Friday, 20 June 2025
TheStatesTimes

นราธิวาส - วัคซีนโควิด-19 ให้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มแรก 5,000 โดส เป็นบุคลากรทางการแพทย์และและกลุ่มเสี่ยง

วันที่ 5 เม.ย. 2564  ที่อาคารอเนกประสงค์ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์  เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มแรก โรงพยาบาล 13 อำเภอ ของจังหวัดนราธิวาส จำนวน 5,000 โดส หลังจากได้รับการจัดสรรวัคซีน “ซิโนแวค” ล็อตแรก จำนวน 5,000 โดส จากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ตามแผนจัดการวัคซีนของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยมีกลุ่มป้าหมายมาลงทะเบียน ชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต คัดกรอง ซักประวัติ ประเมินความเสี่ยง ลงนามในใบยินยอมรับวัคซีน รอฉีดวัคซีน ฉีดวัคซีน พักสังเกตอาการ 30 นาที สแกนไลน์แอป “หมอพร้อม” และตรวจสอบ ก่อนกลับรับเอกสารการปฏิบัติตัวหลังฉีดวัคซีน

โดยเข็มแรกฉีดให้แก่ นพ.สุเทพ หะยีสาและ หัวหน้ากลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลนราธิวาสฯ เป็นผู้รับวัคซีนกลุ่มแรกของจังหวัดนราธิวาส  เพื่อสร้างความมั่นใจ และติดตามขั้นตอนการฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างใกล้ชิด โดยในช่วงเช้าวันนี้การฉีดวัคซีนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

นายแพทย์นสุเทพ หะยีสาและ หัวหน้ากลุ่มงานอายุรกรรม เปิดเผยว่า วันนี้เป็นวันแรก ที่โรงพยาบาลนราธิวาสเปิดให้ฉีดวัคซีน “ซิโนแวค” เป็นความยินดีของเจ้าหน้าที่ที่มารับวัคซีนในส่วนตัวเมื่อวานได้ทำการตรวจสอบแล้วผลเป็น Negative วันนี้เลยมารับวัคซีนที่ผ่านมาจากสถานการณ์ในจังหวัดนราธิวาสเกิดปัญหาด้วยคนไข้ติดโควิด ในเรือนจำเป็นปริมาณมาก ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ได้รับการคอนแทคกับผู้ป่วยรายรายโรงพยาบาลได้เปิดการรับวัคซีนสร้างภูมิต้านทานให้เจ้าหน้าที่ก็หวังว่าบุคคลทั่วไปประชาชนทั่วไปและเจ้าหน้าที่ ไม่มีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อที่จะได้ดูแลผู้ป่วยต่อไป

วัคซีน “ซิโนแวค” ล็อตแรกนำเข้าเพื่อฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงที่จะสัมผัสเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อเพื่อการควบคุมการระบาดเป็นลำดับแรก จังหวัดนราธิวาส ได้รับการจัดสรรวัคซีนระยะที่ 1 วันที่ 5-9 เมษายน 2564 จำนวน 5,000 โดส สำหรับกลุ่มเป้าหมาย 2,500 ราย จำนวน 125กล่อง กล่องละ 40 โดส แบ่งเป็นอำเภอเมืองนราธิวาส 23กล่อง 920 โดส 460 ราย อำเภอสุไหงโกลก 32 กล่อง 128 โดส   สำหรับกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ผู้เสี่ยงต่อการสัมผัส ประชาชนที่มีโรคประจำตัว และประชาชนทั่วไป โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนราธิวาส พิจารณากระจายวัคซีนตามความเสี่ยงของพื้นที่ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงกำหนด


ภาพ/ข่าว  ปทิตตา หนดกระโทก  (ผู้สื่อข่าวนราธิวาสรายงาน)

LG Electronics Inc. กำลังปิดหน่วยสมาร์ทโฟน เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและมุ่งเน้นไปที่โครงการในอนาคตเช่นส่วนประกอบของรถยนต์ไฟฟ้า หลังแผนกนี้ขาดทุนอย่างหนัก

LG จะยุติการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรในด้านการเติบโตรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV), บ้านอัจฉริยะ, หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์

ทั้งนี้ โทรศัพท์มือถือคิดเป็น 8.2% ของยอดขาย LG ในปีที่แล้ว โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีการสูญเสียรายได้อีกในระยะสั้น ฉะนั้นหากบริษัทปิดธุรกิจนี้ น่าจะเป็นผลดีทางการเงินในระยะยาว แล้วไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงไปทุ่มพัฒนาเทคโนโลยีมือถือเช่นระบบเครือข่ายและกล้องรุ่นที่ 6

สำหรับ LG เริ่มผลิตโทรศัพท์มือถือครั้งแรกในปี 1995 และ LG เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกระบบปฏิบัติการ Android โดยร่วมมือกับ Google ของ Alphabet Inc. ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน Nexus และผลิตกล้องและเทคโนโลยีการแสดงผลที่ดีที่สุดในกลุ่มนี้

โดย LG Electronics เคยเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ยิ่งไปกว่านั้นในแง่ของส่วนแบ่งการตลาดในตลาดสหรัฐ LG ก็เคยเป็นอันดับสามรองจาก iPhone ของ Apple Inc. และSamsung Electronics Co. จากประเทศเดียวกัน

แต่ปัจจุบัน LG สู้คู่แข่งไม่ได้มาหลายปี และจากนั้น OnePlus ของจีน ก็พุ่งพรวดเข้ามาแทนที่ท่ามกลางการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปทั่วโลกให้กับคู่แข่งจากต่างประเทศ โดยธุรกิจมือถือของ LG ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่มาตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2015มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานสะสมถึง 5 ล้านล้านวอน (4,400 ล้านดอลลาร์) ในปีที่แล้วตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮัป

ดังนั้นในเดือนมกราคมผ่านมา ทางบริษัทจึงตัดสินใจทบทวนทิศทางของธุรกิจสมาร์ทโฟนใหม่ ด้วยการปิดไลน์ธุรกิจดังกล่าว ทั้งๆ ที่เมื่อเดือนก่อนหน้านั้นสัญญาว่าจะขายโทรศัพท์แบบพับได้ในปีนี้


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/649675

‘ศิริกัญญา ตันสกุล’ กล่างถึงกรณีไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว จี้รัฐเร่งฉีดวัคซีนให้ครบ - ออกมาตรการการเงินช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพราะถือเป็นโอกาสสุดท้ายของประเทศขออย่าพลาดเป้าซ้ำรอยเดิม

นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝ่ายนโยบาย เปิดเผยทางเฟซบุ๊กแฟนเพจพรรคก้าวไกล ว่า หลังจาก ศบศ. มีข่าวดีเรื่องมาตรการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3 ระยะ ระยะแรก เริ่มแล้วตั้งแต่เมื่อ 1 เม.ย. เปิดรับเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส แต่ยังต้องมีการกักตัวในโรงแรม 7 วันโดยไม่ต้องกักตัวในห้องพัก หลังจากนั้นจะสามารถเดินทางไปพื้นที่ปิดเพื่อท่องเที่ยวในพื้นที่ที่กำหนดภายนอกโรงแรมได้ โดยพื้นที่นำร่องได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา เกาะสมุย พัทยา และเชียงใหม่ ระยะที่ 2 ดีเดย์วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ตได้และต้องกักตัวอยู่ในภูเก็ตอย่างน้อย 7 วัน ก่อนที่จะสามารถเดินทางไปที่อื่นๆ ได้ และใช้มาตรการป้องกันควบคู่กับ Vaccine Certificated รวมถึงใช้แอปพลิเคชันติดตามตัว ส่วนระยะที่ 3 ในไตรมาส 4 ปี 2564 จะเพิ่มพื้นที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่ต้องกักตัวมากขึ้น เช่น กระบี่ พังงา เกาะสมุย พัทยา และเชียงใหม่

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนทางมาจำนวน 1 แสนคนในไตรมาส 3 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศยุโรป และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 6.5 ล้านคนในปี 2564

เท่ากับเรามีเวลาอีก 3 เดือน เพื่อเตรียมตัวเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังมีอีก 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาให้ทัน เรื่องแรกคือการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในจังหวัดนำร่องให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ herd immunity ให้ทันเวลา และเรื่องที่ 2 คือ เตรียมการให้ผู้ประกอบการพร้อมรับนักท่องเที่ยว

สำหรับเรื่องแรก การเร่งฉีดวัคซีน เพื่อเตรียมรับการเปิดประเทศในเดือนกรกฎาคม ภูเก็ตจะได้วัคซีนราว 100,000 โดส สำหรับ 50,000 คน ในปัจจุบันอัตราการฉีดในภูเก็ตขณะนี้ยังอยู่ที่วันละ 4,000 คนเท่านั้น และยังต้องรออีกระยะเพื่อให้ประชาชนเกิดภูมิคุ้มกัน ตอนนี้ได้รับจัดสรร 50,000 โดสแรกมาแล้ว จากรายงานข่าวของมติชน สาธารณสุขคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้คนภูเก็ตได้เพิ่มเป็นวันละ 7,000 คน นั่นหมายความว่าหากเป็นไปตามแผน จังหวัดภูเก็ตก็จะกระจายวัคซีนล็อตสอง 50,000 โดส เสร็จสิ้นก่อนสงกรานต์ แต่หากจะฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ จังหวัดภูเก็ตต้องฉีควัคซีนให้ได้ถึง 70% หรือคิดเป็นประชากรราว 460,000 คน ซึ่งต้องใช้วัคซีนประมาณ 920,000 – 930,000 โดส ก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ฉีดวัคซีนครบแล้วให้เดินทางเข้ามา นับว่าเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง

การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่เป็นเรื่องสำคัญมาก ถึงแม้เราจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วถึงจะเข้าประเทศได้ แต่อย่าลืมข้อเท็จจริงที่ว่าการฉีดวัคซีนโควิดนั้นจะช่วยลดความรุนแรงของอาการป่วย แต่ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ และการแพร่เชื้อ ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วจะยังเป็นพาหะของโรคโควิดและสามารถแพร่กระจายโรคได้ ประโยชน์ของการรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วอยู่ที่เราไม่ต้องเสียทรัพยากรทางการแพทย์ไปรักษานักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในจังหวัดนำร่องได้เพราะการกักตัวลดลงเหลือ 7 วัน ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดหลังกักตัวก็ควรมีการตรวจโควิดแบบ rapid test ดูว่าร่องรอยการติดเชื้อหรือไม่ เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่มาก แต่น่าจะสร้างความอุ่นใจให้ประชาชนได้ไม่น้อย

สำหรับเรื่องที่สอง ศิริกัญญา กล่าวถึง การเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการ ครม. เพิ่งมีมติเห็นชอบ 2 มาตรการทางการเงินช่วยเหลือ SME คือมาตรการซอฟต์โลนรอบที่ 2 วงเงิน 250,000 ล้านบาท และ มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ (Asset Warehousing) วงเงิน 100,000 ล้านบาท ที่มีแผนจะออกเป็น พรก. โดยอ้างว่าเป็นความเร่งด่วน แต่ยังไม่คลอดออกมาเสียที ทั้งที่ความจริงถ้าจะออกเป็น พ.ร.บ. ก็ไม่น่าจะมีใครขัดข้อง ยอมให้ตั้งกรรมาธิการทั้งสภาเพื่อเปิดช่องทางด่วนให้ผ่านวาระ 2,3 ได้ในวันเดียว แถมสภาฯ ก็เปิดสมัยวิสามัญกันอยู่เป็นระยะ

2 มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินนี้ ดูจะเป็นความหวังสำหรับภาคท่องเที่ยว มาตรการซอฟต์โลนรอบ 2 น่าช่วยให้ธุรกิจท่องเที่ยวได้สภาพคล่องไปเตรียมตัวเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากโรงแรมหลายแห่งต้องปิดตัวชั่วคราวมาระยะหนึ่งหลังการแพร่ระบาดและนักท่องเที่ยวหดหาย ข้อดีของมาตรการรอบนี้คือยอมให้เอกชนที่ยังไม่เคยมีหนี้กับแบงก์ขอกู้ได้ด้วย ยืดระยะเวลาการจ่ายคืนหนี้ออกไปได้สูงสุดถึง 10 ปี แต่ต้องยอมให้แบงก์ชาร์จดอกเบี้ยแพงขึ้นเป็น 5% และแก้ปัญหาแบงก์ไม่อยากปล่อยลูกค้ากลุ่มเสี่ยงอย่างภาคท่องเที่ยวด้วยการการันตีสินเชื่อโดย บสย. สูงถึง 40% ของพอร์ตสินเชื่อ และอยู่ระหว่างการออกประกาศสัดส่วนการันตีหนี้ตามขนาดของสินเชื่อ รายเล็กอาจจะได้ค้ำประกันในสัดส่วนที่มากกว่าเพื่อจูงใจให้แบงก์กล้าปล่อยมากขึ้น

การแก้ไขซอฟต์โลนรอบนี้ก็คล้ายคลึงกับร่างแก้ไขพรก.ซอฟต์โลนที่พรรคก้าวไกลได้ยื่นต่อสภาไปแล้ว เพื่อปลดล็อกซอฟต์โลน 500,000 ล้านก้อนแรกที่ผ่านไปเกือบปี เพิ่งปล่อยออกไปเพียง 130,000 ล้าน เพราะแบงก์เองยังไม่กล้าปล่อยด้วยความที่กลัวความเสี่ยง และดอกเบี้ย 2% นั้นเข้าเนื้อ ส่วนลูกหนี้ก็บ่นว่าให้กู้แค่ 2 ปีจ่ายคืนหนี้ไม่ไหว

ส่วนมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ หรือ Asset Warehousing น่าจะมาช่วยต่อลมหายใจ ลูกหนี้ที่ใกล้จะหมดลม เพราะจ่ายหนี้ไม่ไหว มาตรการนี้จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการยกทรัพย์สิน เช่น อาคาร หรือที่ดินให้เป็นของแบงก์แทนการจ่ายหนี้ ลูกหนี้ยังคงสิทธิ์ในการซื้อคืนในราคาตีโอน เช่น ธุรกิจโรงแรมสามารถโอนตึกโรงแรมให้เป็นของแบงก์เพื่อปลดหนี้ส่วนหนึ่ง หลังจากนี้ยังสามารถเช่าใช้ตึกทำธุรกิจต่อได้ จนครบ 5 ปีก็สามารถซื้อคืนได้ตามมูลค่าที่แบงก์ตีราคาในวันที่โอน บวกค่าใช้จ่าย carrying cost 1% และค่าบำรุงรักษา ส่วนแบงก์เองก็น่าจะชอบแนวทางนี้ เพราะนอกจากจะได้ซอฟต์โลนจากแบงก์ชาติ ในอัตรา 0.01% แล้ว ยังไม่ต้องกันสำรองหนี้ที่กำลังจะกลายเป็น NPL กำไรเพิ่มเห็น ๆ

ดูเผินๆ ก็น่าจะช่วยแบ่งเบายอดหนี้ให้กับลูกหนี้ ส่วนแบงก์ก็ได้ลดหนี้ NPL วิน-วินทั้งสองฝ่าย แต่ก็ต้องตามดูในรายละเอียดที่ออกตามมา ในการกำกับดูแลการคิดค่าเช่า ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา การประเมินราคาว่าจะเป็นธรรมกับทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้หรือไม่ หรือกลายจะเป็นการอุ้มแบงก์เหมือนที่ผ่าน ๆ มา

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ รอแค่ให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการนี้มาโดยเร็ว ให้ทันการณ์ และจะรอช้าไม่ได้ เพราะประเทศกำลังจะเปิดรับนักท่องเที่ยวชุดใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนแล้ว กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวได้มีสภาพคล่องไปรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว ปรับปรุงฟื้นฟูสถานที่ เตรียมการจ้างงาน ถึงแม้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะกลับมาไม่มากเท่าเดิมในปีนี้ และไม่น่าจะถึงเป้า 6.5 ล้านคนที่ ททท. คาดหวัง แต่ก็เป็นการต่อลมหายใจให้เมืองท่องเที่ยวได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาผงกหัวขึ้นได้ต่อในปี 2564

“ที่ต้องออกมาเตือนกัน เพราะไม่อยากให้ซ้ำรอยเดิม ที่รัฐบาลเพิกเฉยกับงบฟื้นฟูที่มีอยู่ตรงหน้า ทำให้พลาดโอกาสพลิกฟื้นเศรษฐกิจไปอย่างน่าเสียดาย โครงการต่างๆ ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านภายใต้ พรก.เงินกู้ 1 ล้านล้าน ที่เพิ่งอนุมัติกันไปเพียง 130,000 ล้านบาท เบิกจ่ายไปได้ไม่ถึงครึ่ง มีโครงการพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว งบ 15 ล้าน เบิกจ่ายไปไม่ถึง 2 ล้าน หรือแม้แต่โครงการเราเที่ยวด้วยกันที่แป๊กแล้วแป๊กอีก วาดฝันโครงการไว้ 20,000 ล้าน แต่เพิ่งใช้งบไปเพียง 8,700 ล้านบาทเท่านั้นเอง” นางสาวศิริกัญญา กล่าวปิดท้าย

4 เมษายน ตรงกับเทศกาลอีสเตอร์ของชาวคริสต์ ที่เชื่อว่าเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ ฟื้นคืนชีพจากความตาย หลังสิ้นพระชมน์จากทัณฑ์ทรมานบนไม้กางเขน จึงเป็นวันที่ชาวคริสต์ทั่วโลกจะจัดงานเฉลิมฉลอง รื่นเริง ในโบสถ์ และจะมีกิจกรรมที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้

และกลุ่มผู้ประท้วงชาวพม่า ก็ไม่พลาดกับเทศกาลนี้ ด้วยการนัดกันเอาไข่ไก่มาระบายสี เขียนข้อความ และสัญลักษณ์ต่อต้านการรัฐประหาร พร้อมผูกข้อมือด้วยด้ายดิบสีขาว ออกมาชูไข่อีสเตอร์ ประท้วงรัฐบาลทหารพม่ากันอย่างคึกคัก

โดยเฉพาะในเมืองย่างกุ้ง ที่มีกิจกรรมระบายสีไข่ไก่แจกจ่ายให้แก่ผู้ประท้วง รวมกลุ่มเดินขบวนประท้วง ชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว ที่มีไข่อีสเตอร์ในอุ้งมือ และจัดพิธีจุดเทียนไว้อาลัยผู้ชุมนุมที่เสียชีวิต ในค่ำคืนที่ชาวคริสต์ทั่วโลกฉลองเทศกาลอีสเตอร์

และในทวิตเตอร์ ก็ได้เปิดแฮชแท็ก #EasterEggStrike และแชร์ภาพกิจกรรมการประท้วงด้วยไข่อีสเตอร์ให้แพร่หลาย

ทางด้าน โป๊บ ฟรานซิส แห่งวาติกัน ก็ได้ออกมาชื่นชมเยาวชน หนุ่มสาวชาวพม่าที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ในงานพิธีกล่าวประทานพรชาวคริสต์ในเทศกาลอีสเตอร์ หน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร ในนครวาติกัน และกล่าวย้ำว่า ความรักเท่านั้นที่จะขจัดความเกลียดชังของมนุษย์ได้

สำหรับพม่าจัดว่าเป็นประเทศของชาวพุทธ โดยมีชาวคาทอลิก เพียง 1% ของประชากรพม่าเท่านั้น แต่หลังจากที่เกิดการรัฐประหารในพม่าในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และเริ่มมีการปะทะกันอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิต ก็เกิดภาพข่าวที่สะเทือนใจชาวคริสต์ทั่วโลก เมื่อมีแม่ชีพม่า คุกเข่าต่อหน้ากองกำลังทหารติดอาวุธ เพื่อร้องขอชีวิตให้กับผู้ชุมนุม

และในวันอีสเตอร์ ม็อบชาวหม่อง จึงหยิบไอเดียการใช้ไข่อีสเตอร์ เขียนข้อความ ระบายสัญลักษณ์ของการประท้วง เพื่อดึงความสนใจชาวคริสต์ทั่วโลกอีกครั้ง

สำหรับไข่อีสเตอร์ ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ และการฟื้นคืนชีพ ที่ผู้ประท้วงชาวพม่าเชื่อว่า แม้พวกเขาจะถูกปราบปรามหนัก ล้มตายสักแค่ไหน แต่พวกเขาจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน


อ้างอิง:

https://www.ucanews.com/news/pope-lauds-myanmar-youths-commitment-to-democracy/91984#

https://news.sky.com/story/myanmar-egg-strike-to-an-empty-st-peters-square-how-the-world-is-spending-easter-12265781

ปิดฉาก Motor Show 2021 ยอดจองในงานทะลักกว่า 2.7 หมื่นคัน ทะลุเป้าโต 51.5% เงินสะพัด 3 หมื่นล้าน ส่วนยอดเข้าชมกว่า 1.34 ล้านคน

นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 42 ปี ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ได้รับความเชื่อมั่นจากค่ายรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ต่างมั่นใจในศักยภาพของงานว่า มีส่วนช่วยกระตุ้นยอดจำหน่ายในช่วงที่เหลือของปีดังที่ปรากฏมาโดยตลอด และยังเป็นงานที่ผู้บริโภคต่างรอคอย เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการหาซื้อรถยนต์คันใหม่ เนื่องจากจะมีโปรโมชั่นและแคมเปญหลากหลายมากระตุ้นยอดขายในช่วงนี้

โดยที่ผ่านมาต้องเจอผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ยอดจองลดลงจากช่วงปรกติ แต่ด้วยตัวเลขยอดจองในปีนี้ มีการเติบโตขึ้นจากปีก่อนถึง 51.5 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่ากำลังซื้อของคนไทยไม่ได้หายไปไหน แค่รอเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน ในการออกแคมเปญ และโปรโมชั่นของค่ายรถช่วยให้ทุกคนเป็นเจ้าของรถคันใหม่ได้สะดวกขึ้น

ขณะที่ในส่วนพฤติกรรมของผู้บริโภคเองปีนี้ต่างให้การตอบรับกับรถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวก่อนหน้างาน และเปิดจองภายในงานมอเตอร์โชว์เป็นครั้งแรก เห็นได้จากบรรยากาศการเจรจาที่หนาแน่นดังเช่นทุกปีโดยเฉพาะในช่วงสุดสัปดาห์ที่มียอดจองเป็นสองเท่าของวันธรรมดา แต่ด้วยพฤติกรรมของคนผู้บริโภคเปลี่ยนไป เพื่อให้สมกับช่วงที่ต้องรัดเข้มขัด จึงหันมาซื้อหารถใหม่ที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่ามากขึ้น ขณะที่ตลาดรถหรูยังคงเติบโตตามเป้าด้วยสาเหตุที่ค่ายรถเองต่างชิงเปิดตัวสินค้าใหม่แทบทุกรุ่น เพื่อกระตุ้นยอดขาย

ส่วนในด้านเทคโนโลยีปีนี้เป็นปีของยานยนต์ไฟฟ้า ผู้บริโภคต่างให้ความสนใจพร้อมเปิดรับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อค่ายรถหันมาทำตลาดรถยนต์ไฮบริด หรือรถปลั๊กอินไฮบริด เพิ่มมากขั้น ส่วนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อจากนี้คงต้องจับตาเมื่อมีผู้เล่นหน้าใหม่หันมาชิงตลาดนี้ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกับแบรนด์ที่เกิดใหม่อย่าง เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) ที่เมื่อ 7 ปีที่แล้วเคยเข้ามาร่วมงานกับเราครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งการกลับมาในปีนี้พร้อมนำผลิตใหม่ ๆ เข้ามาสร้างสีสันภายในงาน คงต้องคอยดูว่า ในปีหน้าจะนำนวัตกรรมใหม่ๆอะไรบ้างเข้ามาร่วมงาน เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้เหนือสิ่งอื่นใด มาตรการป้องกันการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทางผู้จัดฯ วางไว้อย่างเข้มข้น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัย ทำให้ภาพรวมงานในปีนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี เหมือนกับธีมงานมอเตอร์โชว์ วิถีชีวิตใหม่ใจเป็นสุข เนื่องจากการจัดงาน นอกจากเป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะในเรื่องของการจ้างงาน เพราะตั้งแต่การก่อสร้างจนลื้อถอน ต้องใช้แรงงานนับ 10,000 คนต่อวัน ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนตลอดระยะเวลาของการจัดงานกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมอีกด้วย

สำหรับปริมาณยอดจองรถยนต์ภายในงานมีจำนวนทั้งสิ้น 27,868 คัน คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 30,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 51.5% จากปีที่ผ่านมา และมีตัวเลขผู้เข้าชมงานสูงถึง 1.34 ล้านคน จากเดิม 1.049 ล้านคน เพิ่มขึ้น 28.6% ซึ่งบริษัทที่ทำยอดจองสูงสุดภายในงานได้แก่ อันดับ 1 โตโยต้า ยอดจองรวม 4,406 คัน,อันดับ 2 มาสด้า ยอดจองรวม 3,454 คัน,อันดับ 3 ฮอนด้า ยอดจองรวม 3,305 คัน,อันดับ 4 อีซูซุ ยอดจองรวม 2,829 คัน,อันดับ 5 ซูซูกิ ยอดจองรวม 2,689 คัน,อันดับ 6 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยอดจองรวม 1,863 คัน,อันดับ 7 เอ็มจี ยอดจองรวม 1,629 คัน,อันดับ 8 มิตซูบิชิ ยอดจองรวม 1,462 คัน,อันดับ 9 ฟอร์ด ยอดจองรวม 1,212 คัน และอันดับ 10 นิสสัน ยอดจองรวม 1,144 คัน

ส่วนแบรนด์รถจักรยานยนต์มียอดจองภายในงานรวมทั้งสิ้น 1,155 คัน ที่ทำยอดจองสูงสุดได้แก่ อันดับ 1 ยามาฮ่า ยอดจองรวม 815 คัน,อันดับ 2 ซูซูกิ 131 คัน,อันดับ 3 ฮาเลย์-เดวิสัน ยอดจองรวม 126 คัน,อันดับ 4 วรูม ผู้จัดจำหน่าย เคทีเอ็ม,บาจาจ และฮัสควาร์น่า ยอดจองรวม 83 คัน สำหรับยอดจองขอรถจักรยานยนต์ฮอนด้านั้น ทางบริษัทของดแจ้งยอด

เพชรบุรี – เกษตรกรขอจังหวัดผ่อนปรน ให้มีงานประกวดวัวลาน ไก่ชน ในพื้นที่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังถูกสั่งระงับเพราะพิษโควิด-19 มานานกว่า 4 เดือน

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 5 เมษายน นายธรรมนูญ บุญส่ง กำนันตำบลบ้านกุ่ม อ.เมืองเพชรบุรี นายสาธิต บัวมณี กำนันตำบลหนองโสน อ.เมืองเพชรบุรี และนายปรัชญา สุขารมย์ กำนันตำบลบ้านแหลม อ.บ้านแหลม พร้อมชาวบ้านผู้เลี้ยงวัวลาน วัวพันธุ์ไทยพื้นบ้าน และไก่ชน กว่า 20 คน เดินทางมาที่ ศาลากลางจังหวัดเพชรบุรี (หลังเก่า) ยื่นหนังสือร้องเรียนความเดือดร้อนของชาวบ้าน ถึงนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี โดยมีนายธนภัทร ณ ระนอง นายอำเภอเมืองเพชรบุรีเป็นผู้รับหนังสือ

นายธรรมนูญ เปิดเผยว่า วัวลาน วัวเทียมเกวียนวัว ประกวดไก่ชน เป็นประเพณีพื้นบ้านเก่าแก่ของคนจังหวัดเพชรบุรีที่สืบทอดสืบสานกันมายาวนานเป็นสนามแสดง และตลาดการซื้อขายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของเกษตรกรทำให้ซาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นในการดำรงชีพเลี้ยงครอบครัวและชำระหนี้สินที่ผ่านมาในช่วงเกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ระลอก 2จังหวัดเพชรบุรี ได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโดยมีคำสั่งให้ งดงานประกวดวัวพันธุ์ไทยพื้นบ้าน ซ้อมวัวลาน ไก่ชน และยังห้ามมิให้ทำกิจกรรมอื่นอีกหลายอย่างเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวเลี้ยงไก่ชนได้ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดต่อเนื่องมาโดยตลอด ตนและผู้นำชุมชนหลายพื้นที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านในตำบลและพื้นที่ตำบลใกล้เคียง ว่าขณะนี้ชาวบ้านที่ เลี้ยงวัวลาน วัวพันธุ์ไทยพื้นบ้าน และไก่ชน ได้รับความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพ เนื่องจากจังหวัดเพชรบุรีมีคำสั่งห้ามมิให้จัดงานประกวดวัวพันธุ์ไทยพื้นบ้านซ้อมวัวลานไก่ชนเนื่องจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด19เป็นเวลานานกว่า4เดือนทำให้ไม่มีพื้นที่แสดงวัวและไก่จึงทำการค้าขายวัวและไก่ยากมาก

ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถควบคุมได้จึงขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีช่วยดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรคนเลี้ยงวัวลาน วัวพันธุ์ไทยพื้นบ้านและไก่ชนโดยการผ่อนปรนมาตรการป้องกันโดย อนุญาตให้เกษตรกรได้ซ้อมวัวลาน ไก่ชน ภายในตำบลหมู่บ้านและผ่อนปรนให้เกษตรกรได้จัดงานประกวดวัวพันธุ์ไทยพื้นบ้านได้ภายในตำบลหมู่บ้าน เพื่อเปิดโอกาสในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการซื้อขายของกลุ่มผู้เลี้ยงวัวลานวัวพันธุ์ไทยพื้นบ้านและไก่ชนทั้งนี้ชาวบ้านพร้อมที่จะให้ความร่วมมือตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขป้องกันควบคุมโรคในสถานการณ์โควิด -19 ในทุกขั้นตอน

เบื้องต้นนายธนภัทรได้รับหนังสือร้องเรียนดังกล่าวไว้ และรับจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคระดับอำเภอเพื่อพิจารณาในการจัดกิจกรรมการประกวดวัวสวยงาม และเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดนำเสนอเรื่องการจัดวัวลานและไก่ชน ไปยังส่วนกลางเพื่อพิจารณาต่อไป

แม่ฮ่องสอน - ล็อตแรกเรือ 6 ลำ ส่งช่วยเหลือเยียวยาผู้หนีภัยความไม่สงบฝั่งสหภาพเมียนมา เจ้าหน้าที่บูรณาการอำนวยความสะดวกตามหลักมนุษยธรรม

ณ ท่าเรือบ้านแม่สามแลบ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ภายหลังจากที่ทางหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่36 ได้รับการประสานจากหน่วยงานเอกชนที่ได้ทำการรวบรวมสิ่งของเพื่อขอส่งมอบของบริจาคให้กับผู้หนีภัยความไม่สงบในฝั่งสหภาพเมียนมา  พันเอก สมรรถชัย แปงสาย ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่36 จึงได้สั่งการให้กองร้อยทหารพรานที่3606 เข้าทำการตรวจสอบและอำนวยความสะดวก พร้อมทั้งให้ปฏิบัติตามมาตรการคัดกรอง

ไวรัสโควิด-19 โดยเคร่งครัด  โดยทาง พันตรี ธเนศ กันทา ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่3606 ได้จัดกำลังพลจาก ฐานปฏิบัติการแม่สามแลบ จำนวน 1 ชุดปฏิบัติการ ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และ อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอสบเมย อำนวยความสะดวกและคัดกรองบุคคลตามมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งร่วมตรวจสอบสิ่งของที่รับบริจาคจากประชาชนและองค์กรเอกชนต่าง ๆ ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องอุปโภค-บริโภค โดยจะทำการขนส่งจากท่าเรือแม่สามแลบ ไปยังพื้นที่พักพิงอีทูโกรและอูเวโกร ฝั่งสหภาพเมียนมา โดยเรือยนต์ขนาดกลาง จำนวน 6 ลำ

สำหรับการช่วยเหลือดังกล่าว เป็นไปตามหลักการช่วยเหลือตามมนุษยธรรม แต่ต้องอยู่ในความดูแลของหน่วยงานความมั่นคง เนื่องด้วยสถานการณ์ตามแนวชายแดนยังไม่ปลอดภัย และเพื่อทำการคัดกรองบุคคลตามมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 รวมทั้งตรวจสอบสิ่งของเพื่อป้องกันการลักลอบนำสิ่งของต้องห้าม หรือของผิดกฎหมายแอบแฝงไปด้วย


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา  / ถาวร (อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน)

กระบี่ - "มนัญญา" รมช. เกษตรและสหกรณ์ ลงมือปลูกกัญชา แห่งแรกของ จ. กระบี่ เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์

เวลา  9:30 น วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่โรงเรือนวิสาหกิจชุมชนคนกระบี่เพื่อปลูกสมุนไพร  เขตเทศบาลเมืองกระบี่ นางมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มาเป็นประธานในการปลูกกัญชาแห่งแรกของจังหวัดกระบี่ที่ได้รับอนุญาตปลูก จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาพื้นที่ปลูก 48 ตารางเมตร มีเป้าหมายปลูก 2 รอบ ๆ ละ 50 ต้นภายในโรงเรือนปิด มีรั้วล้อมรอบ พร้อมมีระบบการดูแลความปลอดภัยที่จะทำให้มั่นใจว่ากัญชาที่ปลูกขึ้นได้รับการตรวจสอบ เฝ้าระวังไม่ให้เกิดการสูญหาย

ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางผึ้งร่วมกับวิสาหกิจชุมชนคนกระบี่ เพื่อปลูกสมุนไพร ร่วมปลูกต้นกล้ากัญชาอายุ 1 เดือนเศษจำนวน 50 ต้นในโรงเรือน มีเป้าหมายเพื่อผลิตวัตถุดิบกัญชาส่งให้กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกในการนำไปผลิตยาที่มีส่วนผสมของกัญชาแจกจ่ายให้สถานบริการภาครัฐ

นางมนัญญา ฯ  กล่าวว่าการขับเคลื่อนเรื่องกัญชาซึ่งเป็นยาเสพติดแต่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ยกระดับให้เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ได้ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะผลักดันการวิจัยพันธุ์กัญชาที่เหมาะสมกับประเทศไทยให้เป็นผลผลิตที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถนำต่อยอดในการให้กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกกัญชา

ขณะที่เกษตรกรชาวจังหวัดกระบี่ในส่วนของวิสาหกิจชุมชนมีความตื่นตัวเป็นอย่างมาก มี 30 แห่งที่จะแจ้งจดทะเบียนเพิ่มเติมการปลูกกัญชาต่อหน่วยงานภาครัฐเพื่อดำเนินการ


ภาพ/ข่าว  มโนธรรม ใจหาญ (จ.กระบี่ รายงาน)  

ชลบุรี - เปาอุ๋ย แห่งตลาดจีนชากแง้ว แต่งตัวจีนโบราณขายบ๊ะจ่าง นักท่องเที่ยวแห่ซื้อและถ่ายรูปเก็บความประทับใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ เมืองพัทยา ยังมีตลาดโบราณบรรยากาศน่ารัก น่าแวะเที่ยว ชื่อว่า ตลาดจีนโบราณชากแง้ว ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยเสน่ห์ของชุมชนโบราณแห่งนี้ คือได้ชมบ้านเรือนเก่าแก่ ร้านค้าตกแต่งให้กลิ่นอายแบบจีน เรียนรู้วิถีชุมชนและวัฒนธรรมจีนโบราณ แถมมีสินค้าหลากหลายให้ชม ชิม ช้อป ทั้ง อาหารไทย อาหารจีน ของกินพื้นบ้าน ขนมหวาน ของฝากต่าง ๆ ให้เลือกซื้อเลือกหาในราคาไม่แพงอีกด้วย พ่อค้าแม่ค้าเป็นคนในชุมชมที่เปิดบ้านเรือนนำของมาขายนั่นเอง

ซึ่งท่ามบรรดาพ่อค้า แม่ค้า มากมายนั้น ยังมี 1 ร้าน ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างถูกใจร้านนี้มากเป็น ร้านขายบ๊ะจ่าง เสียงคุณพี่เจ้าของร้านเรียกมาแต่ไกล “ อาตี๋ อาหมวย ล้ายเหลี่ยว ล้ายเหลี่ยว ฮ่อเจี๊ยะ ฮ่อเจี๊ยะ แวะชิมบ๊ะจ่างก่อนมั้ยครับ กินแล้วรวย กินแล้วรวย ” แถมเชื้อเชิญให้เข้ามายืนถ่ายภาพพร้อมคิดท่าให้เสร็จสรรพ บรรยากาศสุดเป็นกันเอง

จากการสอบถามพ่อค้าบ๊ะจ่างแต่งตัวจีนโบราณคนนี้คือ " เปาอุ๋ย แห่งตลาดจีนชากแง้ว " หรือ นายภูษิต เกตุมณี อายุ 60 ปี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองเปิดร้านขายสินค้าที่ตลาดจีนแห่งมากว่า 6 ปีแล้ว โดยสินค้ามีหลายอย่าง บ้ะจ่าง หมั่นโถว หมี่กรอบ แต่ที่ขึ้นชื่อและที่นักท่องเที่ยวกลับมาซื้อบ่อยครั้ง คือ บ๊ะจ่าง สูตรโบราณ อร่อยราคาถูก ซึ่งตนเองไม่ได้เน้นขายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังเน้นการตกแต่งร้านด้วยของเก่าต่าง ๆ มากมาย สไตล์วินเทจโบราณ การแต่งตัวแบบคนจีนโบราณ เพื่อให้ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยว ได้ถ่ายรูปเก็บความประทับใจอีกด้วย โดยคำพูดติดปากของตนเองที่ไม่เหมือนใคร คือ " ล้ายเหลี่ยว " แปลว่า " มานี่ " และ "ฮ่อเจี๊ยะ " แปลว่า " อร่อย " ซึ่งลูกค้าที่ได้ยินคำนี้จะรู้ได้ทันทีว่าเป็น " เปาอุ๋ย "

โดยในวันนี้ ได้มีการเชิญชวนลูกค้าที่ผ่านไปมาแข่งขันกินบ๊ะจ่าง ซึ่งผู้สื่อข่าวได้เก็บบรรยากาศการกินอย่างเอร็ดอร่อยและสนุกสนานอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่ตลาดจีนบ้านชากแง้ว แห่งนี้ เปิดบริการทุกวันเสาร์วันเดียวเท่านั้น


ภาพ/ข่าว อนันต์ สุขวัฒนะ / เอกชัย สุขวัฒนะ (ผู้สื่อข่าวภูมิภาค พัทยา จ.ชลบุรี)

ขอนแก่น - ญาติผู้ต้องขังยังคงเดินทางมาเยี่ยมภายในเรือนจำกลางขอนแก่นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังไม่ทราบประกาศของทางกรมราชทัณฑ์ ที่มีการประกาศงดเยี่ยมทุกเรือนจำทั่วประเทศจากสถานการณ์โควิด-19

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 6 เม.ย.2564 ผู้สื่อข่าวไปสังเกตการณ์บริเวณหน้าอาคารเยี่ยมญาติภายในเรือนจำกลางขอนแก่น เขตเทศบาลนครขอนแก่น หลังจากกรมราชทัณฑ์ ประกาศงดเยี่ยมญาติทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา พบว่ายังคงมีญาติผู้ต้องขังทยอยมาเยี่ยมญาติที่ถูกคุมขังในเรือนจำ ซึ่งส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัว บางครอบครัวมาจากต่างจังหวัด แต่ต้องผิดหวัง เนื่องจากเรือนจำติดประกาศงดเยี่ยมไว้ที่กระจกหน้าอาคาร ในขณะเดียวกันก็มีเจ้าหน้าที่มาอธิบาย และทำความเข้าใจการงดเยี่ยม รวมถึงแนะนำการเยี่ยมผ่านกลุ่มไลน์ ซึ่งญาติพี่น้องต่างก็เข้าใจ แต่ยังคงมีผู้สูงอายุที่ต้องการฝากเงินให้ลูก แต่ใช้แอบพลิเคชันไม่เป็น เจ้าหน้าที่จึงแนะนำวิธีใช้และเชิญเข้าร่วมกลุ่มไลน์ญาติผู้ต้องขังเรือนจำกลางขอนแก่น ซึ่งญาติพอใจอย่างมาก และเชื่อว่า เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังปลอดภัยจากไวรัสโควิด-19 ทุกคน

นายกฤติพงษ์ แสนสุข  ผู้อำนวยการส่วนควบคุมผู้ต้องขัง เรือนจำกลางขอนแก่น เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ถึงมาตรการรับตัวผู้ต้องหาจากตำรวจ เข้าเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำกลางขอนแก่น ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด19 และกรมราชทัณฑ์ กำหนดมาตรการเข้ม ประกาศงดเยี่ยมญาติทั่วประเทศว่า การงดเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำกลางขอนแก่นนั้น ปฏิบัติตามนโยบายของกรมราชทัณฑ์ หลังพบเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง ที่จังหวัดนราธิวาส ติเชื้อโควิด19 ฉะนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าวกรมราชทัณฑ์ จึงประกาศงดเยี่ยมญาติทางห้องเยี่ยมญาติในเรือนจำตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

"การรับต้องผู้ต้องหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนจะเข้ามาเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำกลางขอนแก่นอีกว่า เรือนจำกลางขอนแก่นจะต้องทำการตรวจวัดอุณหภูมิในร่างกายให้เรียบร้อย หากอุณหภูมิเกินก็ไม่รับและต้องส่งตัวไปรักษาต่อ แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยพบผู้ต้องหาที่รับเข้ามาในเรือนจำกลางขอนแก่นมีอุณหภูมิเกิน โดยเมื่อรับเข้ามาเป็นผู้ต้องขังแล้ว ทุก ๆ คนจะต้องเข้าในพื้นที่กักตัวตามมาตรการทางสาธารณสุข โดยต้องกักตัว14 วัน ในทุก ๆ วัน จะมีเจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาล เข้าตรวจร่างการ วัดอุณหภูมิในร่างกายว่าปกติหรือไม่ และทุกคนจะต้องกินนอนในพื้นที่กักตัวจนครบ เมื่อครบแล้วจึงจะออกจากที่กักตัวได้ และเมื่อออกจากสถานที่กักตัวมาอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังในแดนหญิงหรือแดนชาย ผู้ต้องขังทุกคนจะต้องใส่หน้ากากอนามัยและมีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือติดตัวทุกคน เพื่อให้ทุกคนรวมถึงเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลในเรือนจำกลางมีความปลอดภัยจากโควิด -19 กันทุกคน"

นายกฤติพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า  สำหรับอาคารสถานที่ภายในเรือนจำกลางขอนแก่น จะมีการล้างทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ รวมถึงยานพาหนะที่จะเข้ามาส่งสิ่งของในเรือนจำกลางขอนแก่น หรือยานพาหนะจากสถานที่อื่นที่จะเขในเรือนจำกลางขอนแก่นนั้น มาได้แค่ด้านหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ของเรือนจำกลางขอนแก่น จะทำการขับรถเข้าไปภายใน รวมถึงการฉีดล้างยางรถยนต์ให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด- 19 อย่างเข้มงวดด้วย

ขณะที่ นางสุเพ็ญ ทองนาคะ ผู้อำนวยการส่วนสวัสดิการผู้ต้องขัง เรือนจำกลางขอนแก่น กล่าวว่า สำหรับการงดเยี่ยม ตามที่กรมราชทัณฑ์ประกาศงดเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำนั้น เรือนจำกลางขอนแก่นก็ถือปฏิบัติเป็นนโยบายสำคัญ โดยเรือนจำกลางขอนแก่นได้มีการประกาศในเพจเฟซบุ๊กของเรือนจำกลางขอนแก่นและกลุ่มไลน์สื่อสารญาติของเรือนจำกลางขอนแก่น ให้ทุกคนได้ทราบ และเพื่อให้ญาติและผู้ต้องขังเข้าใจ เรือนจำกลางขอนแก่น ได้มีการประกาศให้ผู้ต้องขังทั้งแดนชายและแดนหญิง ได้ทราบว่า มีการระบาดของโควิด- 19ทุกคนต้องมีความปลอดภัย

"ในส่วนของกลุ่มไลน์นั้นหากญาติเข้ามาในกลุ่มไลน์ ทุกข้อความที่เคลื่อนไหว ทั้งการเยี่ยมผู้ต้องขัง และการสั่งซื้อสินค้าทางไลน์ รวมถึงการฝากเงิน และการจัดคิวเยี่ยมทางไลน์ ทุก ๆ ความเคลื่อนไหว ผบ.เรือนจำจะเห็นทุกข้อความ ส่วนการฝากเงินนั้น เรือนจำกลางขอนแก่น มีบริการฝากเงินด้วยระบบธนาคารพาณิชย์ ทำการโอนผ่านธนาคาร ซึ่งจะถึงผู้ต้องขังเช่นเดิม รวมถึงการเงินส่งทางธนาณัติก็มีบริการเช่นกัน  แต่หากพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ที่ไม่เชี่ยวชาญหรือเล่นโซเชียลไม่เป็น ก็ขอให้ลูกหลานญาติพี่น้องคอยกำกับดูแล หรือถ้ามีโอกาสมาที่เรือนจำกลางขอนแก่น  จะมีเจ้าหน้าที่แนะนำการเข้าถึงกลุ่มไลน์ญาติผู้ต้องขัง"

นางสุเพ็ญ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การเยี่ยมญาติทางไลน์ เรือนจำกลางก็มีเครื่องมือและจอคอมพิวเตอร์ให้บริการไว้อย่างพร้อมเพรียง แต่ญาติต้องจองคิวในช่วงวันปกติ เพราะการเยี่ยมไม่มีวันหยุด ญาติสามารถพูดคุยกับผู้ต้องขังได้ในครั้’ละ 15  นาที โดยทางเรือนจำกลางขอนแก่น จะมีการจัดกลุ่มมาพูดคุยกับญาติครั้งละ 10 คน จึงยืนยันว่าการงดเยี่ยมคือไม่ได้เห็นตัวเป็นๆของญาติมายืนตรงหน้า แต่ทุกคนยังสามารถเจอกัน คุยกันได้ในไลน์ได้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด อย่างไรก็ตามเรือนจำกลางขอนแก่น ได้ปิดประกาศและการปฏิบัติตัวของญาติไว้ที่กระจกหน้าห้องเยี่ยมญาติ ว่าญาติสามารถเยี่ยมผู้ต้องขังได้ผ่านช่องทาง Application Line,ฝากเงินให้ผู้ต้องขังผ่านทางธนาณัติ สั่งจ่าย ปณ.ศรีจันทร์ หรือ ปณ.ขอนแก่น,ฝากเงินผ่านทางธนาคารกรุงไทย หรือ Krungthai Next,ให้ญาติสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Application Line ตามปกติ, ให้ญาติส่งจดหมายผ่านทาง Application Lineและจดหมายปกติ หากสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลง เรือนจำกลางขอนแก่น จะแจ้งให้ทราบต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top