Thursday, 19 June 2025
TheStatesTimes

กบร่อนทำตามสัญญา พาคู่รัก ‘นุนี’ และ ‘อ๊อฟ’ Take Me Out ตะลุยทะเลสัตหีบ | กบร่อน EP.14

‘กบร่อน’ พาคู่รัก ‘นุนี’ Take Me Out และ ‘อ๊อฟ’ ลายพราง ตะลุยถิ่นกบร่อน ตามสัญญา ที่ทะเลสัตหีบ บอกเลยว่าลุยสุดตัว ออกเรือตึกหมึก กินอาหารทะเลแบบว่าซู้ดปากกันเลยทีเดียว วันนี้จะสนุกขนาดไหน ไม่รอช้าแล้ว ไปกันเลยย

"กบร่อน" รายการที่ "กบ" จะพาคุณไป ร่อน ตามที่ต่าง ๆ พร้อม Guest สนุก ๆ ให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น ในสไตล์กบร่อน

ติดตามพิธีกรและแขกรับเชิญ กบ IG : @kobjr007 นุนี IG : @koumphonphakdee อ๊อฟ IG : @aof_laiprang

.

.

‘สงกรานต์นิวนอร์มอล’ บอกลาเมืองแห่งซอมบี้ ต้อนรับประเพณีดั้งเดิมกลับมา

ปีที่แล้ว ไม่มี ‘เทศกาลสงกรานต์’ เพราะโควิด – 19 รุกรานหนักหน่วง รัฐบาลจึงสั่ง Skip สงกรานต์กันไปยาว ๆ สายสาดน้ำ สายปาร์ตี้ ถึงกับเฉา เหมือนชีวิตขาดความเร้าใจไป มาปีนี้หมายมั่นปั้นมือ ขอกลับมา ‘สาดดด!’ กันสักหน่อย ปรากฎว่า เหมือนฉายหนังซ้ำ สถานการณ์กลับมาระบาดหนักอีกระลอก!

เล่นเอาเซ็งเศร้าเหงาเจ็บกันไป จะโทษใครไม่ได้ ต้องโทษเรากันเอง อดถือขันสาดน้ำ ต้องมาตั้งการ์ดกันต่อ แถมเจ้าโควิด – 19 ระลอกนี้ เป็นสายพันธุ์อังกฤษ ติดเร็วทันใจซะด้วย ถถถถถถ! นังโคขวิด เอ้ย! โควิด แกมาปั่นป่วนเป็นปี ๆ ยังไม่ยอมไปไหนเสียที แถมยังมีหน้ามาแยกแยะเป็นสายพันธุ์นู่นนี่เสียอีก โอ้ย...เบื่อๆ ๆ ๆ  (อยากสาดน้ำ)

สรุปง่าย ๆ สงกรานต์ปี 2564 นี้ จะมีหน้าตาคล้าย ๆ เมื่อปี 2563 กล่าวคือ อยู่บ้านกันเฉย ๆ ไงจะยังไงล่ะ! แถมทางรัฐบาลก็มอบวันหยุดยาวววววว มาให้อี๊ก! งานนี้ทำอะไรดี กิจกรรมไม่มี เวลาเหลือ ๆ ถถถถถถ!

ได้เวลาหยุดพร่ำบ่นล่ะ เอาเป็นว่า ในวิกฤติ ย่อมมีโอกาสเสมอ และในการระบาดของโควิด – 19 ก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน อย่างที่เราทราบกันดี ช่วงเวลาการระบาดของเจ้าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ ผู้คนบนโลก หยุดการ ‘ผลาญ’ ทรัพยากรลงไปอย่างมากมาย ในมุมกลับกัน ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นอีกครั้ง

ลองจินตนาการดู จากโลกกลมๆ ที่หมุนเร็วจี๋ กลายเป็นโลกหมุนช้าลง แน่นอนว่า พออะไร ๆ มันลดความเร็ว มันก็ทำให้พวกเราเห็นอะไรได้ ‘ชัดเจน’ ขึ้น ว่าไหมล่ะ?

ยกตัวอย่าง สงกรานต์บ้านเรา พอโควิด – 19 มาเมื่อปีก่อน จากประโยคคลาสิก ‘7 วันอันตราย’ ที่มักได้ยินเป็นประจำในช่วงเทศกาล อ้าว! มันลดความอันตรายลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ 

เครดิตที่มาภาพ: Tero Radio

รายงานข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2563 ระหว่างวันที่ 10 - 16 เม.ย.2563 พบว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 1,307 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 1,260 ราย และเสียชีวิต 167 ราย โดยเมื่อเทียบกับสงกรานต์ปี 2562 ซึ่งเกิดอุบัติเหตุ 3,338 ครั้ง ลดลงไป 2,031 ครั้ง (ร้อยละ 60.84) บาดเจ็บ 3,442 ราย ลดลง 2,182 คน (ร้อยละ 63.39) และเสียชีวิต 386 ราย ลดลงจากปีที่แล้ว 219 ราย (ร้อยละ 56.74)

หากจะบอกว่า นี่เป็นผลพวงจากโควิด – 19 ระบาด ก็คงไม่ผิดไปนัก ยิ่งหากลงลึกเข้าไปในรายละเอียดของการสูญเสียจากเทศกาลสงกรานต์ สาเหตุหลักที่มีเปอร์เซนต์สูงสุดคือ เมาสุราขาดสติ 

เครดิตที่มาภาพ: Thairath.co.th

สงกรานต์ = เมาสุรา สมการนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้ แต่กลายเป็น ‘ค่านิยม’ ของเทศกาลนี้ไปเสียแล้ว ย้อนกลับไปจุดตั้งต้นของประเพณีนี้กันหน่อย วันสงกรานต์ คือวาระของการเริ่มต้นปีใหม่ สมัยก่อนถูกยกให้เป็นวันปีใหม่ไทย เนื่องจากตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ เป็นช่วงเวลาของการเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์ จากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ (ซึ่งราศีเมษเป็นราศีประจำเมือง) คนไทยโบราณจึงถือเอาช่วงเวลานี้ เป็นการเริ่มต้นปี 

จากประเพณีดั้งเดิม คือการอวยพรโดยใช้ ‘น้ำ’ รดเพื่อความชุ่มชื่นให้กับชีวิต รวมทั้งรดน้ำเพื่อขอพรจากผู้หลักผู้ใหญ่ และรวมไปถึงการสรงน้ำพระ เพื่อความเป็นสิริมงคล เหล่านี้คือออริจินัลประเพณี แต่ผ่านมาถึงจุดนี้ สงกรานต์คือการย้อมสีผม คือการรวมพลชาวแว๊น คือการปะแป้งสาว ๆ คือการปาร์ตี้หัวราน้ำ เรามาไกลจนมีคนเคยนิยามเทศกาลมหาสงกรานต์ของไทยว่า เป็น ‘เมืองแห่งซอมบี้’ ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรต่อมิอะไรมารวมตัวกัน แต่ที่รู้แน่ ๆ เรามาไกลจากวันแรกของประเพณีอย่างมาก 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘ความรื่นเริง’ เป็นเรื่องไม่ดี แต่อะไรที่ ‘เกินพอดี’ มันจะตามมาด้วยปัญหามากมาย...

อย่างที่เล่าไปตอนต้น โควิด – 19 เข้ามาทำให้โลกที่เคยหมุนเร็ว ๆ ช้าลง ฉันใดฉันนั้น โควิด – 19 ก็เข้ามาทำให้ ‘สงกรานต์ซอมบี้’ หยุดลงเช่นกัน และในเมื่อหยุดแล้ว เราลองมาตรึกตรองกันดูหน่อยไหม ว่าอะไรที่เกินพอดีมานั้น มันส่งผลเสียอย่างไรบ้าง ประการสำคัญกว่านั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาดำเนินได้ต่อไป เราจะ ‘เลือกสงกรานต์’ แบบไหนในอนาคต

มีคนเรียกวิถีหลังโควิด – 19 ว่า นิวนอร์มอล (new normal) แน่นอนว่า เทศกาลสงกรานต์ไทย ๆ ก็เข้าสู่วิถีใหม่เช่นกัน จากนี้ไป เราต้องรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ให้ยืนห่างกัน 1 เมตร ไม่รวมตัวกันหนาแน่น ไม่อยู่ในที่แออัด และต้องไม่ลืมใส่หน้ากากอนามัย จะว่าไป อาจจะไม่ได้เรียกว่าเป็น ‘สงกรานต์นิวนอร์มอล’ หรอก เราแค่กลับไปหา ‘ความพอเหมาะพอดี’ เหมือนที่เคยเป็นมามากกว่า

ถึงตรงนี้ ขอย้อนกลับไปที่ความวุ่นวายใจของใครหลายคนที่ว่า ‘สงกรานต์ทำอะไรดี กิจกรรมไม่มี เวลาเหลือ ๆ’ 

ลองเปลี่ยนมุมที่มองเสียใหม่ ที่ผ่านมา เราอาจทำอะไรต่อมิอะไรเยอะเกินไปแล้วก็ได้ ดังนั้น แค่ทำตัวเองให้ปลอดภัย ก็ดีถมไปแล้วสำหรับสงกรานต์ประจำปี 2564 นี้... 
 

'รากษสเทวี' นางสงกรานต์ 64 ผู้นำพา ‘มหันตภัย’ มาสู่กลางเมือง

นางสงกรานต์ปี 64 ทรงนาม ‘รากษสเทวี’

แม้ประเพณีสงกรานต์จะอยู่คู่กับประเทศไทยมาช้านาน แต่ช่วง 2 ปี มานี้ หลายกิจกรรมเด่น ๆ ก็ถูกระงับ โดยเฉพาะการเล่นสาดน้ำที่เป็นกิจกรรมหลัก เหตุเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังคุกรุ่น

ถึงกระนั้นกิจกรรมเข้าวัดทำบุญ สรงน้ำพระ สืบสานประเพณีอันดีงาม ก็ยังสามารถดำเนินได้ แบบมีระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)

นอกเหนือจากกิจกรรมของประเพณีดังกล่าว ช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีการพูดถึงอีกเรื่องสำคัญ นั่นก็คือ ความเชื่อเกี่ยวกับนางสงกรานต์ทั้ง 7 ซึ่งหลายคนอาจจะคงเคยได้ยินเรื่องราวกันมาบ้าง

สำหรับนางสงกรานต์ทั้ง 7 เป็นเรื่องเล่าขานตำนานเกี่ยวกับ ‘ธิดา’ ของ ‘ท้าวกบิลพรหม’ หรือ ‘ท้าวมหาสงกรานต์’ ซึ่งเป็นนางฟ้าสถิตย์อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หรือสวรรค์ชั้นที่ 1 จากทั้งหมด 6 ชั้น

โดยธิดาทั้ง 7 จะมีหน้าที่ในการรับ ‘เศียร’ ของท้าวกบิลพรหม ไม่ให้ตกลงบนพื้นโลก หรือพื้นน้ำ หรือบนอากาศ หลังจากที่ ‘ท้าวกบิลพรหม’ รู้ตัวว่าจะต้องตาย โดยการตัดเศียรของตนเพื่อบูชาธรรมบาลกุมาร และท่านก็ได้ตรัสเรียกธิดาทั้ง 7 องค์ อันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า “พ่อจะตัดเศียรตัวเองเพื่อบูชาธรรมบาลกุมาร แต่เศียรของพ่อนี้หากตั้งไว้บนแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก หากโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง หากนำไปทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง”

ดังนั้นในทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ แล้วประดิษฐานตามเดิมตามวันมหาสงกรานต์มิได้ขาด

และนั่นก็ทำให้มีการกำหนดเกณฑ์ว่า ‘วันสงกรานต์’ คือวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี และหากตรงกับวันใด ก็ให้นางสงกรานต์ประจำวันนั้น เป็นผู้แห่ ซึ่งนางสงกรานต์นั้นมีทั้งหมด 7 องค์ เรียกตามชื่อวันในสัปดาห์ ได้แก่...

- วันอาทิตย์ นางสงกรานต์นาม ‘ทุงษะเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี

- วันจันทร์ นางสงกรานต์นาม ‘โคราคะเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา

- วันอังคาร นางสงกรานต์นาม ‘รากษสเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี

- วันพุธ นางสงกรานต์นาม ‘มณฑาเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพุธ ชื่อ นางมันทะ

- วันพฤหัสบดี นางสงกรานต์นาม ‘กิริณีเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ

- วันศุกร์ นางสงกรานต์นาม ‘กิมิทาเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันศุกร์ ชื่อ นางริญโท

- วันเสาร์ นางสงกรานต์นาม ‘มโหธรเทวี’ ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทรายพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง) แต่ทางล้านนาจะมีความเชื่อว่าวันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี

วันมหาสงกรานต์ ในปี 2564 ตรงกับวันอังคาร ดังนั้นจึงตรงกับนางสงกรานต์ที่มีชื่อว่า “รากษสเทวี” ตามตำนานเล่าว่านางเป็นธิดาองค์ที่ 3 ของท้าวกบิลพรหม โดยมีลักษณะต่าง ๆ ตามคติความเชื่อคือ ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จไสยาสน์หลับเนตรมาเหนือหลังวราหะ (หมู) เป็นพาหนะ

สำหรับ ‘คำนาย’ เกี่ยวกับนางสงกรานต์ ทั้งภักษาหาร และดวงเมือง ประจำวันวันที่ 16 เมษายน 2564 ตั้งแต่ช่วงเวลา 07 นาฬิกา 37 นาที 12 วินาที ซึ่งนับเป็นจุลศักราชใหม่ที่ 1383 จะมีวันอาทิตย์เป็นธงชัย วันจันทร์เป็นอธิบดี วันเสาร์เป็นอุบาทว์ วันพุธเป็นโลกาวินาศ

ขณะที่ ‘รากษสเทวี’ เป็นนางสงกรานต์ประจำวันอังคาร มีคำนำนายของปีนี้ว่า จะเกิดอันตรายกลางเมือง จะเกิดเพลิงภัยและโจรผู้ร้าย ผู้คนจะเจ็บไข้นักแลฯ ภายใต้เกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้...

- เกณฑ์พิรุณศาสตร์ ปีนี้ เสาร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 400 ห่า: ตกในเขาจักรวาล 160 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 120 ห่า ตกในมหาสมุทร 80 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 40 ห่า

- เกณฑ์ธาราธิคุณ ปีนี้ตกราศีกรกฏ ชื่ออาโป (ธาตุน้ำ): ทำนายว่า น้ำมาก น้ำท่วม

- เกณฑ์นาคราชให้น้ำ ปีนี้นาคราชให้น้ำ 6 ตัว: ทำนายว่า ฝนดีตลอดปี

- เกณฑ์ธัญญาหาร ชื่อปาปะ: ข้าวกล้าในไร่นา จะได้ 1 ส่วน เสีย 10 ส่วน คนทั้งหลายจะตกทุกข์ได้ยากลำบากแค้น เพราะกันดารอาหารบ้าง จะฉิบหายเป็นอันมากแลฯ

นี่ก็ถือเป็นอีกเรื่องเล่าตำนานสำคัญของคนไทยต่อวันสงกรานต์ ที่คนรุ่นใหม่อาจจะมิได้คุ้นนัก แต่เชื่อเถิดว่าผู้คนในอดีตต่างยังคงความเชื่อ เพื่อนำคำพยากรณ์ที่เคียงคู่มากับนางสงกรานต์ในปีนั้นๆ มาปรับคิดรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ พอสมควร


ที่มา:

http://www.horonumber.com/news-3714

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%

http://www.prapayneethai.com/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%

มอเตอร์เวย์หมายเลข 6 ทางหลวงพิเศษเชื่อมใจ เชื่อมเมืองไทยให้ยั่งยืน

ทำไม ? ถึงต้องจั่วหัวมาขนาดนั้น หากเราย้อนมองอดีตก่อนจะมาถึงการสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมานั้น ต้องเริ่มด้วยต้นสายคือ ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ ความยาว 509 กิโลเมตร ถนนหลักที่ใช้สัญจรเชื่อมภาคกลางกับอีสาน เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2498 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี จากสระบุรีจนถึงนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 148 กิโลเมตร เป็นทางหลวงสายแรกของประเทศไทยที่มีผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟัลต์ - คอนกรีตก่อนจะสร้างต่อสายเส้นทางไปจนสุดถึงหนองคายในสมัยรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร อันเป็นการส่งต่อทุกความเจริญไปสู่ภาคอีสานทั้งตอนบนและตอนล่าง เปิดทางให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจ เชื่อมชุมชน เชื่อมไร่นา เชื่อมตลาด

จากเพียงถนน 2 ช่องจราจรก็มากลายเป็นถนน 4 ช่องจราจรในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และพัฒนาจนบางช่วงใหญ่ขนาด 10 ช่องจราจร แต่วันนี้มิตรภาพ ก็เริ่มจะไม่เพียงพอต่อการสัญจรเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างปีใหม่หรือวันหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ที่เราคนไทยจะได้สัมผัสมิตรภาพอันยาวนานไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงทุกครั้งทั้งขาไปและขากลับ จึงเกิดเป็นคำถามว่าทำอย่างไรถึงจะแบ่งเบาและแก้ไขให้แบ่งปันมิตรภาพให้ออกไปได้มากกว่านี้ ? ปลายเหตุของเรื่องนี้ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 คือคำตอบ

ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 หรือ มอเตอร์เวย์สายอีสาน เป็นทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองขนาด 4 - 6 ช่องจราจร เชื่อมต่อจากกรุงเทพมหานครไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เริ่มต้นจากอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปสิ้นสุดที่จังหวัดหนองคาย โดยเริ่มก่อสร้างช่วงบางปะอิน - นครราชสีมาระยะทาง 196 กิโลเมตรเป็นช่วงแรก คาดว่าช่วงนี้จะแล้วเสร็จและเปิดใช้งานได้ในปี 2566 โดยในกรอบการสร้างนั้นยังรวมไปถึงการศึกษาเพื่อต่อยอดเส้นทางออกไปอีก 2 ระยะคือจาก นครราชสีมา - ขอนแก่นระยะทาง 196 กิโลเมตร และจากขอนแก่น - หนองคายระยะทาง 160 กิโลเมตร อันจะเป็นเส้นทางคู่ขนานเพื่อแบ่งเบาการจราจรบนถนนมิตรภาพให้คล่องตัวขึ้น

ทางหลวงหมายเลข 6 นี้แรกเริ่มนั้นได้รับความเห็นชอบและอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2540 โดยเป็นการก่อสร้างเส้นทาง 3 สายต่อเนื่องกัน แต่หลังจากปี 2540 เจอกวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งก็เลยไม่มีอะไรเดินหน้าแม้จะผ่านวิฤตแล้วก็ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ จนมาถึงยุคของพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา ในปี 2558 ครม.ได้อนุมัติโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ 3 สายใหม่ เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดโดยเฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาว ประกอบด้วย 1. สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 196 กม. 2. สายบางใหญ่บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กม. และ 3. สายพัทยา - มาบตาพุด ระยะทาง 32 กม.จำเพาะลงมาที่เส้น บางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ปกติหากต้องใช้เส้นทางสายมิตรภาพ ระหว่างเวลาเสาร์ - อาทิตย์ และเทศกาลวันหยุดยาวอย่างสงกรานต์ ปริมาณรถบนถนนจะมีมากกว่า 13 ล้านคัน ทำให้มิตรภาพในช่วงเวลาดังกล่าว เวลาเหมือนหยุดนิ่ง ยาวนาน ต้องมานั่งนับเวลาว่าเราจะขับรถถึงบ้านโดยใช้เวลากี่ชั่วโมง ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือบริเวณตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย ซึ่งเป็นทางขึ้นเขา และมีจุดพักรถตลอดเส้นทาง เกิดสภาพคอขวด การจราจรแออัด รถติดยาวต่อเนื่องกว่า 30 กิโลเมตร ใช้เวลาแค่ช่วงนี้ก็กินเวลาไป 4 - 5 ชั่วโมงแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ มอเตอร์เวย์หมายเลข 6 คือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ฝันของคนอยากกลับบ้านเป็นจริง

สงกรานต์ปี 2564 นี้เองที่รัฐบาลจะเปิดเส้นทางมอเตอร์เวย์หมายเลข 6 ให้เราได้สัมผัสเส้นทาง ขาไปตั้งแต่วันที่ 9 - 13 เมษายน และขากลับ 14 - 19 เมษายน จากช่วงหลักกิโลเมตรที่ 65 บ้านหนองไผ่ล้อม ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ไปจนถึงจุดลงถนนมอเตอร์เวย์ที่บริเวณด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา แม้จะเปิดให้วิ่งเป็นระยะทางสั้น ๆ แค่ 35 กิโลเมตร อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นของคุณภาพชีวิตการเดินทาง แม้ว่าในปีนี้จะช่วยให้ประหยัดเวลาและลดความแออัดที่เกิดขึ้นไปได้เล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราได้เห็นภาพของอนาคตมากขึ้น อนาคตที่เส้นทางนี้จะเป็นหนทางหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยในยุค 5G ของชาวอีสานและภูมิภาคใกล้เคียง ทั้งยังเห็นโอกาสของการสร้างสำนึกรักบ้านเกิด การกลับสู่ชุมชนของคนอีสาน จากความเจริญทางเศรษฐกิจเมื่อพ้นวิกฤต จะเชื่อมโยงทุกรอยยิ้มให้มีมากกว่ามิตรภาพในวันวาน


ขอบคุณภาพจาก : โครงการ มอเตอร์เวย์

ส่อง 5 เทศกาล ‘สายสาด’ สุดมันส์ ที่ ‘ชุ่มฉ่ำ - สะใจ’ ไม่แพ้สงกรานต์ไทย

เมื่อถึงเดือนเมษายนของทุกปี ช่วงเวลาหยุดยาวในเทศกาลสุดหรรษาอย่างสงกรานต์ ก็หวนย้อนมาเยือนให้คนไทยได้อิ่มเอมกันเสมอ ๆ

เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาว ๆ ที่หลายคนจะถือเอาช่วงวันหยุดนี้กลับภูมิลำเนา เยี่ยมญาติมิตร และท่องเที่ยวพักผ่อนให้เต็มเหนี่ยใ

ขณะเดียวกัน คนไทยส่วนใหญ่ต่างก็ตั้งตารอ ‘สาดน้ำเล่นสงกรานต์’ กันเต็มที่ แต่ปีนี้บอกก่อนว่า ‘อดชัวร์’ อะเนาะ!! ก็อย่างว่าดัน ‘การ์ดตก’ กันถ้วนหน้า จะทำไงได้ล่ะฮิ!!

พูดให้อยากทำไม? ในเมื่อสรุปแล้ว ปีนี้เรา ๆ ท่าน ๆ คงต้องนอนเบื่ออยู่บ้านกันไปยาว ๆ (^-^)

แต่เอาน่า!! กิจกรรมชุ่มฉ่ำ ๆ ยังมีวนมาให้สัมผัสได้ทุกปีนั่นแหละ ก็ลุ้น ๆ กันไปเหมือนรอถูกหวยละกัน ว่าปีหน้าสถานการณ์โรคระบาดจะจืดจางลง ให้เทศกาลแห่งสายน้ำกลับมาสู่ชีวิตพวกเราเช่นเคย

ว่าแล้ว พอพูดถึงการสาดน้ำ คุณ ๆ ท่าน ๆ ทราบกันหรือไม่ว่า...ไม่ได้มีแค่ในประเทศไทยเท่านั้นที่มีเทศกาลสาดน้ำ และไม่ได้มีแต่ ‘น้ำ’ เท่านั้นที่ใช้สาดเล่นกันได้

Weekly ช่วงเทศกาลกร่อยๆ แบบนี้ เลยขอพาคุณไปรู้จักเหล่า ‘เทศกาลสายสาด’ จากต่างแดน ที่น่าสนุกจนใคร ๆ ก็ต้องอยากไปลองเล่นดูสักครั้ง (ถึงแม้จะไม่ใช่เร็ววันนี้ก็ตาม) มาแก้วันเหงา เศร้า เบื่อ และเก็บกักตัวกันไปพลาง ๆ

เอาล่ะ!! มีเทศกาลสายสาดอะไรกันบ้าง เชิญชม!!

1. เทศกาลโฮลี (Holi Festival) ประเทศอินเดีย

>> จัดทั่วประเทศอินเดีย และชุมชนชาวอินเดียขนาดใหญ่ทั่วโลก

>> จัดขึ้นในช่วงแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปี เป็นเวลา2 วัน (เดือนมีนาคม)

‘สาดสี’ กับเทศกาลโฮลี อีกเทศกาลสายสาดที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของการละเล่นที่เต็มไปด้วยสีสันสดใจ ที่ผู้คนมากมายต่างพร้อมกายพร้อมใจละเลงฝุ่นสีไปทั่วทั้งถนน อันเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการสิ้นสุดของฤดูหนาวอันเยือกเย็นไร้ชีวิตชีวา โดยฝุ่นสีที่ใช้สาดใส่กันนั้นก็ทำมาจากธรรมชาติ อาทิเช่น ดอกทองกวาว (สีส้ม) หัวบีทรูท (สีม่วง) ขมิ้น (สีเหลือง) และสีอื่น ๆ ที่จะทำให้ทุกตารางนิ้วบนตัวคุณไม่หลงเหลือสีผิวหรือสีเสื้อผ้าเดิมอยู่เลย

ประวัติความเป็นมาของเทศกาลโฮลีนั้นไม่แน่ชัดว่าเริ่มครั้งแรกเมื่อใด แต่มีการกล่าวถึงเทศกาลนี้มีตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 4 และสันนิษฐานกันว่า เทศกาลโฮลีนี้ถือเป็นต้นกำเนิดของเทศกาลสำคัญที่พื้นที่ฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับอิทธิพลมา และปรับเปลี่ยนจากการสาดสีเป็นสาดน้ำ ซึ่งก็คือเทศกาลสงกรานต์นี่เอง ดังนั้นใครไปเล่นสาดสีที่อินเดียนี่ถือได้ว่าไปเล่นเทศกาลสาดจากดินแดนต้นตำหรับกันเลยทีเดียว

2. เทศกาลไวน์ฮาโร (Haro Wine Festival) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองฮาโร แคว้นลาริโอฆา ประเทศสเปน

>> จัดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายนของทุกปี

‘สาดไวน์’ ไปกับเทศกาลสาดไวน์ในเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศสเปนที่มีชื่อว่า ฮาโร (Haro) ในแค้วนลาริโอฆา (La Rioja) ที่จะเปลี่ยนถนนทั้งเส้นและผู้คนทั้งหมดให้อาบไปด้วยไวน์สีแดงฉานรสชาติซาบซ่า ด้วยเครื่องมือที่สารพัดจะพกมาทั้งเททั้งฉีดและสเปรย์จนกลายเป็นละอองหมอกสีแดงดูน่าตื่นตาตื่นใจ หรือจะมาเป็นรถดับเพลิงฉีดไวน์เลยก็มี ถ้าคุณคิดว่าน้ำเปล่าแช่น้ำแข็งของสงกรานต์บ้านเรายังไม่สาแก่ใจพอ ก็ต้องที่นี่แหละสุดจริง

สำหรับเทศกาลไวน์ฮาโรนั้น จัดขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 13 เพื่อเฉลิมฉลองการเข้าสู่ฤดูร้อนของชาวท้องถิ่น ซึ่งแรกๆ ก็เน้นจัดเทศกาลเพื่อดื่มกันอยู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการสาดใส่กันแทน โดยเทศกาลนี้มีชื่อเรียกในภาษาสเปนว่า La Batalla Del Vino De Haro หรือสงครามไวน์ฮาโร แต่ไม่ต้องกลัวว่านี่คือการสาดของราคาแพงใส่กันให้เสียดายไวน์ เพราะแคว้นนี้ถือเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญที่สุดของสเปน และครัวเรือนกว่า 40% ของที่นี่เขาก็มีโรงบ่มไวน์เป็นของตนเอง ของสาดจึงมีเพียบ

3. เทศกาลโคลนโพเรียง (Boryeong Mud Festival) ประเทศเกาหลีใต้

>> จัดที่หาดแดชอน เมืองโพเรียง ประเทศเกาหลีใต้

>> วันที่จัดงาน: ช่วงสุดสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกรกฎาคม

‘สาดโคลน’ ที่ไม่ใช่แค่การสาดเสียเทเสีย เทศกาลสาดโคลนนี้ จัดขึ้นบริเวณชายหาดแดชอน (Daecheon Beach) เมืองโพเรียง (Boryeong) ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเทศกาลนี้จัดขึ้นเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูร้อน โดยคุณจะได้สนุกไปกับการชโลมตัวในบ่อโคลน ลานมวยปล้ำ เล่นชักเย่อ กิจกรรมสาดโคลนใส่กัน พร้อมเครื่องเล่นที่สนุกสนานประหนึ่งว่านี่คือสวนน้ำกลางแจ้งอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนี้ยังมีสปาโคลน และกิจกรรมเบา ๆ สำหรับผู้สูงอายุอีกด้วย

เทศกาลโคลนโพเรียงจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1998 และกลายเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงเนื่องจากคุณภาพของโคลน ซึ่งเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าต่อผิว จนสามารถนำไปผลิตเป็นเครื่องสำอางและวางจำหน่ายได้ นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศจึงนิยมมาสนุกสนานกับเทศกาลนี้ทุกปี จนมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 2 ล้านคน! แถมยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงโซลเท่าไหร่นัก ใครมีโอกาสไปเที่ยวเกาหลีช่วงหน้าร้อน อย่าลืมแวะไปสาดโคลนกันนะ

4. เทศกาลปามะเขือเทศ (La Tomatina) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองบูญอล แคว้นบาเลนเซีย ประเทศสเปน

>> จัดช่วงวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม

‘สาดมะเขือเทศ’ เทศกาลสาดสุดเดือดที่มีชื่อเสียงที่สุดงานหนึ่งของสเปน เพราะเทศกาลปามะเขือเทศสุดเละเทะนี้เป็นอีกงานสายสาดสุดเกินบรรยายของเมืองบูญอล (Bunol) ในแคว้นบาเลนเซีย (Valencia) ประเทศสเปน ซึ่งจะว่าตรงๆ นี่ไม่ใช่แค่เทศกาล แต่เหมือนสงครามย่อมๆ กันเลย เพราะในแต่ละปีจะมีการสูญเสียมะเขือเทศจากการปาใส่กันมากกว่า 145 ตัน ผ่านการละเลงให้เละไปทั่วทั้งถนนที่ใช้จัดกิจกรรมสุดมันส์ ใครที่เบื่อสาดน้ำก็ลองเดินทางมาปามะเขือเทศใส่กันแทนได้ คุณก็จะได้ลิ้มรสอารมณ์ความเปียกแบบเหนอะๆ ไปอีกแบบ

ส่วนความเป็นมาของเทศกาลนี้ ก็ออกจะแหวกแนวไปสักหน่อย เพราะเพิ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1945 นี่เอง โดยปีก่อนหน้านั้นเกิดเหตุละเทาะวิวาทขึ้น และมีการใช้มะเขือเทศในแผงตลาดมาปาใส่กัน ทำให้ปีต่อมาคนเลยติดใจ จึงจัดมะเขือเทศมาปากันต่อจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเสียของ เพราะมะเขือเทศที่นำมาใช้ละเลงในเทศกาลนั้น เป็นพันธุ์ที่มีรสชาติไม่อร่อยและมีราคาถูก โดยมีการคลึงมะเขือเทศให้ช้ำก่อนนำมาให้ผู้คนได้สนุกกันโดยไม่เป็นอันตราย

5. เทศกาลปาองุ่น (Grape Throwing Festival) ประเทศสเปน

>> จัดที่เมืองมาจอร์กา หมู่เกาะแบลิแอริก ประเทศสเปน

>> จัดทุกวันหยุดสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน

‘สาดองุ่น’ อีกหนึ่งเทศกาลสายสาดของสเปนในเมืองมาจอร์กา (Mallorca) ที่ตั้งอยู่บนหมู่เกาะแบลิแอริก (Balearic Islands) บนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฝั่งตะวันออกของประเทศสเปน ซึ่งชาวท้องถิ่นถือว่านี่คือสุดยอดของ ‘ความบันเทิง’ ประจำปี โดยคุณต้องทำการทั้งละเลง ทั้งปาผลองุ่นดำใส่กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งอาจจะรู้สึกแปลกสักหน่อยเพราะสาดอย่างอื่นเขามาเป็นน้ำหรือเป็นผง แต่งานนี้สาดกันมาเป็นพวงเลยทีเดียว

ที่มาที่ไปของเทศกาลปาองุ่นนั้น ก็ไม่ได้ซับซ้อนมากมาย เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลผลิตองุ่นในหมู่เกาะแบลิแอริกกำลังได้ที่ และย่านนี้ ก็เป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน การฉลองช่วงเก็บองุ่นด้วยการละเลงองุ่นจึงเริ่มขึ้น ณ จุดนี้ แถมงานนี้ผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่จะเลือกนุ่งสั้นทูพีช หรือเหล่ายอดชาย ก็ถอดเสื้อละเลงใส่กัน ซึ่งนอกจากจะไม่เลอะเทอะเสื้อผ้ามากชิ้นแล้ว ยังได้บำรุงผิวทางอ้อม เพราะองุ่นมีวิตามินหลายชนิด (อ่ะนะ) ด้วย!!


ที่มา:

https://www.thansettakij.com/content/ThanDigital/471063

https://travel.thaiza.com/foreign/370778/

https://travel.trueid.net/detail/XkK0JqjpZmX

https://www.wecrafttravel.com/2019/04/29/la-tomatina-เทศกาลปามะเขือเทศ/

https://www.facebook.com/perspectivetelevision/photos/เทศกาลปาองุ่น-(throwing-/435092583495811/

https://www.skyscanner.co.th/news/songkran-alternative

ชลบุรี - Covid19 พลิกสวนไดโนเสาร์แอดแวนเจอร์ สู่นักธุรกิจ ร้านกาแฟชาวดอยไดโนเสาร์ แห่งแรกในภาคตะวันออก อีกหนึ่งจุดเช็คอินแห่งใหม่ของเมืองพัทยา

วิกฤตโควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะกับผู้ที่ได้รับผลกระทบแบบ 100% อย่างผู้ประกอบธุรกิจแหล่งท่องเที่ยวที่มีกลุ่มลุกค้าชาวต่างชาติเป็นลูกค้าหลัก พอมีมาตรการปิดประเทศ นักท่องเที่ยวไม่สามรถเดินทางมาท่องเที่ยวได้แหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ต้องปิดตัวลงชั่วคราวรอวันนักท่องเที่ยกลับมา อย่างสวนไดโนเสาร์แอดแวนเจอร์ พัทยา ตรงข้ามตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา ที่ได้รับผลกะรทบจากวิกฤติในครั้งนี้ แต่หากจะรอค่อยการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติก็คงจะต้องใช้เวลานาน ผู้บริหารสวนไดโนเสาร์แอดแวนเจอร์ จึงพลิกวิกฤตโควิด-19 ให้กลายเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ด้วยการเปิดร้านกาแฟ ชาวดอย ไดโนเสาร์ เพิ่มจุดจุดเช็คอินแห่งใหม่ให้กับเมืองพัทยา

โดยวันนี้ (9 เม.ย.64) เวลา 10.39 น. น.ส.ปทุมมา โฆเกียรติมานนท์ ผู้บริหารร้านกาแฟ ชาวดอย ไดโนเสาร์ ได้เปิดตัวร้านกาแฟอย่างเป็นทางการ โดยมีนายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา ได้เป็นประธานเปิดร้านกาแฟ ชาวดอย ไดโนเสาร์ ท่ามกลาง ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท และแขกผู้มีเกียรติร่วมแสดงความยินดีอย่างคับคั่ง อาทิ นางอำพร แก้วแสง ประธาน กต.ตร.สภ.พัทยา ,เต๋า อดิศร อรรถกฤษณ์ นักร้องวงดราก้อนไฟว์ ,คณะกรรมการกต.ตร.สภ.พัทยา

น.ส.ปทุมมา โฆเกียรติมานนท์ ผู้บริหารร้านกาแฟ ชาวดอย ไดโนเสาร์ กล่าวว่า สำหรับร้านกาแฟชาวดอยไดโนเสาร์ เกิดจากการปรับตัวจากธุรกิจสวนไดโนเสาร์แอดแวนเจอร์ ที่ได้รับผลกะรทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยว จึงได้ปรับพื้นที่ด้านหน้าประมาณ 600 ตารางเมตรเปิดร้านกาแฟ ซื่อว่า “ชาวดอยไดโนเสาร์” มีการนำ ไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์มาตั้งให้บริการลูกค้าถ่ายรูป โดยมี ไดโนเสาร์ ไจแกนโนโซรัส ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 30 เมตร ยืนคู่กับร้านกาแฟ นอกจากนี้ยังมีไดโนเสาร์พันธุ์ เวโรซีแรปเตอร์ ที่สมารถขยับตัวได้ มาตั้งให้ลุกค้าที่มานั่งทางกาแฟได้ถ่ายรูปเช็คอิน ซึ่งไดโนเสาร์พันธุ์ เวโรซีแรปเตอร์ ของร้านกาแฟชาวดอนไดโดนเสาร์ถือเป็นตัวที่ 2 ของโลกและยังเป็นไฮไลต์ของร้านกาแฟ นอกจากนี้ภายในร้านยังมีการนำไข่ไดโนเสาร์ รวมถึงตุ๊กตาไดโนเสาร์ ไว้ค่อยบริการลูกค้าอีกด้วย

ทั้งนี้กาแฟชาวดอยถือเป็นแบรนด์กาแฟของคนไทย มีรสชาติเข้มข้น เมล็ดกาแฟคุณภาพ แต่ราคาย่อมเยา ส่วนเมนูแนะนำ อาทิ กาแฟซิกเนเจอร์ชาวดอยร้อนและเย็น และเครื่องดื่มสดชื่นเหมาะสำหรับหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง เช่น ชากลิ่นผลไม้ไข่มุก สำหรับโปรโมชั่นช่วงเปิดร้าน ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. 64 - 10 พ.ค. 64 ทางร้านจะแจกคูปองส่วนลด 5 บาท และ 10 บาท โดย 1 คูปองสามารถใช้เป็นส่วนลดต่อ 1 ยอดบิล โดยเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 07.30-18.00 นของทุกวัน  สำหรับร้านกาแฟชาวดอยไดโนเสาร์ เหมาะสำหรับครอบครัวและเด็กๆ ทั้งนี้ในอนาคตจะมีพื้นที่ทำกิจกรรมเพิ่มเติม เช่น ระบายสี จำลองขุดฟอสซิลไดโนเสาร์


ภาพ/ข่าว  อนันต์ สุขวัฒนะ / เอกชัย สุขวัฒนะ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค พัทยา จ.ชลบุรี

 

สระแก้ว - ผู้ว่าสระแก้ว สั่งคุมเข้มตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันโควิด-19 ทะลักเข้าตามแนวชายแดน

เมื่อเวลา 09.00น. ของวันนี้ ภายใต้การอำนวยการของนายเกียรติศักดิ์ จันทรา ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วมอบหมายให้นายปรัชญา พิมพาแป้น นายอำเภอคลองหาด ดำเนินการคัดกรองผู้ประกอบการค้าขายบริเวณตลาดการค้าชายแดน ณ ตลาดศรีเพ็ญเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโควิค-19 โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลคลองหาดและฝ่ายปกครอง ให้แก่กลุ่มเสี่ยงเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนด

ต่อมาเวลา 10.00 น.ได้ปฏิบัติงาน ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอเทศบาลตำบลคลองหาด สมาชิก อส. อำเภอคลองหาด ออกตรวจมาตรการการป้องกันการติดเชื้อโควิค-19 บริเวณตลาดนัดเทศบาลสี่แยกคลองหาดเพื่อแนะนำให้ผู้ที่มาจับจ่ายซื้อของและผู้ค้าขายปฏิบัติตามมาตรการ DHMTT อย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้มีการระบาดในพื้นที่

ล่าสุดเวลา 13.00 น.ได้ร่วมตรวจสถานที่ที่โรงพยาบาลคลองหาดเพื่อเตรียมสถานที่ฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและแพทย์พยาบาลที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแนวทางอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาฉีดวรรคซินจำนวน 500 คนแรกในระหว่างวันที่ 8 และ9เมษายน 2564และได้มีการประชุมเพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและ ค้นหาผู้ติดเชื้อในเชิงรุกเพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น และได้รับการฉีดวัคซีนรวมกับเป้าหมายที่กำหนด

อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกัมพูชากับประชาชนไทยในพื้นที่ชายแดนให้ความรู้สร้างความเข้าใจการปฏิบัติตัวในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นายเกียรติศักดิ์  จันทรา ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้สั่งการ นายวินัย โตเจริญ นายอำเภออรัญประเทศ จัดกิจกรรมอบรมความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในสถานการณ์โควิด-19 โครงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชนในพื้นที่ชายแดน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับ ขั้นตอนการขออนุญาตทำงานในประเทศไทย/การข้ามแดนและการขออนุญาตอยู่ในประเทศไทย/มาตรการในการควบคุมโรคและการปฏิบัติตัวในการป้องกันโควิด-19/การรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน/การประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรไทยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งกิจกรรมนี้มีผู้ประกอบการค้าภาคเอกชนในตลาดโรงเกลือทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ตลาดโรงเกลือเข้าร่วมกิจกรรม โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมโยงระดับประชาชนกับประชาชนในพื้นที่ชายแดน พร้อมทั้งกำชับความเป็นมิตรที่ดีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของหน่วยงานไทยกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานประเทศเพื่อนบ้านในระดับท้องถิ่นและสร้างความเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ระบาด จึงมีความจำเป็นต้องให้ความรู้ในการปฏิบัติตัวของผู้ประกอบการในตลาดโรงเกลือ

จากกรณีพบป่วยโควิด-19 จนเกิดการระบาดระลอกใหม่ บรรยากาศชายแดน อ.อรัญประเทศ ฝั่งตลาดปอยเปต คนเริ่มตื่นตระหนก จนท.ฝั่งไทยยังคุมเข้มป้องกันคนลักลอบเข้าเมือง ที่จุดคัดกรองโควิด-19 ด่าน ตม.อรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พ.ต.อ.รุ่ง ทองมนต์ ผกก.ตม.จว.สระแก้ว ร่วมกับ ร.ต.ธิติวุฒ ยีนุช ผบ.ร้อย ทพ.1201(ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่1201) และ พ.ต.อ.ชนณพัฒน์ ศิริเลิศ ผกก.สภ.คลองลึก จ.สระแก้ว ได้สนธิกำลังมาร่วมกันตรวจคัดกรอง 10 คนไทยที่ได้รับอนุญาตจากสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ให้เดินทางกลับประเทศไทย ผ่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่ง จนท.ได้ตรวจคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกาย ตรวจสอบเอกสารการเดินทาง เอกสารการตรวจโควิด-19 จากกัมพูชา และตรวจเข้มเอกสารอนุญาตเดินทางกลับประเทศ จากสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลักลอบเดินทางกลับประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนจะนำตัวไปรับการกักตัว 14 วัน ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.อรัญประเทศ ซึ่งเป็นสถานที่ที่จังหวัดสระแก้ว เตรียมไว้รองรับการกักตัว

พ.ต.อ.รุ่ง ทองมนต์ ผกก.ตม.จว.สระแก้ว กล่าวว่า ได้กำชับ จนท.ร่วมกันตรวจคัดกรองคนไทยที่เดินทางเข้าประเทศอย่างเข้มงวด เนื่องจากได้รับข้อมูลจากทางการกัมพูชาว่าขณะนี้ในประเทศกัมพูชาเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะพบผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งทางรัฐบาลกัมพูชา ได้ประกาศให้หน่วยงานของรัฐปิดทำการ โดยให้ทำงานแบบ Work From Home หรือทำงานที่บ้านแทน ส่วนภาคเอกชนหลายบริษัทต้องปิดกิจการ นอกจากนี้ ทางรัฐบาลกัมพูชายังขอความร่วมมือกับประชาชนกัมพูชาให้ป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ และงดออกจากบ้านด้วย ดังนั้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในกัมพูชา เกรงว่าอาจจะมีทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาหนีโควิดจากกัมพูชาลักลอบเข้าประเทศไทย  จนท.จึงจำเป็นต้องเข้มงวดกวดขันเป็นพิเศษในช่วงนี้

ขณะที่ พ.อ.เอกพงษ์ กฤตยาเกียรติชุติ ผู้บังคับชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 ได้สั่งการให้ ร.ต.ธิติวุฒ ยีนุช ผบ.ร้อย ทพ.1201 นำกำลังออกลาดตระเวนเข้มตามตะเข็บชายแดนช่องทางธรรมชาติบริเวณท้ายตลาดโรงเกลือ ตลาดการค้าชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อป้องกันและสกัดกั้นไม่ให้มีการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย อย่างเด็ดขาด เป็นการป้องกันการหนีโควิดจากประเทศกัมพูชาลักลอบเข้ามาในประเทศไทย ทั้งของคนไทยและคนกัมพูชา พร้อมคาดโทษ จนท.ห้ามหละหลวมโดยเด็ดขาด

ส่วนชาวกัมพูชาในฝั่งปอยเปต ที่อยู่ตรงข้ามชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เริ่มตื่นตระหนกกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในกัมพูชา โดย จนท.ฝ่ายความมั่นคงของกัมพูชาประจำปอยเปต เผยว่า ขณะนี้ วงการบันเทิงของกัมพูชากำลังระส่ำหนัก เนื่องจากมีนักร้องและดาราชั้นนำในบริษัทค่ายเพลงชื่อดัง และเป็นต้นสังกัดของศิลปินชั้นนำของกัมพูชาติดโควิด-19 ระลอกใหม่ หลายคน ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาเริ่มหวาดผวาหนัก เนื่องจากชาวกัมพูชาจำนวนมาก ไปงานคอนเสิร์ตของนักร้องคนดังกล่าว อีกทั้งยังมีชาวกัมพูชาอีกจำนวนมากที่คอยติดตามดาราและศิลปิน ทำให้ชาวกัมพูชาจำนวนมากเป็นกลุ่มเสี่ยงติดโควิดสูง ซึ่งอาจจะลุกลามไปทั่วประเทศได้


ภาพ/ข่าว  นายอำเภอคลองหาด / สมศักดิ์ สารการ / บูรพาทีวีออนไลน์ รายงาน

จันทบุรี - ผู้บัญชาการทหารเรือตรวจเยี่ยมการฝึกการสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 ที่สนามบ้านจันทเขลม อ.เขาคิชฌกูฏ

วันนี้ ( 9 เม.ย.64 ) สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการฝึกการสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 โดยมี พลเรือเอก สิทธิพร มาศเกษม รองผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะ ผู้อำนวยการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 พลเรือโท รณรงค์ สิทธินันท์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตลอดจนข้าราชการระดับสูงในพื้นที่ ให้การต้อนรับ ซึ่งการตรวจเยี่ยมการฝึกของผู้บัญชาการทหารเรือ และคณะในวันนี้ นอกจากจะทำให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ได้รับทราบรายละเอียดการปฏิบัติในการฝึก และทราบถึงขีดความสามารถ ตลอดจนความพร้อมในการปฏิบัติการของหน่วยต่าง ๆ ที่เข้ารับการฝึกแล้ว ยังเป็นแนวทางที่เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ใกล้ชิดผู้บังคับบัญชาชั้นสูง อันจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลที่เข้ารับการฝึกกองทัพเรือ ได้ตระหนักในหน้าที่หลัก ด้านการเตรียมความพร้อมของกำลังรบทางเรือเพื่อการป้องกันประเทศ

โดยการพัฒนากำลังพลและระบบยุทโธปกรณ์ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติการทางทหาร ในฐานะหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงทางทะเลของประเทศไทย ในการเตรียมกำลังให้เกิดความพร้อม เพื่อปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศผ่านการฝึก ทั้งนี้ กองทัพเรือได้กำหนดให้หน่วยกำลังรบในทุกระดับ ดำเนินการเตรียมความพร้อมในระดับหน่วยตามความเชี่ยวชาญเฉพาะของกิจที่ได้รับ จนถึงการบูรณาการกำลังขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน เพื่อฝึกการปฏิบัติการภายใต้สถานการณ์การฝึกตามแผนป้องกันประเทศในแต่ละด้าน โดยกำหนดแนวคิดหลักอ้างอิงจากสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดไว้ในการฝึกกองทัพเรือประจำปี ซึ่งนอกจากจะเป็นการเตรียมความพร้อมของกำลังรบในการปฏิบัติการแล้ว การฝึกกองทัพเรือยังเป็นการทดสอบแผนการปฏิบัติระบบการควบคุมการบังคับบัญชา ระบบการสื่อสารและระบบการส่งกำลังบำรุงในภาพรวม ตลอดจนเป็นการทดสอบการปฏิบัติการร่วมระหว่างเหล่าทัพอีกด้วยในส่วนของการฝึกภาคสนามและภาคทะเลของการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 กำหนดจัดให้มีขึ้น ระหว่างวันที่ 19 มีนาคม ถึง 9 เมษายน 2564 ในพื้นที่ทะเลอันดามัน และอ่าวไทย

ซึ่งกองทัพเรือ กำหนดให้มีรายการฝึกที่สำคัญคือ การฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น - สู่ - พื้น Harpoon Block 1C การฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก การฝึกยิงตอร์ปิโดจากเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ รวมถึงการฝึกสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ในการฝึกเป็นหน่วยกรมผสมของกองพลนาวิกโยธิน บริเวณสนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี การฝึกเป็นหน่วยกรมผสมของกองพลนาวิกโยธิน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถของกำลังพลส่วนต่าง ๆ ทางยุทธวิธีในสงครามตามแบบ และเพื่อเป็นการทดสอบความพร้อมรบของหน่วยระดับกรม กองพัน หน่วยขึ้นตรง กองพลนาวิกโยธิน ให้เกิดความคุ้นเคย รวมทั้งเพิ่มประสบการณ์ในเรื่องการจัดทำแผนการฝึกปัญหาที่บังคับการ การดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง และการควบคุมบังคับบัญชา การประสานการยิงสนับสนุนอากาศ - พื้นดิน การติดต่อสื่อสาร การต่อต้านข่าวกรองของข้าศึก และการประสานการปฏิบัติร่วมกันให้มีความเข้าใจในหน้าที่ของกันและกัน โดยมีหัวข้อการฝึกที่สำคัญ คือ การฝึกแลกเปลี่ยน/ปรับมาตรฐาน (ปืนใหญ่) การฝึกแลกเปลี่ยน/ปรับมาตรฐาน (ทหารราบ) การฝึกยิงจรวดนำวิถี TOW การสนับสนุนทางอากาศ การส่งกลับสายแพทย์ และการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ซึ่งกำลังที่เข้าร่วมฝึกจัดจาก กองพันทหารราบที่ 1 กองพันทหารราบที่ 6 กองพันรถถัง กองพันรถสะเทินน้ำสะเทินบก และกองพันลาดตระเวน ในสังกัดกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ประกอบด้วย กำลังทหารนาวิกโยธิน พร้อมยุทโธปกรณ์ อาทิ ปืนใหญ่ ขนาด 155 มม. ปืนใหญ่ขนาด 105 มม. ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 40/60 มม. ยานเกราะล้อยาง แบบ BRT รถสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) และรถฮัมวี่ติดจรวดนำวิถี TOW กำลังจากกองพันรักษาฝั่งที่ 12กรมรักษาฝั่งที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมยุทโธปกรณ์ คือ ปืนใหญ่รักษาฝั่ง ขนาด 155 มม. รวมถึงกำลังและยุทโธปกรณ์จากกองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ และกรมแพทย์ทหารเรือ

นอกจากนั้นยังมีกำลังของกองทัพบกเข้ารวมทำการฝึกในครั้งนี้ ซึ่งจัดจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ประกอบด้วยรถถังและยานเกราะล้อยาง อีกจำนวนหนึ่ง การฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล ในการฝึกกองทัพเรือ ได้มีการเชิญกองทัพบกและกองทัพอากาศจัดกำลังเข้าร่วมการฝึกตามรายการต่าง ๆ ซึ่งกองทัพเรือได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกเหล่าทัพในทุกครั้ง ซึ่งจะทำให้ทราบถึงคุณลักษณะและขีดความสามารถของกำลังรบจากเหล่าทัพต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การวางแผนการใช้กำลังทางทหารและการปฏิบัติการรบร่วมที่มีประสิทธิภาพเกิดประสิทธิผลในการป้องกันประเทศในอนาคต ตามวิสัยทัศน์กองทัพไทยที่ “เป็นกองทัพชั้นนำในภูมิภาคมีนวัตกรรมทันสมัย ปฏิบัติการร่วมอย่างมีประสิทธิภาพทุกมิติ” และสร้างความสมัครสมานสามัคคี อันจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของกองทัพไทยในภาพรวม ตามคำขวัญของกองทัพเรือที่ว่า “พลังสามัคคี พลังราชนาวี”


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา  ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

เชียงราย - เปิดโครงการสายตรวจร่มบิน แจ้งเหตุทางอากาศ

เปิดโครงการ “ร่มบินพารามอเตอร์ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย” สนับสนุนภาระกิจทางอากาศ ทั้ง ชี้ภาพการจราจรในช่วงเทศกาล  จุดเกิดไฟป่า ป้องกัน PM 2.5 ติดตามเป้าหมายคนร้าย ชี้เป้าหมายทางอากาศ

เวลา 16.00 น.วันที่ 9 เม.ย.64 ที่ สภ.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีต ผบก.กองปราบ/ผอ.กองสลาก เข้าร่วมพิธี เปิดโครงการ “ร่มบินพารามอเตอร์ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย”  โดยมี พ.ต.อ.สันติ กองสมัคร รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย เป็นประธานในการเปิดโครงการ โดย พ.ต.อ.ภาสกร ณ พิกุล ผกก.สภ.บ้านดู่ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ สภ.บ้านดู่   ชมรมร่มบิน จังหวัดเชียงราย เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลตำบลบ้านดู่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

โดยโครงการสายตรวจทางอากาศ  “ร่มบินพารามอเตอร์ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย” โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนการตรวจสภาพการจราจรในช่วงเทศกาลต่าง ๆ 1. เพื่อลดปัญหาด้านจราจร อุบัติเหตุ 2. เพื่อสนับสนุนารทำงานของสายตรวจภาคพื้นดินในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม 3.เพื่อชี้เป้าจุดที่เกิดไฟป่าและค้นหาตัวผู้กระทำผิด ได้อย่างรวดเร็ว 4. เพื่อสนับสนุนภารกิจที่จำเป็นต้องใช้อากาศยานเบาหรือได้รับการร้องขอจากหน่วยงานข้างเคียง เข้าปฏิบัติหน้าที่ตามที่ร้องขอได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยโครงการดังกล่าวดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

พ.ต.อ.สันติ กองสมัคร  กล่าวว่า  ปัจจุบัน มีปัญหาอาชญากรรม  การจราจร และการลักลอบเผาป่า   ทำให้เกิดหมอกควันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เพื่อให้การแก้ไขปัญหาต่างได้อย่างมีประสิทธิภาพประกอบกับช่วง  เทศกาลสงกรานต์ ที่จะมาถึงมีพี่น้องประชาชน ได้เดินทางกลับภูมิลำเนา  เป็นจำนวนมาก อาจมีปริมาณรถที่หนาแน่นและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ มีความจำเป็นในการใช้ร่มบิน(พารามอเตอร์)ในการตรวจการ  สังเกตการณ์จากที่สูงมีของสภาพการจราจร  เพื่อลดความหนาแน่นของการใช้เส้นทางหลักและการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การติดตาม ชี้เป้าหมาย เพื่อง่ายต่อการสกัดจับกุมผู้กระทำความผิดต่างๆและการใช้ในการ     ตรวจการณ์ ป้องกันการลักลอบเผาป่า ที่เป็นสาเหตุหมอกควัน

สำหรับโครงการ “ร่มบินพารามอเตอร์ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย” มีที่ตั้งและศูนย์ประสานงานชุดเฉพาะกิจสายตรวจทางอากาศ สภ.บ้านดู่ เลขที่ 550 ม.2 ต.บ้านดู่ อ.เมือง จว.เชียงราย สามารถจัดเตรียมเก็บขึ้นรถยนต์เพื่อเตรียมพร้อม บินได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที อัตราความเร็วในการบินจะอยู่ที่ประมาณ 40-55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสมรรถนะของร่มด้วย เชื้อเพลิง 10 ลิตร จะบินได้ประมาณ 3 ชม. ถ้าสภาวะอากาศเอื้ออำนวย การบินแต่ละครั้งจึงไปได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตร และพร้อมที่จะสนับสนุนภารกิจต่าง ๆ เมื่อได้รับมอบหมายในทันที


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์  เชียงราย

เพชรบุรี - DSI ลงพื้นที่ แก่งกระจาน บุกอายัดที่ดิน เครือข่ายอดีตผู้บริหารสหกรณ์สโมสรรถไฟ พร้อมพรรคพวกในพื้นที่ เพชรบุรี

จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา ได้สอบสวนขยายผลบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในการพิสูจน์การได้มาของทรัพย์สิน (ที่ดิน) โดยการเชื่อมโยงเส้นทางทางการเงินกับทรัพย์สิน

ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเครือข่ายอดีตผู้บริหาร สหกรณ์สโมสรรถไฟ ที่ได้นำเงินจากการทุจริตออกจากบัญชีสหกรณ์สโมสรรถไฟ และนำเงินที่ได้จากการทุจริตไปเปลี่ยนสภาพแห่งตัวทรัพย์ เพื่อซุกซ่อน ปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินหรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา หรือได้มา ครอบครองหรือใช้ทรัพย์สินโดยรู้ในขณะที่ได้มา อันเป็นเหตุในการเข้าทำการตรวจยึด/อายัดทรัพย์สินข้างต้น

ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564  เวลา 10.30 น. พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ พันตำรวจโท สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ  ในฐานะรองอธิบดีที่กำกับดูแล พันตำรวจโท จักรกฤษณ์ วิเศษเขตการณ์ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการพิเศษ

นายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา นายธวัชชัย รัตนปรีชาชัย รองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทางอาญา และนายพงษ์ธวัช อ่วมสำอางค์ ผู้อำนวยการส่วนคดีการฟอกเงินทางอาญา 3 พร้อมคณะ ตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี สาขาท่ายาง และนายประกอบ เผ่าพงศ์ ผู้ตรวจราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่ร่วมกันอายัดที่ดิน

พร้อมสิ่งปลูกสร้างหลายพื้นที่ ประกอบด้วย (1) ที่ดินเขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร จำนวน 6 แปลง  (2) อาคารชุดฮอลส์มาร์ค แจ้งวัฒนะ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 7 ห้อง (3) ที่ดินโครงการพฤกษ์พิมาน 3 ตำบลนาวุ้ง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 23 แปลง และ (4) พื้นที่อำเภอแก่นกระจาน จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 49 แปลง รวมทรัพย์สินที่ทำการอายัด 85 แปลง มูลค่าประมาณ 85,601,690 บาท โดยในการอายัดครั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ตรวจสอบเส้นทางทางการเงินของกลุ่มบุคคล จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่านำเงินที่ได้จากสหกรณ์ฯไปซื้อที่ดิน ตามที่ได้อายัดไว้ข้างต้น

การดำเนินการครั้งนี้ เพื่อเป็นการสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาล และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่มุ่งเน้นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเร่งดำเนินการกับทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และสามารถนำเงินชดใช้คืนสหกรณ์สโมสรรถไฟ และสมาชิกสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อเยียวยาให้กับผู้เสียหาย ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการในทุกมิติ โดยร่วมกับสำนักงาน ปปง. เพื่อทำการการยึด/อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด

เพื่อขอให้พนักงานอัยการมีคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดคืน หรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหาย ตลอดจนสมาชิกสหกรณ์จำนวนกว่า 6,000 ราย และสหกรณ์พันธมิตรอีก 15 แห่ง โดยจะดำเนินการเชิงบูรณาการร่วมกับ สำนักงาน ปปง. ควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย และสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน ส่งผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 อย่างเด็ดขาด ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top