ผมเองเขียนเรื่อง 'ประชาธิปไตยเงินสด' มาหลายครั้ง ไม่ต้องการให้นักการเมืองเอาเงินมาฟาดหัวประชาชน เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ในสภาแทนประชาชน
แต่ยิ่งเขียนดูเหมือนกระแสเงินสดหมุนเวียนในแวดวงการเมืองจะเพิ่มตัวเลขขึ้นมาเรื่อยๆ จาก 5 ล้าน เป็นสิบล้าน ยี่สิบล้าน วันนี้พูดถึงตัวเลข 30 ล้าน/เขตกันแล้ว ซึ่งเป็นการพูดที่ดูหมิ่นดูแคลนประชาชน เจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง และนั่นคือ ต้นเหตุของปัญหา 'วงจรอุบาทว์' ในการเมืองไทย
แอบชื่นชมการต่อสู้ของ 'หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม' มาพอสมควร แต่นานๆ จะกล่าวถึงสักครั้ง วันนี้แอบไปส่องเฟซบุ๊กของหมอรวงค์ เขียนตรงใจกับที่ผมคิด จึงขออนุญาตนำมาสื่อสารต่อ
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ประชาธิปไตยเงินสด' โดยระบุว่า...
การที่ ส.ส.ลาออก ย้ายพรรค มีการควบรวมพรรคกันจำนวนมากช่วงนี้ ทำให้นึกถึงการเมืองที่เรียกว่า ‘ประชาธิปไตยเงินสด หรือ Cash Democracy หรือ cash politics’ ทุกอย่างอยู่ที่ข้อตกลงเรื่องตัวเลขเงินสด
เหตุการณ์ทำนองนี้ ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น เคยเกิดขึ้นมาตลอด ในระบบการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ เพราะอำนาจต่อรอง จะไปอยู่ที่ตัว ส.ส. มุ้ง บ้านใหญ่ และเงินจะมีอิทธิพลสูงมาก ไม่ใช่อุดมการณ์
ดังนั้นประชาธิปไตยเงินสด ซึ่งแหล่งเงินที่มา ก็มาจาก 'ทุนสีเทา' ทั้งหวย บ่อน ยา น้ำมันเถื่อน ตลอดจนเงินที่เกิดจากการโกง ทุจริตคอร์รัปชัน เรียกรับและต่อรอง ของผู้มีอำนาจ ประชาชนต้องไม่มองว่า เหตุนี้เป็นเรื่องปกติ แต่เป็นสิ่งเลวร้าย ที่ทำลายประชาธิปไตย
เพราะสุดท้ายประชาธิปไตยเงินสด ก็จะยิ่งนำพาประเทศ เข้าสู่วังวน วงจรอุบาทว์ การทุจริตคอร์รัปชัน สร้างความขัดแย้ง เพราะผลประโยชน์ จะหนักยิ่งกว่ายุคแจกกล้วย และเป็นตัวทำลายประชาธิปไตยที่แท้จริง
ถ้าประเทศมีปัญหา เพราะประชาธิปไตยเงินสด ให้จำรัฐสภาชุดนี้ไว้ เพราะเป็นผู้ผ่านกติกาการเลือกตั้งแบบนี้ กลับมาใช้ ทั้งๆ ที่รู้ว่า ระบบนี้เคยสร้างปัญหาให้ประเทศมาแล้ว
พรรคไทยภักดี ยืนยันมาหลายรอบแล้วว่า เราจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเงินสด ไม่ยุบ ไม่รวม พร้อมที่จะต่อสู้กับทุนสีเทา การทุจริตคอร์รัปชัน เพราะเราเชื่อว่า มีประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่อยากเห็นพรรคการเมืองสักพรรค ยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้