Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

ก.แรงงาน จับมือ 12 องค์กร ลงนาม MOU มุ่งมั่นแก้ปัญหาแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ

กระทรวงแรงงาน จัดพิธีประกาศเจตนารมณ์   และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 12 องค์กร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ในสินค้าประเภทกุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่มของประเทศไทย โดยสินค้าเหล่านี้ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ 

ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา จึงมีพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กับ  องค์กรในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม 12 องค์กร ได้แก่ สมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย  สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย สมาคมกุ้งตะวันออกไทย สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย และคลัสเตอร์สหกรณ์กุ้งคุณภาพภาคใต้ 

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐและเอกชนไทยที่จะดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและยังเป็นจุดเริ่มต้นในการร่วมมือกันดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการร่วมกัน เช่น การสำรวจข้อมูลของแรงงาน การให้ความรู้แก่แรงงาน การสนับสนุนให้มีการนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปจนถึงการตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป

ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปัจจุบันสินค้าของประเทศไทยถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เกิดผลทางจิตวิทยาต่อผู้ซื้อ ผู้บริโภคในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป โดยถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้า ส่งผลต่อการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกาแก่สินค้าของประเทศไทย ทำให้กระทบต่อธุรกิจการส่งออกอันถือเป็นแหล่งรายได้หลักทางหนึ่งของประเทศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

‘ทิพานัน’ ชี้ ‘ธนาธร’ แพ้เลือกตั้งท้องถิ่น สะท้อนประชาชนอยากสั่งสอนอย่างชัดเจน พร้อมแนะเปิดไทยซัมมิทตั้งหมู่บ้านทะลุฟ้า ลงมือสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม อย่าเน้นพูดอย่างเดียว

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ผู้สมัครนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลในนามคณะก้าวหน้าไม่ประสบความสำเร็จในการได้รับการเลือกตั้งว่า น่าจะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า จากผลการเลือกตั้งท้องถิ่น 2 ครั้งที่ผ่านมา ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่ได้สั่งสอนให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เห็นแล้วว่าคนไทยมีความจงรักภักดีและเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์

และเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เชื่อถือนโยบายที่หลอกลวงและการหาเสียงที่ไม่สร้างสรรค์ของคณะก้าวหน้า ดังนั้นจึงขอให้นายธนาธรและแกนนำคณะก้าวหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ หยุดปั่นกระแสและหลอกใช้ประชาชน เยาวชน นักศึกษาให้มาชุมนุมเพื่อหวังผลสนองความเพ้อฝันส่วนตัว

นอกจากนี้ กรณีที่นายธนาธรได้ออกมาโพสต์ข้อความต่อปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐยกกำลังสลายการชุมนุมบ้านทะลุฟ้าข้างทำเนียบรัฐบาลว่าเป็นการกระทำที่รัฐล้ำเส้นประชาชนอย่างชัดเจนที่สุดนั้น เป็นความเห็นที่อยู่บนความเท็จที่บิดเบือนเลื่อนลอย และยังสะท้อนให้เห็นว่า นายธนาธรคล้ายทำนาบนหลังคน จึงอยากให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว และการสลายการชุมนุมครั้งนี้มีข้อเท็จจริงชัดเจนว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย เป็นการใช้สิทธิเกินส่วน ตำรวจได้รับการร้องเรียนจากประชาชนทั่วไป มีการแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง บ่อยครั้ง

และเมื่อสืบสวนทราบว่ามีการกระทำผิดตามกฎหมาย ได้แก่ การบุกรุกล้ำสถานที่สาธารณะและสถานที่ราชการ มีการลักทรัพย์สินไฟฟ้า น้ำประปา การทุบทำลายสิ่งของราชการและของประชาชน รวมถึงต่อท่อสิ่งปฏิกูลลงคลองและที่สาธารณะจนก่อความสกปรก กีดขวางประตูทางเข้าออกฝั่งถนนพระราม 5 ทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งยังพบสิ่งผิดกฎหมายมากมายในพื้นที่ของม็อบ เช่น กัญชาแท่งครึ่งกิโลกรัม น้ำกระท่อมต้มขวดลิตร 2 ขวด และอื่นๆ ดังนั้นจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบตามกฎหมาย นายธนาธรจึงควรหยุดเสี้ยม หลอกใช้ม็อบผ่านโซเชียลได้แล้ว

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ตามที่นายธนาธรกล่าวถึงการชุมนุมดังกล่าวด้วยความชื่นชมและเห็นว่าเป็นรูปแบบการแสดงออกที่สันติ หนักแน่น ทรงพลังของประชาชน และยืนยันกับแกนนำว่าเห็นด้วยและพร้อมสนับสนุนข้อเรียกร้องของชาวเดินทะลุฟ้านั้น นายธนาธรควรแสดงความจริงใจโดยลงมือสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เน้นพูดอย่างเดียว นายธนาธรควรให้ผู้ชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าทั้งหมดใช้พื้นที่ตึกไทยซัมมิท เนื่องจากมีน้ำประปา ไฟฟ้า สุขาที่ถูกสุขอนามัย มีพื้นที่ใช้สอยเป็นห้องจัดนิทรรศการรณรงค์เรื่องการเข้าถึงความสุขทางเพศและการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยที่ถูกสุขภาวะ มียามรักษาความปลอดภัยและน้ำดื่มสะอาดบริการอย่างพอเพียง

“สุดท้ายอยากฝากให้นายธนาธร มองย้อนอดีตจากอนาคตใหม่ สู่ก้าวไกลจนถึงก้าวหน้า แล้วตอบคำถามสังคมว่า อะไรบ้างที่เป็นผลงานเด่นเพื่อปากท้องประชาชนที่ได้ลงมือทำจริงๆ อะไรบ้างที่ลงมือทำแล้วประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสุขมีความสามัคคี อะไรบ้างที่พัฒนาแล้วจับต้องได้ โดยไม่ต้องอ้างว่าไม่ได้เป็นรัฐบาลจึงไม่มีอำนาจ และคำถามสุดท้ายที่สังคมอยากรู้จากนายธนาธรคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขัดขวางการสร้างสรรค์พัฒนาชาติอย่างไร” น.ส.ทิพานัน ระบุ

.

ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/97599


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

คลัง ชี้! เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง

นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนกุมภาพันธ์นี้ มีสัญญาณดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกที่ไม่รวมทองคำกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน จากยอดขายสินค้าเกษตรและอาหาร การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ทั้ง โทรศัพท์และอุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน  อาทิ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง ที่ยังคงมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนมา จากมาตรการของรัฐ โดยอยู่ที่ระดับ 49.4 จากระดับ 47.8 ในเดือนก่อน มีสาเหตุมาจากไวรัสโควิด -19  ระลอกใหม่ เริ่มคลี่คลายลง และการฉีดวัคซีนโควิดภายในประเทศเริ่มกระจายหลายพื้นที่มากขึ้น ส่วนการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร มีปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนกลับมาขยายตัว 18.6% ต่อปี เช่นเดียวกับภาคการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้น โดยยอดขายปูนซีเมนต์ขยายตัว 0.9% ต่อปี เพราะความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ กลับมาขยายตัว 2.9% ต่อปี

ส่วนยังมีสินค้าที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว คือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก โดยการส่งออกทองคำและสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันยังคงลดลง นอกจากนี้ในด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนก.พ.มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจจำนวน 5,741 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และจีน

ปักกิ่งประกาศต่อสาธารณะต่อสหรัฐอเมริกา และแคนาดาในวันเสาร์ (27 มีนาคม) ต่อการที่ชาติตะวันตกเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ต่อการที่ปักกิ่งปฏิบัติต่อมุสลิมอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอย่างไร้มนุษยธรรม

ด้าน วอชิงตันชี้ ยิ่งจีนตอบโต้ยิ่งทำให้เพิ่มความสนใจต่อปัญหาซินเจียงจากทั่วโลกมากขึ้น

ก่อนหน้านี้เอเอฟพีรายงานว่า รัฐบาลปักกิ่งสั่งจับชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ไม่ต่ำกว่าล้านคนให้อยู่ภายในค่ายกักกัน อ้างอิงจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน และยังมีการใช้กำลังบังคับจับหญิงชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ทำหมันโดยไม่สมัครใจ รวมไปถึงการใช้แรงงานบังคับ และส่งผลให้สหภาพยุโรป, อังกฤษ, แคนาดา และสหรัฐฯ ออกคำสั่งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จำนวนไม่กี่คนของซินเจียงที่อยู่ในระดับทางการเมือง และเศรษฐกิจต่อปัญหานี้

ทันทีที่เหตุการณ์ล่วงล้ำเรื่องราวอุยกูร์ในซินเจียงขยายวง ทำให้จีนได้ออกแถลงการณ์ประณามอังกฤษโดยชี้ว่า ลอนดอนได้ออกมาตรการลงโทษคว่ำบาตรต่อจีนแต่ฝ่ายเดียว เพื่อลงโทษบุคคลต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนซินเจียง โดยระบุว่า ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานใด นอกจากคำโกหก และข้อมูลเท็จ และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และประเพณีพื้นฐานการกำกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยุ่งเกี่ยวกิจการภายในของจีนอย่างเลวร้าย รวมไปถึงบั่นทอนความสัมพันธ์จีน-อังกฤษ

โดยกลุ่มในอังกฤษที่ตกเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรของจีนในครั้งนี้ ได้ครอบคลุมไปถึงสมาชิกรัฐสภาสามัญชนผู้ดี 5 คน และสภาขุนนางอังกฤษอีก 2 คน และรวมไปถึงนักกฎหมาย และนักวิชาการ

นอกจากนี้ยังมีอีก 4 องค์กรที่ถูกคว่ำบาตรได้แก่ กลุ่มวิจัยจีน (China Research Group) คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนพรรคคอนเซอร์เวตีฟ (Party Human Rights Commission) องค์กรตรวจสอบอุยกูร์ อุยกูร์ ทริบูนอล (Uyghur Tribunal) และองค์กรทางกฎหมาย Essex Court Chambers

ขณะเดียวกันยังมีการคว่ำบาตรของจีนต่อสหรัฐฯ และแคนาดา โดยทางปักกิ่งให้เหตุผลว่า ต้องการตอบโต้เนื่องมาจากวอชิงตัน และออตตาวาใช้สิทธิ์คว่ำบาตรบนพื้นฐานของข่าวลือ และข้อมูลที่เป็นเท็จ

โดยกระทรวงต่างประเทศจีนระบุว่า สมาชิก 2 คนของคณะกรรมาธิการด้านเสรีภาพทางศาสนาระหว่างประเทศประจำสภาคองเกรสสหรัฐฯ 2 คนและสมาชิกรัฐสภาแคนาดา 1 คน รวมไปถึงสมาชิกคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนประจำรัฐสภาแคนดา 1 คนถูกห้ามเดินทางเข้าจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า

การตอบโต้ทางการทูตระหว่างปักกิ่ง และชาติตะวันตกเกิดขึ้นหลังจากก่อนหน้าปัญหาฝ้ายซินเจียงปะทุจนเป็นประเด็นหลังเสื้อผ้าแบรนด์ดังชาติตะวันตกเข้าร่วมขบวน เป็นต้นว่า ร้านเสื้อผ้าชื่อดังสวีเดน H&M ออกมาปฏิเสธที่จะไม่ซื้อฝ้ายจากซินเจียงที่เชื่อว่ามีการใช้แรงงานบังคับของมุสลิมอุยกูร์ ซึ่งในแถลงการณ์ของ H&M ปีที่แล้วทางบริษัทยืนยันว่า ไม่มีความร่วมมือกับบริษัททอผ้าตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงาน

เอเอฟพีรายงานว่า ผลจากปัญหาฝ้ายซินเจียงทำให้ดาราชื่อดังของจีน และบริษัทไฮเทคต่างแห่ถอนตัวจากการเป็นพันธมิตรทางการค้ากับไนกี้ H&M อดิดาส เบอร์บิวรี และแคลวิน ไคลน์

.

ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000029511?fbclid=IwAR0DnHsmKBd2nzgwXocbRJ5x8aNuM8uBfeBnrUagA2ObgTLnnq8oier6xkk


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

สื่อรัสเซียได้รายงานว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน เกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์เล็กน้อยหลังได้รับวัคซีน Covid-19 เข็มแรกเมื่อวันอังคารที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนแบบส่วนตัวในห้องปิด และไม่ได้นำเสนอภาพการฉีดวัคซีนออกสื่อ

และเมื่อวันอาทิตย์ ปูตินก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียว่า เขามีอาการปวดกล้ามเนื้อ ในเช้าวันถัดมา แต่พอใช้ปรอทวัดไข้แล้ว อุณหภูมิร่างกายก็ปกติ ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งวัคซีนที่ปูตินได้รับ ก็ไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นวัคซีนตัวไหน เพียงแต่รู้ว่าเป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยรัสเซียเอง ซึ่งนอกจากปูตินแล้ว ก็มีเพียงแพทย์ 3 คน ที่รับหน้าที่ฉีดวัคซีนให้กับปูตินเท่านั้นที่รู้

ตอนนี้ ที่รัสเซียสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 ในประเทศได้แล้วถึง 3 ตัว วัคซีนจากรัสเซียที่ทั่วโลกรู้จักมากที่สุดคือ Sputnik-V ที่มีผลการทดสอบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรค Covid-19 ได้สูงถึง 92%

ส่วนวัคซีนล่าสุดอีก 2 ตัว ซึ่งอยู่ในช่วงการรอผลการทดสอบในขั้นสุดท้าย แต่ทางรัฐบาลรัสเซียได้รับรองแล้ว คือ EpiVacCorona และ CoviVac

ซึ่งวัคซีน Covid-19 ที่ฉีดให้แก่ปูติน คือ 1 ใน 3 วัคซีนจากรัสเซีย แต่เนื่องจากปูตินไม่ยอมเปิดเผย และไม่ยอมให้แพร่ภาพการฉีดวัคซีนของตัวเองออกสื่อ จึงเปิดช่องให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ โดยสื่อฝ่ายตรงข้ามว่า เป็นแค่การฉีดทิพย์ ไม่ได้มีการฉีดวัคซีนจริงๆ เป็นแค่น้ำตาลกลูโคสต่างหาก

ถึงจะโดนโจมตีแรง แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ออกมายืนยันว่า ปูตินได้รับวัคซีนแล้วจริง ๆ หลังจากฉีดแล้วก็มาทำหน้าที่ตามปกติในวันถัดมา ส่วนผลข้างเคียงมีเพียงอาการปวดกล้ามเนื้อตามคำให้สัมภาษณ์ของปูตินเมื่อช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น

แต่การที่ปูตินไม่ยอมให้นำเสนอภาพการฉีดวัคซีนออกสื่อสาธารณะ จึงกลายเป็นประเด็นที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับผู้นำชาติอื่นๆ โดยเฉพาะ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ และ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ให้สื่อมวลชนถ่ายทอดสด ช่วงที่ได้รับวัคซีน ให้ประชาชนเห็นกันจะ ๆ ว่าฉีดแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของวัคซีน

และรัสเซียก็เป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่สามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 ได้สำเร็จ โดยมีการนำเอาชื่อ Sputnik ที่เป็นดาวเที่ยมดวงแรกของโลก ที่สร้างขึ้นในยุคสหภาพโซเวียต และเป็นหนึ่งในความภูมิใจของชาวรัสเซียมาตั้งเป็นชื่อวัคซีน และมีการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ถึง 92% ซึ่งรัสเซียก็เป็นชาติแรกๆในยุโรปอีกเหมือนกันที่เดินหน้าโปรแกรมฉีดวัคซีนทั่วประเทศ

และปูตินก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เองว่า ตอนนี้มีชาวรัสเซียมากกว่า 4.3 ล้านคน รับวัคซีน Sputnik-V ครบ 2 เข็มไปแล้ว และมั่นใจว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในรัสเซียได้ไม่เกินช่วงฤดูร้อน หรือราว ๆ เดือนสิงหาคมของปีนี้

แต่จากผลสำรวจล่าสุดกลับพบว่า มีชาวรัสเซียมากถึง 2 ใน 3 ลังเลใจที่จะมารับวัคซีน Sputnik-V เพราะกลัวผลข้างเคียง และไม่เชื่อมั่นในข้อมูลของรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่มีการทุ่มงบประมาณอย่างมากเพื่อรณรงค์ให้ชาวรัสเซียเข้ามาฉีดวัคซีน จึงทำให้โปรแกรมวัคซีนของรัสเซียยังคงหลุดเป้า

เพราะถึงจะออกแคมเปญ โฆษณามากมายเพียงใด แต่ถ้าคนระดับผู้นำอย่างวลาดิมีร์ ปูติน ยังต้องแอบฉีดในที่ลับตา และปิดข้อมูลเป็นความลับ ก็คงยากที่จะให้ชาวรัสเซียมั่นใจได้ว่า ตกลงปูติน ฉีดวัคซีนจริงๆ หรือเป็นเพียงยาหลอกที่ทำจากน้ำตาลกลูโคส

เห็นท่าว่า ท่านป๋าปูติน ผู้มีภาพลักษณ์แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี ต้องออกสื่อฉีดวัคซีนโชว์ให้ดูจริงๆสักเข็ม วัดกันแบบใจๆไปเลย เหมือนลุงที่บ้านเราซะแล้วหล่ะมั้ง

.

อ้างอิง:

https://www.express.co.uk/news/world/1416167/Covid-latest-vladimir-putin-russian-vaccine-sputnik-v-pandemic-lockdown-rossiya-petrov-ont

https://www.dw.com/en/two-more-russian-vaccines-what-we-do-and-dont-know/a-56811025


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ทุกวันที่ 31 มีนาคม ของทุกปี ถูกยกให้เป็น ‘วันมหาเจษฎาบดินทร์’ หรือวันคล้ายวันพระราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี

พระบาทสมเด็จพระปรมาธิวรเสรฐมหาเจษฎาบดินทรฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ แรม 10 ค่ำ เดือน 4 ปีมะแม หรือตรงกับวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุลาลัย

แต่เดิมพระองค์มีสกุลยศชั้นหม่อมเจ้า พระนามว่า หม่อมเจ้าชายทับ กระทั่งเมื่อสมเด็จพระราชชนกได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 2 ใน พ.ศ. 2352 พระองค์จึงได้เลื่อนฐานันดรศักดิ์ขึ้นเป็นพระองค์เจ้าชั้นเอก ออกพระนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชายทับ จนปี พ.ศ. 2356 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์

ต่อมา เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านความมั่นคง การศึกษา โดยในยุคสมัยของพระองค์ มีการพิมพ์หนังสือภาษาไทยเป็นครั้งแรก รวมทั้งมีหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของประเทศ โดยหมอบรัดเลย์ได้ออกหนังสือพิมพ์รายปักษ์ชื่อ บางกอกรีคอร์เดอร์ (Bangkok Recorder) นอกจากนี้ยังมีหนังสือบทกลอนที่ชื่อ นิราศลอนดอน ที่ถูกตีพิมพ์ขายเป็นครั้งแรกอีกด้วย

ในด้านกิจการค้า ที่ถือว่าเป็นยุคทองของประเทศ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนับสนุนการค้าขาย ทั้งกับกับชาวเอเชียและชาวยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การค้ากับชาวจีน โดยมีการแต่งสำเภาทั้งของข้าราชการ เจ้านาย ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และพ่อค้าชาวจีน ไปค้าขายยังเมืองจีนและประเทศใกล้เคียง รวมทั้งเปิดการค้ากับมหาอำนาจตะวันตก ส่งผลให้พระคลังสินค้าตลอดรัชสมัยของพระองค์ มีรายได้เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงทำเพื่อประเทศชาติ ในเวลาต่อมา คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ วันที่ 31 มีนาคมของทุกปี เป็น ‘วันระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า’ หรือ ‘วันเจษฎาบดินทร์’ ซึ่งถือเป็นวันสำคัญของชาติ แต่ไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ ทั้งนี้ พระราชสมัญญาว่า ‘พระมหาเจษฎาราชเจ้า’ มีความหมายว่า ‘พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นใหญ่’


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลูกจ้างโครงการ กทม. มีเฮ!! ได้ค่าตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน ‘พรรคกล้า กทม.’ ขอบคุณผู้ว่าฯ รับฟังเสียงเรียกร้อง ลงนามคำสั่งจ่าย 1 เม.ย.นี้ ขอทุกหน่วยงานเร่งจ่ายค่าตอบแทน เป็นขวัญกำลังใจให้ลูกจ้างทำงานต่อไป

นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เลขานุการกลุ่มกรุงเทพฯ พรรคกล้า กล่าวขอบคุณผู้ว่าฯ กทม. หลังจากที่ตนเองเรียกร้องขอให้จ่ายค่าตอบแทนลูกจ้างโครงการ กทม. ซึ่งค้างจ่ายมา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม โดยต่อมาเมื่อวันที่ 26 มี.ค.64 ทราบว่าผู้ว่า กทม. ลงนามในระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยค่าตอบแทนแก่บุคคลภายนอกที่ช่วยปฏิบัติราชการด้านการกีฬา วัฒนธรรม และส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก เยาวชน และประชาชน พ.ศ.2564 สามารถให้หน่วยงานได้อ้างอิงการเบิกจ่ายเงิน ค่าตอบแทน ค่าเบี้ยเลี้ยง ให้กับลูกจ้างโครงการทั้งหมดในทุกหน่วยงานและทุกสำนักงานเขตของกรุงเทพ รวมถึงการจ่ายค่าตอบแทนย้อนหลังกรณีที่ไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนมาตั้งแต่เดือนมกราคม โดยมีผลวันที่ 1 เมษายนนี้

“ผมขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ไม่ทอดทิ้งบุคลากร ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานอย่างแท้จริงในสังกัดของท่าน และแก้ปัญหา ความเดือดร้อนของลูกจ้างโครงการฯ ในกรุงเทพฯ โดยออกระเบียบดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนี้ ขอให้หน่วยงาน และสำนักงานเขตต่างๆ เร่งเบิกจ่ายเงินให้ลูกจ้างฯ ผู้ปฏิบัติงานทุกคนโดยเร็วต่อไป” นายเอกชัย กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

หลังจาก 279 นักวิชาการจี้จุฬาฯ หยุดสอบสวนวิทยานิพนธ์ 'ณัฐพล ใจจริง' อ้างเสรีภาพทางวิชาการ

ทางด้าน ดร.เวทิน ชาติกุล นักวิชาการสถาบันทิศทางไทย ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กสะท้อนต่อท่าทีดังกล่าวว่า...

ทำไมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงต้องถอดถอนปริญญา ณัฐพล ใจจริง?/ ดร.เวทิน ชาติกุล

1.) ประเด็นปัญหาของวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของณัฐพลนั้นอยู่ที่ วิธีวิทยา (methodology) ที่ณัฐพลอ้าง คือ การตีความทางประวัติศาสตร์ โดยคำนึงถึงบริบทต่างๆ ที่แวดล้อมอยู่

2.) ดังปรากฏในการอ้างของณัฐพลว่าเป็นการตีความตามบทความ "ตอบไชยันต์ ไชยพร เรื่องวิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์"

3.) แต่สิ่งที่ณัฐพลทำจริงมิใช่การตีความประวัติศาสตร์ตามหลักฐานและบริบทที่ปรากฏเป็นจริง

4.) แต่กลับการเอาทัศนคติส่วนตนเข้าไปบิดเบือน “หลักฐาน” หรือ ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีให้ปรากฎมีขึ้นเพื่อนำมาสนับสนุนสมมุติฐานที่ตนตั้งเอาไว้ตามทัศนคติส่วนตัวตั้งแต่แรก

5.) ประเด็นที่ อ.ไชยันต์ ได้ท้วงติงที่เป็นสาระสำคัญก็คือ มีอะไรเป็น “หลักฐาน” ระบุว่า บทบาทของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาถนเรนทร ใช้อำนาจในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพื่อจะสนับสนุนสมมุติฐานกระทบคราดไปถึงสถาบันฯ ที่อาจใช้อำนาจแทรกแซงนั้นผ่านผู้สำเร็จราชการฯ

6.) ในเมื่อสิ่งที่นำมา "อ้างอิง" ว่าเป็น “หลักฐาน” นั้นไม่ปรากฏการระบุดังกล่าว สิ่งที่เป็นอยู่นี้จึงมิใช่การตีความ (interpretation) โดยตรงตามหลักฐานจริงที่ปรากฎจริง แต่ถ้าจะนับว่าเป็นการตีความก็เป็นการตีความด้วยการปลอมแปลงหลักฐานหรือ “สร้าง” หลักฐานเท็จขึ้นมานั่นเอง

7.) แม้ณัฐพลจะยอมรับผิดแต่อ้างว่าเป็น "ความผิดพลาด" (error) หากแต่ในทางจรรยาบรรณทางวิชาการนั้นความผิดพลาดดังกล่าวถือเป็นการกระทำผิดที่ก้ำกึ่งระหว่าง "การปลอมแปลงข้อมูล" (data falsification) กับ "การตบแต่งข้อมูล" (data fabrication) ซึ่งถือเป็นความผิดทางวิชาการร้ายแรงเช่นเดียวกับ "การลอกหรือขโมยผลงานทางวิชาการ" (plagiarism)

8.) ซึ่งไม่มีวงวิชาการใดในโลกยินยอมให้มี "เสรีภาพทางวิชาการ" เช่นนี้ได้ โดยเฉพาะในการเสนอหัวข้อวิจัย (dissertation) ในระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต

9.) ย้ำว่าโดยเฉพาะการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ปริญญาเอก มิฉะนั้น ต่อไปภายภาคหน้าผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ปริญญาเองทุกคนก็จะเขียนอะไรมา ด้วยวิธีการอะไร ก็ได้แล้วกล่าวอ้างแบบเดียวกับณัฐพลเมื่อเกิดความผิดพลาดทางวิชาการใดๆ ที่ตนเองได้ก่อขึ้น

10.) ที่สำคัญในกรณีนี้อาจถือได้ว่ามีความร้ายแรงกว่าการลอกผลงาน

11.) เพราะการลอกผลงานทำไปโดยเห็นแก่ตัวเป็นความผิดเฉพาะตัวของผู้ลอกแต่ผู้รับสารไม่ได้รับสารที่ผิดพลาด แต่กรณีณัฐพลอาจถือได้ว่าจงใจผิดพลาด ปลอมแปลง บิดเบือนหลักฐานที่ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสังคมในวงกว้าง

12.) ซึ่งจุฬาลงกรณ์ได้พิจารณาลงโทษสถานเบาแล้ว คือ ออกคำสั่งระงับเผยแพร่วิทยานิพนธ์ดังกล่าว แต่ณัฐพลและพวกได้ฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวของจุฬาลงกรณ์ เจตนาที่จะนำเอาข้อมูลเท็จแบบเดียวกับที่ปรากฎในวิทยานิพนธ์ให้ปรากฎสู่สาธารณะอย่างต่อเนื่องในรูปแบบต่างๆ

13.) แม้ณัฐพลจะอ้างว่าเป็นผิดพลาดแต่ในระยะเวลา 2 ปีก็มิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อแสดงเจตนาที่จะแสดงให้สังคมได้เห็นถึง "ความผิดพลาด" ที่เกิดขึ้นแล้วของตนซึ่งได้รับการเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง อย่างที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าตนเองนั้นสำนึกรับผิดชอบในความผิดพลาดของตนเอง อย่างจริงใจ

14.) จนเป็นมูลเหตุให้ทางราชสกุลรังสิตต้องดำเนินการฟ้องร้องเองต่อณัฐพล และผู้ร่วมเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวในทางแพ่งถึง 50 ล้านบาทเพื่อปกป้องพระเกียรติของกรมพระยาชัยนาทนเรนธร และเพื่อมิให้มีการดำเนินการบิดเบือนประวัติศาสตร์ในเรื่องความเข้าใจต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ขยายวงกว้างออกไป

15.) ในเมื่อความผิดที่สำเร็จแล้วของณัฐพลเป็นที่ประจักษ์ในข้อเท็จจริง เหลือเพียงข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณากันไปตามกระบวนการยุติธรรม การตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อถอดถอนปริญญาของณัฐพลจึงเป็นหน้าที่และอำนาจโดยชอบธรรมที่ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะสามารถกระทำได้ตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่มีอยู่

16.) ตรงกันข้ามการไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น เท่ากับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะต้นทางของเรื่องทั้งหมด กำลังปฏิเสธความรับผิดชอบต่อสังคมและมีส่วนรับรองต่อความผิดพลาด ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นกับวงวิชาการ สังคมและประเทศชาติไปโดยปริยาย

17.) ด้วยฐานความผิด การปลอมแปลง-บิดเบือนหลักฐาน ซึ่งผิดจริยธรรมทางวิชาการที่ร้ายแรง ซึ่งเจ้าตัวรับสารภาพแล้ว

18.) ด้วยเจตนาและจงใจที่จะฝ่าฝืนคำสั่งระงับการเผยแพร่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

19.) ด้วยความไม่สำนึกในการที่จะแจ้งต่อสังคมให้ประจักษ์ต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วโดยบริสุทธิ์ใจ

20.) ถ้าเป็นไปตามที่กล่าวมาข้างต้นก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะไม่ดำเนินการถอดถอนปริญญาณัฐพล เพราะนั่นเป็นบทลงโทษที่เหลืออยู่ ที่จะสามารถดำเนินการได้เพื่อปกป้องชื่อเสียง เกียรติยศ เกียรติภูมิของมหาวิทยาลัยมิให้เสียหายมากไปกว่านี้

.

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3017731715172306&id=100008065207896


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

วันนี้เมื่อ 40 ปีก่อน มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเป็นการพยายามก่อการรัฐประหาร รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ทั้งนี้ กลุ่มผู้ก่อการเป็นนายทหารที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 7

หรือมีชื่อเรียกรุ่นว่า ‘ยังเติร์ก’ จนเป็นที่มาของชื่อการก่อการในครั้งนี้ว่า ‘กบฏยังเติร์ก’

‘กบฏยังเติร์ก’ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ‘กบฏเมษาฮาวาย’ เป็นการก่อรัฐประหารระหว่างวันที่ 1 - 3 เมษายน พ.ศ. 2524 โดยผู้ก่อการเป็นนายทหาร จปร. รุ่น 7 ได้แก่ พันเอก มนูญกฤต รูปขจร, พันเอก ชูพงศ์ มัทวพันธุ์, พันเอก ประจักษ์ สว่างจิตร, พันโท พัลลภ ปิ่นมณี, พันเอก ชาญบูรณ์ เพ็ญตระกูล, พันเอก แสงศักดิ์ มงคละสิริ, พันเอก บวร งามเกษม, พันเอก สาคร กิจวิริยะ โดยมีพลเอก สัณห์ จิตรปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะ

โดยสาเหตุของการก่อกบฏครั้งนี้ เกิดจากความไม่พอใจของพลเอกสัณห์ ที่มีต่อพลเอกเปรม นายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้น เนื่องจากทางกองทัพบกมีการต่ออายุราชการให้กับพลเอกเปรม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ออกไปอีก 1 ปี ทำให้พลเอกสัณห์ในฐานะรองผู้บัญชาการทหารบก หมดสิทธิ์ที่จะขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก จึงได้รวบรวมนายทหารสาย จปร.7 ก่อการรัฐประหาร

ทางฝ่ายรัฐบาล นำโดยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้ตั้งกองบัญชาการขึ้นมาตอบโต้ และใช้อำนาจปลดผู้ก่อการออกจากตำแหน่งทางทหาร พร้อมส่งเครื่องบินเอฟ-5 อี ออกบินสังเกตการณ์ จนในที่สุดก็เคลื่อนกำลังพลเข้าปะทะกัน การกบฏยุติลงอย่างรวดเร็วในเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2524 เมื่อฝ่ายก่อการเข้ามอบตัวกับทางรัฐบาลรวม 155 คน นับเวลาของการทำรัฐประการครั้งนี้รวมแล้วทั้งสิน 55 ชั่วโมง

‘กบฏยังเติร์ก’ ถือเป็นการก่อการรัฐประหารที่มีจำนวนกำลังทหารเข้าร่วมมากถึง 42 กองพัน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งต่อมาภายหลัง แกนนำฝ่ายก่อการได้หลบหนีออกนอกประเทศ จนเมื่อเวลาผ่านไป นายทหารผู้ร่วมก่อการหลายคนก็ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ รวมทั้งมีหลายคนที่นำธูปเทียนไปขอขมาพลเอกเปรม ณ บ้านสี่เสาเทเวศน์ ซึ่งเป็นบ้านพักของนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา

.

ที่มา:

https://th.wikipedia.org/wiki/กบฏยังเติร์ก,

https://www.thairath.co.th/news/politic/1501676


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

รมว.สุชาติ เผย ม33เรารักกัน โอนเงินงวดสองแล้ววันนี้ ผ่านมา 1 สัปดาห์กระตุ้นเศรษฐกิจใช้จ่ายสะสมกว่า 4,603 ล้านบาท

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ม33เรารักกัน ได้มีการโอนเงินงวดสอง ผ่านแอพพลิเคชั่น 'เป๋าตัง' แล้วอีกจำนวน 1,000 บาท โดยภาพรวมการใช้จ่าย ม33เรารักกัน วันที่ 22 -28 มีนาคม 2564 ใช้จ่ายสะสมแล้วจำนวน 4,603,989,005.52 บาท สำหรับกลุ่มทบทวนสิทธิและไม่มีสมาร์ทโฟน ครบกำหนดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2564 มีผู้ลงทะเบียนรวมจำนวนทั้งสิ้น 742,017 คน 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการม33เรารักกันว่า ตามที่รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้ได้รับสิทธิคนละ 4,000 บาท ซึ่งขณะนี้ได้มีการโอนเงินงวดที่ 2 จำนวน 1,000 บาท ผ่านแอพพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ ให้แก่ผู้ประกันตนที่มีสิทธิในโครงการ ม33เรารักกัน แล้ว โดยเหลืออีก 2 งวด คือ งวดที่ 3 จะโอนในวันที่ 5 เมษายน 2564 และงวดที่ 4 โอนในวันที่ 12 เมษายน 2564 ภาพรวมการใช้จ่ายตามนโยบายรัฐบาล โครงการ ม33เรารักกัน ผลปรากฏว่า วันที่ 22 – 28 มีนาคม 2564 มียอดใช้จ่ายสะสม จำนวน 4,603,989,005.52 บาท

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มทบทวนสิทธิและกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ในโครงการ ม33เรารักกัน 
ซึ่งครบกำหนดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2564 พบว่า กลุ่มทบทวนสิทธิผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com มีจำนวน 709,190 คน กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ได้มาลงทะเบียนที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร/จังหวัด/สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศ มีผู้ลงทะเบียนสำเร็จสะสมแล้ว จำนวน 32,827 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 742,017 คน ซึ่งจะประกาศผลยื่นทบทวนสิทธิในวันที่ 5 เมษายน 2564 โดยกลุ่มทบทวนสิทธิผ่านเว็บไซต์ สามารถตรวจสอบผลได้เว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com และจะโอนเงินเข้าแอพพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ให้กับกลุ่มดังกล่าว จำนวน 4,000 บาท ในวันที่ 12 เมษายน 2564 ส่วนกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟนนั้น สำนักงานประกันสังคมจะแจ้งผลและวิธีรับเงินให้ทราบต่อไป 

“ทั้งนี้ โครงการนี้จะสิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 จึงขอเน้นย้ำให้ผู้ประกันตนใช้จ่ายเงินภายในวันดังกล่าว และแจ้งเตือนไปยังผู้ได้รับสิทธิอย่าทำผิดหลักเกณฑ์เงื่อนไขโครงการ อย่าหลงเชื่อผู้ให้ผลประโยชน์เป็นเงินสด โดยไม่มีการซื้อสินค้าอย่างถูกต้อง ร้านค้าต้องไม่ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าและต้องแสดงตั้งป้ายราคาสินค้าให้ชัดเจน หากพบจะแจ้งให้กรมการค้าภายในดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด" รมว.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top