการเดินทางลงเฉลี่ยอย่างน้อย 1 ชั่วโมงจากปัจจุบัน มากไปกว่านั้น รัฐบาลได้มีแผนการดำเนินการรถไฟทางคู่ระยะสองไว้แล้ว 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ซึ่งหากได้รับการขับเคลื่อนต่อจะขยายเส้นทางรถไฟทางคู่ครอบคลุมกว่า 50 จังหวัด มีเส้นทางรวมกันมากกว่า 3,000 กิโลเมตร ภายในปี 2572 ทำให้สามารถรองรับขบวนรถได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว สามารถทำความเร็วในการขนส่งสินค้าได้จากเดิม 29 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็น 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง และทำความเร็วในการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มจากเดิม 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็น 100-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อย่างมาก ดังเห็นได้จากผลงานที่ผ่านมา ได้นำไปสู่การขยายเส้นทางรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ ท่าเรือ สนามบิน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ การเดินทางและการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ภาค และระหว่างประเทศ ภายใต้ต้นทุนที่ลดลง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

‘เพื่อไทย’ เชิญชวนทุกฝ่ายสร้างประวัติศาสตร์การเมืองใหม่ เดินหน้าทำประชามติ ตั้ง ‘สสร.’ เร่งแก้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อปชช.

(14 ส.ค.66) นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่มีสิทธิเลือกตั้งเตรียมตัวไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติ ว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่ กับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อใช้แทนฉบับปัจจุบันที่ใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 60 ซึ่งมั่นใจว่าเสียงส่วนใหญ่จะเห็นชอบ ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 2 และ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ครั้งแรก ซึ่งพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจะมีมติ ครม.ให้ทำประชามติโดยกระบวนการจัดตั้ง สสร. พรรคเพื่อไทยจะไม่บิดพลิ้ว โอ้เอ้ ประวิงเวลาเพราะตระหนักดีว่า คนไทยที่รักประชาธิปไตยกำลังรอคอยอยู่ 

นางสาวตรีชฎา กล่าวต่อว่า สภาสมัยที่ผ่านมา แม้พรรคเพื่อไทย และพรรคต่าง ๆ จะพยายามผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อปิดสวิตซ์ สว.แต่ก็ไม่สำเร็จ พยายามจะให้มี สสร.มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ไม่สำเร็จเช่นกัน เมื่อย้อนหลังกลับไปจะพบว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลได้เสนอญัตติให้ลงประชามติ เพื่อนำไปสู่การมีสสร. มาทำรัฐธรรมนูญใหม่ สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ แต่เมื่อไปถึงวุฒิสภา วุฒิสภาได้ตั้งคณะกรรมาธิการไปศึกษาก่อน เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเมื่อศึกษาเสร็จ วุฒิสภาได้ลงมติไม่เห็นชอบให้ทำประชามติกระบวนการจึงถูกตัดตอนไปไม่ถึง ครม.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่จะมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการจัดทำประชามติ อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำวินิจฉัยให้ออกเสียงประชามติ 2 ครั้ง หากจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในลักษณะจัดทำฉบับใหม่ คือ ครั้งแรกก่อนจะมี สสร.มาจัดทำ กับเมื่อ สสร.จัดทำเสร็จแล้ว ให้ลงประชามติอีกครั้ง หากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเห็นชอบ ถึงจะนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้

นางสาวตรีชฎา กล่าวอีกว่า ด่านสำคัญที่พรรคเพื่อไทยจะต้องฝ่าข้ามไปให้ได้ คือการประสาน และร่วมมือกับทุกพรรคทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับวุฒิสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อให้กำเนิด สสร. จะมีที่มาอย่างไร จะให้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมดหรือไม่ องค์ประกอบ คุณสมบัติ จำนวน อำนาจหน้าที่ ระยะเวลาการจัดทำรัฐธรรมนูญ และเรื่องอื่นๆ อาจจะดูง่ายดาย แต่เอาเข้าจริงอาจไม่ง่ายดังที่คิด เพราะการเมือง และอำนาจระยะเปลี่ยนผ่านกรณีการโหวตนายกฯ และการฟอร์มรัฐบาลก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มีความยากลำบากอย่างยิ่ง อีกทั้งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เคยกำหนดไว้เป็นโนบายเร่งด่วนว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แต่ผ่านไป 4 ปี ก็ไม่ขับเคลื่อนให้เป็นจริง ทั้งๆ ที่มีการเคลื่อนไหวกดดันของหลายฝ่ายก็ไม่เป็นผล ดังนั้น การจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ พรรคเพื่อไทยจะต้องพยายามเต็มที่ โดยจะส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อมิให้มีกลไกอำนาจใดมาเป็นอุปสรรคขัดขวาง

นางสาวตรีชฎา กล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2540 ที่ร่างโดย สสร.เป็นแบบอย่างในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการร่าง บทบัญญัติต่างๆ ก็เป็นที่ยอมรับ จัดเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดฉบับหนึ่ง แต่ใช้ได้เพียง 8 ปี 11 เดือน ก็ถูกฉีกโดยการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 ต่อมาประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 หลังจากใช้มาได้ 6 ปี 9 เดือน ก็ถูก คสช. ฉีกทิ้งในการก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 57 ปัจจุบันรัฐธรรมนูญ ฉบับ2560 จัดทำโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน ประกาศใช้วันที่ 6 เม.ย. 60 ถึงวันนี้เป็นเวลา 6 ปี 5 เดือน นับว่านานพอสมควรแล้ว ดังนั้น จะต้องเร่งให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จสิ้นโดยไม่ชักช้า 

“พรรคเพื่อไทยจะไม่ทำให้ผิดหวัง ขอยืนยันเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ตามแถลงการณ์ และการหาเสียงซึ่งกำหนดเป็นนโยบายพรรคไว้ชัดเจนที่ประกาศว่า จะแก้รัฐธรรมนูญ ผลักดันให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ขจัดการสืบทอดอำนาจเผด็จการ สร้างความเป็นธรรมให้ประชาชน การสืบทอดอำนาจจะต้องถูกปิดฉากลงเสียที ขอเชิญชวนทุกพรรค ทุกฝ่ายมาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์การเมืองหน้าใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศร่วมกัน” นางสาวตรีชฎา กล่าว

'อดีตนักเรียนไทยในญี่ปุ่น' ฉายภาพ 'มารยาท' ในพื้นที่สาธารณะ 'การปลูกฝัง-ส่งต่อสิ่งดีๆ' รุ่นสู่รุ่น ช่วยสร้างวินัย-พัฒนาชาติเจริญ

(14 ส.ค.66) ข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Naruphun Chotechuang’ โดย ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ให้ความรู้กรณีมารยาทบนรถไฟของประเทศญี่ปุ่นไว้ว่า...

มีท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งสอบถามเรื่องมารยาทบนรถไฟของประเทศญี่ปุ่น จากกรณีที่มีคนไทยไปทำเรื่องขายหน้าแต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกผิดใดๆ แถมยังเหยียดคนที่เข้าไปตักเตือนกล่าวหาว่าเคยไปญี่ปุ่นหรือยังอีก

จากประสบการณ์อยู่ญี่ปุ่นมา 8 ปี คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับหน้าตาทางสังคมและระเบียบข้อปฎิบัติในการอยู่ร่วมในสังคมมาก หลายๆ อย่างมีสิ่งที่เรียกว่า 'มารยาท' หรือ マナー (Manner) ที่ชัดเจนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไม่ได้เขียนไว้ในกฎหมาย หรือข้อบังคับใดๆ แต่เป็นการสอนส่งต่อรุ่นต่อรุ่น ถ้าใครเคยนั่งดูป้ายประกาศในรถไฟญี่ปุ่น ผมว่าทุกคนก็น่าจะเคยเห็นแผ่นรณรงค์มารยาทการใช้รถไฟร่วมกันของญี่ปุ่น 

แต่ถึงแม้จะมีคนทำผิด คนญี่ปุ่นส่วนมากจะใช้สายตาหรือท่าทางที่ดูรู้ว่าไม่พอใจ มากกว่าจะแสดงตัวเพื่อตักเตือนมากกว่า เพราะคนญี่ปุ่นคิดว่ามารยาทเป็นสิ่งที่ควรรู้ เมื่อต้องอยู่ในสังคมส่วนร่วม 

เรื่องแบบนี้ถูกสั่งสอนกันตั้งแต่ยังเด็ก เป็นการให้ความรู้กับเด็กเกี่ยวกับมารยาทการใช้รถไฟคือ...

- ไม่ควรเล่น หรือส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น
- ควรเสียสละที่นั่งให้กับผู้สูงอายุ
- ไม่ควรคุยโทรศัพท์ในรถไฟ
- ให้คนลงจากรถไฟไปก่อน 
- ควรต่อเเถวเพื่อขึ้นรถไฟ
- ห้ามทิ้งขยะภายในรถไฟ 

นอกจากกรณีมารยาททางสังคมบนรถไฟแล้ว ญี่ปุ่นยังมีมารยาทในเรื่องต่างๆ ที่ยิบย่อย ยกตัวอย่างเช่น การสอบสัมภาษณ์เพื่อรับเอาใบอนุญาตทำงานหรือเข้าทำงาน นอกจากความรู้ที่ต้องจำเข้าไปแล้ว คือมารยาทในการสัมภาษณ์ที่ถูกต้อง ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการผ่านการสัมภาษณ์หรือได้งานด้วย 

ต่อไปนี้ คือ สิ่งที่ผมพอจะนึกออกสมัยที่ผมสอบใบอนุญาตขับเรือสินค้าระดับสามและสองของญี่ปุ่น ร่วมถึงสัมภาษณ์งานบริษัทที่นั้น เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว

1. เครื่องแต่งกาย การสอบสัมภาษณ์ของญี่ปุ่น เขาไม่ได้ดูเพียงความรู้เท่านั้น เขาดูมารยาทลักษณะนิสัยของผู้เข้าสัมภาษณ์อย่างเข้มงวด จำเป็นต้องเป็นสูทเท่านั้น และต้องเป็นสีดำ สีน้ำเงินเข้ม หรือสีเทาเข้ม เท่านั้น ส่วนดีไซน์ของสูท ถ้าไม่ผิดแปลกเกินไปก็ถือว่ารับได้ ส่วนเสื้อเชิ้ตข้างใน สีขาวคือสีที่ดีที่สุด ถ้าไม่มีก็ต้องเป็นสีโทนอ่อน ไร้ลวดลายใดๆ เน็คไทก็ต้องเป็นแบบเรียบง่าย ลวดลายไม่เด่นจนเกินไป ส่วนรองเท้าต้องเป็นคัทชูเท่านั้น สีจะเป็นสีดำหรือน้ำตาลก็ได้ นอกนั้นไม่แนะนำ ทรงผมควรให้เห็นหูอย่างชัดเจน สีผมเป็นสีธรรมชาติของตัวเอง

2. การเข้าห้องสัมภาษณ์ มีขั้นตอนและวิธีการที่ถูกบอกต่ออย่างชัดเจน ก่อนเข้าห้องต้องเคาะห้องก่อน 2-3 ครั้ง และรอจนกว่าคนในห้องจะพูดว่า เชิญ (どうぞ) ถึงจะเปิดประตูด้วยเสียงที่เบาที่สุด ก่อนทำการโค้งเคารพกรรมการสัมภาษณ์พร้อมพูดว่า ขออนุญาต (失礼します) แล้วปิดประตูให้เบาที่สุด สำหรับผมถูกสอนให้หมุนลูกบิดค้างไว้ ดันประตูจนสุดแล้วจึงคลายลูกบิด เมื่อปิดประตูแล้ว ไปยืนหน้าเก้าอี้ผู้สัมภาษณ์ ทำความเคารพอีกครั้ง พร้อมพูดขอความกรุณาด้วยครับ (よろしくお願いします) รอจนกว่ากรรมการจะบอกว่าเชิญนั่ง ถึงจะนั่งลง การนั่งเก้าอี้ผู้สัมภาษณ์ ควรนั่งเพียง 1/2 ของเก้าอี้ หลังตรง มองตรง รอจนกว่ากรรมการจะถามคำถาม หรือให้ทำตามสิ่งที่เขาต้องการ เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ ก็ลุกขึ้นทำความเคารพ เดินไปที่ประตู หันมาทำความเคารพอีกครั้งเอ่ยคำว่าขออนุญาต (失礼します) พร้อมเปิดประตูและปิดประตูด้วยเสียงที่เบาที่สุด

นี่เป็นเพียงขั้นตอนการสัมภาษณ์ที่ผมเคยเจอและก็นำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ก็รู้สึกว่าไม่ได้แย่อะไรด้วย นอกจากนี้ยังมีมารยาทอื่นๆ ที่ลงลึกไป เช่นลำดับการนั่งในรถแท็กซี่เมื่อต้องนั่งกับผู้ที่อาวุโสกว่า ลำดับการเข้าลิฟท์เมื่อต้องเข้ากับผู้ที่อาวุโสกว่า 

เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่ประเทศญี่ปุ่นสามารถพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยที่ยังรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้ เพราะสิ่งที่เรียกว่าการปฎิบัติตามกฎระเบียบ และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีแบบนี้นี่เอง

ปล. 1 ใครที่สนใจเรื่องพวกนี้ ลองหาหนังสืออ่านได้นะครับ มีขายที่ญี่ปุ่น
ปล. 2 ที่จริงอีเมลญี่ปุ่นก็มีแพทเทิร์นตายตัวที่ควรจะต้องเขียนให้ได้ด้วยนะ
ปล. 3 แต่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น เริ่มไม่ทำตามขนบแล้วนะ เท่าที่สังเกต

เคลียร์ปม 'เบี้ยผู้สูงอายุ' รัฐบาลยันคนกลุ่มเดิมยังได้อยู่ แต่ขอคนรวยโปรดเข้าใจ ปรับเพื่อผู้ลำบากจริงๆ

(14 ส.ค. 66) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้และได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ซึ่งมีสาระหลักเพิ่มเติม คือ เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุ ดังนั้นจะต้องมีการออกระเบียบกำหนดรายละเอียดจากนี้อีกโดยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งผู้สูงอายุที่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพอยู่ก่อนวันที่ระเบียบใช้บังคับ จะยังมีสิทธิ์รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อไป

ส่วนที่มีการกล่าวว่า การปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าว เป็นเพราะรัฐบาลไม่มีความสามารถในการหาเงิน นางสาวรัชดา ชี้แจงว่า ที่ผ่านมา เศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลจัดเก็บรายได้เพิ่มมากขึ้น มีการจดทะเบียนการค้าบริษัทต่างชาติ การขอการสนับสนุนการลงทุนต่างชาติเพิ่มต่อเนื่อง มีตัวชี้วัดความสามารถจัดหารายได้ ดูจากตัวเลขการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร 7 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.65-เม.ย.66) เก็บรายได้สูงกว่าปีก่อน 6.5% สูงกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 107,101 ล้านบาท หรือ 11.10% ขณะที่ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 7 เดือนของปีงบประมาณ 2566 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.4% และสูงกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 8.9% นี่คือความสามารถของรัฐบาลในการหารายได้

“ส่วนประเด็นที่มีการดรามาว่า เป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของพลเมืองไทยหรือไม่นั้น รัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งแก้ปัญหาประชาชนอย่างมุ่งเป้า ใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ วันนี้เราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะเพิ่มต่อเนื่อง งบประมาณจากเคยตั้งไว้ ห้าหมื่นล้านต่อปี เพิ่มเป็นแปดหมื่นล้าน และแตะเก้าหมื่นล้านแล้ว ในปีงบประมาณ 2567 ดังนั้น หากลดการจ่ายเบี้ยฯ แก่ผู้สูงอายุเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้สูงหรือผู้สูงอายุที่ร่ำรวย เพราะงบประมาณที่จ่ายให้ไปอาจจะไม่มีความจำเป็น ถือเป็นการใช้นโยบายการคลังที่พุ่งเป้าเพื่อช่วยเหลือไปยังกลุ่มคนที่มีความจำเป็นและเดือดร้อนกว่า อีกทั้ง คือการสร้างความยั่งยืนทางการคลังระยะยาว ขอฝ่ายการเมืองอย่ามองเป็นการลักไก่เลย” นางสาวรัชดา กล่าว

'อี้ แทนคุณ' จี้ 'ประธานวันนอร์' ดำเนินคดี-ปลด 'ปดิพัทธ์' หลังโพสต์ภาพคู่เหล้า ผิดพ.ร.บ.ควบคุมแอลกอฮอล์

(14 ส.ค.66) นายแทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่หนึ่งของพรรคก้าวไกลโพสต์อวดรูปเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยี่ห้อหนึ่งทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ของ Padipat Suntiphada ในข้อความว่า... 

"เอาแล้วๆๆๆๆ พิษณุโลกมีคราฟท์เบียร์ตัวแรกอย่างเป็นทางการแล้วครับ เป็นของดีพิดโลกนอกจากกล้วยตากและหมีชั่วครับ"

ทั้งนี้ ถือเป็นการทำผิดมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติควบคุม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551บัญญัติ "ห้าม มิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อัน เป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม"  

โดยตนเป็นหนึ่งในคนที่เคยร่วมผลักดัน พ.ร.บ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อป้องกันมิให้การเผยแพร่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีมากเกินไปจนนำมาซึ่งการเมามายขาดสติ เกิดอุบัติเหตุเกิดความสูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทย 

แทนคุณ กล่าวอีกว่า แม้ว่าสุราพื้นถิ่นจะเป็นเรื่องที่สนับสนุนส่งเสริมอาชีพและการนำผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม แต่การโฆษณาชวนเชื่อโดยตรงหรือโดยอ้อมย่อมผิดกฎหมายชัดเจน และตัวนายปดิพัทธ์ สันติภาดา เป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรสมควรที่จะรู้และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งมาตรฐานทางจริยธรรมที่กำกับดูแลนักการเมืองไม่ให้ประพฤติชั่ว เพราะการดื่มแอลกอฮอล์ย่อมทำให้ขาดสติและขาดความยับยั้งชั่งใจ เหมือนก่อนหน้านี้ที่มี ส.ส.ของก้าวไกลขาดสติ ขาดวุฒิภาวะไปกระทืบซ้ำคนล้มและเกิดวิวาทเพราะการเมา ซึ่งเชื่อว่าหากมีสติสัมปชัญญะที่ดีย่อมไม่ทำแบบอย่างที่เลวให้กับเยาวชนและสังคม

ดังนั้นจึงขอให้ท่านประธานวันนอร์ฮัมหมัดมู มะทา ได้โปรดพิจราณาดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าวและประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้เด็ดขาด มิให้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยทั้งนี้เชื่อว่าประชาชนคาดหวังการรักษากฎหมายของนักการเมืองมิให้ทำให้รัฐสภาต้องด่างพร้อยเพราะการกระทำของคนไม่กี่คนจากพรรคก้าวไกลอีก

'ประชาธิปัตย์' ยังมึนไม่เลิก!! หลัง 2 ขั้วท่าจะเคลียร์ให้จบยาก ฟากคนในชี้!! ใครโหวต 'พท.' คงเป็นได้แค่ไส้เดือนคลุกขี้เถ้า

หลังจากการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ล่มมาสองรอบอันเนื่องมาจากไม่ครบองค์ประชุม และเป็นการไม่ครบองค์ประชุมแบบไม่เป็นธรรมชาติ ง่ายๆ คือ มีคนจัดการให้ไม่ครบองค์ประชุม ส่วนใครจัดการ ง่ายๆ คือ ฝ่ายที่กำลังจะแพ้โหวตนั่นแหละ 

หลังจากการประชุมล่มลงสองครั้ง ยังมีไม่เค้าโครงว่าจะมีการนัดประชุมกันใหม่วันไหน แต่มีการเคลื่อนไหวคึกคักให้มีการแก้ไขระเบียบพรรคในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระเบียบพรรคข้อบังคับของพรรคฯ ข้อ 87 ระบุ ให้เสียงของ สส.ชุดปัจจุบันถือเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่ คะแนนเสียงส่วนที่เหลือทั้งหมดนับรวมกันแล้วมีน้ำหนักเพียงแค่ร้อยละ 30 หรือสัดส่วน 70 : 30

ระเบียบพรรคข้อนี้กลายเป็นกติกาที่ถูกยกขึ้นมากล่าวอ้างว่า "เป็นกติกาที่ไม่เป็นธรรม" โดยในการประชุมพรรคเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีสมาชิกพรรคเสนอให้งดเว้นข้อบังคับนี้ และขอให้ทุกคะแนนเสียงมีน้ำหนักเท่ากัน เพื่อความเป็นธรรม แต่ไม่เป็นผลสำเร็จที่ประชุมใหญ่ยังไม่เห็นด้วย

องค์ประชุมพรรคประกอบไปด้วย สส., อดีต สส., อดีตหัวหน้าพรรค, อดีตเลขาธิการพรรค, อดีตรัฐมนตรี, อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้ว่าฯ กทม.ผู้ดำรงตำแหน่งในส่วนท้องถิ่น, หัวหน้าสาขาพรรค ฯลฯ องค์ประชุมพรรคต้องมีจำนวน 'ไม่น้อยกว่า 250 คน'

แต่ที่ผ่านมามีตัวแทนลงชื่อเข้าร่วมประชุมประมาณ 220 กว่าคน และสัปดาห์นี้คณะรักษาการกรรมบริหารพรรคน่าจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณากำหนดวันประชุม

ในท่ามกลางความไม่ลงตัวของพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีกระแสแรงเรื่องการขอเข้าร่วมรัฐบาล ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางเสียงค้าน เพราะถือเป็นพรรคคู่แข่ง คู่รักคู่แค้นกันมายาวนาน และประวัติศาสตร์ของเครือข่ายเพื่อไทย ตั้งแต่ไทยรักไทย, พลังประชาชน จนมาถึงเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ จึงไม่น่าร่วมกับเพื่อไทยได้ แต่ฝ่ายที่อยากจะร่วม อาจคิดอีกมุมหนึ่ง

มีการอ้างว่า สส.21 คน อยากนำพาพรรคเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งก็ไม่รู้เอาตัวเลข 21 มาจากไหน น่าจะเป็นตัวเลขที่ยกขึ้นมาเพื่อต่อรองตำแหน่งทางการเมืองมากกว่า และน่าจะเอาตัวเลขมาจากการนับจำนวน สส.ที่เข้าร่วมขบวนการ 'จัดการ' คืนก่อนการประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 ที่มีการ 'จัดการ' เพื่อให้ได้เสียงกัน ยกเว้น 'ชวน หลีกภัย, บัญญัติ บรรทัดฐาน, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และ สรรเพรช บุญญามณี' จึงคิดว่า จาก สส.25 คน หักออกไป 4 เหลือ 21 คน

ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ใช่ ถามว่า ราชิต สุดพุ่ม, สมยศ พลายด้วง, สุรินทร์ ปาลาเร่ หรือแม้แต่ สส.หนึ่งเดียวของปัตตานี อยู่กับขั้วที่อยากร่วมรัฐบาลหรือ? คำตอบไม่น่าจะใช่!! ส่วน สส.แม่ฮ่องสอน, สส.สกลนคร และ สส.อุบลราชธานี ยังไม่รู้ว่าอยู่กับขั้วไหน แต่โดยสายสัมพันธ์ น่าเชื่อได้ว่า อยู่ในขั้วผู้อาวุโส

ซึ่งถ้า สส.แม่ฮ่องสอน, สกลนคร และอุบลราชธานี อยู่ในขั้วของผู้อาวุโส จึงเหลือ สส.ที่อยู่ในขั้วอยากร่วมรัฐบาลเพียง14 คนเท่าเอง และอยู่ในขั้วผู้อาวุโสที่ต้องการเป็นฝ่ายค้าน 11 คน

นี่คือประเด็นข้อเท็จจริง ฝ่ายที่อยากร่วมรัฐบาล อยากไปเจอทักษิณ ชินวัตร อีกรอบ ไม่ควรทึกทัก คิดไปเองว่า'จัดการ' ไปแล้ว จะถือเป็น 'ของตาย' นำไปใช้ต่อรองตำแหน่งทางการเมือง

เมื่อเร็วๆ นี้ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ที่มีข่าวว่าจะลงสมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ด้วยคนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ทำนองว่า "ทำไมต้องรังเกียจเพื่อไทย คนดีๆ ในเพื่อไทยที่รู้จักก็มีเยอะ แล้วจะไปบอกว่าเพื่อไทยเขาโกง เขายังไม่ทันได้โกง ควรไปร่วมงานกับเขาก่อน แต่หากเขาโกงอะไร เราค่อยถอนตัว กลับตัวได้"

ไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ อดีต สส.อาวุโส พรรคประชาธิปัตย์ แถลงทิ่มกลางอก 'นราพัฒน์' ยืนยันได้ว่า "ประชาธิปัตย์ไม่ได้โกรธเคืองอะไรนายทักษิณ ชินวัตร หรือ สส. ของพรรคเพื่อไทย แต่เราถืออุดมการณ์ของพรรค ที่นายทักษิณหนีไปต่างประเทศ 17 ปี ไม่ใช่เพราะโกงหรือ รัฐมนตรีหลายคนติดคุกไม่ใช่เพราะโกงหรือ"

นายไชยวัฒน์ กล่าวอีกว่า "ที่ผ่านมาเราเคยเรียกว่าระบอบทักษิณ ตั้งแต่ยังเป็นสมัยไทยรักไทย โกงอย่างเดียว เอารัฐมนตรีมาโกง จนติดคุกติดตารางกันเป็นแถวในเวลานี้ ทุกวันนี้ก็ยังมีนายทักษิณกับน้องสาวหนีไปต่างประเทศ แบบนี้ยังไม่โกงอีกหรือ ถ้าเราไปร่วมกับพรรคที่เราเรียกว่าระบอบทักษิณ แล้วยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น เหตุการณ์ที่เกรือเซะ-นโยบายปราบยาเสพติด แบบนี้คือ ระบอบทักษิณ ที่เรารับไม่ได้แล้วเราจะไปร่วมกับเขา 

"แต่คนในพรรคที่ต้องการไปร่วมรัฐบาลบอกว่า เพื่อไทยมีคนดีๆ เยอะแยะ เขายังไม่ทันโกงจะไปว่าเขาแล้ว รอให้ร่วมรัฐบาลก่อน หากเขาโกงค่อยว่ากัน มันไม่ใช่อย่างนั้น ประวัติศาสตร์มันสอน จะมาเถียงกันทำไม เถียงว่าพรรคเพื่อไทยไม่โกง เพราะยังไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ว่าเคยโกง ตนไม่กลัวโดนฟ้อง อย่างนายทักษิณ เดิมมียศเป็น พ.ต.ท.แต่ตอนนี้เป็นนายทักษิณ เพราะผูกถอดยศ ไม่ใช่เพราะโกงหรือ

"หากประชาธิปัตย์ไปร่วมตั้งรัฐบาลด้วย เลือกตั้งคราวหน้า ประชาธิปัตย์ สส.คนเดียวก็จะไม่ได้ คนจะไม่เลือกประชาธิปัตย์ อาจเป็นพรรคที่ไม่มี สส.สักคน แต่ก็จะทำพรรคต่อไป คือ สส.ของพรรคหากจะไปโหวตนายกฯ ให้เพื่อไทย เขาก็มีสิทธิ์ทำได้ เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. แต่ว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่สมัครเป็นสมาชิกพรรคตลอดชีพเสียคนละสองพันบาทเท่ากันหมด ส่วนรายปีก็คนละสองร้อยบาท ถ้าจะไปทำแบบนั้น ผมเชื่อว่า สมาชิกพรรคที่เหลืออยู่ สิ้นปีนี้ เขาจะไม่ต่ออายุ ไม่เสียเงินค่าสมาชิกพรรครายปี กันหลายแสนคน" นายไชยวัฒน์ ระบุ

เมื่อถามว่า หากจะมี สส.ของพรรคไปร่วมโหวตนายกฯ ให้พรรคเพื่อไทย จะถือเป็นงูเห่าหรือไม่ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า'ไม่ใช่งูเห่า แต่เป็นไส้เดือนคลุกขี้เถ้ามากกว่า งูเห่ามีศักดิ์ศรี ออกจากพรรคที่เคยอยู่แล้วออกไปอยู่พรรคอื่น แต่นี้ไปซุกเขา เป็นไส้เดือนคลุกขี้เถ้า ผมขอให้ฉายาใหม่ พวกอยากไปร่วมรัฐบาล กระสันมาก คุณไปเอาไส้เดือน โยนใส่กองขี้เถ้า คุณจะเห็นอาการ มันจะดิ้นทุรนทุราย แบบนี้ไม่ใช่งูเห่า"

ยิ่งเนิ่นนานประชาธิปัตย์ก็จะยิ่งเสื่อม ควรจะเด็ดขาด เร่งรีบจัดการกับปัญหา "ไม่ควรเชื่องช้า"...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top