Sunday, 8 June 2025
TheStatesTimes

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา  

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 เวลา 13.30 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายนิพนธ์ ลีละศิธร กรรมการ และนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ นำคณะผู้บริหาร ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา 

'เชียงราย' ตม.ท่าขี้เหล็กส่งกลับไทย ตม.ปส.ปปส.ตำรวจ ทหาร รับตัวต่อจับต่อตามหมายจับชายแดนแม่สาย

(16 ธันวาคม 2565) ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ศุภณัฎฐ์ เจริญเรืองสกุล ผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง5สั่งการให้ พันตำรวจเอก เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผู้กำกับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายพร้อมเจ้าหน้าที่สืบสวนปราบปรามตรวจคนเข้าเมืองเชียงรายและเจ้าหน้าที่ ปปส ปส ตำรวจภูธรแม่สาย ทหาร พร้อมหน่อยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมรอรับตัวจากการประสานจากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองท่าขี้เหล็กสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าจะมี

การส่งตัวผู้ต้องหาซึ่งได้กระทำความผิดกฎหมายโดยถูกทางเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีในประเทศเมียนมาและคดีได้สิ้นสุดแล้วจึงได้ประสานมากับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายเพื่อจะส่งตัวกลับมายังประเทศไทยพร้อมกันนี้ทางเจ้าหน้าที่ไทยจึงได้ตรวจสอบในระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์พบข้อมูลระบุชื่อนาย สมเกียรติ ปัญญาบุญ และจากการตรวจสอบในระบบสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(POLlS)ระบบสารสนเทศสถานี

ตำรวจ(CRIMES)และระบบศูนย์ข้อมูลอาชญากรรม(PDC)พบว่าเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาและได้หลบหนีไปอยู่ในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็กประเทศเมียนมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปรับตัวนาย สมเกียรติ ปัญญาบุญ ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพชายแดนไทย-เมียนมา แห่งที่2หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่

กุหลาบแห่งโตเกียว ‘Tokyo Rose’ อาวุธร้ายแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ที่ใช้โจมตีขวัญกำลังใจของทหารสัมพันธมิตรใน WW II

ขึ้นชื่อว่าสงคราม หลายคนคงจะนึกถึงการใช้ความรุนแรง อาวุธ หรือกำลังเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คาดหวังหรือมุ่งหมาย แต่จริงๆ แล้วในการทำสงคราม สิ่งที่สำคัญมากกว่าอาวุธและขาดไม่ได้เลยคือ ‘สงครามจิตวิทยา’ (Psychological warfare) 

‘สงครามจิตวิทยา’ คือการทำสงครามที่ใช้ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาที่มุ่งเน้นให้เกิดผลกระทบต่อ ‘ความคิด’ และ ‘ความเชื่อ’ ของบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อร่วมกับปฏิบัติการจิตวิทยา 

สงครามจิตวิทยานั้นสามารถทำได้ทั้งในยามสงบและยามสงคราม ทั้งฝ่ายข้าศึกและฝ่ายเดียวกัน รวมถึงฝ่ายเป็นกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการทหาร ในระดับยุทธศาสตร์ ยุทธการ และระดับยุทธวิธี

เมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เช่นกัน ในสมรภูมิตะวันออก (เอเชีย-แปซิฟิก) สงครามจิตวิทยาที่กองทัพญี่ปุ่นนำมาใช้กับกองกำลังสัมพันธมิตรคือ ‘การโฆษณาชวนเชื่อทางวิทยุ’ โดยหญิงที่ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีฉายาว่า ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo Rose) อันเป็นชื่อที่ทหารกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ปฏิบัติการในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ใช้เรียกโฆษกหญิงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษราว ๆ ๑๒ นาง

โฆษกหญิงโฆษณาชวนเชื่อของญี่ปุ่นมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายขวัญและกำลังใจของกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่ฟังการแพร่สัญญาณ โดยเน้นย้ำถึงความยากลำบากในการทำสงครามและความสูญเสียทางทหารที่เกิดขึ้นมากมาย ผู้ประกาศหญิงหลายคนดำเนินการโดยใช้นามแฝงที่แตกต่างกัน และกระจายเสียงในเมืองต่าง ๆ ทั่วดินแดนที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครอง รวมถึง โตเกียว มะนิลา และเซี่ยงไฮ้ 

ทั้งนี้ ชื่อ ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ไม่เคยถูกใช้โดยฝ่ายญี่ปุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 1943 ทหารอเมริกันในแปซิฟิกมักฟังการแพร่สัญญาณโฆษณาชวนเชื่อเพื่อรับทราบถึงผลของการปฏิบัติทางทหารของพวกตน โดยจับความหมายโดยนัย นอกเหนือจากการปฏิบัติแล้ว ยังมีการขวัญในหมู่ทหารอเมริกันว่า เรื่องที่กุหลาบแห่งโตเกียวนำเสนอ มักมีความแม่นยำอย่างน่ากลัว สามารถกล่าวถึง หน่วยทหารและกระทั่งชื่อของทหารบางคนได้ แม้ว่าเรื่องที่กุหลาบแห่งโตเกียวนำเสนอเหล่านี้ไม่เคยมีเอกสารพิสูจน์ เช่น บทและการแพร่สัญญาณที่ถูกบันทึกเอาไว้ 

Iva Ikuko Toguri D'Aquino (4 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 – 26 กันยายน ค.ศ. 2006) เป็นนักจัดรายการและนักจัดรายการวิทยุชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ ‘กุหลาบแห่งโตเกียว’ (Tokyo rose) ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยร่วมจัดรายการวิทยุภาษาอังกฤษที่ส่งโดย Radio Tokyo ไปยังกองทหารสัมพันธมิตรในรายการวิทยุ The Zero Hour แม้ว่าเธอจะออกอากาศโดยใช้ชื่อ ‘Orphan Ann’ แต่ Iva Toguri ก็เป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Tokyo Rose’ 

Iva Toguri เป็นพลเมืองอเมริกัน เกิดที่นครลอสแองเจลิส พ่อ-แม่ของเธอเป็นผู้อพยพชาวญี่ปุ่น จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตนครลอสแองเจลิส ในปี ค.ศ. 1940 ด้วยปริญญาตรีด้านสัตววิทยา 

ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 เธอต้องเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อเยี่ยมอาการป่วยของญาติ โดยพักอยู่กับครอบครัวของป้า ก่อนการโจมตีอ่าวเพิร์ลของกองทัพญี่ปุ่น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกใบรับรองประจำตัวให้เธอ เพราะเธอไม่มีหนังสือเดินทาง และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน Iva Toguri ได้ยื่นขอหนังสือเดินทางต่อรองกงสุลสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น โดยระบุว่า เธอต้องการกลับบ้านในสหรัฐฯ 
 

คำขอของเธอถูกส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ และท้ายที่สุดเธอไม่สามารถเดินทางออกจากญี่ปุ่นได้เมื่อเกิดสงครามกับสหรัฐอเมริกา ทั้งยังไม่สามารถอยู่กับครอบครัวของป้าได้ เพราะเธอเป็นพลเมืองอเมริกัน ซ้ำร้ายเธอยังไม่สามารถรับความช่วยเหลือใด ๆ จากพ่อแม่ของเธอที่ถูกกักไว้ในค่ายกักกันชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในมลรัฐแอริโซนาอีกด้วย และที่เจ็บปวดที่สุดคือหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ (7 ธันวาคม ค.ศ. 1941) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะรับรองการเป็นพลเมืองของเธออีก

เมื่อชีวิตดูมืดมิดและมาถึงทางตัด Iva Toguri จึงต้องจำใจยอมรับงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีดชั่วคราวที่ Radio Tokyo (NHK) 

ต่อมาเธอได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ประกาศของ The Zero Hour รายการโฆษณาชวนเชื่อความยาว ๗๕ นาทีอย่างรวดเร็ว ซึ่งรายการนี้ประกอบด้วย เรื่องตลก รายงานข่าว และเพลงอเมริกันยอดนิยม 

เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 เธอถูกกองทัพสหรัฐฯ ควบคุมตัวเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนที่เธอจะถูกปล่อยเนื่องจากขาดหลักฐาน เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมเห็นพ้องต้องกันว่า การออกอากาศของเธอ ‘ไม่มีพิษมีภัย’

'ขันทีจีน' ตัวแทนอารยธรรมพิเศษ ข้ามพ้นกำแพงแห่งเพศ สู่ วัฒนธรรมใหม่ที่กระจายไกลไปทั่วโลก

เวลาเราดูซีรี่ย์จีนย้อนยุค โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องในรั้ว ในวัง หนึ่งตัวละครที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ ‘ขันที’ มนุษย์เพศชายที่ถูกจับมาตอน ‘ตัด’ เอาอวัยวะเพศออก เพื่อให้สามารถรับใช้ ทำงาน และดำเนินชีวิตอยู่ในฝ่ายในที่มีเพียงสตรีและบุรุษเดียวคือ ‘ฮ่องเต้’ เท่านั้น ที่เข้าออกได้

คำว่า ‘ขันที’ น่าจะเป็นคำที่ผูกโยงกับอัตลักษณ์แบบจีนจนเราคุ้นชิน โดยในภาษาจีนเรียก ‘ขันที’ ว่า ‘ไท้เจี๋ยน’ แต่ในเอาจริงๆ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในภูมิภาคอื่นก็พบเห็นการมีอยู่ของ ‘ขันที’ เช่นเดียวกัน กระจายออกไปเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมโลกเลยทีเดียว ทีนี้ในแต่ละภูมิภาคเขาเรียก ‘ขันที’ กันอย่างไรบ้าง ? มาลองติดตามอ่านกันก่อน

สำหรับสยาม ในสมัยอยุธยาเราเรียก ‘ขันที’ ว่า ‘นักเทษขันที’ ซึ่งมีมาอย่างยาวนานก่อนจะมายกเลิกในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ส่วนข้าง มอญ - พม่า เรียก ‘ขันที’ ว่า ‘ก็อมนอย’ ส่วนในเกาหลีก็มี ‘ขันที’ เช่นเดียวกัน โดยเรียกว่า ‘แนซี’ การตอนของเกาหลีนี่โหดมาก เพราะเขา ‘ตอน’ โดยให้สุนัขกัดอวัยวะเพศจนขาด (คุณพระ !!!) 

สำหรับเรื่องราวของ ‘ขันที’ ที่น่าจะเก่าแก่ที่สุด ว่ากันว่าเกิดขึ้นที่เมืองลากาสช์ แคว้นสุเมเรียน ในเมโสโปเตเมีย ราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และถือเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญในราชสำนักของเมโสโปเตเมียและอียิปต์โบราณ ภาษาละตินและอาหรับเรียกขันทีว่า ‘ยูนุก’ ซึ่งนี่คือต้นธารแห่ง ‘ขันที’ 

โดยวัฒนธรรมการใช้ ‘ยูนุก’ แตกแขนงออกเป็น 2 สายคือ สายแรก แพร่หลายไปตามเส้นทางสู่จีนในสมัยราชวงศ์สุย ซึ่งวันนี้เราจะมารู้จัก ‘ขันที’ ในวัฒนธรรมที่จีนกัน ส่วนสายที่ 2 แพร่หลายในเอเชียตะวันตกและเอเชียใต้ สู่เปอร์เซียโบราณและจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์

ส่วนต้นกำเนิดของขันทีในจีนก็ยังมีความคลุมเครือ ไม่สามารถหาหลักฐานที่บ่งชี้ต้นทางได้อย่างชัดเจน แต่หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่พบนั้นเกี่ยวข้องกับ ‘โจวกง’ พระอนุชาของ ‘พระเจ้าโจวอู่หวัง’ ผู้ปราบพระเจ้าโจ้วและสถาปนาราชวงศ์โจว ประมาณ 1,046 ปีก่อนคริสตกาล 

โจวกง มีชื่อจริงว่า ‘ต้าน แซ่จี’ เป็นโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้าโจวเหวินหวัง เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยพระเจ้าโจวอู่หวัง ปราบพระเจ้าโจ้ว ในยุคนั้น ‘โจวกง’ เป็นผู้วางระบบกฎหมายทั้งในบทข้อห้ามและบทลงโทษ หนึ่งในบทลงโทษที่กระทำต่ออาชญากรและเชลยศึกนั่นก็คือ ‘การตอน’ เพื่อให้เป็น ‘ขันที’ โดยขันทีจะแยกออกเป็น 2 ประเภทตามรูปแบบการตอนคือ...

ประเภทแรกเป็น ‘ขันทีที่ถูกตัดแค่ส่วนขององคชาติ’ แต่เหลือส่วนของอัณฑะเอาไว้ ซึ่งการตัดในลักษณะนี้จะส่งผลให้ ขันทีประเภทนี้ยังคงมีลักษณะภายนอกเหมือนกับผู้ชายทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นของหนวดเครา ขนแขนหรือขนขา รวมถึงเสียงของขันทีเหล่านี้ก็ยังคงมีความทุ้มและห้าวอยู่ เพราะว่า ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่สำคัญ ยังผลิตจากอัณฑะอยู่ (แค่ไม่มี ‘ลำ’) ทำให้ยังเป็นผู้ชายอยู่ พวกนี้โดยมากจะเป็นเชลยศึกที่ถูกจับมา ต้องโดนตอนเพื่อไม่ให้สืบพันธุ์ได้ มักจะได้รับหน้าที่ให้ทำงานได้แค่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกเท่านั้น 

ประเภทที่สอง ‘ขันทีที่ถูกตัดทั้งองคชาติและถุงอัณฑะ’ ขันทีประเภทนี้จะสูญเสียความเป็นชายไปทันทีหลังจากที่ได้ทำการเฉือนเอาถุงอัณฑะออกไปแล้ว อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ‘อัณฑะ’ คืออวัยวะที่ผลิตฮอร์โมนโทสเตอโรน (Testosterone) ของผู้ชาย เมื่อตัดออกไปทั้งพวง ผลที่ได้คือ เสียงที่เล็กแหลมเหมือนผู้หญิง ลักษณะทางกายภาพภายนอกจะดูต่างไปจากเพศชายในช่วงวัยเดียวกัน ไม่มีลูกกระเดือกใหญ่โต ขนแขนขนขาและหนวดเคราไม่มี แสดงออกเหมือนกับสตรีเพศ เนื่องจากว่าเขาสูญเสียฮอร์โมนสำคัญในเพศชายไปแล้ว พวกนี้คือ ‘ขันที’ ที่เราคุ้นชิน สามารถทำงานเขตพระราชฐานชั้นใน ได้

ขันทีทั้ง 2 ประเภทหลังจากแผลการ ‘ตอน’ สมานดีแล้ว จะใช้ท่อที่ทำจากโลหะ ไม้ไผ่ หรือฟาง สอดเข้าไปเพื่อช่วยในการปัสสาวะ และใช้ระบาย ‘อสุจิ’ ออกมาเมื่อมันเต็มจนล้นตามการผลิตที่ทำได้ (เสียบลึกขนาดไหนกันนั่น ?) 

ส่วนใหญ่แล้ว การตอนเป็น ‘ขันที’ แบบสมัครใจ มักทำตั้งแต่เด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์ เพราะการ ‘ตอน’ หลังจากวัยเจริญพันธุ์แล้วถือเป็นเรื่องเสี่ยงถึงแก่ชีวิตมากกว่า โดยอัตราการเสียชีวิตในหมู่ผู้ตอนหลังวัยเจริญพันธุ์แล้วอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ซึ่งผู้ที่รับใช้องค์ ‘ฮ่องเต้’ มีผู้ที่ผ่านการตอนทั้ง 2 ช่วงอายุ แต่ตอนแล้วใช่ว่าความต้องการทางเพศจะถูก ‘ตอน’ ไปด้วย 

แน่นอนว่า ‘ขันที’ หลังวัยเจริญพันธุ์ ย่อมต้องเคยรับรู้เรื่องความต้องการทางเพศและด้วยการที่ ‘ขันที’ มีทรัพยากรและเวลาอย่างเหลือเฟือให้ทดลองกิจกรรมทางเพศที่เชื่อว่าอาจช่วยให้อวัยวะที่สูญเสียไปนั้นกลับคืนมา (ตัดเพราะอย่างมีอำนาจ พอมีอำนาจก็เลยอยากต่อคืน ประมาณนั้น) โดยเฉพาะเรื่องของ ‘พลังหยิน’ ที่เชื่อว่าต้องใช้ผู้หญิงมากระตุ้นส่วนที่ถูกตัดไปอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าความซาบซ่าน (จากกิจกรรมกระตุ้น) จะทำให้เกิดพลังหยาง สรุปมีผลลัพธ์ที่บันทึกในศตวรรษที่ 13 บรรยายว่า “ส่วนที่เป็นแผลที่สมานกันแล้วกลายเป็นเสียหายด้วยเพลิงราคะอย่างบ้าคลั่ง มีความรู้สึกว่าเส้นเลือดกำลังจะระเบิดออกมา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเลยมันไม่สามารถฟื้นฟูได้” (ก็นะ มันจะไปงอกคืนได้ยังไง ???)  

รำลึกถึงพ่อ ตามรอยสถานที่พระประสูติกาลของรัชกาลที่ 9 จากพลเมืองอเมริกัน สู่ องค์ราชันผู้ยิ่งใหญ่

หลายคนอาจไม่รู้ว่ารัชกาลที่ 9 ทรงมีพระประสูติกาลในอเมริกา ไม่ใช่สวิตเซอร์แลนด์ โดยพระองค์เสด็จพระราชสมภพใน 'โรงพยาบาลเคมบริดจ์' ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น 'โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น' (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ และสหรัฐอเมริกามีกฎหมายว่า เด็กทุกคนที่เกิดในอเมริกาให้ถือเป็นพลเมืองอเมริกัน ดังนั้นพระองค์ทรงมีสถานภาพเป็นพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด

ก่อนหน้าจะทรงมีพระประสูติกาล สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกของรัชกาลที่ 9 นับเป็นพระราชนิกุลพระองค์แรกที่เสด็จฯ ไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา โดยทรงเข้าศึกษาในชั้นเตรียมแพทย์ก่อนเป็นเวลา 1 ปี และลงทะเบียนเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดในปี พ.ศ. 2460

ระหว่างทรงศึกษาในอเมริกา พระโอรสพระองค์ที่สองมีประสูติกาลที่โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ 2470 ภายใต้การดูแลของนายแพทย์ DR. W. STEWART WHITTEMORE เมื่อแรกพระบรมราชสมภพ โดยรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระนามในสูติบัตรว่า 'เบบี้สงขลา' (Baby Songkla) ซึ่งมาจากพระนามของสมเด็จพระบรมราชชนก ที่มีพระนามในต่างประเทศว่า Mr.Mahidol Songkla

หลังจากที่ทรงพระราชสมภพได้ไม่ถึง 3 ชั่วโมง สมเด็จพระบรมราชชนกทรงส่งโทรเลขถึงสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ว่า...

"ลูกชายเกิดเช้าวันนี้ สบายดีทั้งสอง ขอพระราชทานนามทางโทรเลขด้วย"

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามว่า 'ภูมิพลอดุลยเดช' ซึ่งแปลว่า 'พลังแห่งแผ่นดิน'

ผอ.ศรชล.ภาค 1 นำคณะ ร่วมลงนามถวายพระพรฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ

วันที่ 16 ธ.ค. 65 เวลา 13.30 น. พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ผอ.ศรชล.ภาค 1) พร้อมด้วยบุคลากรของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 ร่วมพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ ห้องประชุม อาคารศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ฯ ให้องค์ความรู้ และส่งเสริมสุขภาพจิตให้กำลังพลกองทัพเรือ

โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบโดยแผนกจิตเวช กองสุขภาพจิต นำทีมโดย น.อ.หญิง อัจฉรี สิกขมาน รอง ผอ.กองสุขภาพจิต ฯ และคณะ เป็นวิทยากร ให้องค์ความรู้และคำแนะนำ แนวทางการดูแลเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิต ปัญหายาเสพติด ผู้ที่มีพฤติกรรมกร้าวร้าว ที่หน่วยได้ตระหนักถึงความสำคัญ ในเรื่องปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้กับกำลังพลของ​หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของกำลังพล ณ กองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อ​ 16 ธ.ค. 65

ผบ.ตร.เชิญชวนข้าราชการตำรวจร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา ฯ

ตามที่สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงมีพระอาการประชวรหมดพระสติ ด้วยพระอาการทางพระหทัย คณะแพทย์ประจำพระองค์ได้เชิญเสด็จเข้ารับการรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อถวายการตรวจพระวรกาย อย่างละเอียด และประทับรักษาพระองค์ต่อไปนั้น   

วันนี้ (16 ธ.ค.65) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขอเชิญชวนข้าราชการตำรวจร่วมพิธี เจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิตติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในวันเสาร์ที่ 17 ธ.ค.65 เวลา 16.30 น. ที่ ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ และทั้งนี้ได้สั่งการให้ข้าราชการตำรวจและลูกจ้าง ถวายพระพรด้วยการตั้งจิตอธิษฐาน สวดมนต์บูชาธรรมตามบทสวดโพชฌังคปริตร ในช่วงหลังจากเคารพธงชาติ หรือ เวลาอื่นตามความเหมาะสม ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. เป็นต้นไป

และฝากประชาสัมพันธ์สำหรับพี่น้องข้าราชการตำรวจที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศสามารถเข้าร่วมพิธีการสวดมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลได้ที่ วัดและสถานที่ที่จัดโดย ส่วนราชการต่าง ๆ ในพื้นที่ได้ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณถวายพระพรให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน

ตำรวจจับแล้ว หนุ่มยิงคู่กรณีต่อหน้าตำรวจบน สน.หลักสอง หลัง ผบ.ตร.สั่งเร่งจับกุม ถือเป็นบุคคลอันตราย ไม่เกรงกลัวกฎหมาย

วันนี้ (16 ธ.ค. 2565) เวลาประมาณ 18.00 น. พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยถึงกรณี เกิดเหตุชายอายุ 27 ปี ใช้ปืนยิงกระหน่ำยิงคู่กรณีเสียชีวิตต่อหน้าพนักงานสอบสวน แล้ววิ่งลงจากชั้น 2 ของสถานีตำรวจ หลบหนีขึ้นรถยนต์กระบะ เหตุเกิดบริเวณชั้น 2 ห้องพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง ว่า “คดีดังกล่าวได้รับรายงานเบื้องต้นจาก สน.หลักสองว่า เมื่อวันที่  16 ธันวาคม 2565 เวลาประมาณ 14.34 น. ขณะที่ พ.ต.ท.กฤษณะ ทองบ้านบ่อ พนักงานสอบสวน สน. หลักสอง ได้นัดหมายเจรจาค่าสินไหมทดแทนคดีทำร้ายร่างกาย ระหว่าง นายคมสัน อินทร์ฤทธิ์(ผู้ต้องหาในคดีเก่า) อายุ 33 ปี กับ นายพีรสิน  กุลชุติสิน(ผู้เสียหายในคดีเก่า) จากนั้น ในขณะที่เจรจาค่าสินไหมทดแทนในคดีอยู่นั้น นายพีรสินฯได้ใช้อาวุธปืนยิงนายคมสันฯ และนายอนุสรณ์ฯ(ทนายความของนายคมสันฯ) จำนวนประมาณ 8 นัด เป็นเหตุให้นายคมสันฯถึงแก่ความตาย ส่วนนายอนุสรณ์ฯได้รับบาดเจ็บ นำส่ง รพ.อาการ ปลอดภัยแล้ว  จากนั้น นายพีรสินฯ ได้ขับขี่รถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน 2ฒง-9178 กทม. หลบหนีไป 

บัณฑิตใหม่กราบสำนึกพระคุณ ‘พระปัญญาวชิรโมลี’ 2 ต้นกล้าแห่งความดีที่บ่มเพาะจาก ‘ศรีแสงธรรม’ ขณะที่หลวงพ่อขอให้เป็นคนดีสังคม ตอบแทนบ้านเมือง

พระปัญญาวชิรโมลี (นพพร ธีรปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม พระนักพัฒนาฉายา ‘เจ้าคุณโซลาร์เซลล์’ ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก หลังจาก 2 บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนศรีแสงธรรมเข้ากราบหลังสำเร็จการศึกษา ว่า ช้าแต่ชัวร์ : หลวงพ่อเลี้ยงวัวไว้จนได้ลูก 3 ตัว

2 ต้นกล้าแห่งความดีศิษย์เก่าศรีแสงธรรม มาขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสสำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเกษตรจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ด้วยความขยัน อดทนจึงจบมาได้ และยังไม่ลืมบุญคุณครูบาอาจารย์ ถ้ามาเรียนที่นี่จบแล้วไม่ขออะไรมาก อยากให้บวชคนละพรรษา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้สนับสนุนทั้งหลาย ตั้งแต่พ่อหลวงของปวงชนชาวไทยที่เป็นศูนย์รวมจิตใจให้คนในชาติไม่แตกร้าวสามัคคี รวมตัวกันเป็นชาติที่เข้มแข็งและมั่นคงเป็นไทยตลอดมา ตอบแทนบุญคุณครูบาอาจารย์ที่เสียสละมาอยู่มาสอนโรงเรียนในชนบทตามแนวชายแดน และตอบแทนผู้มีพระคุณที่สนับสนุนบริจาคจนเป็นโรงเรียนได้ทุกวันนี้


หลวงพ่อ และคณะครู พ่อแม่พี่น้อง มีความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนในการผลิตคนคุณภาพเข้าสู่สังคม ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการพัฒนาชาติ คำว่าชาติก็คือคนคือประชาชนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดิน ไม่ใช่ผืนแผ่นดินคือชาติ การพัฒนาชาติก็คือพัฒนาคน การพัฒนาคนก็คือพัฒนาชาติอย่างยั่งยืน โดยใช้งบประมาณแผ่นดินมหาศาลมาใช้ในกระบวนการจัดการศึกษา เพื่อให้มีวิชชา และจรณะ มีความรู้คู่คุณธรรมดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข เมื่อจบแล้วมาบวชคนละ 1 พรรษา แล้วสมัครไปเป็นทหารเกณฑ์ แค่นี้ก็พอใจหลวงพ่อแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top